นักบุญมารี แห่ง พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน
St. Marie of Jesus Crucified
วันฉลอง: 26 สิงหาคม
แต่ก็เป็นความจริงดังข้อความในหนังสือสดุดีที่ว่า “พระราชกิจของพระองค์น่าพิศวง” (สดุดี 139 : 14) ในเวลาที่ท่านพ้นจากสถานภาพผู้สมัครคณะภคินีนักบุญยอแซฟแห่งการประจักษ์ พระเจ้าก็ทรงจัดเตรียมแผนไว้ผ่านบุคคลที่อยู่ไม่ไกลจากท่านในเวลานั้น คือ คุณแม่เวโรนิกา (ปัจจุบันพระสันตะปาปาฟรานซิสได้ประกาศให้คุณแม่เป็น ‘คารวียะ’ หรือ ‘ผู้น่าเคารพ’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว) ผู้พึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนวกจารย์แทนคุณแม่พิคิสที่ล้มป่วยได้ประมาณหนึ่งเดือน ตามคำทำนายของท่าน ซึ่งจำเป็นต้องเท้าความก่อนว่าคุณแม่เวโรนิกา ผู้นี้เดิมเป็นบุตรสาวของศาสนาจารย์นิกายแองกลิกัน แต่ด้วยความศรัทธาคุณแม่จึงได้ขอรับศีลล้างบาปเป็นคาทอลิกและได้ถวายตนเป็นนักบวชในคณะภคินีนักบุญยอแซฟแห่งการประจักษ์ ก่อนที่จะถูกส่งให้ไปเป็นธรรมทูตที่ประเทศอินเดีย จนเป็นเหตุให้ท่านได้รู้จักกับคุณพ่อมารี อีเฟรม พระสงฆ์คณะคาร์เมไลท์ชาวฝรั่งเศส ที่เป็นธรรมทูตอยู่บริเวณภาคตะวันตกของประเทศอินเดีย ซึ่งได้ชักชวนให้คุณแม่ก่อตั้งคณะนักบวชหญิงสักคณะ เพื่อทำงานด้านการศึกษาแก่เด็กหญิงและสตรีในอินเดีย เป็นเหตุให้คุณแม่มีความคิดที่จะขอลาออกจากคณะภคินีนักบุญยอแซฟฯ เพื่อสมัครเข้าคณะคาร์เมไลท์และตั้งคณะนักบวชตามจิตตารมณ์ของคณะนี้ โดยช่วงเวลาที่คุณแม่กำลังดำเนินเรื่องลาออกนั้น ทางคณะได้พยายามรั้งคุณแม่ไว้ จนมีเหตุคุณแม่ได้กลับมาที่ฝรั่งเศส และทำให้มีโอกาสได้รู้จักมักคุ้นกับท่านที่กำลังเป็นโปสตุลันต์อยู่พอดี
ในเวลาไล่เลี่ยกับที่ท่านพ้นจากการเป็นโปสตุลันต์คณะภคินีแห่งนักบุญยอแซฟฯ เป็นเวลาประจวบกับที่ทางกรุงโรมอนุญาตให้คุณแม่เวโรนิกาลาออกจากคณะที่อยู่มาถึง 17 ปี เพื่อสมัครเข้าคณะคาร์เมไลท์ได้ตามความประสงค์ คุณแม่เวโรนิกาจึงได้ชักชวนท่านให้ไปสมัครเข้าคณะคาร์เมไลท์ที่อารามพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า เมืองโปด้วยกัน (ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองมาร์แซย์ไปประมาณ 500 กม. ปัจจุบันอารามหลังนี้ปิดไปแล้วตั้งแต่ ค.ศ. 1970) ฝั่งท่านที่เห็นว่าเป็นโอกาสจะได้ติดตามกระแสเรียกการเป็นนักบวชต่ออย่างไม่ลดละ จึงตอบรับข้อเสนอของคุณแม่ไป โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคณะนักบวชนี้เป็นอย่างไร ดังนั้นคุณแม่จึงเร่งเขียนจดหมายแนะนำตัวท่านไปยังคุณแม่อธิการอารามคาร์แมลเมืองโป ในทันที โดยในจดหมายนั้นคุณแม่ได้ละเรื่องปรากฏการณ์อันน่าพิศวงของท่านไป แต่ได้เขียนถึงเรื่องนี้ด้วยประโยคที่ว่า “เธอจะนบนอบแม้ในเวลาที่น่าเหลือเชื่อ” ซึ่งทางฝั่งอารามคาร์แมลเมืองโปก็ไม่ขัดข้องที่จะรับคุณแม่เวโรนิกาและท่านเป็นสมาชิกใหม่ของคณะ นี่เองทำให้ในวันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1867 ทั้งสองจึงได้เดินทางมายังประตูอารามแห่งนี้ เพื่อเริ่มต้นชีวิตในฐานะนักบวชคณะคาร์เมไลท์ไม่สวมรองเท้า ซึ่งดำเนินรอยตามนักบุญเทเรซาแห่งอาวิลา และนี่เองคำทำนายประการต่อมาของพระมารดาที่ว่า “หนูจะได้เป็นธิดาของนักบุญยอแซฟก่อนที่จะเป็นธิดาของนักบุญเทเรซา” จึงเป็นความจริง
อารามคาร์แมล เมืองโป ใน ค.ศ. 1861
ท่านได้รับเครื่องแบบคณะเพื่อเริ่มการเป็นนวกะเณรีด้วยนามใหม่ว่า ‘มารี แห่ง พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน’ ในวันที่ 27 กรกฎาคม ปีเดียวกัน ทำให้คำทำนายประการต่อมาที่ว่า “หนูจะได้รับเครื่องแบบคาร์เมไลท์ที่อารามหลังที่หนึ่ง” จึงเป็นจริง โดยท่านได้เลือกเป็นภคินีภายนอกเขตพรต (lay sister) แทนที่จะเป็นภคินีภายในเขตพรต (choir sister) เพราะท่านปรารถนาจะรับใช้ผู้อื่นและท่านยังไม่คล่องภาษาฝรั่งเศส จึงยังทำให้ท่านมีปัญหาในการสวดบททำวัตร ดังที่คุณแม่เวโรนิกาเขียนไว้ว่า “ถ้าคุณแม่ได้เห็นเธอ คุณแม่ต้องคิดแน่ว่าเธออายุไม่เกิน 12 ปี ด้วยรูปร่างของเธอ ใบหน้าซื่อ ๆ ของเธอ ความลำบากของเธอเวลาสื่อสารภาษาของพวกเรา ความซื่อ ๆ ที่เกิดจากอ่านภาษาอาหรับหรือฝรั่งเศสไม่ได้ของเธอ ทำให้เธอมีนิสัยเหมือนเด็กเล็ก ๆ” แต่ผู้ใหญ่ในอารามก็เล็งเห็นว่าท่านมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นภคินีในเขตพรตได้ จึงได้ให้ท่านเรียนอ่านและเขียนภาษาฝรั่งเศสไปพร้อม ๆ กับเรียนรู้ชีวิตตามธรรมนูญของนักบุญเทเรซาไปด้วย แต่ก็จนแล้วจนรอดหลังพยายามมา 3 ปี ท่านก็ยังเขียนและอ่านฝรั่งเศสไม่คล่อง ผู้ใหญ่ในอารามจึงให้ท่านได้เป็นภคินีภายนอกเขตพรตตามความประสงค์เดิม
ในอารามคาร์แมล ท่านได้ดำเนินชีวิตเป็นประจักษ์พยาน ถึงคำพูดหนึ่งที่ท่านเอ่ยหลังออกจากภาวะฌานครั้งหนึ่งว่า “ที่ใดมีความเมตตาธรรม ที่นั่นมีพระเจ้า หากท่านทั้งหลายทำกิจกการดีเพื่อพี่น้องของท่าน พระเจ้าก็จะทรงระลึกถึงท่าน หากท่านทั้งหลายขุดหลุมไว้ให้พี่น้องของท่าน มันจะเป็นของท่าน ทั้งท่านจะล่วงตกสู่มัน แต่หากท่านนำสวรรค์ไปหาพี่น้องของท่าน สวรรค์ก็จะเป็นของท่าน” อย่างแท้จริง ท่านเจริญชีวิตอย่างเรียบง่าย ถ่อมตน และพอใจในทุกสิ่งที่ท่านมี และโดยผ่านความซื่อ ๆ ความเรียบง่าย และความเอื้ออาธรของท่าน ในไม่ช้าท่านก็สามารถเอาชนะใจเพื่อนร่วมอารามได้ นอกนี้เราอาจกล่าวได้ว่า ภายใต้ความต่ำต้อยที่เห็นได้ในภายนอก วิญญาณของท่านนั้นสุกสว่างและร่ำรวยไปด้วยพระหรรษทานของพระเจ้า ดังข้อความบรรยายของคุณแม่เวโรนิกาถึงท่านต่ออารามคาร์แมลที่ว่า “อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าประหลาดใจทีเดียว ที่เธอนั้นมีปรีชาญาณที่ยิ่งใหญ่เรียบง่าย จิตวิญญาณที่เที่ยงตรง ดุลพินิจที่ถี่ถ้วน การตัดสินใจที่เฉียบแหลม และประสบการณ์ของผู้ใหญ่ หากนี่ไม่ใช่พรสวรรค์ที่เธอมี ไม่ช้าพวกเราคงได้พบว่าหัวใจและวิญญาณของเธอนั้นร่ำรวยไปด้วยของประทานสำหรับการก่อร่างสร้างวิญญาณที่ยิ่งใหญ่” ซึ่งผู้ใดที่แสวงหาความบรรเทาใจ คำชี้แนะ คำภาวนาจะไม่เคยต้องประสบกับความผิดหวัง เพราะวิญญาณของท่านนั้นจะมอบความสว่างไขความมืดในจิตใจและกำลังใจให้กับทุกคนที่เข้ามาหาท่าน
นักบุญมารีขณะเป็นสมาชิกอารามคาร์แมลเมืองโป
หากพระเจ้าประทานเงินตะลันต์แบบต่าง ๆ คือ ความสามารถในการประกอบกิจการต่าง ๆ ที่พระองค์ประทานให้มนุษย์แต่ละคนได้ใช้เป็นส่วนต่าง ๆ ของพระวรกายอันศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ผู้ทรงซ้อนเร้นอยู่ภายในวิญญาณของมนุษย์ดุจเมล็ดในผลแอบเปิ้ล (เทียบ คำกล่าวของท่าน) ก็ประทานเหตุการณ์อันน่าพิศวงให้เป็นตะลันต์ในชีวิตของท่าน มิใช่เพียงเพื่อแสดงว่าท่านนั้นพิเศษกว่าสิ่งสร้างอื่น ๆ แต่เพื่อเป็นประจักษ์พยานถึงความมหัศจรรย์ของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งในหกวันและทรงหยุดพักในวันที่เจ็ด ให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างได้ตระหนักถึงการมีอยู่แท้ของพระองค์ผู้ทรงรักพวกเขาอย่างถึงที่สุด รวมถึงมิใช่เพียงการเตรียมท่านมาสู่คณะคาร์เมไลท์ที่เมืองโป จึงอาจกล่าวได้ว่า พระเจ้าทรงใช้วิญญาณของท่านเป็นประจักษ์พยานถึงความรักของพระองค์บนโลก ไม่เพียงผ่านชีวิตประจำวันของท่าน แต่ยังผ่านเหตุการณ์พิศวงที่ยากจะหาคำอธิบายได้ตามความเข้าใจของมนุษย์ ดังนั้นเมื่อท่านก้าวเข้าสู่คณะนี้ ปรากฏการณ์อันน่าพิศวงทั้งหลายจึงมิได้ยุติลง ตรงข้ามอาจกล่าวได้ว่านี่คือหมุดหมายสำคัญที่ความน่าพิศวงได้กลายเป็นความปกติในชีวิตของท่าน เพราะในสถานที่อันซ่อนเร้นตัวจากสายตาคนภายนอก พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้ความพิศวงมากมายได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกับตัวท่าน ซึ่งจะเป็นทั้งพระหรรษทานและกางเขนให้กับชีวิตของท่านไปตราบถึงวันสุดท้ายของการจาริกผ่านโลกของท่าน
