วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2567

'มารี' อาหรับน้อยของพระ ตอนแรก

นักบุญมารี แห่ง พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน
St. Marie of Jesus Crucified
วันฉลอง: 26 สิงหาคม

นายกิรีส (ยอร์ช) บาวาร์ดีและนางมารียัม ชาฮิน เป็นคู่สามีภรรยาชาวปาเลสไตน์ ที่นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก จารีตเมลไคต์ (Melkite) หรือจารีตกรีกคาทอลิก หนึ่งในจารีตตะวันออกที่ขึ้นตรงกับสันตะสำนัก อาศัยทำมาหากินอยู่ที่หมู่บ้านอิบิลลิน บนเทือกเขาในแคว้นกาลิลี ซึ่งขณะนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมัน (ปัจจุบันชุมชนนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิสราเอล) ทั้งสองเป็นผู้มีชีวิตอาภัพนัก เพราะนอกจากจะถูกกลั่นแกล้งเพราะความเชื่อคริสต์ศาสนา ซึ่งเป็นประชากรส่วนน้อยในพื้นที่ที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม จนกิรีสผู้เป็นสามีต้องติดคุกติดตารางอยู่ระยะหนึ่ง บุตรชายที่ทั้งสองมีร่วมกันมาตั้งแต่อยู่กินกันมาถึง 12 คน ก็ต่างเสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารก ทั้งสองทุกข์ใจต่อเรื่องนี้มาก แต่ก็ยังคงมีความเชื่อและความหวังในพระเจ้าเสมอ กระทั่งวันหนึ่งพระเจ้าก็ทรงดลใจให้นางมารียัม ผู้มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นมารดาของเด็กสักคน ให้เดินทางไปขอธิดากับแม่พระที่เมืองเบธเลเฮม ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านของทั้งสอง นางจึงได้บอกกับสามีว่า “พี่จ๋า เราลองเดินเท้าไปเบธเลเฮมและขอลูกสาวสักคนจากแม่พระกันเถิด เราจะสัญญากับพระนางว่าหากพระนางทรงตอบรับคำภาวนาของเรา เราจะตั้งชื่อลูกคนนั้นว่ามารียัม และเมื่อเธออายุได้ 3 ขวบเราจะโมทนาคุณพระเจ้าด้วยขี้ผึ้งเท่าน้ำหนักเธอ”

เหตุฉะนี้ด้วยความเชื่อและความหวัง สองสามีภรรยาจึงได้เริ่มออกเดินทางจากหมู่บ้านอิบิลลินไปยังหมู่บ้านเบธเลเฮมซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณยี่สิบกิโลเมตร และภายหลังจากสวดภาวนา ณ ตำแหน่งที่องค์พระวจนนาตได้ทรงประสูติในถ้ำเลี้ยงสัตว์ ไม่นานนางมารียัมก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง และในวันก่อนฉลองพระคริสต์สำแดงองค์ ที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1846 ซึ่งคริสตชนฉลองการเข้าเฝ้าพระกุมารน้อยของโหราจารย์ทั้งสาม ตามเรื่องราวในพระคัมภีร์ที่เฉลิมฉลองกันในวันต่อมา พระเป็นเจ้าก็ทรงเผยของขวัญที่ล้ำค่าอีกชิ้นให้แก่โลกผ่านทางพระศาสนจักรคาทอลิกจารีตตะวันออก เพื่อเป็นประจักษ์พยานถึงพระองค์ในโลกนี้ เพราะนางมารียัมได้ให้กำเนิดทารกเพศหญิง ซึ่งอีกสิบวันต่อมาสองสามีภรรยาก็ได้นำไปรับศีลล้างบาปและศีลกำลังตามจารีตเมลไคต์ ที่วัดนักบุญยอร์ช หมู่บ้านอิบิลลิน และให้ชื่อตามสัญญว่า ‘มารียัม’ เด็กหญิงมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี แต่เมื่อมีอายุย่างจะสามขวบ ชีวิตของเด็กหญิงตัวน้อยก็ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต

บ้านหลังที่นักบุญมารีถือกำเนิดที่หมู่บ้านอิบิลลิน

ให้หลังราวสองปีพระเจ้าก็ทรงอวยพรให้สองสามีภรรยามีบุตรชายอีกคนชื่อ เปาโล แต่อนิจจาไม่นานหลังความยินดี ครอบครัวบาวาร์ดีก็ประสบกับเหตุวิปโยค เมื่อสองสามีภรรยาเกิดล้มป่วยลง นายกิรีสที่ระลึกว่าตนคงไม่อาจจะมีชีวิตรอดจากโรคร้ายครั้งนี้ เขาจึงได้ตัดสินใจมองไปยังรูปนักบุญยอแซฟ และเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “ข้าแต่ท่านนักบุญผู้ยิ่งใหญ่เจ้าข้า นี่คือธิดาของลูก แม่พระเป็นแม่ของเธอ โปรดเถิดโปรดรับที่จะคอยดูแลเธอด้วยเช่นกัน โปรดเป็นพ่อของเธอด้วยเถิด” ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เสียชีวิตลง และเพียงไม่กี่วันถัดมานางมารียัมก็สิ้นใจตามเขาไปอีกคน นี่เองทำให้ในวัยไม่ถึง 3 ขวบดี หนูน้อยมารียัมจึงกลายเป็นเด็กกำพร้าพร้อมกับน้องชายที่อายุไม่ถึงขวบปี ญาติพี่น้องของเด็กน้อยทั้งสองจึงได้รับอุปการะเด็กทั้งสองมาเลี้ยงดู แต่ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ทั้งสองต้องถูกแยกจากกันและไม่ได้พบหน้ากันอีกเลยตราบสิ้นชีวิต เพราะญาติฝั่งมารดาของท่านที่อยู่หมู่บ้านทาร์ชิชมาได้มารับเปาโลในวัยแบเบาะไป ส่วนท่านก็ได้รับการอุปการะโดยคุณลุงฝั่งบิดาของท่าน ผู้มั่งคั่งและอาศัยที่หมู่บ้านอิบิลลิน ซึ่งรักและเอ็นดูท่านไม่ต่างจากธิดาแท้ ๆ ของเขา ดังนั้นในความอาภัพ แม้จะต้องกำพร้าบิดามารดาและพลัดพรากจากน้องชายเพียงคนเดียว ชีวิตหน้าต่อไปของท่านจึงได้รับความรักและความอบอุ่นอย่างเต็มเปี่ยมเช่นเดียวกับที่เด็กคนหนึ่งจะได้รับ

วันเวลาล่วงไปจนมารียัมน้อย มีอายุ 5 ปี จะด้วยหนทางอันพิเศษผ่านที่พระมารดาพระเจ้าทรงรับหนูน้อยเป็นธิดาบุญธรรมหรือการอบรมเลี้ยงดูของคุณลุงคุณป้า ท่านก็เริ่มสร้างความประหลาดใจให้ทั้งสอง ด้วยการอดอาหารทุกวันเสาร์ โดยรับเพียงอาหารมื้อเย็นเพื่อถวายเกียรติแด่แม่พระ และเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิท่านจะเที่ยวหาดอกไม้ที่น่ารักและหอมที่สุดที่ขึ้นตามเนินเขาและสวนภายในหมู่บ้านอิบิลลินมาใส่แจกันถวายหน้าพระรูปแม่พระ จนมีครั้งหนึ่งท่านพบว่าดอกไม้ที่ท่านตัดมาถวายได้งอกรากอยู่ในแจกัน ด้วยความประหลาดใจท่านจึงได้เอาเรื่องนี้ไปบอกคุณลุงของท่าน ฝั่งคุณลุงของท่านก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พระสงฆ์ประจำวัดทราบ คุณพ่อที่ประสงค์ให้ท่านถ่อมใจจึงได้ดุด่าท่านว่าเป็นเพราะบาปของท่านที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ฝั่งท่านก็คุกเข่าลงวอนขออภัยโทษจากบาปดังกล่าวโดยไม่ลังเล คุณพ่อที่เล็งเห็นความไม่ธรรมดาภายในวิญญาณของท่านจึงได้เอ่ยกับญาติ ๆ และเพื่อนบ้านของท่านที่ต่างประหลาดใจและชื่นชมในความศรัทธาของท่านว่า “พวกลูกคิดว่าอนาคตเด็กคนนี้จะเป็นอย่างไรต่อ”

