วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ลำนำ ณ นั่งร้านของ 'มรณสักขีแห่งกมเปียญ' ตอนจบ

นักบุญมรณสักขีแห่งกมเปียญ
St. Martyrs of Compiègne
วันฉลอง: 17 กรกฎาคม


เวลาเดียวกันกับที่บรรดาธิดาของนักบุญเทเรซาเตรียมลงมือซักผ้านั้นเอง ในเวลา 10.00 น. ของวันที่ 12 กรกฎาคม คณะกรรมาธิการความปลอดภัยสาธารณะก็มีคำสั่งให้ย้ายบรรดาสมาชิกอารามเมืองกมเปียญทั้ง 16 คน ไปยังกรุงปารีสในทันที คุณแม่เทแรสที่เห็นว่าพวกเธอกำลังแช่ผ้าเพื่อเตรียมซัก จึงได้ขอเวลาให้พวกตนได้หาเสื้อผ้าฆราวาสใหม่สวมใส่เสียก่อน แต่ทางผู้คุมก็ปฏิเสธการร้องขอนี้ บรรดาสมาชิกทั้ง 16 จึงไม่มีทางเลือกใดนอกจากการสวมเครื่องแบบนักบวช ซึ่งเป็นเพียงเสื้อผ้าชุดเดียวของพวกเธอที่ยังคงแห้งอยู่ แล้วมาร่วมรับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ กับบรรดาภคินีคณะเบเนดิกตินที่ถูกกักตัวอยู่ร่วมกันมาตลอด 3 สัปดาห์ ทั้งหมดกล่าวคำร่ำลากัน แล้วบรรดาสมาชิกแห่งอารามคาร์แมล เมืองกมเปียญและนายมูโลต เดอ ลา เมนาร์ดิแอร์ ที่ถูกจับพร้อมกัน จึงถูกจับมัดมือไพล่หลังและถูกพาขึ้นไปบนเกวียนที่ถูกเตรียมไว้ 2 เล่ม ก่อนจะออกเดินทางสู่กรุงปารีสเพื่อรับการตัดสินโทษต่อไป มีบันทึกว่าเมื่อขบวนเคลื่อนออกไป พวกผู้หญิงหลายคนในเมือง ซึ่งส่วนใหญ่ต่างเคยได้รับการช่วยเหลือจากบรรดามาเซอร์ ได้พูดเยาะเย้ยบรรดานักพรตหญิงทำนองว่า “พวกหล่อนทำดีจนเป็นภัยแก่ตนเอง พวกหล่อนช่างมีปากที่ไร้ประโยชน์เสียจริง เยี่ยมไปเลย เยี่ยมที่สุด” พฤติกรรมเช่นนี้ของบรรดาผู้หญิงในเมือง ทำให้คัธริน ซอยรง ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกทั้ง 16 ที่ถูกจับ มีน้ำโหอยู่ไม่น้อย แต่เคราะห์ดีที่คุณแม่เทแรสได้คอยปรามเธอไว้ เธอจึงสงบจิตสงบใจมิได้ตอบโต้

การขนย้ายนักโทษใช้เวลาประมาณหนึ่งวัน ในเวลาประมาณบ่ายสามถึงบ่ายสี่โมงเย็นของวันที่ 13 กรกฎาคม พวกเธอทั้ง 16 คนจึงเดินทางมาถึง ‘กงซีแยร์เฌอรี’ อดีตพระราชวังหลวงที่ถูกเปลี่ยนเป็นเรือนจำในช่วงของการปฏิวัติฝรั่งเศส เมื่อถึงลานของเรือนจำ บรรดาสมาชิกทั้ง 16 คนที่ยังคงถูกมัดมือไพล่หลังจึงค่อย ๆ ก้าวลงจากเกวียนไปยืนรอที่ลาน กระทั่งมาถึงคิวของเซอร์ชาร์ลอตต์ แห่ง การกลับคืนพระชนม์ชีพ เนื่องจากอายุที่ชรามากของเธอรวมถึงการไม่มีไม้เท้าและใครคอยช่วยพยุง เธอจึงไม่สามารถลงมาจากเกวียนได้อย่างรวดเร็วเหมือนคนอื่น ๆ ทหารบางคนที่เห็นท่าทีชักช้าของเธอจึงได้กระโดดขึ้นไปบนเกวียน แล้วจับร่างของนักพรตหญิงผู้ชราโยนลงมาที่พื้นหินโดยไม่มีความปราณี ร่างของเซอร์ผู้ชราจึงล่วงลงไปนอนฟุบหน้าแน่นิ่งอยู่ที่พื้น ทหารที่เห็นเป็นดังนั้นก็เกรงความผิดที่จะเกิดกับตนจากการเผลอทำให้นักโทษเสียชีวิต จึงรีบตรงไปยกร่างของเซอร์ชาร์ลอตต์ขึ้นดู ปรากฏมาเซอร์ชาร์ลอตเพียงได้รับบาดเจ็บ จนใบหน้าเปรอะไปด้วยเลือด แต่ยังไม่เสียชีวิต ฝั่งมาเซอร์เมื่อทหารนั้นมายกร่างของตนขึ้นก็บอกกับพวกเขา ด้วยถ้อยคำที่แสดงเจตนารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากวันที่เซอร์ผู้นี้ทราบว่าคุณแม่อธิการอยากให้ทุกคนถวายตัวเป็นยัญบูชาว่า “เชื่อเซอร์นะ เซอร์ไม่โกธรอะไรพวกเธอเลย ตรงกันข้ามเลย เซอร์ขอขอบคุณพวกเธอนะ ที่ไม่ได้ฆ่าเซอร์เสียเลย เพราะถ้าเซอร์ตายด้วยน้ำมือพวกเธอ เซอร์ก็คงไม่ได้รับความยินดีและสิริรุ่งโรจน์จากการเป็นมรณสักขี”

เอกสารที่บันทึกบทเพลงที่เซอร์ฌูลี หลุยส์ แห่ง พระเยซูเจ้า
เรียบเรียงขึ้นตามทำนองเพลงลามาร์แซแยซ

ในเรือนจำกรุงปารีส สถานที่อันสิ้นหวังและโหดร้าย สภาพแวดล้อมเช่นนี้มิได้นำพาให้บรรดาสมาชิกแห่งอารามเมืองกมเปียญเฉื่อยชาหรือสิ้นหวังในชีวิต ตรงกันข้ามพวกเธอยังคงดำรงตนเป็นเกลือดองแผ่นดิน ซึ่งเปลี่ยนสถานที่อันไร้ความหวังให้กลายเป็นสถานที่อันเปี่ยมไปด้วยความหวัง พวกเธอยังคงสวดภาวนาและยังคอยทำกิจการเมตตากับบรรดานักโทษที่อยู่ในเรือนจำเดียวกัน พวกเธอคอยสอดส่องหานักโทษที่เจ็บป่วย เพื่อเร่งรีบไปดูแลคอยเฝ้าดูอาการของพวกเขาจนดึกดื่น และยังคงร่วมกันทำวัตรกันตามเวลาที่เคยปฏิบัติมา นักโทษบางคนที่ถูกขังร่วมกับพวกเธอในเวลานั้นบางราย ก็มักตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อฟังทั้ง 16 คนร่วมกันสวดทำวัตรก่อนรุ่งสาง คุณแม่เทแรสในฐานะคุณแม่อธิการก็คอยหนุนใจบรรดาสมาชิกอีก 15 คนด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ สงบนิ่ง และเอาใจใส่ต่อความทุกข์ทางกายดุจมารดาของคุณแม่ ทั้ง 16 คนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในวันที่ 16 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันฉลองแม่พระแห่งภูเขาคาร์แมล องค์อุปถัมภ์ของคณะคาร์เมไลท์ พวกเธอจะถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดี แต่ก็ทั้งหมดก็ต้องผิดหวังเพราะการพิจารณคดีได้ถูกกำหนดเป็นวันรุ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในวันฉลองนั้นพวกเธอก็ได้ร่วมกันฉลองด้วยบทเพลงที่เซอร์ฌูลี หลุยส์ แห่ง พระเยซูเจ้าเรียบเรียงขึ้นตามทำนองเพลงลามาร์แซแยซ ดังนี้
“จงทำใจของเราให้เริงรื่นเถิด
ด้วยวันแห่งพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว
จงหลีกลี้จากความอ่อนแอ แม้เพียงเล็กน้อย
ดาบเปื้อนเลือดได้เงื้อมขึ้นแล้ว (ซ้ำ)
เราจงเตรียมตนให้พร้อมรับชัยชนะเถิด
ใต้ร่มธงชัยของพระเจ้าผู้พลีพระชนม์
เราจงเดินไปเช่นผู้ชนะแล้ว
มาวิ่งไปกันเถิด แล้วทะยานไปหาพระสิริรุ่งโรจน์
ปลุกความร้อนรนของเราให้ตื่นอีกครั้ง
กายของเราเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ก้าวขึ้นไป ขึ้นไป
บนนั่งร้านนั้น แล้วพระเจ้าจะทรงมีชัย”