จากหลักฐานและพยานพบว่า เมื่อท่านเข้ามาเป็นสมาชิกอารามคาร์แมล เมืองโป การเข้าฌานที่เคยเกิดขึ้นมาเป็นระยะ ๆ และทวีเพิ่มขึ้นในช่วงที่ท่านเป็นโปสตุลันต์ในคณะภคินีแห่งนักบุญยอแซฟฯ กลับมาปรากฏและทวีคูณกว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมา โดยมีทั้งรูปแบบที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันที และรูปแบบที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่านอธิบายถึงการเข้าสู่สภาวะฌานของท่านให้นวกจารย์ ผู้ถามอย่างสงสัยว่าท่านนั้นเข้าสู่สภาวะนั้นได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร ฟังว่า “ลูกรู้สึกราวกับว่าหัวใจของลูกนั้นมีรอยเผยออกมา ราวกับว่ามีบาดแผลอยู่ตรงนั้น และเมื่อใดที่ลูกเกิดความคิดและความประทับใจบางอย่างต่อพระเจ้าที่ทำให้ซาบซึ้งขึ้นมา ก็เหมือนมีใครสักคนมาสัมผัสที่รอยแผลในหัวใจของลูก และลูกก็รู้สึกออกแรงลง แล้วลืมตนไป” และด้วยการที่ท่านนิยามตนเองว่าเป็นเพียง ‘คนตัวน้อยที่ไม่มีอะไร’ ท่านจึงไม่ได้มองว่าปรากฏการณ์นี้เป็นเงินตะลันต์ที่พระเจ้าทรงมอบให้ท่านใช้เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์จะแผ่ไปในโลกมนุษย์ หากแต่มองว่าสิ่งนี้เป็น ‘การผลอยหลับ’
เหตุนี้ท่านจึงแสวงหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อเอาชนะกับอาการเหล่านี้ ท่านทั้งพยายามทำตัวเองไม่ให้อยู่ว่าง พยายามทำงานหนัก พยายามขยับเนื้อขยับตัว พยายามวิ่งมาล้างเนื้อล้างตัวที่น้ำพุ พยายามรีบนำอาหารที่ยังร้อนใส่ปากเมื่ออยู่ในห้องอาหาร และพยายามใช้เข็มมุดจิ้มตัวเอง ไม่เพียงเท่านั้นท่านยังเคยขอให้คุณพ่อวิญญาณของท่านช่วยสั่งให้ท่านไม่เผลอผลอยหลับไป แต่คุณพ่อที่ทราบดีว่าอาการเหล่านี้เป็นพระหรรษทานพิเศษ จึงแนะนำท่านว่า “อย่ากังวลไปเลย ลูกสามารถหลับไปได้อย่างสบายใจ” ท่านที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาด้วยความซื่อ และยังเคยขอพึ่งพระคุณเจ้าฟร็องซัวส์ ลาครัวซ์ ผู้ปกครองสังฆมณฑลที่อารามของท่านตั้งอยู่ให้ช่วยแก้ไขปัญหานี้ ฝั่งพระคุณเจ้าลาครัวซ์ที่มองเห็นเช่นเดียวกับคุณพ่อวิญญาณของท่าน จึงสั่งให้ท่านสละน้ำใจตนเองทั้งครบแด่พระเจ้า แทนที่จะพยายามต่อต้านการหลับนี้ ซึ่งไม่ว่าท่านจะพยายามด้วยวิธีไหน ท่านก็ไม่อาจต่อต้านปรากฏการณ์นี้ได้ ดังที่ท่านเล่าว่า “บางครั้งลูกก็ทำอะไรไม่ได้เลย แม้จะพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อป้องกันมัน และบางครั้งลูกก็สามารถเบนความสนใจของตัวเองออกมาได้นิดหน่อยเพื่อไม่ให้ตนเองเผลอตัวไป”
เมื่อท่านไม่สามารถควบคุมตนเองให้ไม่เข้าสู่ภาวะเข้าฌานได้ น้อยครั้งที่ร่างกายของท่านจะยังขยับได้อยู่ เพราะส่วนใหญ่เมื่ออยู่ภาวะเช่นนี้ ร่างของท่านจะหยุดนิ่งอยู่ในท่าที่ท่านเข้าสู่ภาวะดังกล่าว และแข็งทื่อขยับไม่ได้ แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นรอบข้างท่านหรือจะพยายามใช้วิธีไหน ก็ไม่สามารถจะขยับตัวท่านให้นั่งหรือเอนตัวลงได้ และหากท่านถือสิ่งใดอยู่ก็จะไม่มีทางเอาของสิ่งนั้นออกจากมือของท่านได้ หรือเพียงจะขยับมือของท่านให้ลดต่ำลงก็ยังทำไม่ได้ มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ขยับตัวท่านได้ คือ การให้คุณแม่อธิการสั่ง นอกจากนี้ในภาวะเช่นนี้ท่านจะไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเลย เช่นคราวหนึ่งท่านได้รับบาดเจ็บจากตะปูที่หัวเข่า ซึ่งสร้างเจ็บปวดเป็นอันมาก จนท่านต้องเดินกะเผลกอยู่ตลอดเวลา ปรากฏว่าเมื่อท่านอยู่ภาวะเข้าฌานท่านก็กลับสามารถคุกเข่าอยู่ได้นานถึงสองชั่วโมง และเมื่อออกจากภาวะดังกล่าว ท่านจะจดจำสิ่งใดที่เกิดขึ้นตอนภาวะนั้นไม่ได้ ยกเว้นแต่เพียงผู้ที่ท่านถือนบนอบด้วยขอให้ท่านเล่าถึงสิ่งที่ท่านเห็นและได้ยินออกมา ท่านจึงจะสามารถจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นและเล่าออกมาได้ ดังที่ท่านอธิบายว่า “ลูกจำสิ่งต่าง ๆ ได้ เพื่อบอกพวกท่านผู้ที่ลูกสมควรจะบอก”
นอกจากการเข้าสู่สภาวะเข้าฌานแล้ว เมื่อถึงเทศกาลมหาพรตแรกในอารามคาร์แมลเมืองโป หรือเทศกาลมหาพรต ค.ศ. 1868 รอยแผลศักดิ์สิทธิ์ก็กลับมาปรากฏบนร่างของท่านอีกครั้ง เป็นไปตามคำขอของคุณแม่เวโรนิกาที่ขอให้รอยแผลที่หายไปเมื่อท่านยังอยู่เมืองมาร์แซย์ และเป็นไปตามคำทำนายของท่านเองที่ว่ารอยแผลทั้งห้านี้จะไม่ปรากฏขึ้นอีกจนกว่าจะถึงเทศกาลมหาพรตปีถัดมาที่เมืองโป นี่เองทำให้ในเทศกาลมหาพรตปีนั้น ร่างกายอันต่ำต้อยในทัศนะของท่าน ได้ทำให้พระมหาทรมานของพระคริสต์เจ้าบางส่วนปรากฏขึ้นอีกครั้งในเวลาปัจจุบันกาลนั้น ผ่านการปรากฏขึ้นของรอยแผลทั้งห้าและรอยแผลอื่น ๆ โดยบันทึกของอารามคาร์แมลเมืองโปในวันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1868 ซึ่งเผยให้เห็นเหตุการณ์ในช่วงสัปดาห์ก่อนสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ได้ให้รายละเอียดเหตุการณ์การร่วมส่วนในพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าของท่านไว้ว่า
“เธอไม่สามารถลุกได้ เพราะเธอเจ็บมากที่มือและเท้า พวกเราจึงพาเธอไปห้องพยาบาล ตลอดเย็นวันนั้นเมื่อเดินผ่านบริเวณนั้น พวกเราต่างได้กลิ่นหอมฟุ้ง แต่พวกเราก็ไม่สามารถตามหาต้นตอของมันได้ ทั้งผ้าคลุมศีรษะและผ้าคลุมของนวกเณรีก็มีกลิ่นหอมเช่นเดียวกัน คืนนั้นเป็นคืนที่เลวร้ายมากสำหรับเธอ และเมื่อถึงตอนเช้าเลือดจึงเริ่มไหลออกมาจากมือและเท้าของเธอ รอยมงกุฏหนามมีเลือดไหลออกมาอยู่สองครั้งใหญ่ แล้วจึงเกิดกับแผลที่สีข้าง บาดแผลเหล่านี้สร้างความเจ็บปวดที่ยากจะหาคำอธิบายใด ๆ ได้ เลือดทุกจุดไหลเวลาเที่ยง แต่รอยแผลนั้นยังคงเปิดและเป็นรอยลึกขึ้นในแต่ละวัน ส่งผลให้เธอไม่สามารถเดินเหินหรือเหยียบพื้นได้เป็นเวลาถึง 40 วัน อีกทั้งแทบจะทนไม่ได้เมื่อใช้ผ้าลินินพันแผลไว้โดยเฉพาะในวันศุกร์และวันเสาร์ แผลมีเพียงน้ำเหลืองซึมออกมาตั้งแต่วันเสาร์จนถึงวันศุกร์ในสัปดาห์ถัดมา แต่จะมีตุ่มหนองขนาดใหญ่สีดำคล้ายหัวตะปู ปรากฏขึ้นที่แผลทุกวันพฤหัสบดี ตุ่มนี้จะโตขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเวลาหนึ่งในเช้าวันศุกร์ มันจะแตกออกมาก่อนจะมีเลือดไหลตามออกมา หลังจากนั้นแผลจึงกลับปิดสนิทไปจึงสัปดาห์ต่อไป”
เหตุการณ์ดำเนินไปจนถึงวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ปีนั้น ซึ่งตรงกับวันที่ 10 เมษายน นอกจากรอยแผลจะเปิดออก และมีเลือดไหลซึมจากศีรษะของท่าน ร่างของท่านยังได้ถูกตรึงบนกางเขนพร้อมเจ้าบ่าวของท่าน โดยขาของท่านค่อย ๆ ถูกดึงทีละข้าง เช่นเดียวกับแขนทั้งสอง ก่อนที่ท่านจะรู้สึกเหมือนมีตะปูถูกตอกลงไปที่มือและเท้าของท่าน ท่านอยู่ในสภาพถูกตรึงเช่นนี้ กระทั่งมีเลือดไหลซึมออกมาจากรอยแผลที่สีข้างของท่าน บาดแผลต่าง ๆ จึงเริ่มสมานและหายไปในวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ เหลือทิ้งไว้แต่ท่านที่อยู่ในสภาพอ่อนเพลียไปตลอดทั้งสัปดาห์ และมีอาการปวดบวมเป็นตุ่มเล็ก ๆ ที่บริเวณเข่าทั้งสอง (ผู้เขียนประวัติของท่านคนหนึ่ง มองว่าอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับหัวเข่าของท่านนี้ คือ บาดแผลที่เกิดขึ้นจากการหกล้มของพระเยซูเจ้าระหว่างทรงแบกไม้กางเขน และให้รายละเอียดว่าในระหว่างท่านร่วมส่วนในพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้านั้น มีพยานบางคนเห็นเวลา แก้มของท่านก็ปรากฏรอยแดงคล้ายถูกตบอีกด้วย)