ภาพเก่าของหมู่บ้านอิบิลลินที่นักบุญมารีใช้ชีวิตในวัยเยาว์

นอกจากเหตุการณ์นี้องค์พระผู้เป็นเจ้ายังทรงแสดงเครื่องหมายพิเศษกับท่านในวัยเยาว์อีกหลายครั้ง อันเป็นเครื่องหมายถึงความน่าพิศวงที่จะเกิดขึ้นไปตลอดชีวิตของท่าน ครั้งหนึ่งท่านได้รับของขวัญเป็นนกน้อยมาสองตัว ท่านเลี้ยงพวกมันไว้ในกรง คอยหาผลไม้ในสวนของคุณลุงของท่าน ซึ่งมีทั้งต้นแอปริคอท ต้นพีช และต้นถั่วพีแคนมาป้อนให้มันด้วยความรักใคร่ จนอยู่มาวันหนึ่งด้วยความซื่อ ๆ ตามประสาเด็กน้อย ท่านก็ได้นำบรรดานกที่ท่านเลี้ยงไว้มาอาบน้ำ แต่แล้วท่านก็พลาดทำพวกมันจมน้ำเสียชีวิตหมด นาทีนั้นหัวใจดวงน้อย ๆ ของท่านแตกสลาย ท่านค่อย ๆ นำร่างที่ไร้ลมหายใจของบรรดานกนั้นไปฝัง และในเวลานั้นเองภายในหัวใจที่แตกสลาย ท่านก็ได้ยินเสียงหนึ่งตรัสบอกกับท่านว่า “ถ้าลูกยกถวายดวงใจของลูกให้กับเรา เราจะอยู่กับลูกไปชั่วนิรันดร์ นี่คือวิธีที่ลูกจะผ่านทุกสิ่งไปได้” วิญญาณของท่านจดจำวาจานี่อย่างขึ้นใจ และวาจานี้เองได้มีบทบาทสำคัญต่อ ‘อนาคต’ ของท่าน

อีกคราวหนึ่งท่านได้ฝันเห็นพ่อค้าคนหนึ่งนำปลาตัวใหญ่มาขายให้คุณลุงของท่าน แต่ปลาตัวนั้นมีพิษร้ายแฝงอยู่ รุ่งขึ้นเหตุการณ์ก็เป็นดังนั้น ท่านจึงรีบห้ามไม่ให้คุณลุงของท่านรับซื้อปลาตัวนั้น แต่คุณลุงของท่านก็ไม่ได้ใส่ใจและซื้อปลาตัวนั้นมา ท่านจึงวิงวอนทั้งน้ำตาไม่ให้คุณลุงทานปลาตัวนั้น อีกทั้งยืนกรานอาสาจะเป็นผู้ทานปลาตัวนี้เป็นคนแรกเพื่อพิสูจน์ความจริง โดยไม่ห่วงชีวิตของตนเอง คุณลุงคุณป้าที่เห็นท่านเร้าหรืออยู่เช่นนี้จึงตัดสินใจลองผ่าปลาตัวนั้นดู และต้องพากันประหลาดใจเมื่อพบว่า ปลาตัวนี้มีพิษเนื่องจากมันได้กลืนงูพิษตัวเล็ก ๆ เข้าไปจริง ดังนั้นในวันนั้นทุกคนในบ้านจึงรอดตายกันมาได้อย่างอัศจรรย์ อีกครั้งหนึ่งท่านกำลังทานข้าวอยู่ตามลำพังในห้อง ปรากฏมีงูตัวหนึ่งได้เลื้อยเข้ามาหาท่าน ท่านจึงได้ใช้มือเปล่าคว้างูตัวนั้นไว้โดยไม่มีความเกรงกลัว เป็นจังหวะเดียวกับที่คนใช้ในบ้านเปิดประตูมาเห็น นางจึงกรีดร้องทำให้ท่านตกใจปล่อยงูตัวดังกล่าวให้เลื้อยหายไป ในขณะที่คนอื่น ๆ ในบ้านก็ต่างวิ่งหนีไปตามที่ต่าง ๆ ด้วยตกใจเสียงดังกล่าว ปรากฏประหลาดระหว่างท่านกับงูในวัยเยาว์ทั้งสองครั้งนี้ผู้เขียนชีวประวัติของท่านสำนวนหนึ่งได้อธิบายว่า นี่เป็นเครื่องหมายถึงการต่อสู้ระหว่างท่านและ ‘งูบรรพกาล’ ที่กำลังรอท่านอยู่ในอนาคต

เมืองอเล็กซานเดรียในช่วงทศวรรษ 1850 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกัน
กับที่นักบุญมารีย้ายไปอยู่

ท่านได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกเมื่ออายุได้ 8 ปี และหลังจากนั้นไม่นานท่านก็ต้องพบกับการพลักพรากอีกครั้ง คราวนี้เป็นหมู่บ้านอิบิลลินที่ท่านรักและมีความทรงจำดี ๆ มากมาย เนื่องจากคุณลุงของท่านตัดสินใจพาครอบครัวย้ายไปยังเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ การพบพานกับการจากลาครั้งนี้นำความเศร้าเข้ามาเกาะกุมหัวใจของท่าน แต่เวลาเดียวกันก็ทำให้ท่านค่อย ๆ ตระหนักได้ถึงความเป็นจริงที่ว่า ความสุขใด ๆ ในโลกล้วนเป็นสิ่งชั่วคราว และเมื่อมันผ่านไปความทุกข์ก็ย่อมกล้ำกลายเข้ามา นี่เองทำให้ท่านปรารถนาในความสุขนิรันดร์ในเมืองสวรรค์ และมีความปรารถนาที่จะได้ถวายตนทั้งครบเป็นของพระเจ้าผู้เป็นความสุขแท้ ความปรารถนาที่ก่อรูปร่างขึ้นผ่านประสบการณ์เช่นนี้เอง ในไม่ช้าเมื่อวันเวลาล่วงเลยต่อมาถึงวัยที่ท่านจะต้องออกเหย้าออกเรือนตามธรรมเนียมท้องถิ่นได้นำท่านไปสู่ ‘การผจญภัย’ ครั้งสำคัญ ที่จะเปลี่ยนชีวิตของท่านจากเพียงเด็กสาวธรรมดาให้กลายมาเป็น ‘อาหรับน้อย’ ในดินแดนที่ห่างไกลออกไปจากดินแดนที่ท่านเกิดและเติบโต

ในวัย 12 ปี คุณลุงของท่านจึงได้หมั้นหมายท่านไว้กับน้องชายของคุณป้าของท่านที่อาศัยอยู่ที่กรุงไคโร และได้กำหนดวันพิธีสมรสไว้อย่างเสร็จสรรพ โดยมิได้ถามความสมัครใจของท่านตามธรรมเนียมที่นิยมกันโดยทั่วไปของคริสตชนบริเวณตะวันออกกลาง ท่านที่ทราบว่าตนถูกคลุมถุงชนเช่นนี้ก็มีความตระหนกและทุกข์ใจเป็นอันมาก เพราะท่านมิได้ปรารถนาจะแต่งงานกับชายใดนอกจากองค์พระเยซูเจ้า ในคืนก่อนพิธีด้วยความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น ท่านจึงเฝ้าสวดภาวนาต่อพระเจ้าด้วยความหวัง หวังพระเจ้าจะทรงประทานหนทางช่วยเหลือ หรือไม่ก็ทรงแสดงเครื่องหมายสักประการให้ได้แน่ใจว่าการแต่งงานนี้เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ และเป็นขณะเวลาที่ท่ามกลางความกังวลใจถาโถมไปทั่วหัวใจดวงน้อย ๆ นี้เอง ที่ภายในดวงใจของท่าน เสียงชายหนุ่มที่ท่านคุ้นเคยในวัยเยาว์ได้ตรัสบรรเทาใจท่านว่า “ถ้าลูกปรารถนาจะยกถวายหัวใจของลูกให้เรา เราก็จะอยู่กับลูกตลอดไป แล้วทุกสิ่งจะผ่านไปได้” สิ้นเสียงนั้นท่านจึงใช้เวลาตลอดคืนที่เหลือสวดภาวนาต่อหน้าพระรูปแม่พระเพื่อวอนขอความช่วยเหลือจากพระนาง จนท่านผลอยหลับไป เสียงเดิมก็ตรัสกับท่านในหัวใจว่า “มารียัมเอ๋ย เราอยู่กับลูก จงทำตามสิ่งที่เราดลใจเถิด เราจะช่วยลูกเอง”

ทิวทัศน์เมืองอเล็กซานเดรียในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์น่าสลด
กับนักบุญมารี

รุ่งเช้าท่านมั่นใจว่าพระเยซูเจ้ามิได้ทรงประสงค์ให้ท่านเข้าพิธีวิวาห์ตามความประสงค์ของคุณลุง ท่านจึงได้ตัดเปียผมที่ไว้ออก แล้วเอาผมนั้นไปพันไว้กับเครื่องประดับที่ท่านได้รับเป็นสินสอด ก่อนจะไปแจ้งกับคุณลุงว่าท่านจะไม่เข้าพิธีแต่งงาน รวมถึงจะครองตนเป็นพรหมจรรย์ ฝั่งคุณลุงของท่านเมื่อไม่สามารถโน้มน้าวท่านให้เปลี่ยนใจได้ ด้วยความเดือดดาลที่เห็นท่านไม่ยอมเชื่อฟังตนเองเหมือนแต่ก่อน เขาจึงทั้งทุบตีและด่าทอท่านสารพัด แต่ท่านก็ยังคงยืนหยัดในการตัดสินใจเดิม แม้ในส่วนลึกท่านเองก็เป็นทุกข์ไม่น้อยที่ตนเองเป็นเหตุให้คุณลุงต้องเสียใจ แต่เมื่อระลึกความรักที่ท่านมีต่อพระเยซูเจ้า ท่านจึงมีกำลังใจที่ท่านจะหนักแน่นการตัดสินใจนี้ ดังนั้นเองเมื่อท่านยังคงไม่เปลี่ยนใจ แม้จะถูกคุณลุงของท่านทุบตีด่าทอ เขาจึงลงโทษให้ท่านไปเป็นคนใช้ชั้นเลวในบ้าน ซึ่งมีหน้าที่ทำงานที่ยากที่สุดอยู่ก้นครัว และมีฐานะต่ำกว่าบรรดาคนใช้ที่เขาจ้างมาทั้งหมด ความพลิกผันในชีวิตเช่นนี้นำความสิ้นหวังและความอ้างว้างอย่างถึงที่สุดมาสู่หัวใจของท่าน แต่กระนั้นในความทุกข์ใหญ่หลวงนี้ ท่านก็ระลึกได้ว่าท่านยังมีน้องชายเพียงคนเดียวอยู่ ดังนั้นสามเดือนต่อมาหลังประสบกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ท่านจึงได้เขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากน้องชายของท่าน โดยท่านได้ไปขอความช่วยเหลือจากอดีตคนชายรับใช้ชาวมุสลิมในบ้านให้เป็นผู้ช่วยส่งจดหมายฉบับดังกล่าวให้