รุ่งขึ้นในเวลา 9.00 น. ทั้ง 16 คนจึงถูกนำตัวขึ้นศาลแห่งเสรีภาพเพื่อทำการตัดสินคดี ณ เบื้องหน้าผู้พิพากษาสามคน และอ็องตวน ฟูกี แต็งวิลล์ อัยการสูงสุดแห่งคณะปฏิวัติ ผู้มีฉายาว่า ‘ผู้เตรียมกิโยติน’ ทั้ง 16 คนได้ถูกกล่าวหาว่าได้ ‘ซ่อนอาวุธ’ ไว้สำหรับพวกต่อต้านการปฏิวัติ คุณแม่เทแรสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยืนยันความบริสุทธิ์ในในข้อกล่าวหานี้ ด้วยการถือไม้กางเขนที่เธอได้รับในวันปฏิญาณตนขึ้นชูขึ้นแล้วกล่าวต่อหน้าทุกคนว่า “นี่คืออาวุธเดียวของพวกเรา” หลังจากนั้นแต็งวิลล์จึงได้อ่านข้อกล่าวหาที่แสดงให้เห็นว่าทั้ง 16 คนเป็นภัยต่อสาธารณรัฐดังนี้ “ด้วยอดีตนักบวชคาร์เมไลท์เลอดัว, ตูเรท์, บราร์ด, ดูฟูร์ และคนอื่น ๆ ได้จัดให้การประชุมกันเพื่อต่อต้านการปฏิวัติและซ่องสุมกลุ่มอย่างลับ ๆ โดยประสงค์ให้บุคคลอื่นได้มาร่วมด้วย อาศัยการใช้จิตรามณ์แห่งความเป็นภราดรภาพของพวกเธอ เพื่อสมคบกันต่อต้านสาธารณรัฐ แม้พวกเธอจะมีที่อยู่พักอาศัยแยกจากกันก็ตามที จดหมายจำนวนมากที่อยู่ในความครอบครองของพวกเธอชี้ให้เห็นว่าพวกเธอไม่เคยหยุดวางแผนที่จะต่อต้านการปฏิวัติ ภาพเหมือนของกาเป็ต (พระเจ้าหลุยส์ที่ 16) พินัยกรรมของเขา รูปหัวใจอันเป็นสัญลักษณ์ของพวกกบฏในว็องเด ความไร้สาระแสนบ้าบอ รวมไปถึงจดหมายจากบาทหลวงที่หลบหนีออกนอกประเทศใน ค.ศ. 1793 เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าพวกเธอมีการติดต่อกับศัตรูภายนอกของฝรั่งเศส เครื่องหมายถึงการรวมกลุ่มกันอย่างไม่ชอบด้วยกฏหมายของพวกเธอ นั่นคือพวกเธอยังคงใช้ชีวิตอยู่ใต้การนบนอบต่อคุณแม่อธิการ ตามหลักปฏิบัติและข้อปฏิญาณที่พวกเธอยึดถือ จดหมายและข้อเขียนของพวกเธอเป็นพยานถึงเรื่องนี้… พวกเธอเป็นมากกว่าเพียงกลุ่มกบฏที่มีความหวังอันเป็นอาชญกรรม คือ การได้เห็นพลเมืองชาวฝรั่งเศสกลับไปสู่โซ่ตรวนของบรรดาทรราช และการเป็นทาสของบรรดาพระสงฆ์จอมหลอกลวงผู้กระหายเลือด”


เมื่อแต็งวิลล์อ่านข้อกล่าวหารของทั้ง 16 คนจบลง เซอร์มารี อ็องเรียตต์ แห่ง พระญาณสอดส่อง ที่ฟังทุกคำกล่าวหาของเขาอย่างตั้งใจ ก็ได้ถามเขาด้วยความฉงนถึงข้อกล่าวหาหนึ่งที่พิศดารที่ว่า ‘ความไร้สาระแสนบ้าบอ’ (fanatical puerility) นั้นมีความหมายว่าอย่างไร ฝั่งแต็งวิลล์จึงอธิบายว่า “ฉันหมายถึงการยึดติดของพวกเธอกับความเชื่อแบบเด็ก ๆ การปฏิบัติศาสนกิจอันโง่เขลาของพวกเธอยังไงเล่า” เซอร์มารี อ็องเรียตต์ที่ได้รับคำตอบเช่นนี้ก็มีความปรีดาใจ เพราะเป็นการแน่ทีเดียวแล้วที่พวกเธอจะได้รับเกียรติมงคลแห่งการเป็นมรณสักขี เธอจึงรีบหันกลับมาพูดกับอีก 15 คนว่า “คุณแม่และเซอร์ที่รักคะ เรามาสรรเสริญพระสวามีเจ้าเพราะสิ่งนี้กันเถิดค่ะ เรากำลังจะได้ตายเพราะศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา เพราะความเชื่อศรัทธาของพวกเรา และเพราะความวางใจของพวกเราในพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกอันศักดิ์สิทธิ์ค่ะ”

ส่วนคุณแม่เทแรสที่เมื่อได้ยินคำกล่าวหา คุณแม่ที่ประสงค์จะไม่ให้สมาชิกอีก 15 คน ต้องมาติดร่างแหในคดีนี้ด้วย ก็แจ้งต่อผู้พิพากษา เพื่อแก้ต่างในเรื่องจดหมายจากพระสงฆ์ที่พบว่า “จดหมายที่เราได้รับมาจากพระสงฆ์จิตาภิบาลของเรา ซึ่งด้วยกฏหมายของพวกท่านได้ตัดสินให้ถูกเนรเทศไปจากประเทศ จดหมายเหล่านี้ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรมากไปกว่าคำแนะนำฝ่ายจิต หากจดหมายเหล่านี้เป็นความผิดทางอาญา ก็ควรถือว่าของเหล่านี้เป็นของเซอร์ ไม่ใช่ของหมู่คณะ เพราะธรรมนูญของเราได้ห้ามมิให้เซอร์ติดต่อกับผู้ใด แม้แต่ญาติสนิทที่สุดของพวกเธอ หากไม่ได้รับอนุญาตจากคุณแม่อธิการของพวกเธอ ดังนั้นหากท่านต้องการหาผู้ต้องหา เธอก็อยู่นี่แล้ว มีเพียงเซอร์เท่านั้นที่ท่านจะต้องจัดการ บรรดาเซอร์ของเซอร์เป็นผู้บริสุทธิ์” ฝั่งประธานผู้พิพากษาเมื่อฟังคำแก้ต่างของคุณแม่เทแรสก็ตอกกลับมาว่า “พวกหล่อนเป็นพวกเดียวกับเธอ” ดังนั้นเองเมื่อถึงช่วงสุดท้ายของการพิจารณคดีสมาชิกอารามเมืองกมเปียญทั้ง 16 คน ประกอบด้วยนักบวช 14 คน และฆราวาสหญิงซึ่งเป็นสมาชิกฆราวาสอีก 2 คน จึงถูกตัดสินร่วมกันในข้อหาเป็น ‘ศัตรูของประชาชน’ และจะต้องได้รับโทษคือการประหารชีวิตด้วยกิโยติน