อาศรมแม่พระแห่งภูเขาคาร์แมล อารามคาร์แมล เมืองโป
ภายหลังจากเหตุการณ์ในช่วงมหาพรต ค.ศ. 1868 เบื้องต้นไม่พบหลักฐานว่าทางอารามเมืองโปมีความคิดเห็นอย่างไรต่อตัวท่าน เราทราบแต่ว่าในช่วงเหตุการณ์ที่รอยแผลศักดิ์สิทธิ์ในช่วงมหาพรต ครั้งหนึ่งทางอารามได้อนุญาตให้คุณพ่อกิลลี คณะคาร์เมไลท์เข้ามาสังเกตุการณ์ ซึ่งก็ไม่มีรายละเอียดต่อว่าคุณพ่อมีความคิดเห็นอย่างไร นอกจากการการที่คุณพ่อได้ทดลองใช้นิ้วของท่านแตะไปที่หนึ่งในรอยแผลของท่าน และพบว่าท่านมีอาการสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง แต่หากพิจารณาจากการที่เมื่อสิ้นสุดเหตุการณ์อันน่าพิศวง ท่านยังคงอยู่ในอารามคาร์แมล เมืองโปเพื่อรับการฝึกอบรมต่อไป จึงอาจอนุมานได้ว่าทางอารามมีความคิดเห็นต่อท่านไปในทิศทางบวก โดยบุคคลหนึ่งที่น่าจะมีบทบาทสำคัญที่ทำให้เหตุการณ์เป็นไปดังนี้ คือ คุณแม่อีเลียส คุณแม่อธิการ ผู้มีพระหรรษทานในการเข้าใจวิญญาณที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ดังที่คุณแม่เป็นผู้สนับสนุนให้คุณแม่เวโรนิกาออกไปตั้งคณะนักบวชคาร์เมไลท์ขั้นสาม เพื่อทำงานด้านการศึกษาในอินเดีย เมื่อคุณแม่เวโรนิกาเข้ารับฝึกหัดในอารามได้หกเดือน โดยการเขียนจดหมายรับรองว่าคุณแม่เวโรนิกาได้ผ่านการอบรมแล้วไปยังคุณพ่อดอมินิกแห่งนักบุญยอแซฟ มหาอธิการของคณะคาร์เมไลท์ และการย้ำเตือนคุณแม่เวโรนิกาว่าเธอมีหน้าที่ในการเริ่มกิจการใหม่ จนที่สุดคุณแม่เวโรนิกาจึงสามารถก่อตั้งคณะภคินีแห่งอัครสาวกคาร์แมลได้สำเร็จ
ในปีเดียวกันกับที่รอยแผลศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นมา ท่านยังได้มีประสบการณ์ความรักพระปักดวงใจ (Transverberation - ปรากฏการณ์ที่ความรักของพระเจ้าปรากฏรูปเป็นลูกศรหรือหอก แล้วถูกทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจ) เช่นเดียวกับที่นักบุญเทเรซา แห่ง อาวิลาได้ประสบ โดยเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1868 ตามคำบอกเล่าของพยานได้ให้รายละเอียดว่า ในวันดังกล่าวมาเซอร์กลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันไปจะไปสวดสายประคำที่อาศรมแม่พระแห่งภูเขาคาร์แมล ซึ่งเป็นอาคารหลังเล็ก ๆ ในอารามคาร์แมล เมืองโป ได้พบท่านที่มักมาสวดภาวนาที่นี่ตามปกติ อยู่ในภาวะเข้าฌานอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาได้ยินท่านอุทานออกมาว่า “โอ้ ความรัก โอ้ ความรัก” และได้ยินท่านสนทนากับสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งช่วยให้เราพอจะร่างภาพนิมิตที่ท่านเห็นในวันนั้นออกมาได้ว่า หลังจากอุทานออกมาเช่นนั้น ท่านได้เห็นนักบุญเปาโลและได้มีโอกาสพูดกับท่านนักบุญ ก่อนที่ท่านจะเห็นร่างของนักบวชหญิงที่ท่านไม่รู้จัก ท่านจึงได้ถามเธอว่า “ท่านมาจากคณะไหนหรือคะ” ร่างนั้นจึงตอบว่า “ฉันมาจากคณะของพระนางมารีย์จ๊ะ” ท่านจึงถามต่อ “แล้วท่านชื่ออะไรหรือคะ” แต่ร่างนั้นปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้ ท่านจึงพยายามคะยั้นคะยอต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นหนูจะบอกชื่อของหนูให้ท่านทราบก่อนแล้วท่านค่อยบอกชื่อท่านกับหนูนะคะ ในโลกนี้หนูมีชื่อว่าคนบาป ส่วนในสวรรค์หนูเป็นธิดาของแม่พระของยอดรักหนูค่ะ” ท่านยังคงสนทนากับร่างปริศนานั้นต่อไปอยู่ระยะหนึ่ง แต่จนแล้วจนรอดท่านก็ยังไม่ทราบนามของร่างนั้น
ผ้าลินินที่ปิดแผลที่สีข้างของนักบุญมารีปรากฏรูปกางเขน
และอักษร O J S มาจากคำว่า “โอ้ พระเยซู พระผู้ช่วยให้รอด”
หลังจากนั้นท่านจึงเห็นนักบุญองค์อื่น ๆ ประจักษ์มาหา แต่ท่านก็ไม่พบว่าท่ามกลางบุคคลเหล่านี้ องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นยอดรักของท่านนั้นอยู่ไหน ท่านจึงเรียกหาพระองค์ขึ้นว่า “ยอดรักของลูก พระองค์อยู่ที่ใดเล่า มีใครเห็นยอดรักของหนูบ้างไหม หนูมองหาพระองค์และไม่เห็นพระองค์เลย หนูทั้งเดิน ทั้งวิ่ง ทั้งร้องไห้ แต่หนูก็ยังไม่พบยอดรักของหนูสักที โอ้ พระเยซู ที่รักของลูก ลูกอยู่ไม่ได้ถ้าไร้พระองค์ ยอดรักของลูกพระองค์ไปอยู่ไหนเล่า มีใครเห็นสุดที่รักของหนูบ้างไหม ที่รักของลูก พระองค์รู้บ้างไหม ว่าโลกนี้ช่างว่างเปล่าเมื่อไร้พระองค์ จะเอาน้ำทะเลหมดมหาสมุทรมารินลดก็ไม่อาจดับความกระหายในใจของลูกได้” สิ้นคำรำพันดังนี้ องค์พระเยซูเจ้าก็ทรงปรากฏพระองค์มาหาท่านและทรงใช้ความรักของพระองค์ปักทะลุหัวใจของท่าน บังเกิดเป็นทั้งความยินดีระคนความเจ็บปวด จนท่านต้องทรุดตัวลงคุกเข่า พร้อมใช้มือช้อนเครื่องแบบคณะส่วนผ้าห้อยหน้าหลังขึ้นมาไว้ตรงหัวใจ และทูลพระองค์ว่า “พอแล้วพระเจ้าข้า พอแล้ว โอ้ พระเยซูเจ้าข้า ลูกทนไม่ไหวแล้ว ลูกกำลังจะตายอย่างเจ็บปวดและยินดีแล้ว” แล้วท่านจึงคลี่ยิ้มพร้อมกล่าวต่อไปว่า “ใครเล่าจะปลอบโยนหัวใจลูกได้ ก็พระองค์นั่นแหละ ยอดรักของลูก ใครเล่าจะชุบชูหัวใจลูกได้ ก็พระองค์นั่นแหละ ที่รักของลูก” จากนั้นท่านจึงสวดภาวนาให้องค์พระสันตะปาปา บรรดาพระคาร์ดินัล พระสังฆราช พระสงฆ์ กษัตริย์และเจ้าหน้าที่บ้านเมือง สัตบุรุษ คณะนักบวช และหมู่คณะของท่าน ก่อนที่ท่านจะอุทานออกมาเมื่อเห็นนักบุญเทเรซา แห่ง อาวิลาว่า “คุณแม่เทเรซาคะ พระเยซูเจ้าได้ทรงแทงหัวใจของลูกจนทะลุค่ะ”
เมื่อหลุดออกจากภาวะเข้าฌาน ท่านมิได้ปริปากบอกเรื่องนี้กับผู้ใดเลยว่าเกิดอะไรขึ้น และเป็นเวลานานพอสมควรที่ไม่มีใครทราบว่า ท่านมีแผลที่สีข้างซึ่งมีเลือดไหลออกมาอยู่เป็นระยะ จนท่านต้องคอยใช้ผ้าลินินซับและแอบนำไปซักอย่างลับ ๆ จนวันหนึ่งมีมาเซอร์ในอารามได้มาเห็นท่านแอบทำดังนี้ ท่านจึงจำต้องยอมรับและบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คุณแม่อธิการได้รับรู้ทั้งหมด ภายหลังอาการเลือดไหลจากสีข้างของท่านนี้ได้เป็นหนักมากขึ้น ท่านจึงต้องใช้ผ้าพันแผลนั้นไว้แทนการใช้ผ้าซับ มาเซอร์บางคนที่ได้เห็นผ้าพันแผลที่ท่านใช้ได้รายงานว่าพวกเธอเห็นรอยเลือดปรากฏเป็นรูปไม้กางเขนจาง ๆ มีลักษณะเอียงไปทางซ้ายเล็กน้อย ที่ด้านใต้ปรากฏอักษรสามตัว คือ O J S มาจากคำว่า “โอ้ พระเยซู พระผู้ช่วยให้รอด”
เหตุการณ์สำคัญอีกประการที่ไม่อาจจะไม่กล่าวถึงได้ในการจาริกผ่านโลกไปของท่าน นอกจากการเข้าฌานอยู่บ่อยครั้ง การปรากฏขึ้นของรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ และประสบการณ์ความรักพระปักดวงใจ คือ ความศรัทธาพิเศษที่ท่านมีต่อ ‘พระจิตเจ้า’ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องปกติในยุคสมัยของท่าน นวกจารย์ของท่านได้เขียนถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า “เด็กน้อยผู้นี้มีความศรัทธาพิเศษต่อองค์พระจิตเจ้าอย่างไม่ธรรมดา เมื่อเธอพูดถึงพระองค์ มันเปี่ยมไปด้วยความร้อนรน และตัวเธอก็สุกสว่างไปด้วย” อนึ่งความศรัทธาที่ท่านมีนี้ นอกจากจะเป็นผลจากประสบการณ์ในชีวิตสุดอัศจรรย์ที่ผ่านมาแล้วยังเป็นผลจากจากประสบการณ์ที่ท่านได้สัมผัสในภาวะเข้าฌาน โดยประสบการณ์ในระหว่างภาวะเข้าฌานที่มีผลมากที่สุด คือ คราวที่ท่านได้ยินบทภาวนาว่า “พระจิตเจ้าข้า โปรดทรงดลใจลูกเถิด ความรักพระเจ้าเจ้าข้า โปรดทรงกลืนกินลูกเถิด ในหนทาแห่งความจริง โปรดทรงนำลูกเถิด พระแม่มารีย์ มารดาของลูกเจ้าข้า โปรดทอดพระเนตรมายังลูกเถิด พร้อมด้วยองค์พระเยซู โปรดทรงอวยพระพรแก่ลูกด้วย โปรดพิทักษ์ลูก จากจิตชั่วร้ายทั้งหลาย จากสิ่งลวงตาทั้งมวล จากอันตรายทั้งสิ้นด้วยเถิด” เพราะผ่านประสบการณ์นี้ ท่านได้ตระหนักว่าความศรัทธาพิเศษต่อพระจิตเจ้านั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระศาสนจักร
ท่านค้นพบว่าพระจิตเจ้าเป็นมากกว่าเพียง ‘ผู้ชี้นำ’ แต่อาศัยการเป็น ‘พระผู้ได้รับการเรียกมาให้อยู่ใกล้’ (Paraclete) พระองค์ทรงเป็นมากกว่านั้น ดังคำภาวนาของท่านต่อพระจิตเจ้าที่ว่า “ข้าแต่ต้นธารแห่งสันติ ความสว่าง เชิญเสด็จมาและส่องสว่างลูกด้วยเถิด ลูกนั้นกระหาย เชิญเสด็จมาและเลี้ยงดูลูกด้วยเถิด ลูกนั้นกระหาย เชิญเสด็จมาและดับความกระหายลูกด้วยเถิด ลูกนั้นตาบอด เชิญเสด็จมาและไขความสว่างแก่ลูกด้วยเถิด ลูกนั้นขัดสน เชิญเสด็จมาและบันดาลให้ลูกนั้นมั่งมีด้วยเถิด” ท่านยังมีความคิดอีกว่า “โลกและคณะต่าง ๆ ต่างกำลังแสวงหาความศรัทธาพิเศษอันแปลกใหม่ และได้ละเลยความศรัทธาพิเศษแท้ต่อพระผู้ได้รับการเรียกมาให้อยู่ใกล้ นั่นจึงเป็นเหตุให้เกิดความพลั้งพลาดและการแตกแยก รวมถึงการไม่มีสันติภาพและความสว่าง พวกเขามิได้เพรียกความสว่าง ซึ่งประทานความรู้แจ้งถึงความจริง อย่างที่ควรจะเพรียกหา การละเลยเช่นนี้เกิดขึ้นแม้แต่ในบ้านเณร … ชนทุกเหล่าที่เพรียกหาองค์พระจิตเจ้าและมีความศรัทธาพิเศษต่อพระองค์ย่อมจะไม่สิ้นใจในความพลั้งพลาด” ดังนั้นท่านจึงได้ส่งจดหมายไปหาสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 9 เพื่อร้องขอให้พระองค์ทรงกระตุ้นเตือนพระศาสนจักรให้ตระหนักถึงความสำคัญของความศรัทธาพิเศษต่อพระจิตเจ้านี้ แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระสันตะปาปาปีโอที่ 9 ทรงได้รับจดหมายฉบับนี้หรือทรงมีความคิดเห็นอย่างไรต่อข้อเรียกร้องนี้ เราทราบแต่เพียงว่าการเรียกร้องให้พระศาสนจักรกลับมาตระหนักถึงคุณค่าของพระจิตเจ้าเกิดขึ้นจริงในอีก 20 ปีต่อมา โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 13 ผ่านการเรียกร้องของนักบุญเอเลนา กูเอร์รา บุคคลอีกท่านที่พระเป็นเจ้าได้ทรงใช้เป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูความศรัทธาพิเศษนี้ให้พระศาสนจักรของพระองค์ และมีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับท่าน
พระสังฆราชมารี อีเฟรม ประมุขมิสซังมังกาลอร์
ท่านอยู่ที่อารามคาร์แมลเมืองโปได้เกือบ 3 ปี คำทำนายประการต่อมาของแม่พระที่ว่า “แล้วจะได้เข้าพิธีปฏิญาณตนที่อารามหลังที่สอง” จึงปรากฏเค้าลางของความเป็นจริง เมื่อพระคุณเจ้ามารี อีเฟรม พระสังฆราชเกียรตินามแห่งเนเมซี ประมุขมิสซังมังกาลอร์ซึ่งได้เดินทางมาร่วมในสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 1 (8 ธันวาคม ค.ศ. 1869 – 20 กันยายน ค.ศ. 1870) ได้แสดงความประสงค์ให้อารามคาร์แมล เมืองโปไปเปิดอารามที่มิสซังที่พระคุณเจ้าปกครอง ซึ่งทางฝั่งอารามเมืองโปก็มิได้ขัดข้องและยินดีจะส่งสมาชิกจำนวนหกท่านให้เดินทางไป และเพื่อหาทุนสนับสนุนพันธกิจทั้งนี้ ผู้ใหญ่จึงได้ให้ท่านสวดภาวนาเพื่อวัตถุประสงค์นี้ ท่านจึงปฏิบัติและได้พบกับเด็กหญิงผู้หนึ่งปรากฏมาบอกกับท่านว่า ชายที่ชื่อ ‘จอร์จ’ ซึ่งเป็นบิดาของเธอจะเป็นผู้สนับสนุนทุนครั้งนี้เอง ดังนั้นท่านจึงเร่งรายงานเรื่องนี้กับทางผู้ใหญ่ ทางผู้ใหญ่จึงพากันตามหาเด็กหญิงที่ท่านเห็นและชายชื่อนี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ และไม่นานพวกเขาก็พบว่าเด็กหญิงที่ท่านเห็น คือ ด.ญ. มาทิลดา ธิดาของจอร์จ ท่านเคาท์แห่งเนดงเชลเลอจากประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งได้เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน อารามจึงได้ติดต่อเขาไป และผลก็เป็นไปตามวิญญาณของเด็กหญิงได้บอกไว้ จอร์จยินดีสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับโครงการนี้
ดังนั้นในวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1870 สมาชิกจากอารามคาร์แมลเมืองโปจำนวนหกคนคน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีท่านที่ยังเป็นนวกะเณรี ผู้สมัครใจเข้าร่วมพันธกิจนี้ จึงได้เดินทางออกจากประเทศฝรั่งเศสมู่งสู่ประเทศอินเดียที่ท่าเรือเมืองมาร์แซย์ แต่แม้การเดินทางในระยะแรกจะเป็นไปได้ด้วยดี เมื่อคณะเดินทางพบกับสภาพอากาศที่แตกต่างจากยุโรปก็ทำให้สมาชิกสามคน ทะยอยล้มป่วยและเสียชีวิตในระหว่างการเดินทาง เป็นผลให้เมื่อคณะเดินทางมาถึงที่ตั้งอารามชั่วคราวชื่อ อารามนักบุญอันนา เมืองมังกาลอร์ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน คณะมีเพียงภคินีสองคน และนวกะเณรีหนึ่งคนเท่านั้นที่เดินทางมาถึง ด้วยสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีเช่นนี้ พระคุณเจ้าอีเฟรมจำต้องส่งจดหมายไปหาพระสังฆราชแห่งบายอนเพื่อขอสมาชิกคณะคาร์เมไลท์เพิ่ม และนับเป็นโชคดีที่ทางอารามคาร์แมล เมืองบายอน ยินดีส่งสมาชิกอีก 4 คนให้มาสมทบกับสมาชิกทั้งสามจากอารามเมืองโป สมาชิกทั้งสี่มาถึงอารามชั่วคราวที่เมืองมังกาลอร์ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1871 และเริ่มวางรากฐานอารามคาร์แมลหลังแรกในประเทศอินเดีย ซึ่งจะแล้วเสร็จและเปิดเสกในวันฉลองนักบุญยอแซฟ ในวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 1882 ด้วยนามอารามพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า กันกนะดี และจะกลายเป็นอารามแม่ของอารามคาร์แมลในประเทศอินเดีย แต่กว่าจะวันนั้นชีวิตของท่านก็ต้องออกจาริกจากที่แห่งนี้ไปอีกคราว
พระแท่นที่ใช้ในวันที่นักบุญมารีปฏิญาณตนครั้งแรก
ที่เมืองมังกาลอร์
ในขณะที่ท่านร่วมวางรากฐานอารามหลังใหม่ด้วยความมุ่งมั่นพร้อมกับสมาชิกคนอื่น ๆ ด้วยความสามารถเท่าที่กำลังและปัญญาของท่านจะทำได้ เหตุการณ์พิศวงที่อยู่กับท่านมาตลอดชีวิตก็ยิ่งทวีการเกิดมากขึ้น ที่มังกาลอร์แห่งนี้จากพยานหลักฐานปรากฏว่า ท่านมีภาวะเข้าฌานแทบจะทุกวัน และมากสุดถึงวันละ 5 ครั้ง พยานหลายคนได้เห็นท่านมีใบหน้าสุกสว่างขึ้นมาระหว่างอยู่ในภาวะเข้าฌานไม่ว่าจะเป็นในครัวหรือสถานที่อื่น ๆ บางเวลาในภาวะดังกล่าว ท่านได้ถูกพาไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ในพระศาสนจักรนอกเขตพรต ที่เกิดขึ้นอยู่ ณ เวลานั้นในสถานที่อื่น อาทิ การเบียดเบียนคริสต์ศาสนาในประเทศจีน แต่บางเวลาในภาวะดังกล่าวท่านก็ต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณชั่วร้ายที่มารังควานท่านด้วยความโกธรแค้น เพราะวิญญาณของท่านนั้นได้ขัดขวางแผนการณ์ของพวกมัน จนท่านต้องต้องประสบกับความยากลำบากในการใช้ชีวิตปกติ จากการต้องคอยต่อสู้กับจิตชั่วร้ายเหล่านี้ และผลของอาการเช่นนี้เองกลายมาเป็นหนึ่งในชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจขึ้นภายในหมู่คณะเมืองมังกาลอร์ เนื่องจากเริ่มมีมาเซอร์บางคนมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านนั้นเป็นกิจการของผีปีศาจที่มาสิงสู่ท่าน ทำให้ท่าทีของหมู่คณะเมืองมังกาลอร์เริ่มมีท่าทีต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับท่านแตกต่างจากหมู่คณะเมืองโป อนึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ อาจมาจากการเสียชีวิตของคุณแม่เอเลียส อดีตคุณแม่อธิการอารามคาร์แมล เมืองโป ที่ได้เดินทางมาเป็นธรรมทูตพร้อมหมู่คณะทั้งห้า แต่มาด่วนเสียชีวิตลงเสียก่อนเมื่อขึ้นฝั่งประเทศอินเดียได้ไม่นาน เนื่องจากคุณแม่เอเลียสผู้นี้น่าจะเป็นผู้ที่คอยสนับสนุนและให้การรับรองตัวของท่าน
