วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560

'ฟรังซิสโกและยาซินทา' เด็กเลี้ยงแกะแห่งฟาติมา ตอน 10

นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ

อัศจรรย์เล็ก ๆ ของสองยุวนักบุญ

จะด้วยการปฏิบัติตนดั่งที่เล่ามาหรือด้วยกลเหตุประการใดก็ตาม หลาย ๆ ครั้งพระมารดา ผู้ทรงเคยเสด็จมาหาทั้งสาม ก็ทรงสดับฟังคำภาวนาจากเด็กน้อยทั้งสามทูลขอ ซึ่งในที่นี้จะยกมาเฉพาะของฟรังซิสโก และยาซินทา โดยเริ่มจากเรื่องของฟรังซิสโกที่มีอยู่ว่า วันหนึ่งบุตรชายของครอบครัวหนึ่งในหมู่ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านของทั้งสามถูกจับเข้าคุก ทั้ง ๆ ที่เขาบริสุทธิ์ ดังนั้นด้วยไม่รู้จะไปพึ่งใครสองสามีภรรยาผู้ทุกข์ใจจึงมาขอให้เทเรซา พี่สาวของลูเซีย ไปขอให้น้องสาวของเธอทูลต่อแม่พระให้ทรงช่วย ฝั่งลูเซียก็เล่าเรื่องนี้ให้ญาติผู้น้องทั้งสองคนฟังระหว่างเดินไปโรงเรียน

ฝั่งฟรังซิสโกเมื่อได้ฟังจึงขันอาสาสว่า เธอไปโรงเรียน ส่วนเราจะอยู่นี่กับพระเยซูเจ้าเพื่อวอนขอพระคุณนี้เอง  หลังจากนั้นเขาจึงใช้เวลาตลอดทั้งเช้าจนถึงบ่ายเฝ้าสวดต่อพระเยซูเจ้าเพื่อขอพระหรรษทานนี้ จนกระทั่งพบลูเซียอีกครั้งในตอนบ่าย ๆ เขาก็บอกกับเธอว่า เธอไปบอกกับพี่เทเรซาว่าให้ไปบอกพวกเขาว่า อีกไม่กี่วันเขาจะได้กลับมาอยู่บ้านได้แล้วละ และก็เป็นดังนั้นจริงเพราะในวันที่ 13 เดือนต่อมา ชายหนุ่มก็ได้รับการปล่อยตัวและได้กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย

ส่วนเรื่องของยาซินทามีอยู่ว่า คราวหนึ่งบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของนางวิกตอเรีย คุณป้าของลูเซียเกิดหายตัวไปจากบ้านเสียเฉย ๆ โดยมิมีใครรู้เห็น นางจึงมาอ้อนวอนขอให้ยาซินทาช่วยสวดต่อแม่พระเพื่อเขา และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันลูกชายของครอบครัวนั้นก็กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย ฝั่งชายหนุ่มเมื่อพบบิดามารดา ทันทีเขาก็รีบขอให้ทั้งสองยกโทษให้เขา แล้วจึงค่อยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ทั้งสองฟัง ว่าสาเหตุที่เขาหายไปมิใช้อะไร แต่เป็นเพราะเขาไปขโมยของมาและถูกจับขังคุก แต่เดชะบุญเขาสามารแหกคุกแล้วหนีเข้าไปในป่าได้

แต่พอหนีไปหนีมาเขาก็พบว่าตัวเองหลงป่าเสียแล้ว ด้วยไร้หนทางคิดอ่านจะทำการใดต่อ เขาจึงตัดสินใจคุกเข่าลงและสวดภาวนา ชั่วขณะหนึ่งเขาก็แลเห็นยาซินทามาจูงมือเขาไปทางที่เธอบอกให้เขาเดินตรงไป ก่อนเธอจะทำท่าให้เข้าให้เดินไป แล้วจึงหายไปเสียเฉย ๆ ทิ้งให้เขาเดินเพียงลำพังจนมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย บางทีเรื่องนี้อาจจะไม่น่าแปลกมากนัก ถ้าในเวลาต่อมาเมื่อลูเซียถาม ยาซินทาไม่ตอบปฏิเสธว่าเธอไม่ได้ไป ทั้งไม่รู้จักเนินเขาและป่าสนนั้น หนูสวดภาวนาเพียงเท่านั้น และขอแม่พระให้ช่วยเขามาก ๆ เพราะหนูรู้สึกเสียใจกับคุณป้าวิกตอเรียของพวกเรา นี่จะเป็นอัศจรรย์การอยู่สองสถานที่พร้อมกันหรือไม่อย่างไรก็ไม่มีใครตอบได้ จะเป็นทูตสวรรค์หรือแม่พระได้จำแลงเป็นยาซินทาไปช่วยก็สุดจะหาคำตอบได้ด้วยสติปัญญาของมนุษย์อย่างเรา