กงซีแยร์เฌอรี สถานที่คุมขังนักโทษของสาธารณรัฐในปัจจุบัน

ทั้ง 16 คนเมื่อได้ยินคำพิพากษาเช่นนี้ ต่างฟังด้วยท่าทีสงบและยินดีที่ตนจะได้รับเกียรติมงคลแห่งการเป็นมรณสักขี พร้อมกับลูกแกะของพระเจ้าดังความฝัน ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเมื่อร้อยปีของอาราม มีเพียงเทแรส ซอยรอนที่เป็นลมหมดสติไป เพราะความเครียด ความเหนื่อยล้า การพักผ่อนน้อย และการได้รับอาหารไม่เพียงพอมาเป็นระยะเวลานาน คุณแม่เทแรสที่เห็นเป็นเช่นนั้นจึงได้ขอน้ำสักแก้วมาให้เทแรสดื่ม และเมื่อเธอฟื้นคืนสติขึ้นมา เธอจึงได้ขออภัยคุณแม่สำหรับความอ่อนแอที่เธอได้แสดงออกมา และได้ยืนยันว่าตนจะไม่กลับหลังหัน หลังจากนั้นทั้ง 16 คนรวมถึงผู้ถูกตัดสินให้รับโทษประหารชีวิตในวันเดียวกันอีก 24 ราย ที่เราทราบชื่อเพียงนายมูโลต เดอ ลา เมนาร์ดิแอร์ จึงถูกพาไปตัดผมให้สั้นและตัดเสื้อผ้าที่อาจทำให้การตัดศีรษะด้วยกิโยตินเป็นไปโดยไม่สะดวก ระหว่างนั้นเซอร์แซ็งหลุยส์ ซึ่งได้ปรึกษากับคุณแม่เทแรสว่าบรรดาสมาชิกเมืองกมเปียญจำต้องรับประทานอะไรบ้าง เพราะพวกเธอยังไม่ได้รับประทานอะไรมาแต่เช้า และได้รับอนุญาตจากคุณแม่เทแรส จึงได้นำเสื้อคลุมขนสัตว์ไปแลกได้ช็อกการแล็ตร้อน 16 ถ้วยมาให้ทุกคนรับประทานร่วมกันเป็นมื้อสุดท้ายระหว่างรอการประหารชีวิต

หลังจากนั้นทั้ง 16 คนจึงถูกพากลับมาขังที่เดิม จนถึงเวลาช่วงเย็นวันนั้นขณะทั้ง 16 ร่วมกันสวดบททำวัตรเพื่อผู้วายชนม์ ทั้ง 16 คนก็ถูกเรียกตัวไปขึ้นเกวียนเพื่อมุ่งหน้าไปยังลานที่ตั้งเครื่องกิโยตินที่ปลาซ ดู โทรน พวกเธอจึงต่างร่ำลาบรรดานักโทษที่ถูกคุมขังร่วมกัน หนึ่งในนั้นมีคริสตังใจศรัทธาชื่อ โบล์ต ได้เป็นพยานในภายหลังว่าหนึ่งใน 16 คนได้ปลอบเขาว่า “ร้องไห้ทำไมโบล์ต กลับกันเธอควรยินดีที่ได้เห็นพวกเราสิ้นสุดการทดลองของพวกเรานะ ฝากทูลพระเจ้าผู้แสนดีและพระนางพรหมจารีศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเรื่องพวกเราด้วย เพื่อว่าพระองค์ทั้งสองจะทรงช่วยพวกเราในเวลาสุดท้ายนี้ เมื่อพวกเราอยู่ในสวรรค์แล้ว พวกเราจะสวดให้เธอนะ” และได้ทะยอยเดินขึ้นไปบนเกวียนที่กำลังจะนำพวกเธอไปยังเครื่องประหารที่รอพวกเธออยู่ ทั้ง 16 คน ต่างอยู่ในเครื่องแบบคณะมีเสื้อคลุมสีขาว ที่พวกเธอจะสวมในเวลาสำคัญคลุมตัว แต่ไร้ผ้าคลุมศีรษะเพื่อให้คมมีดกิโยตินบั่นลงได้โดยสะดวก มือทั้งสองถูกจับมัดไพล่หลัง พวกเธอถูกค้นตัวอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนจะทะยอยขึ้นบนเกวียน แต่ผู้คุมที่เห็นอกเห็นใจพวกเธอ ก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นหนังสือทำวัตรที่เซอร์อูเฟรซี แห่ง การปฏิสนธินิรมล เอาติดตัวมา เช่นเดียวกับที่พวกเขาทำเป็นไม่เห็นรูปแม่พระองค์เล็ก ๆ ที่คุณแม่เทแรสกำไว้ในมือ หลังจากนั้นในเวลาประมาณ 18.00 น. ขบวนเคลื่อนย้ายผู้ต้องโทษประหารชีวิตจึงมุ่งออกจากคุกไปสู่แดนประหาร


ระหว่างขบวนเกวียนนำนักโทษประหารที่วันนั้นมีอีกถึง 24 ราย ไม่มีใครทราบได้ว่าทั้ง 16 จะล่วงรู้หรือไม่ว่าพระสงฆ์ผู้ไม่ยอมสาบานตนองค์หนึ่งที่ได้ปลอมตัวเป็นลูกจ้างในร้านขายยาตรงข้ามกงซีแยร์เฌอรี ได้ออกมาโปรดศีลอภัยบาปให้กับพวกเธออย่างลับ ๆ แต่ก็เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า จิตใจของทั้ง 16 นั้นเต็มไปด้วยความเริงรื่นในมงกุฎและใบปาล์มแห่งชัยชนะที่กำลังรอพวกเธออยู่ ณ เมืองสวรรค์ ตามความฝันเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วของเซอร์เอลิซาเบธ บัพติสต์ พวกเธอได้เปลี่ยนให้เกวียนที่ใช้นำนักโทษไปสู่แดนประหารให้กลายเป็นวัดน้อยในอารามที่พวกเธอร่วมกันทำวัตรด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย บททำวัตรเย็น บททำวัตรเพื่อผู้วายชนม์ บทภาวนาเพื่อผู้วายชนม์ เพลงมีเซเรเร (ขอทรงเมตตาเทอญ) เพลงซัลเว เรยีนา (วันทาพระราชินี) และบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ได้ถูกขับขานจากปากของทั้ง 16 คน ดังแทรกเสียงของฝูงชน ที่ต่างก่นด่าสาปแช่งขว้างปาข้าวของใส่ขบวนนักโทษ จนทำให้เสียงเหล่านั้นและความรู้สึกโกธรแค้นภายในใจของฝูงชนได้ค่อย ๆ เปลี่ยนไป ฝูงชนจำนวนหนึ่งเริ่มตระหนักว่าบัดนี้ทั้ง 16 คนไม่ใช่ผู้กระทำผิด หากแต่เป็นเหยื่อที่ไร้มลทิน พวกเขาหลายคนจึงเริ่มร่ำไห้ต่อชะตากรรมของทั้ง 16 และบ้างก็พยายามที่จะเข้ามาสัมผัสร่างของบรรดาเหยื่อทั้ง 16 เพื่อได้แตะกับร่างของนักบุญที่มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับพวกเขา มีจังหวะหนึ่งหญิงผู้หนึ่งได้อาศัยโอกาสที่ขบวนติดขัดแอบนำเหยือกน้ำมาให้ทั้ง 16 คนได้ดับกระหาย แต่เซอร์มารี อ็องเรียตต์ แห่ง พระญาณสอดส่อง ได้ส่งสัญญาณให้ทั้ง 15 คนที่เหลือปฏิเสธและได้บอกกับทั้ง 15 ว่า “ในสวรรค์ พี่น้องของเซอร์ เราจะได้ดื่มกินกันอย่างเต็มอุรา”