แม้จะเริ่มมีความไม่สบายใจต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับท่านก่อตั้งขึ้นในหมู่คณะเมืองมังกาลอร์ ท่านในวัย 25 ปี ก็ได้รับอนุญาตให้เข้าพิธีปฏิญาณตนครั้งแรกในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1871 ข้อความคำทำนายที่ว่า “แล้วจะได้เข้าพิธีปฏิญาณตนที่อารามหลังที่สอง” จึงเป็นความจริง แต่ในขณะที่ท่านกำลังเตรียมตัวสำหรับวันดังกล่าวด้วยความยินดี ‘โรคร้าย’ ที่ท่านหวาดกลัวก็ได้กลับมาอีกครั้งเพียงหนึ่งวันก่อนท่านจะเข้าพิธีปฏิญาณตน ท่านจึงเร่งไปแจ้งเรื่องนี้กับนวกจารย์ของท่าน โดยขอให้ช่วยเก็บเป็นความลับ และเมื่อมาเซอร์ท่านนั้นรับปาก ท่านจึงแสดงมือและเท้าที่เริ่มบวมของท่านให้มาเซอร์ท่านนั้นเห็น พร้อมกล่าวด้วยความรู้สึกถ่อมใจว่า “ดูสิคะ อาการป่วยที่ลูกกลัวหนักหนากลับมาแล้ว” รุ่งขึ้นอาการของท่านยังทรงตัว ท่านยังสามารถเข้าพิธีปฏิญาณตนในวันรุ่งขึ้นได้ตามกำหนดการณ์ เพียงแต่ในระหว่างจะกล่าวปฏิญาณตน ท่านเกิดเข้าฌานขึ้นมาอย่างกระทันหัน จนคุณแม่อธิการต้องแก้ไขปัญหาด้วยการสั่งให้ท่านออกจากภาวะดังกล่าว เพื่อให้สามารถกลับมากล่าวคำปฏิญาณตนต่อไปได้ แต่เมื่อเสร็จพิธีปฏิญาณตนแล้ว บาดแผลทั้งหมดจึงเริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา เรื่องนี้ยังความทุกข์ใจให้ท่านมากกว่ายินดี ท่านได้วิงวอนต่อพระเจ้าอีกครั้งให้ทรงรักษาท่านให้หายจากสิ่งที่ท่านมองว่าเป็นโรคร้ายนี้ และอีกครั้งที่ไม่ช้ารอยแผลต่าง ๆ ก็ได้หายไปและไม่ปรากฏอีกเลยไปถึงสี่ปี
อย่างไรก็ตามแม้รอยแผลศักดิ์สิทธิ์จะอันตรธานหายไป แต่ปรากฏอันน่าพิศวงอื่น ๆ ก็ยังคงเกิดกับตัวท่านอยู่เป็นระยะ และนับวันยิ่งก่อมวลความตึงเครียดภายในอารามนักบุญอันนา เนื่องจากมาเซอร์บางคนยิ่งสงสัยมากขึ้นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับท่านนั้นเป็นผลงานของผีปีศาจ จนที่สุดเพื่อให้การดำเนินพันธกิจในอินเดียเป็นไปได้อย่างราบรื่น คุณแม่อธิการและพระสังฆราชจึงตัดสินใจส่งท่านกลับไปยังอารามคาร์แมล เมืองโป ในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 1872 ฝั่งท่านเมื่อทราบการตัดสินใจนี้ ก็น้อมรับด้วยความนบนอบและความเชื่อว่านี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า แม้ในความรู้สึกนึกคิดตามประสามนุษย์ ท่านจะทุกข์ใจไม่น้อยต่อการตัดสินใจเช่นนี้ก็ตาม ความรู้สึกนึกคิดท่านในเวลานั้นอาจเข้าใจได้ผ่านคำตอบของท่านที่มีต่อบรรดามาเซอร์ ซึ่งเคยเข้าใจท่านผิดและได้มาขอโทษท่านในเวลาต่อมา ที่ว่า “ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเยซูเจ้า ขอพระนามของพระองค์จงได้รับการสรรเสริญ เป็นพระเจ้าผู้ทรงอนุญาตให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น” และคำกล่าวหนึ่งของท่านที่สะท้อนมุมมองที่ท่านมีต่อความทุกข์ยากที่เผชิญว่า “การทดลองคือน้ำที่ชำระเรา การทดลองที่หนักขึ้นก็เหมือนน้ำร้อน ที่ทำให้เรานั้นสะอาดได้ดีกว่า”
เมื่อกลับมาประจำที่อารามเมืองโปในวันที่ 5 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ท่านได้กลับมาใช้ชีวิตภคินีภายนอกเขตพรตที่เรียบง่าย อยู่ท่ามกลางความรักและความเอ็นดูมาเซอร์ภายในอารามอีกครั้ง ในขณะที่ภาวะเข้าฌานก็ยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ โดยภายใต้ภาวะนี้บางครั้งก็ท่านก็ขับบทกวีที่แสนไพเราะออกมาเพื่อสรรเสริญพระเป็นเจ้า แม้ว่าตัวท่านจะไม่รู้หนังสือมาก แต่บางครั้งท่านก็เปล่งคำพูดที่กระตุ้นเร้าจิตใจของผู้ฟังให้มีความลุกร้อนเหมือนกับท่าน อาทิ ครั้งหนึ่งในวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1873 หลังสวดทำวัตรเช้าเสร็จ คุณแม่อธิการได้เข้าไปพบท่านอยู่ในภาวะเข้าฌาน กำลังนั่งอยู่หน้าหน้าต่างที่เปิดอยู่ในห้องของท่าน ชั่วขณะหนึ่งท่านก็พูดขึ้นว่า “โลกทั้งใบกำลังหลับใหล และพระเจ้าผู้ทรงความดีพร้อม ความยิ่งใหญ่ สมควรแก่การสรรเสริญโดยแท้นั้นแทบไม่มีใครคิดถึงเลย ดูเถิด ธรรมชาติยังสรรเสริญพระองค์ ไม่ว่าจะท้องนภา ดวงดารา หมู่พฤกษา อีกกอหญ้า สรรพสิ่งล้วนสรรเสริฐพระองค์ แต่มนุษย์ ผู้รู้แจ้งถึงพระเมตตาของพระองค์ ผู้สมควรยิ่งจะสรรเสริญพระองค์ กลับหลับใหล เราจงออกไปเถิด ออกไปปลุดให้จักรวาลนั้นตื่นขึ้นเถิด” ว่าดังนี้ท่านก็ผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปนอกห้องพร้อมเปล่งเสียงออกมาว่า “ไปกันเถิดพวกเรา ไปสรรเสริญพระเจ้า ไปร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ มนุษย์กำลังหลับไหล โลกก็กำลังหลับไหลเช่นกัน ไปพวกเรา ไปปลุกให้พวกเขาลุกขึ้นมาเถิด พระเยซูเจ้ายังไม่เป็นที่รู้จัก พระเยซูเจ้ายังไม่เป็นที่ถูกรัก ทั้งที่พระองค์ถึงพร้อมด้วยความดีและทำเพื่อมนุษย์มากมายเพียงนี้”
นอกเหนือจากการเข้าฌานแล้ว เหตุการณ์อันน่าพิศวงที่เกิดขึ้นกับท่านที่อารามเมืองโปในช่วงการกลับมาครั้งนี้ ยังคือ ‘การลอยอยู่ในอากาศ’ โดยเหตุการณ์ลอยที่ได้รับการยืนยันจากประจักษ์พยานครั้งแรกเกิดขึ้นในวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1873 เรื่องมีอยู่ว่าในเย็นวันดังกล่าว เมื่อนวกจารย์พบว่าท่านหายไประหว่างรับประทานอาหารเย็น มาเซอร์ผู้นั้นจึงได้ออกตามหาท่านไปตามส่วนต่าง ๆ ทั่วอาราม แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไร ๆ ก็ไม่พบตัวท่าน จนอยู่ ๆ มาเซอร์อีกท่านได้ยินเสียงท่านร้องเพลง ‘รักเอ๋ยรัก’ จึงเงยหน้าขึ้นไปตามที่มาของเสียง เธอจึงได้พบร่างของท่านกำลังลอยอยู่เหนือต้นมะนาวใหญ่ในสวนของอาราม เรื่องนี้เมื่อทราบไปถึงคุณแม่อธิการ คุณแม่จึงได้ตามมาและหลังจากหยุดชั่วครู่เพื่อสวดภาวนาหาทางออกของเหตุการณ์เบื้องหน้า ที่อยู่เหนือคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ คุณแม่จึงได้ออกปากสั่งท่านว่า “เซอร์มารี แห่ง พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน หากเป็นน้ำพระทัยของพระเยซูเจ้า จงลงมาด้วยความนบนอบโดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ ต่อตนเอง” สิ้นคำสั่งของคุณแม่อธิการ ร่างของท่านก็ค่อย ๆ ลอยลงมายืนบนกิ่งหนึ่งของต้นมะนาวนั้นเพื่อร้องเพลงรักต่อ และเมื่อท่านออกจากภาวะเข้าฌานและกลับมายืนบนพื้นราบ ท่านจึงตรงเข้าไปกอดมาเซอร์ทุกคนดุจเป็นการขอโทษต่อเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อครู่