ฟรังซิสโกล้มป่วย

ฉันจะรับยาซินทาและฟรังซิสโกไปในไม่ช้านี้ ฟรังซิสโกตระหนักถึงสิ่งนี้ดี ดั่งที่ได้เล่าไปแล้ว เขาพยายามใช้เวลาที่เหลืออย่างคุ้มค่าที่สุด เขาไม่เคยพลาดโอกาสที่จะต้องสละน้ำใจตน เขายกถวายความทุกข์ยากต่าง ๆ เป็นดั่งของขวัญอันล้ำค่าแด่พระเป็นเจ้าในสวรรค์ เพื่อความรักของพระองค์ พระเยซู เขามักกล่าวเช่นนี้บ่อย ๆ

หนึ่งปีต่อมาในเดือนเดียวกับที่พระราชินีสวรรค์ทรงเสด็จมาเยี่ยมเยือนเด็กเลี้ยงแกะทั้งสาม ณ ตำบลฟาติมา คือ ในเดือนพฤษภาคม ค.. 1918 ยาซินทาซึ่งขณะนี้มีวัยได้ 8 ปี ก็ได้รับอนุญาตจากคุณพ่อเจ้าวัดให้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกตามความฝันสักที แต่ท่านก็มิได้อนุญาตให้ฟรังซิสโกรับด้วย เพราะภายนอกของเขายังดูเป็นเด็กไม่มีความรู้อะไรพอจะรับศีล เท่ากับคนอื่น และท่านเองก็มิได้แลเห็นความศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงเร้นอยู่ในวิญญาณน้อยนี้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงยังความเจ็บปวดเป็นอันมากให้เขา เพราะขณะที่น้องสาวของเขาได้รับอนุญาตให้รับศีลแล้ว แต่เขาก็ยังต้องเฝ้ารอต่อไป กระนั้นก็ตามฟรังซิสโกก็ไม่เคยต่อว่าพระเจ้า ตรงกันข้ามเขาได้ยกถวายกางเขนนี้เป็นหนึ่งในบรรดาของขวัญแด่พระองค์

หลังจากนั้นในปีเดียวกัน เมื่อฤดูใบไม้ร่วงอีกปีเวียนมาถึงยังยุโรป และสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งดำเนินไปกำลังจะยุติลงดั่งคำทำนายของแม่พระ ทั้งยุโรปก็ต้องเผชิญกับความวิปโยคครั้งใหญ่อีกครั้ง เมื่อเกิดโรคระบาด ซึ่งฆ่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมาก นั่นก็คือ การระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปน โรคร้ายแพร่ไปอย่างรวดเร็วผ่านคน และมาถึงยังอัลยุสเตร์ลบ้านเกิดของทั้งสาม ในปลายเดือนตุลาคมปีเดียวกัน โดยครอบครัวของลูเซีย มีเพียงลูเซียเท่านั้นที่ไม่ติดเชื้อ ส่วนครอบครัวมาร์โตของฟรังซิสโกและยาซินทา ก็มีเพียงนายมานูเอล ผู้เป็นบิดาเท่านั้นที่ยังแข็งแรงดี