เมื่อขบวนเคลื่อนเข้าใกล้ปลาซ ดู โทรน เซอร์อูเฟรซี แห่ง การปฏิสนธินิรมลที่สวดบททำวัตรจบแล้ว ก็ได้โน้มตัวลงมาแล้วยื่นหนังสือทำวัตรที่เธอแอบนำติดตัวมาให้กับเด็กหญิงผู้หนึ่งที่ได้เดินตามขบวนมา เด็กหญิงผู้นี้คือ เวียร์ยีนี บีนาร์ด ซึ่งในเมื่อกาลล่วงมาถึงสมัยที่บ้านเมืองฝรั่งเศสกลับคืนสู่ความสงบ เธอได้กลายเป็นผู้ก่อตั้งอารามโอซโซ อารามคณะนักบุญออกัสตินที่มีชื่อเสียงในเวลาต่อมา เกวียนบรรทุกทั้ง 16 คนมาถึงปลาซ ดู โทรนในเวลาประมาณ 20.00 น. ทั้ง 16 คนจึงถูกนำตัวลงมายังตีนนั่งร้าน ซึ่งเป็นที่ตั้งของกิโยติน คุณแม่เทแรสจึงได้บอกให้บรรดาสมาชิกที่เหลือรื้อฟื้นคำปฏิญาณตนเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อว่านอกจากเซอร์ทุกคนจะได้ก้าวขึ้นสู่เครื่องประหารอย่างสมเกียรติ ยังจะเป็นโอกาสให้นวกเณรีกงสตังซ์ได้ประกอบพิธีปฏิญาณตน แต่ด้วยความกังวลใจของนวกเณรีกงสตังซ์ เธอจึงได้แย้งกับคุณแม่ว่า “คุณแม่คะ ลูกยังสวดบททำวัตรไม่จบเลย” คุณแม่จึงได้บอกกับเธอว่า “ลูกเอ๋ย ลูกจะได้สวดต่อให้จบในสวรรค์” หลังจากนั้นคุณแม่จึงได้ขอเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการประหารให้คุณแม่ได้ถูกประหารเป็นคนสุดท้าย เพื่อว่าเธอจะสามารถคอยหนุนใจบรรดาสมาชิกที่เหลือ และขอเวลาสักครู่ให้พวกเธอได้เตรียมตัว


เมื่อได้รับอนุญาตตามที่ขอข้างต้น ทั้ง 16 จึงได้ร่วมกันขับเพลงเวนี เครอาตอร์ สปิริตุส (เชิญเสด็จพระจิตเจ้า) แล้วจึงร่วมกันรื้อฟื้นคำปฏิญาณตนในการเป็นนักบวช และเมื่อเสร็จการปฏิบัติเช่นนี้ พยานคนหนึ่งได้ยินเสียงหนึ่งใน 16 คน กล่าวขึ้นว่า “โอ้พระเจ้า ลูกจะเป็นสุขยิ่ง หากการพลีตนเป็นยัญบูชาน้อย ๆ นี้จะบรรเทาพระพิโรธของพระองค์และช่วยให้ผู้ต้องตกเป็นเหยื่อลดน้อย” หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการประหารจึงได้เรียกชื่อของทั้ง 16 คนด้วยชื่อเดิมของพวกเธอแต่ละคน โดยเริ่มจาก ‘พลเมืองมารี เยเนเวียฟ มึนนีเยร์’ หรือ นวกเณรีกงสตังซ์ เธอที่ได้ยินดังนั้นก็รีบคุกเข่าลงเบื้องหน้าคุณแม่เทแรส เพื่อขออนุญาตด้วยความนบนอบว่า “คุณแม่อนุญาตให้ลูกตายได้ไหมคะ” คุณแม่จึงได้อวยพรเธอและได้ให้เธอจูบรูปปั้นแม่พระที่คุณแม่ซ่อนไว้ในมือพร้อมบอกกับเธอว่า “ไปเถิด สาวน้อย” สิ้นคำอนุญาตเช่นนี้แล้ว นวกเณรีกงสตังซ์จึงลุกขึ้นแล้วผินหน้าเดินขึ้นไปยังกิโยตินบนนั่งร้านด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้านต่อความตายที่กำลังรอเธออยู่เบื้องหน้า พร้อมกันนั้นเธอได้เปล่งบทสดุดีที่ 117 เชิญชวนนานาชาติให้สรรเสริญพระเจ้า ขึ้นว่า ‘เลาดาเต โดมินัม โอมเนส เซนเทส’ (นานาชาติเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด)

แล้วบรรดาสมาชิกทั้ง 15 คนที่เหลือจึงร้องรับเสียงของเธอที่ได้เงียบลงด้วยคมแห่งกิโยตินว่า ‘เลาดาเต เออุม โอมเนส โปปูลี..’ (ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงเทิดทูนพระองค์เถิด เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ต่อเรานั้นช่างยิ่งใหญ่ และความซื่อสัตย์ของพระยาห์เวห์ดำรงอยู่เป็นนิตย์) ก่อนที่สมาชิกที่เหลือจึงค่อย ๆ ทยอยเดินขึ้นไปยังนั่งร้านตามรายชื่อที่ถูกเรียก โดยร่วมกันร้องเพลงศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับสมาชิกคนอื่น ๆ ที่ยังเหลืออยู่โดยไร้ซึ่งความกลัวต่อความตายที่อยู่เบื้องหน้า แม้เสียงประสานนั้นจะค่อย ๆ แผ่วเบาลงตามจำนวนเสียงของคมกิโยตินที่ประกับกับฐานล่าง ความประหวั่นพรั่นพรึงก็มิได้เกิดขึ้นแก่ผู้ที่ยังรอท่าการเรียกชื่อ การประหารจึงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ พร้อมท่วงทำนองที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อ จนเหลือเพียงเสียงร้องเพลงด้วยความยินดีของคุณแม่เทแรสแต่เพียงคนเดียว ชื่อเดิมของคุณแม่จึงถูกประกาศ คุณแม่จึงได้ก้าวขึ้นไปยังนั่งร้านด้วยท่าทีเดียวกันกับที่สมาชิกทั้ง 15 คนก่อนหน้าคุณแม่ได้ปฏิบัติ และเมื่อเสียงคมกิโยตินตกกระทบลงกับฐานดัง ‘ฉับ’ เสียงเพลงแห่งความยินดี ซึ่งเป็นประจักษ์พยานถึงความเชื่อของสมาชิกแห่งอารามเมืองกมเปียญ จึงเงียบเสียงลง

พระรูปแม่พระที่คุณแม่เทแรสให้สมาชิกทุกคนจูบก่อนเดินขึ้นไปบนนั่งร้าน 
มีผู้เก็บได้แล้วนำมามอบให้อารามในเวลาต่อมา