เมื่ออดีตชายรับใช้ชาวมุสลิมทราบเรื่องของท่านทั้งหมด เขาได้ให้กำลังใจท่านและได้เสนอให้ท่านหันมานับถือศาสนาอิสลามเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่ไป ๆ มา ๆ ท่านก็สังเกตได้ว่าชายผู้นี้ไม่ได้บริสุทธิ์ใจกับท่านอย่างแท้จริง เพราะคำพูดคำจาและการกระทำของเขาก็ดีไม่ได้มุ่งไปที่เรื่องศาสนาที่ท่านนับถือ หากแต่มุ่งที่จะได้ตัวท่านไปครอบครอง ท่านที่เข้าใจในเจตนาแท้จริงของเขาดังนี้ ท่านจึงได้ปฏิเสธเขาไปว่า “หนูไม่มีวันนับถืออิสลาม หนูเป็นธิดาของพระศาสนจักรคาทอลิก และหนูก็หวังว่าโดยอาศัยพระหรรษทานของพระเจ้า ตัวหนูจะมีความเพียรในศาสนาของหนู ซึ่งเป็นสัจธรรมเดียว ไปจนตาย” ฝั่งอดีตชายรับใช้ชาวมุสลิมเมื่อได้ฟังคำปฏิเสธของท่านเช่นนั้น เขาก็บันดาลโทสะใช้เท้าเตะท่านจนล้มลงกับพื้น ก่อนจะชักดาบออกมาปาดคอท่านอย่างเหี้ยมโหดให้สาสมกับที่ท่านกล้าปฏิเสธเขาอย่างไม่มีเยื่อใย และเมื่อเขาคิดว่าท่านเสียชีวิตแล้ว เขาจึงเอาเสื้อคลุมคลุมห่อร่างของไว้ แล้วให้ภรรยาและแม่ของเขาช่วยกันนำร่างของท่านไปทิ้งไว้ภายในตรอกแคบ ๆ แล้วหนีหายไป วันนั้นเป็นวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1858 และไม่มีใครล่วงรู้เหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับสาวน้อยมารียัมเลย

ภคินีในชุดสีฟ้านำนักบุญมารีไปรักษาตัวในถ้ำแห่งหนึ่ง

แต่ในเสี้ยววินาทีของความเป็นความตายนั่นเอง เมื่อลมหายใจของ ด.ญ. มารียัมรวยรินเต็มที จนดูเหมือนว่าหนังสือชีวิตจะปิดลงเต็มทีในเวลานี้ ‘ภคินีในชุดสีฟ้า’ ก็ได้ปรากฏมา และนำท่านไปยังถ้ำแห่งหนึ่งที่ท่านเองก็ไม่รู้จัก ที่นั่นสตรีปริศนาได้เย็บแผลที่คอให้กับท่าน แล้วท่านจึงเห็นว่าตนเองมิได้อยู่ที่ถ้ำที่ตถูกพามา หากแต่อยู่บนสวรรค์ ที่นั่นแม่พระ บรรดาทูตสวรรค์ และนักบุญทั้งหลาย ซึ่งหนึ่งในนั้นมีบิดามารดาผู้ล่วงลับของท่าน ต่างพากันเข้ามาดูแลท่านด้วยความเมตตา หลังจากนั้นท่านจึงมองเห็นพระบัลลังก์อันสุกใสของพระตรีเอกภาพ และพระเยซูเจ้าในรูปมนุษย์ ท่านบรรยายต่อว่า “ที่นี่ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีตะเกียง แต่ทุกสิ่งล้วนสุกสว่างด้วยแสงสว่าง มีใครบางคนได้บอกกับลูกว่า ลูกเป็นพรหมจารี แต่หนังสือของลูกยังเขียนไม่เสร็จ” และเมื่อท่านได้ยินเช่นนี้ ท่านจึงพบว่าตัวท่านได้กลับมาอยู่ที่ถ้ำพร้อมกับภคินีในชุดสีฟ้าดังเดิม

ท่านพำนักอยู่ในถ้ำแห่งนั้นประมาณหนึ่งเดือน (ท่านเองก็ไม่แน่ใจในเรื่องระยะเวลาเท่าไร) โดยระหว่างนั้นมีวันหนึ่งสตรีปริศนาได้ทำแกงให้ท่านรับประทาน เป็นแกงรสเลิศที่ท่านไม่เคยทานที่ไหน จนท่านต้องขอเพิ่ม และสตรีปริศนาจึงได้สัญญากับท่านว่า เธอจะให้ท่านได้ทานแกงนี้อีกครั้งในเวลาที่ท่านจะสิ้นใจ ท่านจึงเฝ้ารอเวลานั้นมาโดยตลอด และสตรีปริศนาก็รักษาสัญญานั้นจริง เพราะในอีกหลายสิบปีต่อมา มีพยานได้ยืนยันว่า เมื่อท่านใกล้จะสิ้นใจ ท่านได้พูดออกมาว่า “ท่านได้ทำแกงให้ลูกแล้ว โอ้ ช่างเป็นแกงที่อร่อยเหลือเกิน ลูกอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน เฝ้ารอ และไม่เคยได้ลิ้มรสแกงไหนเหมือนแกงนี้เลย รสของมันยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นของลูก ท่านสัญญาว่าในเวลาสุดท้ายของชีวิตลูก ท่านจะให้ลูกได้กินแกงนี้อีกช้อน”

อาสนวิหารนักบุญแคทเธอรีน เมืองอเล็กซานเดรีย

เมื่ออาการของท่านดีขึ้นจนใกล้หายขาด สตรีปริศนาผู้ที่แม้ท่านจะไม่ทราบนาม แต่ท่านก็เชื่อว่านี่คือผู้ที่บิดาของท่านยกให้เป็นมารดาอย่างไม่ต้องสงสัยในเวลาต่อมา จึงได้บอกถึงหนทางที่ท่านต้องจาริกต่อไปในโลกว่า “หนูจะไม่ได้เจอครอบครัวของหนูอีกต่อไป หนูจะไปฝรั่งเศส ที่นั่นหนูจะได้เป็นนักบวช หนูจะได้เป็นธิดาของนักบุญยอแซฟก่อนที่จะเป็นธิดาของนักบุญเทเรซา หนูจะได้รับเครื่องแบบคาร์เมไลท์ที่อารามหลังที่หนึ่ง แล้วจะได้เข้าพิธีปฏิญาณตนที่อารามหลังที่สอง และจะสิ้นใจที่อารามหลังที่สาม ที่เมืองเบธเลเฮม” และเมื่ออาการของท่านหายดี คงเหลือแต่แผลเป็นขนาดกว้าง 1 ซม. และยาวประมาณ 10 ซม. ที่จะไม่เพียงเป็นประจักษ์พยานถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ไปตราบถึงวันสุดท้ายในชีวิตของท่าน แต่ยังจะท้าทายความเข้าใจตามประสามนุษย์ของบรรดาแพทย์ที่ได้มีโอกาสตรวจท่านด้วย หนึ่งในนั้นคือแพทย์จากเมืองมาร์แซย์ ซึ่งถึงกับสารภาพออกมาว่า แม้ตัวเขาจะเป็นผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า เขาก็ต้องเชื่อว่าพระเจ้านั้นมีจริงแน่ทีเดียว เพราะหากพิจารณาด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์แล้ว ท่านนั้นไม่มีทางมีชีวิตอยู่ได้ และเสียงที่แหบตลอดชีวิต สตรีปริศนาจึงพาท่านไปที่วัดนักบุญแคทเธอรีน เมืองอเล็กซานเดรีย ซึ่งดูแลโดยนักบวชคณะฟรังซิสกัน ท่านจึงได้โอกาสเข้าไปแก้บาป ก่อนจะกลับออกมาพบว่า บัดนี้สตรีปริศนาได้อันตรธานหายไปแล้ว หลังจากนั้นคำทำนายประการแรกที่ว่า “หนูจะไม่ได้เจอครอบครัวของหนูอีกต่อไป” จึงได้เริ่มขึ้น