ฟรังซิสโกล้มป่วยเป็นคนแรกในบ้าน และอาการก็ทรุดลงในระยะเวลาเพียงไม่นาน จนน่าเป็นห่วง แต่เขาก็ยังคงร่าเริงแจ่มใสดั่งปกติ เพราะเขารู้ดีว่าแม่พระทรงสัญญาว่าจะมารับเขาไปสวรรค์ และเขาก็ยังคงสุภาพกับทุกคน และน้อมรับทุกสิ่ง แม้ยาขมมาก ๆ เขาก็มิได้ทำหน้าตาบูดบึ้งเมื่อต้องกิน นางโอลิมเปียเล่าว่า เขาดูดีและร่าเริงจนเรารู้สึกว่าเขาดีขึ้น แต่เขายิ้มและบอกกับเราเสมอว่ามันไม่มีประโยชน์- แม่พระกำลังมาพาเขาไปสวรรค์ เขาพูดอยู่บ่อย ๆ

บันทึกความทรงจำตอนหนึ่งของลูเซียได้เขียนถึงช่วงแรก ๆ ที่ฟรังซิสโกเริ่มส่อเค้าอาการป่วยว่า
ในเวลาต่อมาดิฉันก็สังเกตเห็นว่า เมื่อพวกเราเดินทางออกจากบ้าน ฟรังซิสโกก็เดินช้า ๆ
เกิดอะไรขึ้น ดิฉันถามเขา นายดูเดินจะไม่ไหวเลยนะ
เราปวดหัว และก็รู้สึกจะเป็นลมเสียให้ได้
แล้วจะมาทำไมละ ไปนอนพักที่บ้านไป
เราไม่ต้องการงั้น เราควรไปอยู่ที่วัดกับพระเยซูผู้ซ่อนเร้น ขณะที่เธอไปโรงเรียน
ฟรังซิสโกกำลังป่วย แต่ก็ยังพอเดินไปไหนมาไหนได้นิดหน่อย

ส่วนตัวยาซินทาเองก็ล้มป่วยเช่นกัน แต่ก็มีอาการไม่หนักเท่าพี่ชาย เธอจึงชอบมาอยู่ปลายเตียงของฟรังซิสโกที่นอนป่วยอยู่ จนวันหนึ่งขณะสองพี่น้องอยู่ด้วยกันในห้องตามลำพัง แม่พระก็ได้ประจักษ์มาหาทั้งสองอีกครั้ง พระนางทรงประกาศว่าฟรังซิสโกจะรับเขาไปในไม่ช้านี้ และทรงตรัสถามยาซินทาว่าอยากจะอยู่บนโลกต่อสักหน่อยไหม พระนางถามหนูว่าหนูยังอยากทำให้คนบาปกลับใจอยู่ไหม และหนูก็ตอบว่ายังอยากอยู่ หลังจากนั้นพระนางถามว่าหนูอยากได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาลสองแห่ง แต่หนูจะไม่ได้รับการรักษา หนูจะได้ถวายพลีกรรมมากขึ้น เพื่อความรักของพระเจ้า เพื่อการกลับใจของคนบาป และชดเชยการล่วงละเมิดดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์ นี่คือสิ่งที่พระนางบอกหนู ลูเซีย (ลูเซียตอบ จ๊ะ ที่รัก) และพี่ พี่จะไม่ได้อยู่กับหนูในทุกที่ที่หนูต้องไป คุณแม่ของหนูจะไปที่นั่นกับหนู และหนูจะต้องอยู่เพียงลำพัง ยาซินทาเล่าให้ลูเซียฟังในเวลาต่อมา

วันเวลาล่วงถึงวันฉลองพระคริสตสมภพ อาการของฟรังซิสโกก็ดูท่าจะดีขึ้น เพราะในวันฉลองเขาสามารถลุกจากเตียงได้ แม้จะตัวจะดูซีดเซียว และมีอาการเซเล็กน้อยอยู่บ้าง แต่ยังไม่ทันที่ครอบครัวจะดีใจได้เท่าไร อาการของเขาก็ทรุดหนักอีกครั้งในเดือนต่อมา และดูท่าจะทรุดหนักกว่าครั้งก่อน ยังความทุกข์ระทมใจให้นายมานูเอล ผู้เป็นบิดายิ่งนัก เพราะเขาเชื่อเสมอว่าลูกชายตัวน้อยของเขาจะหาย หายไว ๆ นะลูก และเดี๋ยว ๆ ลูกก็จะได้โตเป็นหนุ่มแล้ว เขาบอกกับลูกชายที่นอนป่วย ไม่ครับ ลูกรู้ดีว่าแม่พระกำลังจะมา และรับลูกไป ฟรังซิสโกตอบบิดา