เมื่อเสียงทั้ง 16 ถูกทำให้เงียบลงด้วยกิโยตินเป็นที่เรียบร้อย ร่างของทั้ง 16 จึงถูกปฏิบัติเช่นเดียวกับร่างอื่น ๆ นั่นคือถูกลำเลียงไปฝังในหลุมทรายลึกประมาณ 30 ฟุตที่สุสานซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ประหารไปไม่ไกลชื่อ ‘ปิกปุส’ ซึ่งแปรสภาพมาจากอารามของนักพรตหญิงคณะนักบุญออกัสติน รวมกันร่างของผู้ถูกประหารในวันนั้นที่มากถึง 128 ราย โดยไม่มีเครื่องหมายใด ๆ แสดงว่าพวกเธอทั้งหมดถูกฝังอยู่ในตำแหน่งไหน เช่นเดียวกับร่างที่ถูกตัดศีรษะอื่น ๆ ทำให้ในไม่อาจระบุได้ว่าโครงกระดูกร่างใดในสุสานแห่งนี้ที่มีอยู่นับพันโครง คือ ร่างและศีรษะของสมาชิกทั้ง 16 คน แต่แม้ร่างของทั้ง 16 จะจบลงดุจศพนิรนาม กิตติศักดิ์และเรื่องราวของสมาชิกอารามเมืองกมเปียญนั้นก็มิได้กลืนกลายเป็นเนื้อเดียวกับเรื่องราวของเหยื่อการประหารชีวิตในช่วงสมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว ตรงกันข้ามในวันที่เสียงขับร้องสุดท้ายของสมาชิกแห่งอารามคาร์แมล เมืองกมเปียญเงียบลงด้วยคมแห่งกิโยติน ท่วงทำนองเรื่องราวของพวกเธอก็ได้ถูกขับขานต่อโดยผู้คนร่วมสมัยที่ได้เป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์อันน่าประทับใจนี้ มีเสียงเล่ากันว่าในวันนั้นที่ 16 เสียงได้ถูกทำให้เงียบลง ท่ามกลางฝูงชนกระแสเรียกการเป็นนักบวชได้เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่ง และการกลับใจก็ได้เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นในเวลาเดียวกันกับที่เสียงตอบรับการดำเนินชีวิตนักบวชจบลง 16 เสียง 16 เสียงนั้นก็ได้จุดประกายเสียงตอบรับอื่น ๆ ให้ดังขึ้นต่อไป เป็นลำนำแห่งศรัทธาที่สะท้อนก้องอยู่เหนือกาลเวลา

นอกจากนี้ให้หลังการประหารชีวิตสมาชิกอารามทั้ง 16 คน เพียง 11 วัน มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์ ผู้นำฝ่ายลามงตาญและผู้เริ่มสมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัวก็ได้ถูกนำไปตัดศีรษะด้วยกิโยตินในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1794 นับเป็น ‘การสิ้นสุด’ สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัวที่ดำเนินมานับปี นามของสมาชิกอารามคาร์เมไลท์ เมืองกมเปียญ ซึ่งเป็นรู้จักในนาม ‘มรณสักขีแห่งกมเปียญ’ ก็ยิ่งขจรขจายมากขึ้น ในฐานะยัญบูชาที่ทำให้ช่วงเวลาอันน่าหวาดกลัวนี้จบลง ไม่เพียงเท่านั้นในเวลาต่อมาเซอร์มารี แห่ง การรับเอากาย ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสมาชิกอารามเมืองกมเปียญที่รอดชีวิตจากถูกประหารชีวิต ดังคำทำนายเมื่อร้อยกว่าปีของอาราม และโทษตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ในวันที่คุณแม่เทแรสชวนเธอกลับไปยังเมืองกมเปียญ เธอนั้นได้ปฏิเสธโอกาสที่เธอจะรับมงกุฎแห่งมรณสักขี เธอยังอุทิศชีวิตที่เหลือทั้งหมดเป็นผู้รวบรวมชีวประวัติและเรื่องราวของสมาชิกทั้ง 16 คน ด้วยการสืบเสาะทั้งหลักฐานเอกสารและประจักษ์พยานร่วมสมัย จนที่สุดเธอในปีเดียวกันกับที่เธอได้สิ้นใจอย่างสงบ ภายในอารามคาร์แมล เมืองซ็องส์ แคว้นบูร์กอญ-ฟร็องช์-กงเต ประเทศฝรั่งเศส ภายหลังจากการตรากตรำรวบรวมเรื่องราวของพี่น้องร่วมอารามของเธออย่างแข็งขันไปทั่วสารทิศ เธอจึงได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ ‘ประวัติศาสตร์ของภคินีคาร์เมไลท์แห่งเมืองกมเปียญ’ ใน ค.ศ. 1836 ฝากไว้เป็นอนุสรณ์ถึงวีรกรรมของพี่น้องร่วมอารามของเธอ

การประหารชีวิตรอแบ็สปีแยร์ จุดสิ้นสุดของสมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว
หลังจากนั้นต้องใช้เวลาอีกถึง 58 ปี หรือเมื่อครบ 100 ปี เหตุการณ์การถวายชีวิตเป็นมรณสักขีของบรรดาสมาชิกอารามคาร์เมไลท์ เมืองกมเปียญ ใน ค.ศ. 1894 ที่เสียงเรียกร้องจากทั้งบรรดาสมาชิกอารามคาร์เมไลท์แห่งฝรั่งเศสและบรรดาประชาสัตบุรุษว่า สมควรแก่เวลาแล้วที่นามของสมาชิกจากอารามเมืองกมเปียญทั้ง 16 รายจะได้รับการยกไว้บนพระแท่นบูชาอย่างเต็มภาคภูมิเสียที (หนึ่งในผู้ศรัทธามรณสักขีกลุ่มนี้ คือ นักบุญเทเรซาน้อย ที่มีชีวิตร่วมสมัยกับเหตุการณ์การดำเนินเรื่องแต่งตั้งบุญราศีทั้ง 16 และมีหลักฐานว่าท่านนักบุญพกรูปทั้ง 16 คนไว้ในหนังสือสวดภาวนาที่ท่านใช้จนถึงวาระสุดท้าย) จะยิ่งดังขึ้นจนได้รับความสนใจจากพระศาสนจักรท้องถิ่น เป็นเหตุให้เพียง 2 ปีให้หลัง ใน ค.ศ. 1896 กระบวนการขอแต่งตั้งข้ารับใช้พระเจ้าทั้ง 16 คนจากอารามคาร์แมล เมืองกมเปียญ ซึ่งได้ถูกตัดศีรษะด้วยกิโยตินในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1794 จึงได้เริ่มขึ้นอย่างกระตือรือร้น 

กระทั่งให้หลัง 10 ปี หลังการเปิดกระบวนการ นักบุญสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 10 ก็ได้ทรงบันทึกนามข้ารับใช้พระเจ้าทั้ง 16 คนไว้ในสารบบบุญราศี ในวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1906 สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในการประกาศแต่งตั้งครั้งนี้ นอกเหนือจากการที่กลุ่มมรณสักขีแห่งกมเปียญ จะเป็นเหยื่อการเบียดเบียนคริสต์ศาสนาในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสกลุ่มแรกที่ได้รับการบันทึกนามในฐานะดังกล่าว ในเอกสารประกอบการแต่งตั้ง นอกจากหลักฐานชีวประวัติของข้ารับใช้พระเจ้าที่ได้เจริญชีวิตเป็นประจักษ์พยานถึงพระคริสตเจ้าจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตบนกิโยติน อันเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าทั้ง 16 ควรคู่กับตำแหน่งบุญราศี ยังได้มีการแนบอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นผ่านคำเสนอวิงวอนของข้ารับใช้พระเจ้าทั้ง 16 คน ถึง 4 เหตุการณ์ซึ่งยืนยันว่าทั้ง 16 เป็นผู้ที่อยู่ในสวรรค์เป็นแน่แท้ประกอบมาด้วย  ได้แก่ การหายจากอาการป่วยปางตายของคุณพ่ออธิการบ้านเณร เมืองบรีเว ประเทศฝรั่งเศส ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1897 การหายจากโรคมะเร็งของภคินีภายนอกเขตพรตในอารามคาร์แมล เมืองนิวออร์ลีนส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1897 การหายขาดจากวัณโรคและฝีที่ขาขวาของภคินีภายนอกเขตพรตในอารามคาร์แมล เมืองว็องซี ประเทศฝรั่งเศส ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1897 และการหายขาดจากโรคร้ายของภคินีคณะฟรังซิสกัน เมืองมงต์มอริญง ประเทศฝรั่งเศส ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1898

วัดน้อยของอารามคาร์แมลหลังที่ 2 ที่สร้างขึ้นบนตำแหน่งเดิมของอารามหลังแรก 
ปัจจุบันได้กลายเป็นวัดออร์โธดอกซ์ เมืองกมเปียญ