สืบเนื่องมาจากความอับอายต่อการตัดสินใจปฏิเสธการแต่งงานของท่าน คุณลุงคุณป้าของท่านที่ไม่ทราบว่าท่านนั้นถูกทำร้ายและคิดเพียงว่าท่านได้หนีไปเพียงอย่างเดียว จึงเลือกที่จะไม่พูดหรือติดตามเรื่องของท่านอีกต่อไป แล้วปล่อยให้กาลเวลากลบฝังเรื่องราวที่น่าอับอายนี้ไว้ตลอดกาล นี่เองทำให้ท่านในวัย 13 ปี ได้พ้นจากพันธการฝ่ายโลกที่ฉุดรั้งท่านไว้ และได้เริ่มต้นการจาริกไปบนเส้นทางแห่งชีวิตตามเสียงของหัวใจตนเอง ซึ่งจะนำท่านไปยังดินแดนที่แสนไกลกว่าที่ท่านจะคิดฝัน เพราะท่านเองก็ไม่คิดจะหันหลังกลับไป เสมือนหนึ่งชาวนาผู้จับคันไถแล้วไม่เบือนหน้ากลับไปในทางที่ตนไถมา (เทียบ ลูกา 9 : 62) บนเส้นทางที่แสนที่พิศวงเช่นนี้ ท่านเริ่มต้นจากการเป็นหญิงรับใช้ในบ้านของครอบครัวนาจจาร์ ครอบครัวคริสตชนชาวอาหรับซึ่งจ้างท่านด้วยเงินเพียงเล็กน้อยพร้อมให้ที่พักและอาหาร การทำงานนี้ไม่ได้ทำให้ท่านมีชีวิตที่สุขสบายนัก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ท่านเห็นว่าเป็นข้ออ้างที่จะไม่ดำเนินตามรอยเท้าของชายที่ท่านรัก กล่าวคือในขณะที่ท่านมีเสื้อผ้าเพียงชุดเดียว และมีชีวิตอย่างยากไร้ เมื่อท่านได้รับค่าจ้างในแต่ละเดือน ท่านก็ไม่รีรอที่จะแบ่งเงินเพียงไม่กี่สตางค์สำหรับซื้อน้ำมันเติมตะเกียงน้อย ๆ หน้ารูปแม่พระในห้อง ก่อนจะนำเงินที่เหลือทั้งหมดไปมอบให้กับบรรดาผู้ยากไร้ และเมื่อว่างเว้นจากภาระงานในบ้านหลังนี้ ท่านก็จะใช้เวลาเหล่านั้นไปกับการปฏิการเมตตากับผู้ด้อยโอกาสคนอื่น ๆ อีกด้วย

วัดพระคูหาศักดิ์สิทธิ์ช่วงทศวรรษ 1860 
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักบุญมารีได้ปฏิญาณตนถือพรหมจรรย์

ท่านอยู่กับครอบครัวนาจจาร์จนวันเวลาล่วงมาได้ประมาณ 1 ปี ท่านจึงตัดสินใจขอลาออกและได้ร่วมเดินทางไปกับกองคาราวานที่มุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะท่านปรารถนาจะได้พบกับน้องชายอีกครั้ง และได้เดินตามรอยพระบาทของชายที่ผู้ที่ท่านรักไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ดังคำทำนายของพระมารดาพระเจ้าที่ว่า “หนูจะไม่ได้เจอครอบครัวของหนูอีกต่อไป” เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเลม เราไม่พบหลักฐานว่าท่านได้พบกับเปาโล น้องชายของท่าน ตรงกันข้ามเราพบว่าท่านในวัย 15 ปี กลับได้พบกับชายหนุ่มปริศนา ซึ่งจะกลายมาเป็น ‘พี่ชายฝ่ายจิต’ ของท่าน ผู้ทำให้ท่านยิ่งตระหนักถึงหนทางที่ท่านต้องจาริกต่อไปแทน เรื่องราวนี้เริ่มขึ้นในวันหนึ่ง ขณะท่านเดินไปตามถนนสายหนึ่งในกรุงเยรูซาเลม ท่านก็ได้พบกับชายหนุ่มรูปงามท่าทางจริงใจผู้หนึ่ง เดินเข้ามาชวนท่านสนทนาอย่างอ่อนโยน และได้กล่าวสรรเสริญการถือพรหมจรรย์อย่างบริบูรณ์ให้ท่านฟัง เหตุการณ์ในวันนั้นจบลงโดยที่ท่านไม่ทราบนามของชายหนุ่มปริศนาผู้นั้น แต่ก็คงสร้างความประทับใจไม่น้อยให้หัวใจน้อย ๆ ของมารียัม เพราะในหลายวันต่อมา เมื่อท่านได้พบกับเขาอีกครั้ง ทั้งได้ทราบว่าเขาชื่อ ‘ยอห์น ยอร์ช’ และได้ร่วมเดินทางมายังวัดพระคูหาศักดิ์สิทธิ์ตามคำอาสาของเขา ท่านจึงเอ่ยสัญญากับเขาว่า หากเขายินดีจะปฏิญาณตนถือพรหมจรรย์ ท่านก็ยินดีที่จะปฏิบัติสิ่งนี้ไปพร้อมกับเขาด้วย

ดังนั้นเองในวัย 15 ปี ณ ภายในวัดพระคูหาศักดิ์สิทธิ์ ในสถานที่ที่ได้ฝังร่างของพระบุตร และเป็นสถานที่เดียวกันกับที่ทรงมีชัยชนะเหนือความตายด้วยการกลับคืนพระชนม์ชีพ ท่านและยอห์น ยอร์ชจึงได้พร้อมใจกันปฏิญาณตนถือพรหมจรรย์ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า และเมื่อถึงเวลาต้องอำลากันไปตามทางจาริกของแต่ละคน ยอห์น ยอร์ช ที่บัดนี้เป็นพี่ชายฝ่ายจิตของท่าน ก็ได้กล่าวย้ำถึงเส้นทางชีวิตของท่านอย่างที่พระมารดาพระเจ้าได้ทรงบอกกับท่านในถ้ำลึกลับอีกครั้ง หลังจากนั้นท่านก็มิได้พบเขาอีกเลย ทั้งมิได้เอะใจถึงที่มาของพี่ชายคนนี้ กระทั่งวันเวลาล่วงไปได้สิบปี เมื่อคำพูดของสตรีปริศนาและเขาเป็นจริงแล้วครึ่งทาง นั่นคือในเวลาที่ท่านใกล้จะได้เข้าพิธีปฏิญาณตนในคณะคาร์เมไลท์ที่อารามหลังที่สอง ท่านจึงได้พบกับเขาอีกครั้ง และได้ตระหนักว่าแท้จริง ยอห์น ยอร์ช ผู้นี้มิใช้คนธรรมดาทั่วไป หากแต่เป็นทูตสวรรค์ที่เจ้าบ่าวของท่านนั้นทรงส่งมาช่วยนำทางท่าน เหมือนเมื่อครั้งที่ทรงส่งอัครเทวดาราฟาแอลให้ไปนำทางโทบิยาห์ ในพระธรรมเดิม ให้เดินหน้าต่อไปในหนทางที่พระองค์เตรียมไว้ให้ท่าน เพื่อจะทรงทำให้โลกได้รู้และตระหนักถึงความรักของพระองค์

เมืองจาฟฟาในทศวรรษ 1860

เป็นไปได้ว่าการกล่าวย้ำถึงหนทางต่อไปในภายหน้าของยอห์น ยอร์ช ชายหนุ่มปริศนาที่กรุงเยรูซาเล็ม น่าจะมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจของท่าน ในการที่จะไม่ติดตามหาครอบครัวอีกต่อไป ดังนั้นเราจึงพบหลักฐานว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่งท่านเลือกที่จะมุ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไปยังเมืองจาฟฟา แทนที่จะมุ่งไปหมู่บ้านทาร์ชิชมาหรือกลับเมืองอเล็กซานเดรีย ในประเทศอิยิปต์แทน จากที่นั่นเราพบหลักฐานว่าท่านได้ลงเรือขึ้นไปทางเหนือเพื่อไปขึ้นท่าที่เมืองอาเคอร์ แต่เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ เป็นผลให้เรือที่ท่านโดยสารไปต้องเลยขึ้นไปจอดที่เมืองเบรุต ประเทศเลบานอนแทน ท่านที่เห็นเหตุการณ์เป็นไปดังนี้ ก็เชื่อมั่นว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าแน่แท้ที่ประสงค์ให้ท่านขึ้นฝั่งเมืองนี้ ท่านจึงเปลี่ยนแผนที่จะไปเมืองอาเคอร์ และได้ขึ้นฝั่งที่เมืองเบรุต พร้อม ๆ กับเริ่มไปทำงานเป็นสาวใช้ที่บ้านหลังหนึ่งในทันที