บนทางสู่กัลวาร์

ทุกวันหลังเลิกเรียน ลูเซียจะแวะมาเยี่ยมทั้งสองที่บ้าน ฝั่งฟรังซิสโกและยาซินทาเองก็มีความสุขที่ได้พบลูเซีย  ทั้งสามจะต่างคุยกันอย่างเงียบ ๆ (ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าทั้งสามพูดอะไรกัน กระทั่งวันที่ลูเซียเป็นพยานในกระบวนการขอแต่งตั้งทั้งสองเป็นนักบุญ) วันหนึ่งที่ข้างเตียง ลูเซียก็เอ่ยถามฟรังซิสโกว่า เจ็บมากไหมฟรังซิสโก ฝั่งฟรังซิสโกที่นอนซมก็ตอบกลับไปว่า ก็เจ็บอยู่พอควรเลยละ แต่เราไม่คิดถึงมันหรอก เรารับทรมานก็เพื่อปลอบประโลมองค์พระผู้เป็นเจ้า และไม่นานเราก็จะได้ไปอยู่กับพระองค์

อีกวันหนึ่งลูเซียและยาซินทาได้พากันเข้าไปหาฟรังซิสโกที่ห้อง ซึ่งทันทีที่พบหน้าทั้งสองฟรังซิสโกก็เอ่ยดักขึ้นก่อนว่า อย่าพูดอะไรเยอะเลยนะวันนี้ คือเราเจ็บหัวมาก ฝั่งยาซินทาน้องสาวผู้มีจิตใจมอบแด่คนบาป จึงเอ่ยเตือนพี่ชายที่มีอาการเจ็บศีรษะว่า อย่าลืมยกเป็นพลีกรรมเพื่อคนบาปนะ ฟรังซิสโกเมื่อได้ยินเช่นนี้ จึงตอบน้องสาวคนเดียวของเขาว่า แน่นอน แต่แรกสุดพี่ขอถวายเพื่อการปลอบประโลมองค์พระผู้เป็นเจ้าและแม่พระก่อนนะ แล้วก็ค่อยเพื่อคนบาปและเพื่อองค์สันตะบิดร

ในสภาพป่วยหนักฟรังซิสโกได้ใช้เวลาเกือบทั้งสิ้นไปกับการสวดสายประคำ เพื่อชิดสนิทกับแม่พระ แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็เอ่ยกับนางโอลิมเปีย ผู้เป็นมารดาอย่างอ่อนแรงว่า ลูกไม่ใช่มันแล้ว แม่ครับ เมื่อลูกสวดวันทามารีย์ หัวของลูกหมุนติ้วจนลูกไม่รู้ว่าลูกคิดอะไรอยู่ แต่นางโอลิมเปียก็ให้กำลังใจบุตรชายตัวน้อยว่า สวดด้วยหัวใจของลูก ลูกแม่ ก็เพียงพอแล้วสำหรับท่านที่จะเข้าใจ

แต่ความเจ็บป่วยใดเล่าของฟรังซิสโกในระหว่างป่วยหนักจนลุกไปไหนมาไหนมิได้ จะเท่ากับความทุกข์ที่เขาไม่มีโอกาสได้ไปเฝ้าศีลอยู่ที่ ใกล้ประตูทางเข้าวัด ทางปีกซ้ายของวัด เพราะขณะนั้นวัดกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุง ฟรังซิสโกจะไปอยู่ที่นั่นระหว่างอ่างล้างบาปและพระแท่น และก็เป็นที่นั่นแหละที่ดิฉันพบเขาเมื่อกลับมา” (คำบอกเล่าของลูเซีย) กระนั้นก็ตามแม้ไม่อาจจะไปหาพระองค์ที่วัดด้วยตัวเองได้ บ่อยครั้งเมื่อลูเซียกำลังไปโรงเรียนและได้แวะหาฟรังซิสโก เขาก็จะฝากเธอไปว่า นี่ ช่วยไปที่วัดและมอบความรักของเราให้พระเยซูเจ้าผู้ซ่อนเร้นที่นะ สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ที่สุดก็คือการที่เราไม่อาจจะไปและพำนักอยู่กับพระองค์ ณ ที่นั่นได้