การประกาศรับรองความศักดิ์สิทธิ์ของบรรดาธิดาของนักบุญเทเรซาแห่งเมืองกมเปียญ ไม่เพียงเป็นก้าวสำคัญต่อกระบวนการของมรณสักขีแห่งกมเปียญและความยินดีแก่พระศาสนจักรในประเทศฝรั่งเศส หากแต่ยังได้จุดประกายให้อารามอีกหลังในประเทศฝรั่งเศส คือ อารามเมืองลิซิเออร์ ตัดสินใจที่จะไม่เพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องให้มีการเปิดกระบวนการไต่สวนเรื่องราวของอดีตสมาชิกผู้ล่วงลับ ผู้ศรัทธาต่อมรณสักขีกลุ่มนี้อย่างยิ่งยวด ที่ที่แรกอารามเลือกจะเพิกเฉยเพราะมิได้เห็นความสำคัญใด จนทำให้เพียงไม่นาน นอกจากพระศาสนจักรจะได้บุญราศีจากคณะคาร์เมไลท์แห่งฝรั่งเศสถึง 16 องค์ พระศาสจักรยะงได้มีนักบุญร่วมสมัยผู้ยิ่งใหญ่อีกท่านนามว่า ‘เทเรซา แห่ง พระกุมารเยซู’
 
แต่... ในขณะที่กระบวนการของนักบุญเทเรซาน้อย ซึ่งเริ่มขึ้นทีหลังเป็นไปอย่างรวดเร็ว กระบวนการที่จุดประกายกระบวนการดังกล่าวก็กลับไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวใดหลังจากนั้นนานนับศตวรรษต่อการจะบันทึกนามทั้ง 16 ไว้เคียงข้างนักบุญองค์น้อยแห่งฝรั่งเศส มีเพียงแต่ใน  ค.ศ. 1931 แกร์ทูร์ด ฟอน ลี ฟอร์ท นักเขียนคริสตังยืนชาวเยอรมัน ผู้มีโอกาสได้อ่านหนังสือของเซอร์มารี แห่ง การรับเอากายที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ ได้นำเรื่องราวของมรณสักขีทั้ง 16 มาเขียนเป็นนวนิยายขนาดสั้นในชื่อ ‘คนสุดท้าย ณ นั่งร้าน’ (Die Letzte am Schafott) ใน ค.ศ. 1931 ซึ่งได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ ‘ลำนำ ณ นั่งร้าน’ (The Song at the Scaffold) ในอีก 2 ปีต่อมา และได้กลายมาเป็นต้นฉบับให้กับภาพยนตร์และละครเวทีในช่วงหลังกลางศตวรรษที่ 20 ซึ่งทำให้เรื่องราวของทั้ง 16 ไม่เคยเลือนหายไปจากการรับรู้ของสังคม 


ตราบจนวันเวลาล่วงมาถึงต้นปี ค.ศ. 2022 จึงมีข่าวว่าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงรับที่จะพิจารณาการสถาปนาบุญราศีมรณสักขีแห่งกมเปียญเป็นนักบุญในกรณีพิเศษนั่นคือไม่ต้องมีอัศจรรย์ครั้งที่สองมาประกอบ (equipollent canonization) อย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำหลายครั้งในสมัยปกครอง และที่สุดการรอคอยที่ดำเนินมาอย่างยาวนานก็สิ้นสุดลง ในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2024 เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสได้ทรงประกาศให้บุญราศีมรณสักขีแห่งกมเปียญเป็นนักบุญ โดยไม่ต้องมีอัศจรรย์ครั้งที่สองมาประกอบ นี่จึงนับเป็นการปิดกระบวนการแต่งตั้งที่ดำเนินมากว่า 128 ปีลงอย่างสมบูรณ์ในวันนั้น เนื่องจากการประกาศเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีการประกอบพิธีเช่นกรณีทั่วไปที่มีอัศจรรย์ หรือกรณีการออกเสียงของสมาชิกในประชุมสมณกระทรวงว่าด้วยการสถาปนานักบุญนั่นเอง 
รายนามมรณสักขีแห่งกมเปียญทั้ง 16 คน


    กลุ่มที่ 1 ภคินีภายในเขตพรตจำนวน 10 คน
    
    1. คุณแม่เทแรส แห่ง นักบุญออกัสติน
นามเดิมก่อนถวายตน คือ มารี มัดเดอเลน คลูดิน ลีดวน เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1752 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ท่านเป็นธิดาคนเดียวของเจ้าหน้าที่หอดูดาว ปารีส ผู้ได้รับการศึกษาตามแบบที่เยาวสตรีในสมัยนั้นจะพึงได้รับ เมื่อท่านตัดสินใจสมัครเข้าคณะคาร์เมไลท์ พระนางมารี อ็องตัวเน็ตต์เป็นผู้ออกค่าสินสอดให้กับท่าน ท่านถวายตนในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1775 ในอารามท่านเป็นผู้มีพรสวรรค์ในเรื่องการงานศิลปะและการแต่งบทกวีดังปรากฏในผลงานที่ยังคงถูกเก็บไว้ที่อารามเมืองกมเปียญและอารามเมืองซ็องส์ และเป็นผู้ถูกนิยามว่าเป็น ‘ผู้เป็นที่รักของพระเจ้า’ เมื่อถูกประหารชีวิตท่านกำลังดำรงตำแหน่งเป็นคุณแม่อธิการอารามเป็นสมัยที่ 2 และมีอายุได้ 41 ปี ถวายตนมาแล้ว 19 ปี

    2. คุณแม่แซงต์หลุยส์
นามเดิมก่อนถวายตน คือ มารี อันน์ ฟร็องซัวส์ บคีดู เกิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1751 ที่ เมืองเบ็ลฟอร์ต ประเทศฝรั่งเศส ท่านเป็นธิดาของนายทหารผู้หนึ่ง ท่านถวายตนเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1771 ในอารามท่านเป็นผู้มีนิสัยอ่อนโยน ไม่ค่อยพูด และเป็นผู้มีความจำที่ดีเลิศในการสวดบททำวัตรได้อย่างแม่นยำ เมื่อถูกประหารชีวิตท่านกำลังดำรงตำแหน่งเป็นรองอธิการอาราม และมีอายุได้ 42 ปี ถวายตนมาแล้ว 22 ปี

    3. คุณแม่อ็องเรียตต์ แห่ง พระเยซูเจ้า
นามเดิมก่อนถวายตน คือ มารี ฟร็องซัวส์ กาบรีเอลเล เดอ ครอยซ์ซี เกิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1745 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ท่านมีศักดิ์เป็นหลานของฌ็อง บัพติสต์ กอลแบร์ มุขมนตรีแห่งรัฐฝรั่งเศสในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ท่านเดินทางมาสมัครเข้าอารามเมืองกมเปียญตั้งแต่อายุได้เพียง 16 ปี แต่เนื่องจากคุณแม่อธิการอารามในเวลานั้นเห็นว่าท่านยังเด็กเกินไปจึงได้ปฏิเสธที่จะรับท่าน ท่านจึงจำต้องรอเวลา แต่ในท้ายที่สุดท่านก็ถวายตนในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1764 ในอารามท่านเป็นผู้ที่สามารถเอาชนะบุคคลอื่นได้ด้วยความอ่อนโยนและความรักที่เป็นไปตามธรรมชาติมิได้ปรุงแต่งดุจเดียวกับมารดา และเป็นอีกหนึ่งคนที่มีพรสวรรค์ในด้านงานศิลปะและบทกวีเหมือนคุณแม่เทแรส ท่านเคยดำรงเป็นคุณแม่อธิการอารามถึง 2 วาระ คือ ใน ค.ศ. 1779 และ ค.ศ. 1782 ในเวลาที่มีการประหารชีวิต ท่านได้คอยช่วยเซอร์ชาร์ลอตต์เดินขึ้นนั่งร้าน ก่อนจะถูกประหารเป็นลำดับรองสุดท้าย เมื่อถูกประหารชีวิตท่านกำลังดำรงตำแหน่งเป็นนวกจารย์ และมีอายุได้ 49 ปี ถวายตนมาแล้ว 30 ปี