ที่เมืองเบรุตเกิดเหตุอัศจรรย์กับท่านถึง 2 เหตุการณ์ ซึ่งในเวลาต่อมาได้มีการตรวจสอบและยืนยันโดยคุณแม่เยลัส คุณแม่อธิการคณะธิดาแห่งเมตตาธรรม เมืองเบรุต ตามคำขอของคุณแม่อธิการอารามคาร์แมลเมืองโป ใน ค.ศ. 1869 ว่าเหตุการณ์ทั้งสองล้วนเป็นความจริง โดยเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อท่านได้ทำงานได้ประมาณหกเดือน อยู่ ๆ นัยตาของท่านก็กลับมืดบอดสนิทอย่างไม่มีสาเหตุนานถึงสี่สิบวัน จนทำงานอะไรไม่ได้และตกเป็นภาระของครอบครัวนายจ้างในการดูแล (ซึ่งพวกเขายินดีจะทำเช่นนั้น) ท่านที่มีใจสงสารนายจ้างที่ต้องคอยมาดูแลท่าน จึงได้ทูลขอแม่พระอย่างซื่อ ๆ ด้วยความไว้ใจเหมือนที่ท่านทำในคืนก่อนการปฏิเสธการแต่งงานว่า “ดูเถิด แม่จ๋า ดูความลำบากที่ลูกได้ก่อให้บ้านหลังนี้เถิด ลูกนั้นไม่ได้มีค่าพอจะให้พวกท่านต้องมาคอยดูแลเลย โอ้แม่จ๋า หากแม่และพระบุตรของแม่ทรงพอพระทัย ก็โปรดบันดาลให้ลูกกลับมามองเห็นอีกครั้งเถิด” สิ้นคำภาวนาที่ไม่เห็นแก่ตนเองนี้เอง ทันใดก็มีบางสิ่งล่วงลงมาจากนัยตาของท่าน ทำให้ท่านกลับมามองเห็นอีกครั้งและกลับมาทำงานได้

เมืองเบรุตในทศวรรษ 1860

ส่วนอีกเหตุการณ์เกิดอีกสองสามเดือนหลังท่านกลับมามองเห็น เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งขณะท่านขึ้นไปตากผ้าบนระเบียง ท่านก็เกิดพลัดตกลงมาจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทีแรกนายจ้างของท่านคิดว่าท่านคงจะเสียชีวิตเป็นแน่ เนื่องจากแพทย์ที่ให้การรักษาท่านยืนยันว่าไม่มีความหวังในการรักษาท่านให้หายขาด เนื่องจากกระดูกของท่านนั้นหักอยู่หลายจุด คราวนี้เป็นอีกครั้งที่ด้วยความเมตตา ครอบครัวนายจ้างของท่านจึงคอยดูแลท่านเป็นอย่างดี โดยมิได้ผลักไสไล่ส่งท่านไปไหน กระทั่งผ่านมาได้หนึ่งเดือน วันหนึ่งท่านก็มองเห็นแม่พระประจักษ์มาแย้มสรวลให้ท่านเห็นอยู่ ณ เบื้องหน้าตะเกียงที่ท่านจุดไว้หน้ารูปแม่พระในห้อง พระนางได้สอนให้ท่านนั้นมีความนบนอบ มีใจเมตตา และมีความมั่นใจ เป็นเวลาเดียวกันนั้นเองปรากฏแสงสว่างและกลิ่นหอมคลุ้มไปทั่วห้องของท่าน แล้วท่านก็ได้รับการรักษาให้หาย ท่านรู้สึกหิว ในขณะที่ครอบครัวนายจ้างของท่านและชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงต่างพากันกรูเข้ามาชมเหตุอัศจรรย์นี้ และเมื่อได้เห็นท่านหายเป็นปกติ ทุกคนก็ต่างพร้อมใจกันคุกเข่าลงโมทนาคุณพระเจ้าและประกาศถึงอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงกระทำผ่านทางแม่พระในครั้งนี้ ทั้งคนที่นับถือคริสต์ศาสนาและอิสลาม

ท่านทำงานอยู่เมืองเบรุต กระทั่งมีอายุได้ประมาณ 17 ปี ท่านที่ไม่ประสงค์ให้นายจ้างหรือคนรอบข้างปฏิบัติหรือยกย่องท่านดีว่าฐานะหญิงรับใช้ธรรมดา ท่านก็สบโอกาสที่มาดามนาจจาร์ หญิงสาวชาวซีเรียที่อาศัยอยู่ที่เมืองมาร์แซย์ แคว้นพรอว็องซาลป์ โกตดาซูร์  ประเทศฝรั่งเศส กำลังหาแม่ครัวอยู่ ลาออกจากงานเดิม แล้วสมัครเข้าทำงานเป็นแม่ครัวของมาดามนาจจาร์ นี่เองทำให้ต้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1863 คำทำนายของแม่พระประการต่อมาที่ดูจะเป็นได้ยากอย่าง “หนูจะไปฝรั่งเศส” จึงเป็นจริง เพราะท่านได้ออกเดินทางจากกรุงเมืองเบรุต ประเทศเลบานอนมุ่งไปยังเมืองมาร์แซย์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ดินแดนที่คำทำนายของพระมารดาพระเจ้าจะเป็นจริง ดังนั้นการเดินทางอีกครั้งของท่านในคราวนี้จะไม่เพียงนำตัวท่าน ที่ในเวลานี้เป็นเพียงเด็กสาวชาวปาเลสไตน์ผู้ต่ำต้อยไปยังดินแดนที่แตกต่างไปจากตะวันออกกลางที่คุ้นเคย แต่ยังเป็นการเดินทางที่จะทำให้ท่านได้พบกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต ซึ่งจะนำพาให้ท่านต้องออกเดินทางอีกครั้งไปยังดินแดนแห่งใหม่ที่ท่านไม่คุ้นเคย ก่อนที่ในท้ายที่สุด มันจะนำให้ท่านกลับดินแดนที่เป็นดั่งบ้านของท่านในที่สุด

วัดนักบุญนิโคลัส เมืองมาร์แซย์ สร้างขึ้นตามคำร้องของขอชาวคริสต์อพยพ ใน ค.ศ. 1821 เป็นวัดในจารีตเมลไคต์

ณ ดินแดนที่แสนไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน นอกจากการทำงานตามหน้าที่ในแต่ละวัน ทุกเช้าท่านจะเดินทางไปร่วมมิสซาที่วัดต่าง ๆ โดยเฉพาะวัดนักบุญชาร์ลและวัดนักบุญนิโคลัส ซึ่งวัดหลังนี้เป็นวัดในจารีตกรีกคาทอลิกที่ท่านถือ และเป็นที่พักของคุณพ่อฟิลิป อับดู พระสงฆ์ชาวเลบานอน ผู้เป็นเจ้าวัดและคุณพ่อที่ท่านขอให้เป็นคุณฟังแก้บาปของตนเอง และเช่นเดียวกับที่เมืองเบรุต เมื่อท่านมาทำงานที่มาเมืองมาร์แซย์ ปรากฏการอันน่าพิศวงก็ได้เกิดขึ้นกับท่านอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่การรักษาอัศจรรย์ หากแต่เป็น ‘การเข้าฌาน’ ยาวนานถึงสี่วัน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ วันหนึ่งหลังท่านรับศีลมหาสนิทที่วัดนักบุญนิโคลัส เมื่อท่านมาเข้าวัดที่นี่ในช่วงแรก ๆ ท่านก็เข้าสู่สภาวะเข้าฌานเป็นเวลานาน จนมาดามนาจจาร์ที่ทราบเรื่องต้องนั่งรถม้ามาพาตัวของท่านที่ยังคงอยู่สภาวะดังกล่าวกลับบ้าน และตามให้แพทย์มาแก้ไขอาการของท่านให้กลับเป็นปกติ แต่จนแล้วจนรอดแพทย์ที่ถูกตามมาก็ต่างจนใจจะหาทางแก้ไขให้ท่านหายเป็นปกติ กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงสี่วัน ท่านจึงออกจากสภาวะฌาน และภายหลังท่านจึงได้เล่าว่า ในช่วงเวลาที่ท่านอยู่สภาวะนั้น ท่านไปได้ทั้งสวรรค์ นรก และไฟชำระ พร้อมทั้งได้รับคำสั่งให้ท่านถืออดอาหารด้วยการรับประทานแต่น้ำและขนมปังเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อชดเชยบาปแห่งความตะกละในโลก และสวมใส่เสื้อผ้าที่เรียบง่าย เพื่อชดเชยบาปผิดแห่งความไม่สุภาพและความฟุ่มเฟือย