ปรากฏการลอยระหว่างภาวะเข้าฌานของท่านยังได้รับการยืนยันจากพยานรอบข้างอีก 7 ครั้งหลังจากนั้น ซึ่งล้วนแต่เกิดขึ้นในขณะท่านพำนักที่อารามเมืองโป คือในวันที่ 9 19 25 27 และ 31 กรกฎาคม วันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1873 และวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1874 พยานคนหนึ่งได้ให้การในระหว่างการรวบชีวประวัติของท่านว่า “เซอร์ อี. ซึ่งเสียไปแล้ว เล่าว่าวันหนึ่งขณะเธออยู่ในสวนกับข้ารับใช้พระเจ้า เธอได้พูดกับเธอว่า ‘หันมาสิคะ’ เมื่อเธอหันมามอง เธอก็เห็นว่าเซอร์น้อยขึ้นไปนั่งอยู่บนยอดต้นมะนาวใหญ่แล้ว เธอนั่งอยู่บนกิ่งไม้เล็ก ๆ ทรงตัวอยู่บนนั้นเหมือนนก ปากก็ร้องเพลงรักอันศักดิ์สิทธิ์ออกมา” ส่วนพยานอีกคนก็ได้ให้การว่า “มีครั้งหนึ่งฉันเห็นเธอกำลังอยู่ในภาวะเข้าฌานอยู่บนยอดต้นมะนาวใหญ่ เธอนั่งอยู่บนปลายกิ่งที่สูงที่สุด ซึ่งตามปกติไม่สามารถรองรับน้ำหนักเธอได้แน่ ใบหน้าของเธอช่างสุกสว่างนัก ฉันเห็นเธอลงจากกิ่งหนึ่งไปกิ่งหนึ่งอย่างคล่องแคล่วและสงบเสงี่ยมเหมือนอย่างกับนก” และคุณพ่อบูซี ผู้เขียนชีวประวัติของท่าน ได้เขียนบรรยายเรื่องนี้ให้พระสังฆราชองค์หนึ่งฟังว่า “เซอร์มารีเคยขึ้นไปบนยอดไม้ด้วยการเกาะปลายกิ่งไม้ขึ้นไป: โดยเธอจะใช้มือข้างหนึ่งถือสายจำพวกไว้ และใช้มืออีกข้างจับไปที่ปลายกิ่งไม้เล็ก ๆ และชั่วอึดใจ เธอก็จะลอยขึ้นไปตามแนวของต้นไม้จนถึงยอด บนนั้นเธอจะอยู่บนกิ่งไม้ที่ตามปกติแล้วไม่แข็งแรงพอจะรับน้ำหนักคนตัวเท่าเธอได้” (คำบอกเล่านี้คล้ายกับคำพยานของมาเซอร์ภายนอกเขตพรตอีกรายที่ได้เห็นท่านลอยขึ้นไปต่อหน้าต่อตา)
รูปปั้นนักบุญมารีตั้งอยู่เคียงคู่รูปนักบุญมีคาแอล การีกอยส์
ในวัดน้อยอารามคาร์แมล เมืองโป ซึ่งปัจจุบันเป็นสมบัติของคณะเบธาราม
ท่านอธิบายให้คุณแม่อธิการ ซึ่งถามท่านถึงวิธีการที่ท่านลอยขึ้นไปบนต้นมะนาวใหญ่ฟังว่าเป็นองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงยื่นพระหัตถ์มาพาท่านขึ้นไป “ลูกแกะทรงยื่นพระหัตถ์มาหาลูกค่ะ” ท่านอธิบายเช่นนี้ และนอกเหนือจากเหตุการณ์การลอยครั้งแรก ยังมีเหตุการณ์การลอยอีก 3 ครั้งที่น่าสนใจ ครั้งแรกคือ เหตุการณ์ในวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1873 ซึ่งท่านได้รับคำสั่งจากคุณแม่อธิการให้ลงมาได้แล้ว แต่ท่านก็ลังเลที่จะลงมาและขอเวลาอีกสักพักอยู่กับลูกแกะ คุณแม่อธิการจึงสั่งท่านอีกครั้งโดยย้ำเรื่องศีลบนการนบนอบ ทันทีลูกแกะพระเจ้าก็ทรงหายไปทิ้งให้ท่านต้องลงมาแต่ลำพังอย่างทุลักทุเล และต้องจมอยู่กับความเศร้าไปตลอดสี่วันเพราะรู้สึกผิดที่ตนเองไม่ได้นบนอบโดยทันที ครั้งที่สอง คือ เหตุการณ์ในวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1873 ท่านอยู่ในสภาวะลอยตัวตั้งแต่บ่ายสี่โมงจนถึงหนึ่งทุ่ม และครั้งที่สาม คือ เหตุการณ์ในวันที่ 31 กรกฎษคม ค.ศ. 1873 คราวนี้ท่านอยู่ในภาวะดังกล่าวตั้งแต่ช่วงหลังการหย่อนใจหลังอาหารมื้อเย็นไปถึงเวลาสี่ทุ่ม
เหตุการณ์สำคัญอีกประการที่เกิดขึ้นในระหว่างท่านกลับมายังอารามคาร์แมล เมืองโปครั้งนี้ คือ การที่ท่านมีส่วนในการผลักดันให้ทางสันตะสำนักรับรองคณะพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งเบธาราม ซึ่งก่อตั้งโดยท่านนักบุญมีคาแอล การีกอยส์ โดยแม้ท่านจะไม่เคยพบกับท่านนักบุญ เพราะท่านนักบุญสิ้นใจในเวลาที่ท่านมาอยู่ฝรั่งเศสได้ไม่นาน แต่เมื่อท่านได้กลับมาประจำที่อารามเมืองโป พระสงฆ์จากคณะเบธารามก็ได้รับตำแหน่งเป็นจิตาธิการอาราม ท่านจึงมีความคุ้นเคยกับคณะนักบวชดังกล่าว และมูลเหตุที่ทำให้ท่านได้มีส่วนในประวัติศาสตร์สำคัญของคณะนี้ เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1875 เมื่อท่านได้เห็นวิญญาณของคุณพ่อมานูดัส ซึ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้สองสามเดือน ได้มาขอให้ท่านไปแจ้งกับพระคุณเจ้าลาครัวซ์ เพื่อให้ส่งผู้แทนไปยังกรุงโรมเพื่อให้พระสันตะปาปาทรงอนุมัติคณะเบธาราม และได้เห็นนิมิตความตึงเครียดที่จะนำไปสู่วุ่นวายภายในคณะดังกล่าว พร้อมองค์พระเยซูเจ้าที่ได้ตรัสสั่งให้ท่านช่วยให้คณะนี้ได้รับการรับรอง ท่านจึงได้แจ้งเรื่องนี้กับพระคุณเจ้าลาครัวซ์ จนทำให้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ในเดือนกรกฏาคม ปีนั้น พระสันตะปาปาปีโอที่ 9 ทรงรับรองคณะเบธารามอย่างเป็นทางการ นี่เองทำให้ท่านได้รับการยกย่องจากสมาชิกคณะเบธารามว่าเป็นผู้ก่อตั้งคนที่สองของคณะต่อจากท่านนักบุญการีกอยส์
เบอเตและนักบุญมารี
ขณะที่เหตุการณ์พิศวงเกิดขึ้นกับตัวท่านระหว่างที่กลับมาประจำที่อารามคาร์แมล เมืองโป ในเวลาที่ซ้อนทับกับเหตุการณ์เหล่านี้ ท่านก็เริ่มพูดถึงความคิดที่จะเปิดอารามชีลับสักหลังที่เมืองเบธเลเฮมให้คนรอบข้างฟัง ซึ่งแรกทีเดียวท่านก็มิได้มั่นใจในความคิดนี้เท่าไร จนวันหนึ่งที่พระเยซูเจ้าได้ทรงย้ำกับท่านถึงเรื่องนี้ ท่านจึงได้ทูลขอเครื่องหมายกับพระองค์ว่า “เพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงการริเริ่มงานที่เมืองเบธเลเฮมจะเป็นจริง และลูกจะได้ไปและสิ้นใจ ณ ที่นั่น โปรดบันดาลให้ใบต้นเยราเนียมนี้ออกรากด้วยเถิด” ว่าดังนี้แล้วท่านก็เอาใบต้นเยราเนียมที่อยู่ในมือไปใส่กระถางที่มีดินไว้ และให้หลังวันนั้นมาใบเยราเนียมนั้นก็ได้งอกเป็นต้นเยราเนียม (ท่านตั้งชื่อให้มันทีหลังว่า เจ้าเยเรมีห์) ท่านจึงมีความมั่นใจว่าโครงการนี้เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าและพยายามผลักดันโครงการนี้ตลอด ผ่านการแจ้งเรื่องนี้กับคุณแม่อธิการถึงความประสงค์ของพระเยซูให้อารามไปเปิดอารามที่เมืองเบธเลเฮม ฝั่งคุณแม่อธิการอารามเมืองโปในเวลานั้น เมื่อทราบเช่นนี้ก็ได้ให้การสนับสนุนเนื่องจากคุณแม่นั้นเชื่อในตัวท่าน จึงเป็นที่มาของการริเริ่มโครงการก่อตั้งอารามคาร์แมลที่เมืองเบธเลเฮม ซึ่งได้นางเบอเต ดาร์ทิกูซ (Berthe Dartigaux) หญิงสาวจากตระกูลมั่งคั่งในโป ซึ่งท่านได้รู้จักผ่านคุณพ่อจิตาธิการและเป็นผู้ที่เอ็นดูท่านเหมือนน้องสาวยินดีเป็นผู้สนับสนุนหลักด้านทุนทรัพย์ และภายหลังจากโครงการนี้มีท่าจะรุ่งบ้างจะรั่วบ้างอยู่เป็นระยะ ที่สุดทางโรมก็อนุมัติโครงการนี้
เมื่อได้รับการอนุมัติเช่นนี้แล้ว ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1875 สมาชิกจากอารามคาร์แมลเมืองโปทั้งสิ้น 9 ท่าน นำโดยคุณแม่เวโรนิกา แห่ง พระมหาทรมาน ผู้ได้กลับมาเข้าอารามคาร์แมล เมืองโป ตามความตั้งใจเดิมภายหลังสามารถก่อตั้งคณะภคินีแห่งอัครสาวกคาร์แมลได้สำเร็จ เป็นผู้นำกลุ่มสมาชิกคณะคาร์เมไลท์ซึ่งมีท่านในวัย 29 ปี เป็นหนึ่งในนั้นด้วย และนางเบอเตอ จึงได้ออกเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ในประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน และเมื่อมาถึงยังเมืองดังกล่าว กลุ่มผู้วางรากฐานอารามคาร์แมลหลังใหม่จึงได้ออกเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮมที่เป็นเป้าหมาย เพื่อพักในอารามชั่วคราวภายในเมืองในวันที่ 11 กันยายน ปีเดียวกัน เป็นเวลานั้นเองที่ท่านได้เห็นฝูงนกพิราบบินลงไปเกาะที่เนินเขาเตี้ย ๆ ทางตะวันตกของเมืองเบธเลเฮม ท่านจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าพระเป็นเจ้ามิได้ทรงประสงค์ให้ตั้งอารามหลังใหม่ในเมืองเบธเลเฮม แต่ทรงประสงค์ให้ตั้งอารามนี้ที่เนินเขานอกเมือง และพระเยซูเจ้าก็ไขแสดงให้ท่านเข้าใจว่า บริเวณนี้เองเคยเป็นสถานที่เกิดและได้รับการเจิมของกษัตริย์ดาวิด ทั้งยังทรงไขแสดงถึงห้าครั้งถึงรูปแบบอารามที่พระองค์ทรงประสงค์ให้สร้าง คือ รูปแบบของหอของกษัตริย์ดาวิด ซึ่งต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากคุณแม่เวโรนิกาที่ช่วยเขียนรูปแบบอารามหลังนี้ให้ออกมาเป็นรูปร่างได้สำเร็จ โดยมีองค์พระเยซูเจ้าเป็นผู้คอยตรวจทาน (ตามที่ท่านได้เห็นในนิมิต)
คณะมาเซอร์จากอารามคาร์แมล เมืองโป ที่เดินทางไปเปิดอารามที่เมืองเบธเลเฮม
ถ่ายที่ประเทศฝรั่งเศสก่อนจะลงเรือ ในภาพนักบุญมารียืนอยู่แถวหลังคนที่สองจากซ้าย