    4. ภคินีชาร์ลอตต์ แห่ง การกลับคืนพระชนม์ชีพ
นามเดิมก่อนถวายตน คือ อันน์ มารี มัดเดอเลน ธูเรต์ เกิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1715 ที่เมืองมูย จ. อวซ ประเทศฝรั่งเศส บิดาของท่านเสียไปตั้งแต่ท่านยังเยาว์วัย มารดาของท่านจึงแต่งงานใหม่ แต่บิดาเลี้ยงรวมถึงมารดากับท่านก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันเสียเท่าไร เมื่อโตเป็นสาวท่านชอบที่จะหนีไปเต้นรำ และเนื่องจากนิสัยร่าเริงของท่าน ทำให้ใคร ๆ ก็อยากให้ท่านไปร่วมงาน จนทำให้ท่านสามารถขอให้หลายคนช่วยปิดเรื่องที่แอบหนีออกมาเช่นนี้กับครอบครัวได้ แต่แล้ววันหนึ่งท่านก็ได้เจอกับสิ่งที่ท่านเล่าว่าคือ ‘เหตุวิปโยค’ ในระหว่างงานเต้นรำครั้งหนึ่ง ท่านจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะไม่ไปร่วมงานเต้นรำอีก หลังจากนั้นท่านจึงได้ตัดสินใจสมัครเข้าอารามคาร์แมล เมืองกมเปียญ เมื่ออายุได้ 21 ปี และได้ถวายตัวในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1740 งานแรกของท่านอาราม คือ การประจำอยู่ที่ห้องพยาบาลของอาราม หลังจากนั้นท่านยังเคยทำหน้าที่เป็นจิตรกรประจำอาราม ซึ่งทำหน้าครั้งหนึ่งท่านสูญเสียความสามารถในการรับรู้ไปถึง 2 ปีเต็มจากการสัมผัสกับสารตะกั่วที่อยู่ในสี แต่ด้วยอัศจรรย์ท่านก็ได้หายจากอาการนี้ นอกจากนี้ท่านยังเคยดำรงตำแหน่งเป็นรองอธิการถึง 2 วาระ คือ ใน ค.ศ. 1764 และ ค.ศ. 1778 อีกด้วย ท่านเป็นคนที่มีอุปนิสัยร่าเริงอยู่ตลอดเวลา ในบั้นปลายชีวิตเนื่องจากการทำงานหนักทำให้กระดูกสันหลังของท่านผิดรูป จนต้องใช้ไม้ค้ำยันช่วย ในเวลาที่มีการประหารชีวิตท่านเป็นผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่ม เมื่อถูกประหารชีวิตท่านมีอายุได้ 78 ปี และถวายตนมาแล้วประมาณ 43 ปี

    5. ภคินีเดอ เยซุส ครูซิฟีเอ
นามเดิมก่อนถวายตน คือ มารี อันน์ ปีดกูรท์ เกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1715 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ท่านถวายตนเมื่อปี ค.ศ. 1737 ท่านอายุน้อยกว่าเซอร์ชาร์ลอตต์ไม่กี่เดือน แต่มีอายุถวายตนมากกว่า ในอารามท่านเคยทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลห้องหลังวัดอยู่หลายปี ในเวลาที่ถูกทางเจ้าพนักงานเมืองกมเปียญแจ้งเรื่องรัฐให้ถือการปฏิญาณตนเป็นนักบวชเป็นโมฆะและนักบวชสามารถออกมาเป็นฆราวาสได้ ท่านได้บอกกับพวกเขาว่าว่า “เซอร์เป็นชีลับมาตั้ง 56 ปีแล้ว เซอร์ตั้งใจจะมอบถวายชีวิตเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อไปค่ะ” และเมื่อขึ้นไปบนนั่งร้านก่อนจะถูกตัดศีรษะ ท่านได้หันไปยิ้มให้กับเจ้าหน้าที่ที่เตรียมบั่นศีรษะพร้อมบอกว่า “พวกเซอร์จะโทษบรรดาผู้น่าสงสารเหล่านี้ได้อย่างไรหนอ ในเมื่อพวกเขาเป็นผู้เปิดประตูสวรรค์ให้พวกเซอร์ เซอร์ให้อภัยเธอจากใจจริงนะ เท่า ๆ กับที่หวังว่าพระเจ้าเองก็จะทรงอภัยให้เซอร์เช่นเดียวกัน” เมื่อถูกประหารชีวิตท่านมีอายุได้ 78 ปี และถวายตนมาแล้วประมาณ 57 ปี

    6. ภคินีอูฟราซี แห่ง การปฏิสนธินิรมล
นามเดิมก่อนถวายตน คือ มารี โกล้ด ซีเปรียนน์ บรัร์ด เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1736 ที่เมืองโบร์ต จ. เออร์ ท่านสมัครเข้าอารามเมืองกมเปียญเมื่ออายุได้ 20 ปี ในปี ค.ศ. 1756 และได้ถวายตนในปีต่อมา ในอารามท่านถูกนิยามว่าเป็น ‘นักปรัชญา’ และ ‘ผู้สนุกไปกับทุกสิ่งในการหย่อนใจ’ เนื่องจากท่านเป็นคนมีไหวพริบ มีอารมณ์ขัน และมีเสน่ห์ภายนอกที่ยากจะต้านทาน ท่านชอบที่จะเขียนจดหมายถึงบรรดาพระสงฆ์และนักบวชเพื่อปรึกษาเรื่องชีวิตฝ่ายจิตอยู่ตลอด ซึ่งช่วยทำให้ทราบว่าลึก ๆ ท่านเป็นคนแข็งที่ใจร้อนพอสมควร สิ่งนี้นับเป็นปัญหาอย่างยิ่งต่อชีวิตในเขตพรต (ครั้งหนึ่งท่านถึงกับไม่พอใจคุณแม่อธิการอยู่ระยะใหญ่) แต่ท่านก็ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะเอาชนะนิสัยข้อนี้ของตนอย่างมุมานะอยู่ตลอด จนที่สุดท่านก็สามารถเอาชนะนิสัยนี้ได้ ในเวลาที่ถูกทางเจ้าพนักงานเมืองกมเปียญแจ้งเรื่องรัฐให้ถือการปฏิญาณตนเป็นนักบวชเป็นโมฆะและนักบวชสามารถออกมาเป็นฆราวาสได้ ท่านได้บอกกับพวกเขาว่า “เซอร์สมัครใจเป็นนักบวชด้วยตัวของเซอร์เอง เซอร์จึงตั้งใจแล้วว่าจะสวมเครื่องแบบนี้ต่อไป แม้เซอร์จะต้องใช้เลือดของเซอร์แลกกับความยินดีนี้ก็ตาม” เมื่อถูกประหารชีวิตท่านมีอายุได้ 58 ปี และถวายตนมาแล้วประมาณ 37 ปี

    7. ภคินีฌูลี หลุยส์ แห่ง พระเยซูเจ้า
นามเดิมก่อนถวายตน คือ โรส เครเทียน เดอ เนอวิลล์ เกิดเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1741 ที่เมืองอีฟเรอซ์ จ. เออร์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อโตเป็นสาวท่านรู้ตนดีว่าตนเองมีกระแสเรียกการเป็นนักบวช แต่เนื่องจากไม่อาจขัดความประสงค์ของครอบครัวได้ ท่านจึงจำต้องแต่งงงานกับลูกพี่ลูกน้องของท่าน แต่อยู่กินกันไม่ทันแก่เฒ่า สามีของท่านก็มาด่วนจากไปก่อนวัยอันควร ท่านจึงเสียสูญชีวิตจมอยู่ในความโศกเศร้าหมดอาลัยตายอยาก จนครอบครัวของท่านเกรงว่าท่านจะกลายเป็นคนวิกลจริตเข้าสักวัน แต่ก็นับเป็นโชคดีที่ท่านได้รับความช่วยเหลือจากนักบวชคนหนึ่งที่สนิทกับครอบครัว ท่านจึงกลับมาตระหนักได้ว่า แท้จริงท่านประสงค์สิ่งใดในชีวิต ดังนั้นท่านจึงได้ตัดสินใจสมัครเข้าอารามคาร์แมลและได้ถวายตนในประมาณปี ค.ศ. 1777 และแม้ท่านจะกลัวการถูกประหารชีวิตด้วยกิโยติน แต่ท้ายที่สุดท่านก็เลือกที่จะอยู่ร่วมกับหมู่คณะ เมื่อถูกประหารชีวิตท่านมีอายุได้ 52 ปี และถวายตนมาแล้วประมาณ 17 ปี