และดูเหมือนว่าเพื่อให้ข้อความทำนายต่อมาที่ว่า “ที่นั่นหนูจะได้เป็นนักบวช” นั้นเป็นจริง องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงหมั้นหมายท่านไว้ให้จาริกไปในโลกในฐานะเจ้าสาวของพระองค์ ก็ทรงกระตุ้นให้ท่านตระหนักถึง ‘กระแสเรียก’ ที่แท้จริงในชีวิตของท่านด้วย ‘เหตุการณ์น่าพิศวง’ เหมือนที่ทรงรักษาชีวิตของท่านให้พ้นจากความตายไว้ครั้งก่อน พระองค์พร้อมนักบุญยอแซฟจึงได้ปรากฏมาในรูปของชายหนุ่มจูงมือเด็กเดินตามหลังท่านอยู่บ่อย ๆ แต่ท่านก็มิได้เอะใจว่าเหตุการณ์นี้คือเครื่องหมายจากสวรรค์ ตรงกันข้ามท่านกลับรู้สึกหวาดระแวงต่อการกระทำของชายผู้นี้แทน กระทั่งวันหนึ่งระหว่างเดินทางไปร่วมมิสซาที่วัดแม่พระผู้พิทักษ์รักษา (Notre Dame de la Garde) ท่านที่เห็นชายปริศนาอีกครั้ง จึงตัดสินใจเดินเข้าไปคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา ว่าขอให้เขาเลิกเดินตามท่านเสียที ชายปริศนาเมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนี้ จึงได้เผยรอยยิ้มและบอกกับท่านว่า “ฉันรู้ว่าเธออยากเข้าอาราม และฉันจะติดตามเธอไปจนกว่าเธอจะได้เข้าอาราม” สิ้นคำตอบดังนี้ท่านก็ทราบในทันทีว่า ชายปริศนาผู้นี้คือ นักบุญยอแซฟ ผู้ที่บิดาของท่านยกให้เป็นบิดาของท่านอย่างไม่ต้องสงสัย พร้อม ๆ กับมั่นใจว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องเข้าคณะนักบวชคณะไหนสักคณะ

นักบุญเอมิลี เดอ เวียรา 
ผู้ก่อตั้งคณะภคินีนักบุญยอแซฟแห่งการประจักษ์ 

เมื่อมั่นใจในกระแสเรียกการเป็นนักบวช ท่านจึงเผยความปรารถนาจะเป็นนักบวชให้คุณพ่ออับดูฟัง ฝั่งคุณพ่อก็มีความยินดีที่จะช่วยเหลือท่านให้การตัดสินใจครั้งนี้อย่างเต็มที่ แต่ทุกสิ่งก็ไม่ได้เป็นไปอย่างง่ายดาย เมื่อแรกสุดท่านตัดสินใจจะสมัครเข้าคณะธิดาแห่งความเมตตาธรรม ที่ก่อตั้งโดยนักบุญวินเซนต์ เดอ ปอลเป็นคณะแรก ท่านก็กลับถูกมาดามนาจจาร์ที่ไม่ประสงค์จะสูญเสียคนครัวนั้นขัดขวาง ซ้ำยังถูกทางคณะปฏิเสธที่จะรับเนื่องจากสถานภาพการเป็นคนใช้ของท่าน ท่านจึงหันความสนใจมายังคณะกลาริสของนักบุญคลารา ซึ่งมีแนวทางคณะที่ท่านสนใจแทน แต่คราวนี้ด้วยปัญหาสุขภาพที่ไม่สู้จะแข็งแรงของท่าน อันเป็นผลจากการอดอาหารอย่างเคร่งคัด ที่ทำให้ท่านถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อจนต้องได้รับศีลเจิมคนไข้ ก่อนจะได้รักษาให้หายอย่างน่าอัศจรรย์ จึงทำให้ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าคณะนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตามด้วยความเชื่ออย่างสุดหัวใจว่า พระเจ้าทรงเรียกให้ท่านถวายตนเป็นนักบวช และความเชื่อซื่อ ๆ ในพระวาจาที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสสอนท่านในวัยเยาว์ว่า “ถ้าลูกยกถวายดวงใจของลูกให้กับเรา เราจะอยู่กับลูกไปชั่วนิรันดร์ นี่คือวิธีที่ลูกจะผ่านทุกสิ่งไปได้” การถูกปฏิเสธจากคณะนักบวชถึงสองคณะจึงไม่ได้ทำให้ท่านรู้สึกท้อถอย ตรงกันข้ามท่านยังคงเดินหน้าแสวงหาคณะนักบวชที่เหมาะสมกับท่านต่อไป จนที่สุดท่านได้พบกับคณะภคินีนักบุญยอแซฟแห่งการประจักษ์ ท่านจึงตัดสินใจสมัครเข้าเป็นนักบวชคณะนี้เป็นคณะที่สาม พร้อมความเชื่อว่าเมื่อนักบุญยอแซฟเป็นผู้ชี้นำให้ท่านเป็นนักบวช คณะนักบวชไหนเล่าจะเหมาะสมเท่ากับคณะที่นักบุญยอแซฟเป็นองค์อุปถัมภ์

และแล้วความพยายามครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ท่านผิดหวัง แม้ในเวลานั้นท่านจะเป็นเพียงเด็กสาวชาวปาเลสไตน์ที่พูดได้แต่ภาษาอาหรับกับภาษาฝรั่งเศสเพียงนิดหน่อย ซ้ำยังอ่านและเขียนไม่ได้สักภาษา ไม่พอยังมีสุขภาพไม่สู้ดีนัก ทางคณะภคินีนักบุญยอแซฟแห่งการประจักษ์ที่มีนวกสถานอยู่ที่ชานเมืองมาร์แซย์ก็ยินดีรับท่านเข้าคณะ เนื่องจากในนวกสถานแห่งนี้มีนวกเณรีชาวปาเลสไตน์อยู่ และทางคณะก็มีอารามหลายแห่งอยู่ในดินแดนตลอด หนึ่งในนั้นคือในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ การรับท่านเข้ามาจึงไม่มีปัญหา ซ้ำยังจะเป็นประโยชน์แก่การดำเนินงานของคณะต่อไปในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย เหตุฉะนี้เองคำทำนายท่อนต่อมาที่ว่า “หนูจะได้เป็นธิดาของนักบุญยอแซฟ” จึงเป็นความจริง ใน ค.ศ. 1865 เรื่องนี้นำความยินดีให้กับท่านเป็นอันมาก เพราะในที่สุดความปรารถนาที่จะมอบชีวิตทั้งครบเพื่อรับใช้พระเจ้าก็สำเร็จไป

ต้วอย่างการแต่งกายของภคินี นวกเณรี และโปสตุลันต์
คณะภคินีนักบุญยอแซฟแห่งการประจักษ์ จากประเทศออสเตรเลีย

เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1865 ในสถานภาพใหม่ คือ โปสตุลันต์ ผู้เตรียมตัวเป็นนวกะเณรีของคณะภคินีแห่งนักบุญยอแซฟแห่งการประจักษ์ ภายใต้การอบรมดูแลสตรีสองคนผู้เปี่ยมไปด้วยฤทธิ์กุศล คือ คุณแม่เอมิลี ฌูเลียง คุณแม่อธิการ และคุณแม่โอโนรีน พิคิส นวกจารย์ ท่านในวัย 19 ปีเป็นที่รู้จักในนาม ‘มารียัมอาหรับ’ และ ‘อาหรับน้อย’ และด้วยความที่ท่านยังไม่ได้ภาษาฝรั่งเศสดีเท่าไร ท่านจึงมักได้รับหน้าที่ให้ทำงานอยู่ภายในห้องซักรีดและห้องครัวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งท่านก็มีความยินดีที่ได้ทำงานเหล่านี้ ที่นี่ท่านเป็นทั้งที่ประทับใจแก่เพื่อนร่วมคณะ ผู้ที่ท่านเรียกแทนพวกเธอด้วยความถ่อมตนว่า ‘คุณ’ (Tu) เสมอ จากแบบฉบับของการถือฤทธิ์กุศลและความศรัทธาอย่างแน่วแน่ และเป็นทั้งเสียงหัวเราะให้กับพวกเธอจากภาษาฝรั่งเศสที่ไม่สันทัดดีไปพร้อม ๆ กัน อาจกล่าวได้ว่า ชีวิตในเวลานี้ของท่านคงจะเป็นฟ้าใหม่ หลังเรื่องราวร้าย ๆ ในชีวิต จนทำให้อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามต่อไปว่า คำทำนายประการต่อมาที่ว่า “ก่อนที่จะเป็นธิดาของนักบุญเทเรซา” จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะนอกจากจะไม่มีเค้าลางใดที่จะทำให้ท่านต้องออกคณะนี้ เอาเข้าจริงท่านแทบไม่ทราบด้วยซ้ำว่านักบุญเทเรซานั้นเป็นใคร แต่ “ถ้าพระองค์ทรงเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผู้ใดจะเปลี่ยนพระทัยพระองค์ได้” (โยบ 23:13) อีกครั้งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงใช้เหตุการณ์อันน่าพิศวงเป็นเหตุให้ท่านพบ ‘จุดเปลี่ยนในชีวิต’