มรณกรรมของฟรังซิสโก

อาการของฟรังซิสโกนานวันก็มีแต่จะทรุดหนักลงเรื่อย ๆ ในลำคอเขามีเสหะมาก ส่วนไข้ก็มีแต่จะสูงขึ้นมากกว่าจะลด เขารับอาหารอะไรไม่ได้ และอ่อนแรงลงเต็มที กระทั่งลุถึงเช้าวันเสาร์ที่ 2 เมษายน ค.. 1919 ฟรังซิสโกที่นอนซมก็บอกกับบิดาว่า พ่อครับ ลูกอยากรับศีลก่อนลูกจะตาย นายมานูเอลจึงรับปากบุตรชายและรีบไปตามพระสงฆ์ในทันที หลังจากนั้นเขาจึงให้ตามลูเซียมา และเมื่อเธอมาถึงเขาก็ขอให้ทุกคนที่ไม่ใช่ลูเซียและยาซินทาออกไปข้างนอก

และเมื่อเห็นว่าเหลือเพียงสามคนแล้ว  ฟรังซิสโกก็บอกกับเธอว่า ลูเซีย เราป่วยหนักมาก เราจะไปสวรรค์เร็ว ๆ นี้ลูเซีย เราอยากแก้บาปเพื่อจะได้รับศีลและจากโลกนี้ไป ดังนั้นเราอยากถามเธอว่า เธอเห็นเราเคยทำบาปอะไรบ้าง ยาซินทาละ สองสาวจึงพากันครุ่นคิดกัน สักพักลูเซียก็กล่าวถึงเรื่องการไม่เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่เล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา  ส่วนยาซินทาก็กระซิบบอกเบา ๆ ว่า น้องคิดถึงเรื่องก่อนการประจักษ์ที่พี่เคยไปขโมยเงินพ่อเพื่อมาซื้อฮาร์โมนิก้าของโฆเซ มาร์โต และก็เคยปาหินตอนทะเลาะกับเด็กชายคนอื่น

พี่เคยสารภาพบาปนี้แล้ว ฟรังซิสโกพึมพำเบา ๆ แต่พี่จะสารภาพมันอีกครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะบาปพวกนี้ก็ได้ ที่ทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเศร้าพระทัยพี่เสียใจ…”  ลูเซียคว้ามือฟรังซิสโกมากุม และเริ่มสวดบทภาวนาที่แม่พระสอนพร้อมๆกับทั้งสอง ข้าแต่พระเยซูเจ้าโปรดอภัยบาปของลูกทั้งหลาย โปรดช่วยลูกทั้งหลายให้รอดพ้นจากไฟนรก และนำวิญญาณทั้งหลายไปสู่สวรรค์ เป็นต้นวิญญาณที่ต้องการพระเมตตาของพระองค์มากที่สุด แล้วฟรังซิสโกจึงหันมาขอให้ลูเซียสวดให้เขา ลูเซียเองก็รับปากและปลอบใจเขาว่าพระอภัยให้เขาแล้ว ไม่งั้นแม่พระไม่บอกกับยาซินทาหรอกว่าจะมารับเขาไปสวรรค์เร็ว ๆ นี้

เวลาไล่เลี่ยกันคุณพ่อก็มาถึงและได้ฟังแก้บาปในเย็นวันเดียวกัน และเมื่อฟังแก้บาปเสร็จแล้ว คุณพ่อก็ได้ให้สัญญากับฟรังซิสโกว่า พรุ่งนี้ท่านจะเชิญศีลมหาสนิทมาส่งให้เขา ฝั่งลูเซียที่ทราบดังนั้นก็พลอยมีแต่ความยินดีร่วมกับเขาไปด้วย เพราะนี่จะเป็นการรับศีลมหาสนิทครั้งแรกของเขา