เคียงข้างคุณแม่เวโรนิกา (สวมแว่นตา)
เมื่อได้สถานที่และรูปแบบอารามแล้ว การก่อสร้างอารามจึงได้เริ่มขึ้น และสืบเนื่องจากท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถพูดภาษาท้องถิ่นได้อย่างคล่องแคล่ว คุณแม่อธิการหมู่คณะเบธเลเฮมจึงมอบหมายให้ท่านเป็นผู้คุมการก่อสร้างกับบรรดาคนงาน และในระหว่างที่ท่านกำลังขะมักเขม้นกับการก่อสร้างอารามหลังใหม่นี้เอง ในเช้าวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1876 ซึ่งเป็นวันพฤหัสบดีแรกในเทศกาลมหาพรตปีนั้น ท่านก็พบว่าที่มือและเท้าของท่านปรากฏรอยบวม อันเป็นอาการแรกเริ่มของสิ่งที่ท่านหวาดกลัวมาโดยตลอด และยินดีไม่น้อยที่หลายปีที่ผ่านมาอาการเช่นนี้มิได้ปรากฏให้เห็น ท่านจึงเรียกนวกจารย์ไปหาที่ห้องพร้อมแสดงมือและเท้าที่เริ่มมีอาการผิดปกติให้ดู และบอกกับคุณแม่นวกจารย์ว่า “ดูสิ่งที่น่าละอายของลูกสิคะ ลูกไม่อยากให้ใครเข้ามาที่นี่ มาเห็นมือของลูกเลยค่ะ” พยานที่เห็นอาการของท่านในวันนั้นให้ข้อสังเกตุที่น่าสนใจถึงเหตุการณ์นี้ว่า “พวกเราพบว่ารอยบวมดำ คล้ายหัวตะปูขนาดใหญ่บนฝ่ามือและหลังเท้าของเธอ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากเสียกว่าในช่วงเทศกาลมหาพรต ค.ศ. 1868 เมื่อใกล้เก้านาฬิกา รอยนั้นยิ่งมีสีเข้มและขยายใหญ่ขึ้น นิ้วของเธอหงิกงอจนใช้การไม่ได้ เวลาเที่ยงพวกเราเห็นรอยลักษณะเดียวกันที่หลังเท้าของเธอ แต่เธอขอไม่ให้พวกเราพันผ้าลินินพวกมันเด็ดขาด เพราะมันจะยิ่งทำให้เธอยิ่งเจ็บขึ้น” รุ่งขึ้นท่านมี ‘เหงื่อเลือด’ ไหลออกมาทั่วร่างกาย หลังจากนั้นตลอดเทศกาลมหาพรตปีนั้น ร่างของท่านจึงได้ทำหน้าให้พระมหาทรมานของพระคริสตเจ้าเป็นปัจจุบันอีกครั้ง เหตุการณ์พิศวงนี้สิ้นสุดลงในวันที่ 26 เมษายน ปีนั้น และนับเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ท่านได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์
ต่อไปนี้คือคำบอกเล่าของพยานที่เห็นเหตุการณ์ในช่วงเวลานี้ โดยเป็นคำบอกเล่าจากเหตุการณ์ในวันศุกร์ที่ 14 เมษายน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่เหตุการณ์มีความรุนแรงมากที่สุด “เธอร้องคร่ำครวญและมีอาการสั่นไปทั่วทั้งตัว มันเป็นที่น่าบาดหัวใจมากที่เธออยู่ในสภาพนั้น เธอพูดซ้ำ ๆ ว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า โปรดอย่าทรงทอดทิ้งลูกเลย ข้าแต่พระเจ้า ลูกขอถวายมันให้แด่พระองค์ โปรดอภัยด้วยเถิด พระเจ้าข้า โปรดอภัยด้วยเถิด’ เมื่อเวลาบ่ายสองกว่า ๆ อาการของเธอเริ่มหนักขึ้น เวลานั้นพวกเราต่างอยู่รายรอบตัวเธอ ขาของเธอแข็งกระด้าง เท้าเหยียดลงและไขว้กัน แขนของธอเหยียดออกไปในรูปกางเขน โดยมีมาเซอร์อีกสองคนคอยประคองไว้ อกของเธอเกร็ง มีผ่อนบ้างเวลาเธอถอนหายใจ ซึ่งดูคล้ายวิญญาณของเธอจะหลุดลอยออกมาพร้อมลมหายใจ … หลังจากผ่านไปสามชั่วโมงครึ่ง เธอจึงมีอาการดีขึ้นเล็กน้อย เธอพูดกับพวกเขา (ทูตสวรรค์) ว่า ‘เด็ก ๆ โปรดสงสารฉันเถิด โปรดเรียกฉันไปในวันนี้เถิด โปรดเรียกฉันเถิด เพื่อว่าฉันจะไปจากโลกนี้’ จากนั้นจึงได้ยินเธอพูดว่า ‘ขอให้เป็นไปตามพระวาจาของพระองค์เถิด พระเยซูเจ้าข้า’ เวลานี้พวกเรารู้สึกว่าผู้ถูกตรึงบนกางเขนกำลังลงจากไม้กางเขนและกัลวารีโอเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับความยินดีแห่งปัสกา”
ครั้งหนึ่งท่านเคยกล่าวด้วยรอยยิ้มซึ่งสะท้อนถึงความคิดแท้จริงของท่านต่อรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ ผ่านการอุปมาสิ่งนี้กับพุ่มกุหลาบที่ให้ดอกแก่ผู้อื่นแต่ให้หนามแก่ท่านว่า “รู้ไหมคะ ว่าเวลานี้พุ่มกุหลาบทั้งห้ากำลังผลิบานอย่างรวดเร็ว รวดเร็ว มันผลิดอกให้ผู้อื่น และส่งหนามให้กับลูก ลูกไม่ชอบเลยที่ต้องให้ดอกกุหลาบไปบางดอก โปรดอย่าให้ลูกได้กลิ่นหอมของพวกมัน ขอให้ได้แต่หนามเท่านั้น โอ้ ถูกต้องแล้ว ลูกสมจะได้รับมันแล้ว เพียงพระเยซูเจ้าจะทรงพอพระทัย นั่นแหละคือสิ่งที่ลูกปรารถนา ลูกยินดีรับหนามทั้งหมดไว้บนร่างของลูก แต่โปรดบอกเจ้าของพุ่มกุหลาบได้โปรดให้ดอกกุหลาบนั้นหยุดออกดอกเถิด” จากข้อความข้างต้นจะเห็นได้ว่า ท่านไม่ได้มองว่าการได้ร่วมส่วนในพระมหาทรมานนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี ตรงกันข้ามท่านยินดีที่จะน้อมรับสิ่งเหล่านั้นไว้กับตนเอง แต่ท่านไม่ยินดีที่การร่วมส่วนนี้ปรากฏเป็น ‘เครื่องหมายภายนอก’ ท่านจึงเรียกรอยแผลเหล่านี้ว่า ‘เครื่องหมายอันน่าสมเพศ’ เพราะท่านปรารถนาจะร่วมทรมานกับพระองค์อย่างซ่อนเร้น ความคิดเช่นนี้ช่วยให้เราเข้าใจความคิดที่ท่านมีต่อเหตุการณ์พิศวงที่พระเจ้าบันดาลให้เกิดกับท่านอย่างแจ่มชัด นั่นคือแท้จริงท่านไม่ได้ปฏิเสธพระหรรษทานเหล่านี้ เพียงแต่ปรารถนาให้สิ่งนี้เกิดพ้นจากสายตาคนอื่น เพื่อท่านได้มีชีวิตอย่างต่ำต้อย
เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างท่านได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ในปีนั้น คือ การวางศิลาฤกษ์อาคารอารามในวันที่ 24 มีนาคม และให้หลังเพียง 8 เดือนต่อมา อาคารอารามบางส่วนจึงแล้วเสร็จพอจะอาศัยได้ สมาชิกอารามคาร์แมลเมืองโปทั้ง 10 จึงได้ย้ายจากอารามชั่วคราวไปยังอารามหลังใหม่ซึ่งถูกตั้งนามว่า ‘อารามพระกุมารเยซู’ ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน และยังคงมีการก่อสร้างอารามบางส่วนให้แล้วเสร็จต่อไป โดยในระหว่างนั้นท่านยังได้มีความคิดที่จะเปิดอารามอีกแห่งที่เมืองนาซาเรธ เพื่อให้อารามหลังนี้เป็นที่พักพิงและแหล่งคำภาวนาสำหรับชาวภาคเหนือ เช่นเดียวกับที่อารามเมืองเบธเลเฮมนี้กำลังเป็นเพื่อชาวภาคใต้ ท่านจึงได้เริ่มคุยเรื่องนี้กับพระคุณเจ้าวินเซนโซ บรักโก พระอัยกาแห่งเยรูซาเล็ม (ตำแหน่งพระสังฆราชของที่นี่) และหลังจากการดำเนินเรื่องตามขั้นตอนต่าง ๆ ทางโรมจึงอนุญาตให้มีการเปิดอารามคาร์แมลอีกหลังได้ที่เมืองนาซาเรธใน ค.ศ. 1878 ดังนั้นในวันที่ 7 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ท่านพร้อมคุณแม่อธิการและนวกจารย์อารามเมืองเบธเลเฮมจึงได้ออกเดินทางไปดูที่ดินสำหรับที่ตั้งอารามใหม่ การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงทำให้ได้ที่ตั้งอารามแห่งใหม่ แต่ท่านยังได้พบสถานที่ตั้งบริเวณที่พระเยซูเจ้าทรงบิปังออกจนทำให้ศิษย์สองคนจำพระองค์ได้ที่เอ็มมาอุส ตามที่พระเยซูเจ้าได้เผยให้ท่านเห็นในนิมิตก่อนหน้าการเดินทางนี้อีกด้วย (ในเวลาต่อมานางเบอเตอได้ซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าวถวายให้อารามเมืองเบธเลเฮม)
อารามคาร์แมล เมืองเบธเลเฮม
เมื่อได้ที่ดินสำหรับอารามใหม่เป็นที่เรียบร้อย ท่านจึงได้กลับมาดูแลการก่อสร้างอารามเมืองเบธเลเฮมที่ยังไม่แล้วเสร็จดีต่อ แต่แล้วในวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1876 คำทำนายที่ว่า “และจะสิ้นใจที่อารามหลังที่สาม ที่เมืองเบธเลเฮม” จึงเข้าใกล้ความจริงมากยิ่งขึ้น เมื่อท่านเกิดพลัดตกจากบันไดขณะหิ้วถังน้ำสองถังไปให้คนงาน และล้มลงมากระแทกกับกระถางต้นเจราเนียมบริเวณนั้นพอดี เป็นผลให้แขนซ้ายของท่านหัก พยานที่เข้าช่วยเหลือท่านในวันนั้นได้ยินท่านพึมพำออกมาว่า “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” และหลังจากนั้นวันนั้นเป็นต้นมา อาการของท่านก็ทรุดลงตามลำดับ เนื่องจากแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุมีอาการบวมอย่างต่อเนื่องและมีเนื้อตายขยายบริเวณขึ้นในแต่ละวัน จนนำไปสู่การติดเชื้อที่ปอดและทางเดินหายใจ ท่านเองทราบดีว่าการป่วยครั้งนี้จะไม่มีอัศจรรย์เหมือนในครั้งที่ผ่าน ๆ มาในชีวิต จึงได้รื้อฟื้นการถวายตัวเองเป็นยัญบูชาเพื่อประโยชน์แก่พระศาสนจักรและประเทศฝรั่งเศสที่โอบอุ้มท่านไว้มานานหลายปีอีกครั้ง เพื่อให้ความทุกข์ที่ท่านเผชิญอยู่ ณ เวลานี้ได้ก่อประโยชน์เป็นครั้งสุดท้าย