เมื่อเป็นโปสตุลันต์ได้ระยะหนึ่ง อาการเข้าฌานของท่านที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่มิได้บ่อยครั้ง ได้ปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งในเวลาอยู่ในวัดน้อย เวลาหย่อนใจ และเวลากลางคืน จนทั้งคุณแม่ฌูเลียงและคุณแม่พิคิสสังเกตุเห็นความผิดปกติในตัวโปสตุลันต์ผู้นี้ เหตุการณ์การเข้าฌานเป็นระยะ ๆ นี้ดำเนินมาถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1866 วันหนึ่งคุณแม่พิคิสจึงเข้ามาพบท่านนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นหอพักในสภาพมีเลือดเปรอะอยู่ที่มือซ้าย และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เมื่อล่วงเข้าสู่เย็นวันพุธเรื่อยมาจนถึงเช้าวันศุกร์ในแต่ละสัปดาห์ ท่านจึงเริ่มมีภาวะเข้าฌานเป็นเวลานานติดต่อกัน เหตุการณ์อันน่าพิศวงของท่านไม่ได้จบลงแต่เพียงเท่านี้ และดูเหมือนว่าการเข้าฌานนี้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นก่อนเหตุการณ์พิศวงใหญ่ ซึ่งจะนำไปสู่ ‘จุดเปลี่ยนในชีวิต’ ตามคำทำนายของแม่พระ ด้วยว่าเหตุการณ์ที่พระเจ้าจะทรงให้เกิดขึ้นในเวลาต่อมากับท่านนั้น จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่จะสั่นคลอนสถานภาพของท่านในคณะนักบวช ที่ท่านสังกัดอยู่ ณ เวลานี้


ยามเย็นวันหนึ่งในเดือนสิงหาคม ปีเดียวกันกับที่อาการเข้าฌานของท่านมีความถี่และระยะเวลามากขึ้น ขณะท่านในวัย 20 ปีกำลังสวดภาวนาอยู่ในวัดน้อย พลันท่านก็ได้แลเห็นองค์พระองค์เยซูเจ้าทรงประทับอยู่ในตู้ศีล ทรงสวมมงกุฏหนาม ที่พระหัตถ์ทั้งสอง พระบาททั้งสอง และพระปรัศว์ (สีข้าง) มีรอยแผลปรากฏชัด พระองค์มีถ่านแห่งพระพิโรธอยู่อยู่ในพระหัตถ์ และตรัสกับพระมารดากับพระองค์ ซึ่งกราบอยู่แทบพระบาทของพระองค์ว่า “โอ้ พระบิดาของเราช่างทรงขุ่นเคืองพระทัยมากเหลือเกิน” ท่านที่เห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตรงเข้าไปหาพระองค์ พร้อมวางมือไว้ที่บาดแผลที่พระปรัศว์พร้อมทูลออกว่า “ข้าแต่พระเจ้าของลูก โปรดเถิด โปรดประทานบรรดาความทรมานทั้งหมดนี้แก่ลูกด้วยเถิด แต่ขอทรงพระเมตตาบรรดาคนบาปด้วยเถิด” ทันทีภาพนิมิตจึงอันตรธานหายไป เหลือแต่ตัวท่านที่มือทั้งสองเปื้อนไปด้วยเลือด และความรู้สึกเจ็บปวดที่สีข้างซ้าย แต่นั้นมา ‘รอยแผลศักดิ์สิทธิ์’ รอยแรกจึงเกิดปรากฏขึ้นบนร่างของท่าน และทุกวันศุกร์หลังจากนั้นมา รอยแผลนี้จะมีเลือดไหลออกมา

หลังจากการได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่สีข้าง อีกประมาณ 7 เดือนรอยแผลศักดิ์สิทธิ์อีกสี่จุดที่เหลือจึงปรากฏขึ้นบนร่างของท่านในวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1867 ท่านเล่าให้นวกจารย์ของท่านฟังว่า “ลูกรู้สึกเหมือนกับว่าลูกกำลังเก็บดอกกุหลาบเพื่อไปตกแต่งพระแท่นแม่พระอยู่ ดอกกุหลาบเหล่านี้มีหนามอยู่ทั่วทั้งต้น และหนามนั้นก็ได้ตำเข้าไปที่มือและเท้าของลูก จนเมื่อลูกหลุดจากภวังค์ ปากของลูกก็รู้สึกปวดร้าว มือและเท้าของลูกบวมเป่ง ส่วนที่กลางมือและเท้านั้นมีจุดสีดำ” รุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันพฤหัสบดีอาการเจ็บปวดก็ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ตรงข้ามกับยิ่งเพิ่มทวีขึ้นเป็นลำดับจนล่วงถึงเวลาประมาณ 10 โมงเช้าของวันศุกร์ สะเก็ดสีดำที่รอยแผลทั้งห้าจุดบนร่างของท่านจึงหลุดออกและมีเลือดไหลออกมา ในขณะที่บริเวณศีรษะของท่านก็ปรากฏรอยมงกุฏหนามที่มีเลือดไหลออกมาพร้อมกัน ปรากฏการณ์พิศวงอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกตลอดเดือนเมษายนไปจนถึงสองสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน ก่อนจะยุติลงตามคำสั่งของคุณแม่นวกจารย์ที่ได้ขอให้ท่านวอนขอให้อาการภายนอกเช่นนี้ไม่ปรากฏอีก เพื่อระงับข่าวที่กำลังแพร่ไปทั่วอาราม ซึ่งท่านก็ยินดีที่จะปฏิบัติตามและยินดียิ่งที่แผลทั้งห้านั้นปิดสนิท เพราะด้วยความซื่อ ๆ ของท่าน ท่านมิได้มองว่ารอยแผลเหล่านี้เป็นของประทานจากสวรรค์ หากแต่เป็น ‘เครื่องหมายอันน่าเวทนา’ และมองว่าสิ่งนี้เป็นโรคร้ายมากกว่าเป็นพระหรรษทานพิเศษ ดังนั้นตั้งแต่แรก ๆ เมื่อรอยแผลเหล่านี้ปรากฏขึ้นท่านจึงคิดว่าตนเองติดโรคเรื้อนมาแน่ เพราะก่อนท่านจะย้ายมาฝรั่งเศสท่านนั้นเคยใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคนี้มาก่อน ท่านจึงได้ขอให้คุณแม่อธิการอยู่ห่างจากท่านไว้

คุณแม่เวโรนิกา หนึ่งในพยานที่เห็นรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญมารี
ในช่วงอยู่ในคณะภคินีนักบุญยอแซฟแห่งการประจักษ์

คุณแม่เวโรนิกา ซึ่งได้เห็นปรากฏการณ์อันน่าพิศวงของท่านในช่วงนี้ได้บันทึกว่า “วันพฤหัสบดีต้นเดือน ที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1867 เมื่อดิฉันไปหามารี ดิฉันพบมารีนั่งอยู่ใกล้เตียงพร้อมกับอาการเจ็บปวด เธอแสดงสีข้าง เท้า และมือของเธอให้ดิฉันดู ที่ตำแหน่งหลังมือและเท้า ซึ่งเป็นจุดที่มีรอยแผล มีตุ่มพองรูปร่างคล้ายหัวตะปูปรากฏ ส่วนที่ฝ่ามือของเธอมีจุดดำบวมขึ้นมา ส่วนที่สีข้างของเธอปรากฏรอยรูปไม้กางเขนสีแดงและมีลักษณะอักเสบ ใจกลางมีตุ่มน้ำใส ๆ ที่มีรูอยู่สามตุ่ม อยู่ในตำแหน่งสูงขึ้นไปจากหัวใจเล็กน้อย… ดิฉันนอนอยู่ไม่ห่างจากเธอในคืนนั้น และเมื่อถึงเวลาตีห้าจึงมีเลือดไหลออกมาจากแผลที่มือของเธอ ดิฉันจึงได้ล้างแผลให้เธอและดูเหมือนว่าอาการปวดที่เกิดขึ้นจะทุเลาลง เลือดยังคงไหลออกจากฝ่ามือของเธอ ในขณะที่นิ้วของเธอก็เกร็งและหงิกงอ ราวกับมีตะปูได้ตอกลงไปที่ฝ่ามือจริง ๆ จนเธอไม่สามารถคลายมือออกและรับแก้วน้ำที่ดิฉันส่งให้เธอดื่มอยู่เป็นระยะได้… ประมาณเก้านาฬิกา เลือดจึงไหลออกมาจากมงกุฏหนามรอบศีรษะของเธอ ดิฉันขอยืนยันด้วยความสัตย์จริงว่า ดิฉันได้เห็นเลือดนั้นไหลออกมาจากรูหนาม ซึ่งหนึ่งในนั้นดิฉันได้เห็นมันปรากฏขึ้นมาต่อหน้าพร้อมเลือด นั่นคือรูที่กลางหน้าผากของเธอ หลังจากนั้นเมื่อดิฉันกำลังล้างแผลที่เกิดขึ้นนั้น แผลนั้นก็กลับปิดสนิทอีกครั้ง โดยไม่ได้ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้บนหน้าผากของเธอนอกเหนือจากรอยเลือด ส่วนเท้าของเธอนั้นซีดขาวราวกับเท้าของคนตาย นิ้วเท้ากางออกเหมือนนิ้วเท้าของผู้ถูกตรึงกับกางเขน มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลที่หลังเท้าและหลังมือ สีข้างก็ด้วยเช่นกัน ผ่านไปสามชั่วโมง เธอจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง มีเพียงอาการอ่อนแรงเล็กน้อย ดิฉันจึงบอกให้เธอลุกขึ้น เธอก็ปฏิบัติตาม และเย็นวันนั้นเธอได้รับประทานอาหารค่ำพร้อมกับสมาชิกคนอื่น ๆ”