เช้าวันรุ่งขึ้นคือในวันที่ 3 เมษายน เมื่อฟรังซิสโกได้ยินเสียงกระดิ่งที่ใช้สั่นเวลายกศีลหรือเชิญศีลดังเข้ามาใกล้ ๆ บ้านของตน เขาก็รีบจะลุกขึ้นรับพระองค์ที่เสด็จมาหา แต่ก็ไม่อาจจะลุกขึ้นมาได้ ฝั่งนางโอลิมเปียเมื่อเห็นคุณพ่อเดินทางมาถึงพร้อมศีล ก็รีบจุดเทียนรอรับ และเมื่อคุณพ่อเจ้าวัดมาถึงยังห้องที่ฟรังซิสโกนอนพักรักษาตัว เมื่อเห็นเขาพยายามจะลุกขึ้นมา แต่ลุกไม่ไหว คุณพ่อจึงก็บอกเขาว่า เธอสามารถรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ในท่านอน

ดังนั้นเองคุณพ่อก็ได้ส่งศีลมหาสนิทให้เขาที่บนเตียง ฟรังซิสโกก็รับปังแผ่นนั้นไปด้วยความเริงรื่นในวิญญาณ  เมื่อไรคุณพ่อจะพาพระเยซูเจ้าผู้ซ่อนพระองค์มาให้ผมอีกครับ เขาลืมตาขึ้นพลางเอ่ยถามคุณพ่อ เราไม่รู้ว่าคุณพ่อได้ตอบเขาเช่นไร เรารู้แต่เพียงว่าตลอดวันนั้นดวงใจของฟรังซิสโก ก็มีแต่ความยินดีเป็นยิ่งนัก

เย็นวันเดียวกัน ลูเซียก็แวะมาเยี่ยมเขา และเหมือนเธอจะรู้ว่าวันนี้จะเป็นการเยี่ยมครั้งสุดท้าย เพราะเมื่อถึงเวลาที่จะลากลับบ้าน ลาก่อน ฟรังซิสโก หากนายไปสวรรค์คืนนี้ อย่าลืมเรานะนายจะได้ยินเราไหม เธอเอ่ยลา ได้ยินสิ อย่ากังวลไปเลย เราไม่ลืมเธอหรอก ฟรังซิสโกตอบ พร้อมเขย่ามือที่กุมแน่นของเธอด้วยกำลังเฮือกใหญ่ บัดนี้ดวงตาของทั้งสองต่างสบมองกัน น้ำตาหยดใส ๆ ไหลออกมาจากตาน้อย ๆ ของทั้งคู่  นายอยากได้อะไรอีกไหม ลูเซียเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง ไม่แล้วละ เขาตอบกลับ งั้น ลาก่อนนะ ฟรังซิสโก แล้วเจอกันในสวรรค์ เธอตอบเขา แล้วจึงละจากเขาไปทั้งน้ำตาที่นองหน้า

หลังจากนั้นผู้ใกล้วายชนม์ตัวน้อยก็ผ่านค่ำคืนอันเงียบสงัดด้วยการรำพึงนึกถึงพระเยซูเจ้า จนถึงเวลารุ่งสางของวันถัดมา เขาก็ร้องเรียกมารดาขึ้นว่า ดูนั่นซิ แม่ครับ ดูแสงสว่างที่สวยงามตรงประตูนั่นโอ้ ตอนนี้ลูกไม่เห็นมันแล้ว หลังจากนั้นเขาจึงขอให้นางอวยพรเขา และยกโทษในสิ่งที่เขาทำลงไปกับนาง นางก็ทำตามคำขอของลูกชาย แล้วแต่เวลานั้นมา เวลาของฟรังซิสโกก็ค่อย ๆ หมดลงเรื่อย ๆ ตามลำดับ กระทั่งล่วงมาถึงเวลาสิบนาฬิกาของวันที่ 4 เมษายน ค.. 1919 ในวัย 10 ปี ฟรังซิสโกก็ได้ปิดดวงตาน้อย ๆ ลง และได้จากไปอย่างสงบพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ บนริมฝีปาก

ผมไม่อยากเป็นอะไรทั้งสิ้น ผมอยากตายและไปสวรรค์ครับ ร่างไร้วิญญาณของฟรังซิสโกถูกฝังอย่างเรียบง่ายในวันถัดมา ในสุสานตรงข้ามวัดของฟาติมา โดยมีไม้กางเขนง่าย ๆ ฝีมือลูเซียปักไว้เพื่อบอกตำแหน่ง


ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน ผู้ใหญ่ในคณะคนแรก ๆ ที่ท่านแสวงหา...