คล้อยหลังได้เพียง 4 วันหลังเกิดอุบัติเหตุ ในเช้าวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1876 เวลา 5.10 น. หลังจากพึมพำว่า “พระเยซูเจ้าข้า เมตตาลูกเถิด” และจูบไม้กางเขน ท่านจึงจบการจาริกบนโลกของตนเองลงอย่างสงบด้วยวัย 33 ปี ณ อารามคาร์แมล เมืองเบธเลเฮม ประเทศอิราเอล นี่เองข้อความคำทำนายประการสุดท้ายของแม่พระจึงเป็นจริง และอัศจรรย์แรกจึงได้ปรากฏขึ้น เพื่อยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน เมื่อแพทย์ได้ทำการผ่าร่างของท่านในเวลา 8.00 น. เขาก็ได้พบว่าที่หัวใจของท่านมีรอยแผลเล็ก ๆ ทะลุถึงกัน ซึ่งตรวจสอบได้ว่าเป็นรอยที่เกิดขึ้นมานานก่อนการผ่าตัด สิ่งนี้เป็นประจักษ์พยานถึงเหตุการณ์ที่พระเป็นเจ้าทรงใช้ความรักของพระองค์ทิ่มลงไปในหัวใจของท่านใน ค.ศ. 1868 อย่างไม่ต้องสงสัย หัวใจของท่านนี้ได้รับการตรวจสอบโดยแพทย์และคณะสงฆ์ในเมืองเยรูซาเลมในวันเดียวกัน ก่อนที่จะถูกส่งไปยังอารามเมืองโปที่ท่านผูกพัน (น่าเสียดายที่ในเวลาต่อมาประจักษ์พยานชิ้นนี้ได้ถูกขโมยสูญหายไป) ส่วนร่างของท่านนั้นถูกฝังไว้ที่อารามที่ท่านได้ริเริ่มขึ้นในแผ่นดินเกิดแห่งนี้ พร้อมคำจารึกที่หลุมว่า “ที่นี่ในสันติขององค์พระผู้เป็นเจ้า ภคินีมารี แห่ง พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน ผู้ถือปฏิญาณเป็นนักพรตผ้าคลุมศีรษะสีขาว วิญญาณที่มีพระหรรษทานพิเศษนี้เป็นที่ประจักษ์ในความถ่อมใจ ความนนอบ และความเมตตาธรรมได้พักผ่อน พระเยซูเจ้า ผู้เป็นรักเดียวในใจเธอได้ทรงเรียกเธอไปหาพระองค์เมื่ออายุ 33 ปี และถวายตนมาแล้ว 12 ปี ที่เมืองเบธเลเฮม ในวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1876”
แม้หนังสือแห่งชีวิตของท่านจะปิดลงภายใต้รั้วอารามคาร์แมล หลังเขตพรตที่บุคคลทั่วไปไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้ แต่กำแพงของเขตพรตนั้นก็มิอาจขวางกั้นกลิ่นหอมของบุพผาที่ได้หยั่งรากบนภูเขาคาร์แมลดอกนี้ให้เลือนหายไปกับสายธารแห่งกาลเวลา ตรงข้ามยิ่งนานวันเท่าใด กลิ่นหอมของบุพผาดอกนี้ก็ยิ่งขจรขจายไปไม่เพียงในหมู่คริสตชน แต่ยังในหมู่ชาวมุสลิม จนเป็นเหตุให้เกิดความพยายามขอแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญในเวลาต่อมา แต่ด้วยสถานการณ์ในช่วงต้นศตวรรษต่อมาที่มีความยากลำบากจากภัยสงคราม ก็ทำให้กระบวนการของท่านล่าช้าไป กระนั้นเมื่อผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมา อัศจรรย์ซึ่งปูทางให้นามของท่านได้อยู่ในสารบบบุญราศีก็เกิดขึ้นและถูกรับรอง เป็นผลให้พระศาสนจักรคาทอลิกในสมัยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ได้บันทึกนามท่านในสารบบบุญราศีในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1983 และหลังจากนั้นอีก 32 ปีต่อมา อัศจรรย์ผ่านคำเสนอวิงวอนของท่านอีกประการจึงได้รับการตรวจสอบและยืนยันว่าเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ เป็นผลสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสได้ทรงสถาปนาท่านเป็นนักบุญในวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 ท่านจึงได้กลายเป็นคริสตังจารีตกรีกคาทอลิกคนที่ 2 ที่ได้รับการบันทึกนามไว้ในสารบบนักบุญ ต่อจากนักบุญโยซาฟัต คุนท์เซวีช มรณสักขีผู้เรืองนามจากความพยายามนำชาวรูเธอเนียน (ชนชาติหนึ่งในยุโรปตะวันออก) กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของพระศาสนจักรคาทอลิกใ่นช่วงต้นศตวรรษที่ 17
ชีวิตของท่านนักบุญมารีได้แสดงให้เห็นเคล็ดลับของการก้าวผ่านจังหวะต่าง ๆ ในชีวิต โดยเฉพาะจังหวะชีวิตที่ท้าทายความรู้สึกนึกคิดและความสามารถแบบมนุษย์ นั่นคือการเชื่อและมอบความไว้วางใจไว้ในการทรงนำของพระเจ้า เพราะ “ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้” (ลูกา 1 : 37) ชีวิตของท่านนักบุญได้ชวนให้เราผ่าข้ามความคิดตามประสามนุษย์ เพื่อค้นพบว่าในจังหวะชีวิตต่าง ๆ เรามิได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ตรงกันข้าม “พระเจ้าทรงเร้นกายอยู่ภายในวิญญาณเหมือนเมล็ดในผลแอปเปิ้ล” และชวนต่อให้เราสลัดทิ้งความคิดตามประสามนุษย์เพื่อพยายามที่จะวางใจในพระเจ้าในการทรงนำของพระองค์ เหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่วางใจให้บิดามารดาจูงมือเขาไป เพื่อจะได้ยินพระสุรเสียงตรัสบอกกับเราว่า “ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” (มัทธิว 14 : 27) ดังนั้นจากศตวรรษที่ผ่านมา นักบุญมารีจึงได้บอกกับพวกเราทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ยากและความท้าทายในชีวิต ว่าพระวาจาที่ท่านได้ยินในหัวใจเมื่อวัยเยาว์ ที่ว่า “ถ้าลูกยกถวายดวงใจของลูกให้กับเรา เราจะอยู่กับลูกไปชั่วนิรันดร์ นี่คือวิธีที่ลูกจะผ่านทุกสิ่งไปได้” พระองค์มิได้ทรงตรัสกับท่านเพียงอย่างเดียว แต่กำลังตรัสกับเราทุกคน พร้อมชี้ให้เห็นว่าสิ่งนี้เป็นจริงผ่านชีวิตที่น่าพิศวงของท่าน เช่นนั้นเองมรดกชิ้นสำคัญอีกประการที่ท่านได้ฝากไว้ให้เราได้ตระหนักผ่านชีวิตของท่าน จึงไม่ใช่เพียงการมีอยู่จริงของพระเจ้าพระนามว่ายาเวห์ แต่คือความจริงที่อบอุ่นหัวใจ นั่นคือ พระเจ้าองค์นี้ไม่เคยทอดทิ้งมนุษย์ พระองค์ทรงเป็น ‘อิมมานูแอล’ เป็นพระเจ้าที่อยู่ท่ามกลางเรา ผู้พร้อมบอกกับเราผู้เชื่อและวางใจในทุกเวลาว่า“ทำใจให้ดี เราเอง เราผู้กระทำทุกสิ่งได้ อย่ากลัวเลย”
รูทราย, เทเรซีโอของพระเยซู
วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 2024
หนึ่งวันก่อนวันสมโภชพระคริสตสมภพ
“ข้าแต่ท่านนักบุญมารี แห่ง พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน ช่วยวิงวอนเทอญ”
https://ocdnunssw-india.blogspot.com/2016/07/blog-post.html
https://mariametcarmeldepau.wixsite.com/mariam/historique
https://apostoliccarmel.com/Founders
https://www.daijiworld.com/news/newsDisplay?newsID=318171
https://fr.m.wikipedia.org/wiki/Carmel_de_Bethl%C3%A9em
https://menacarmel.org/nazareth/?lang=en
https://www.ackarnatakaprovince.org/notice-board/articles/669-mother-veronica-the-relentless-seeker-of-the-way
https://www.emmaus-nicopolis.org/english/rediscovery-of-emmaus
https://www.santiebeati.it/dettaglio/90045
https://www.reflexionchretienne.com/pages/vie-des-saints/aout/bienheureuse-s-ur-marie-de-jesus-crucifie-carmelite-dechaussee-1846-1878-fete-le-26-aout.html
https://www.thelittlearab.org/about-us/our-saint/
https://carmelitesofboston.org/history/our-carmelite-saints/st-mary-of-jesus-crucified/
https://www.carmelitesisters.ie/blessed-mary-of-jesus-crucified-miriam-baouardy/
https://www.mysticsofthechurch.com/2010/07/blessed-mariam-baouardy-little-arab-and.html
https://www.stjosephsccrpune.com/MotherMaryVeronica.html