เพื่อตรวจสอบว่าเหตุการณ์อันน่าพิศวงที่เกิดกับท่านมีที่มาจากพระเจ้าอย่างแท้จริง คุณแม่พิคิส ซึ่งเป็นนวกจารย์จึงได้เริ่มตรวจสอบเรื่องราวของท่านด้วยวิธีการแบบเดียวกับที่พระศาสนจักรใช้ในการตรวจสอบเรื่องทำนองนี้ในเบื้องต้น คือ การสั่งให้ท่านนบนอบ โดยนอกจากการสั่งให้ท่านวอนขอพระเจ้าให้ปรากฏการณ์ของรอยแผลทั้งห้าหายไป คุณแม่ยังสั่งให้ท่านไม่ให้เข้าสู่สภาวะเข้าฌานในช่วงกลางวันและต่อหน้านักบวชคนอื่น ๆ แม้ในตอนกลางคืน คุณแม่ก็ได้สั่งไม่ให้ท่านลุกจากเตียงหรือทำการอันใดที่จะเป็นจุดสนใจของสมาชิกคนอื่น ๆ ฝั่งท่านที่เป็นคนของพระเจ้าโดยแท้ ก็นบนอบต่อคำสั่งเหล่านี้ และพระเป็นเจ้าเองก็ทรงให้แสดงหมายถึงความจริงแท้ต่อเหตุการณ์อันน่าพิศวงนี้ โดยทรงบันดาลไม่ให้เกิดเหตุการณ์ตามที่คุณแม่พิคิสสั่งท่านไว้ทุกประการ ดังนั้นในเวลาไม่นาน คุณแม่จึงตระหนักได้ว่าอาหรับน้อยนั้นเป็นบุคคลที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเพื่อพันธกิจของพระองค์เป็นแน่ทีเดียว และได้เริ่มขอให้ท่านเล่าประวัติของตนเองให้ฟัง พร้อมได้จดบันทึกคำบอกเล่านั้นไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ก่อนที่ในเวลาต่อมาคุณแม่ได้คัดลอกคำบอกเล่านี้ ส่งไปให้อารามคาร์แมลเมืองโป พร้อมโน๊ตว่า “ดิฉันส่งสำเนาข้อเขียนที่ดิฉันรวบรวมจากสิ่งที่เธอเล่าให้ดิฉันฟังมา ซึ่งแม้เธอจะไม่มีท่าทีปฏิเสธ แต่เธอก็ยอมทำเพราะนบนอบ เธอขอให้ดิฉันเก็บความลับสำคัญที่ดิฉันยังเก็บงำไว้จนถึงตอนนี้ … ดิฉันได้ละเว้นสิ่งที่ดิฉันไม่เข้าใจอย่างชัดแจ้ง เนื่องจากอุปสรรคด้านภาษาฝรั่งเศสของเด็กน้อยที่รักคนนี้”


ดังที่เกริ่นไว้แล้วว่าเหตุการณ์อันน่าพิศวงจะเป็น ‘จุดเปลี่ยนในชีวิต’ ของท่าน การอุบัติขึ้นของเหตุการณ์การเข้าฌานและรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของท่านเป็นเหตุให้เกิดการถกเถียงกันในหมู่คณะภคินีแห่งนักบุญยอแซฟแห่งการประจักษ์ เมืองมาร์แซย์ เพราะแม้จะมีสมาชิกบางส่วนที่เชื่อว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับท่านนั้นเป็นของประทานจากสวรรค์ แต่สมาชิกบางส่วนก็มองว่าปรากฏการณ์นี้มีความน่าสงสัย รวมถึงมีความกังขาว่าด้วยเหตุการณ์เหล่านี้ ชีวิตนักบวชแบบที่ต้องออกไปทำงานภายนอก ตามภาระหน้าที่ต่าง ๆ โดยไม่ได้มีข้อจำกัดของเขตพรตจะเหมาะสมกับท่านหรือไม่ กระทั่งถึงเวลาของการตัดสินใจว่าจะรับท่านเป็นโนวิสหรือนวกเณรีต่อไปหรือไม่ ผลก็ปรากฏว่าจากผู้มีสิทธิ์โหวตทั้งสิ้น 7 คน 2 คนงดออกเสียง 2 คนเห็นชอบ และ 3 คนไม่เห็นชอบ นี่เองทำให้ท่านพ้นจากสภาพผู้สมัครของคณะไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เรื่องนี้สร้างความทุกข์ใจให้ทั้งคุณแม่พิคิส นวกจารย์ของท่านที่ล้มป่วยอยู่ และคุณแม่ฌูเลียง คุณแม่อธิการที่เวลานั้นเผอิญมีธุระไม่ได้อยู่ร่วมในการตัดสินใจพอดี โดยคุณแม่ฌูเลียงถึงกับพูดออกมาในภายหลัง ว่าหากคุณแม่อยู่ในวันนั้น คุณแม่จะไม่ปล่อยให้เรื่องเป็นไปเช่นนี้ ความเสียดายที่คณะได้สูญเสียอัญมณีเม็ดงามไปปรากฏในจดหมายที่คุณแม่เขียนถึงคุณแม่อธิการอารามคาร์แมล เมืองโป ในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1868 ว่า “บรรดาผู้ใหญ่ในคณะของพวกเราไม่เชื่อว่าพวกเราควรรักษาเธอไว้กับพวกเรา โดยให้เหตุผลว่าชีวิตในเขตพรตนั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับการซ่อนเร้นวิญญาณเช่นนี้ไว้ บรรดาพี่น้องพวกเราจึงต่างนบนอบ ดังนั้นบัดนี้คุณแม่จึงได้มีวิญญาณที่พิเศษดวงนี้แล้ว ขอพระเจ้าได้รับการสรรเสริญเพราะเหตุนี้เถิด”

เมื่อพ้นจากสถานภาพการเป็นโปสตุลันต์คณะภคินีนักบุญยอแซฟแห่งการประจักษ์ หนทางเช่นไรที่หญิงสาวปาเลสไตน์น้อยจะก้าวต่อไป นี่จะเป็นการหยุดความฝันที่จะเป็นนักบวชของท่าน หรือเป็นก้าวหนึ่งในเส้นทางที่ท่านวาดฝันไว้ ท่านจะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยหนทางไหน และในท้ายที่สุดคำทำนายประการต่อไปของแม่พระที่ว่า “หนูจะได้รับเครื่องแบบคาร์เมไลท์ที่อารามหลังที่หนึ่ง แล้วจะได้เข้าพิธีปฏิญาณตนที่อารามหลังที่สอง และจะสิ้นใจที่อารามหลังที่สาม ที่เมืองเบธเลเฮม”  จะเป็นไปได้อย่างไร ติดตามชีวิตอันน่าพิศวง ที่ไม่เพียงเป็นประจักษ์พยานถึงการมีอยู่ของพระเจ้า ผู้ทรงรักมนุษย์จนถึงกับส่งพระบุตรแต่เพียงพระองค์เดียวลงมาไถ่กู้โลก แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคนอย่ากลัวที่จะวางใจในพระเจ้า แล้วทิ้งตัวลงเป็นเด็กน้อยในพระหัตถ์ของพระองค์ของท่านต่อได้ใน “‘มารี’ อาหรับน้อยของพระ ตอนจบ”  (คลิกที่นี่ได้เลย)

“ข้าแต่ท่านนักบุญมารี แห่ง พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน ช่วยวิงวอนเทอญ” 

ข้อมูลอ้างอิง
https://ocdnunssw-india.blogspot.com/2016/07/blog-post.html
https://mariametcarmeldepau.wixsite.com/mariam/historique
https://apostoliccarmel.com/Founders
https://www.daijiworld.com/news/newsDisplay?newsID=318171
https://fr.m.wikipedia.org/wiki/Carmel_de_Bethl%C3%A9em
https://menacarmel.org/nazareth/?lang=en
https://www.ackarnatakaprovince.org/notice-board/articles/669-mother-veronica-the-relentless-seeker-of-the-way
https://www.emmaus-nicopolis.org/english/rediscovery-of-emmaus
https://www.santiebeati.it/dettaglio/90045
https://www.reflexionchretienne.com/pages/vie-des-saints/aout/bienheureuse-s-ur-marie-de-jesus-crucifie-carmelite-dechaussee-1846-1878-fete-le-26-aout.html
https://www.thelittlearab.org/about-us/our-saint/
https://carmelitesofboston.org/history/our-carmelite-saints/st-mary-of-jesus-crucified/
https://www.carmelitesisters.ie/blessed-mary-of-jesus-crucified-miriam-baouardy/
https://www.mysticsofthechurch.com/2010/07/blessed-mariam-baouardy-little-arab-and.html
https://www.stjosephsccrpune.com/MotherMaryVeronica.html

ลำนำ ณ นั่งร้านของ 'มรณสักขีแห่งกมเปียญ' ตอนแรก

  นักบุญมรณสักขีแห่งกมเปียญ St. Martyrs of Compiègne วันฉลอง: 17 กรกฎาคม ‘เลาดาเต โดมินัม โอมเนส เซนเทส’ (นานาชาติเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์...