    8. ภคินีแทแรส แห่ง ดวงหทัยของพระแม่มารีย์
นามเดิมก่อนถวายตน คือ มารี อันน์ อานิสเสต เกิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1742 ที่เมืองแร็งส์ จ. มาร์น ประเทศฝรั่งเศส บิดาของท่านเป็นช่างทำอานม้า ท่านถวายตนเมื่อปี ค.ศ. 1764 ในอารามท่านทำหน้าที่เป็นมาเซอร์ประจำตู้หมุน คอยรับคำภาวนาและข้าวของที่คนนำมามอบให้กับทางอารามผ่านตู้หมุน และเหรัญญิกอันดับที่ 3 ของอาราม ท่านเป็นผู้กอปรด้วยสติปัญญา ความรอบคอบ และดุลยพินิจ ในเวลาที่ถูกทางเจ้าพนักงานเมืองกมเปียญแจ้งเรื่องรัฐให้ถือการปฏิญาณตนเป็นนักบวชเป็นโมฆะและนักบวชสามารถออกมาเป็นฆราวาสได้ ท่านได้บอกกับพวกเขาว่า “หากเซอร์สามารถเพิ่มพันธะที่ยึดตัวเซอร์กับพระได้อีกเท่าตัวแล้ว เซอร์ก็จะทำด้วยสุดกำลังและสุดจิตใจของเซอร์เลยค่ะ” เมื่อถูกประหารชีวิตท่านมีอายุได้ 52 ปี และถวายตนมาแล้วประมาณ 30 ปี

    9. ภคินีเทแรส แห่ง นักบุญอิกญาซีโอ
นามเดิมก่อนถวายตน คือ มารี กาบรีเอลล์ เทร์เซล เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1743 ที่เมืองกมเปียญ ประเทศฝรั่งเศส ท่านถวายตนเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1771 ในอารามท่านถูกนิยามว่าเป็น ‘สมบัติล้ำค่าที่ถูกซ่อนไว้ของอาราม’ ด้วยท่านเป็นผู้มีประสบการณ์ฝ่ายจิตเหนือธรรมชาติอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็น ‘ผู้ถึงพร้อมด้วยประสบการณ์ฝ่ายจิตอาศัยการตระหนักถึงความครบครัน’ ครั้งหนึ่งมีสมาชิกในอารามเคยถามท่านว่า ทำไมท่านถึงไม่เคยหยิบหนังสือรำพึงภาวนามาอ่าน ท่านก็ตอบกลับมาว่า “พระผู้แสนดีทรงพบว่าเซอร์นั้นช่างโง่เขลาไม่รู้อะไร แต่พระองค์ก็สามารถสอนเซอร์ได้ค่ะ” เมื่อถูกประหารชีวิตท่านมีอายุได้ 51 ปี และถวายตนมาแล้วประมาณ 22 ปี
    10. ภคินีมารี อ็องเรียตต์ แห่ง พระญาณสอดส่อง
นามเดิมก่อนถวายตน คือ มารี อันน์ เปลรัส เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1760 ที่เมืองกาฌาร์ก จ. โลท ประเทศฝรั่งเศส ท่านเกิดในครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีใจศรัทธา พี่สาวน้องสาวของท่านถึง 5 คนต่างบวชนักบวชในคณะภคินีแห่งความเมตตาธรรมแห่งเนอแวรส์ (คณะเดียวกับนักบุญแบร์นาแด็ต) ส่วนพี่ชายและน้องชายอีก 2 คนก็บวชเป็นพระสงฆ์ เดิมทีท่านเองก็ตัดสินใจจะบวชในคณะภคินีแห่งความเมตตาธรรมแห่งเนอแวรส์ แต่ท่านก็เกิดความคิดว่าใบหน้าที่สะสวยของท่านจะนำภัยมาสู่ท่าน หากท่านยังคงอยู่ในคณะนักบวชที่อยู่ในโลกภายนอกเช่นนี้ ท่านจึงได้ลาออกจากคณะและสมัครเข้าคณะคาร์เมไลท์ ที่เจริญชีวิตภายใต้เขตพรตห่างพ้นจากสายตาคนภายนอก ท่านได้ถวายตนเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1786 ในอารามนอกจากหน้าตาที่สะสวย ท่านยังเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สูงในกลุ่มภคินีภายในเขตพรต เมื่อถูกประหารชีวิตท่านมีอายุได้ 34 ปี และถวายตนมาแล้ว 7 ปี


    กลุ่มที่ 2 นวกเณรีภคินีภายในเขตพรตจำนวน 1 คน

    11. นวกเณรีกงสตังซ์ แห่ง พระเยซูเจ้า
นามเดิมก่อนเข้าอาราม คือ มารี เยเนเวียฟ เมอนิเยร์ เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1765 ที่เมืองแซ็งต์ เดอนิส จ. แซน แซ็งต์ เดอนิส ประเทศฝรั่งเศส ท่านเป็นสมาชิกที่มีอายุน้อยที่สุดในอาราม ซึ่งเนื่องจากสมัชชาแห่งชาติได้มีคำสั่งให้ระงับการประกอบพิธีปฏิญาณตนภายในคณะนักบวชเป็นการชั่วคราว จึงเป็นผลให้ท่านไม่มีโอกาสได้เข้าพิธีปฏิญาณตน ครอบครัวของท่านจึงประสงค์ให้ท่านกลับมาอยู่บ้าน โดยได้ส่งพี่ชายของท่านมาบังคับให้กลับ แต่ท่านก็ยืนกรานปฏิเสธ เขาจึงได้ไปตามตำรวจมาช่วยอีกแรง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ท่านก็ไม่หวั่นไหว ทั้งได้แจ้งกับทุกคนว่า “ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย ดิฉันขอขอบใจพ่อแม่ของดิฉัน หากด้วยความรัก พวกท่านจะเกรงว่าอันตรายจะเกิดขึ้นกับตัวของดิฉัน แต่ไม่มีสิ่งใดที่จะพรากดิฉันไปจากบรรดาคุณแม่และพี่ ๆ ของดิฉันได้ นอกเสียจากความตายค่ะ” ฝั่งตำรวจเมื่อพิสูจน์ได้ว่าท่านประสงค์จะอยู่ที่อารามแห่งนี้ต่อไป จึงมิได้บังคับให้ท่านกลับไปพร้อมพี่ชาย ท่านจึงยังได้พำนักที่อารามต่อไปในฐานะนวกเณรี เมื่อถูกประหารชีวิตท่านมีอายุได้ 29 ปี และเป็นนวกเณรีมาแล้ว 7 ปี

    กลุ่มที่ 3 ภคินีภายนอกเขตพรตจำนวน 3 คน

    12. ภคินีมารี แห่ง พระจิตเจ้า
นามเดิมก่อนถวายตน คือ อ็องเยลีค รูสเซล เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1742 ที่เมืองเฟรสเนส มาซ็องกูรท์ จ. ซอมม์ ประเทศฝรั่งเศส ท่านถวายตนเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1769 ตลอดชีวิตของท่าน ท่านมีอาการปวดตามเนื้อตามตัวอยู่ตลอด แต่ท่านก็ไม่เคยทดท้อตัดพ้อบ่นว่าชีวิต ตรงกันข้ามท่านกลับมีใจอดทนต่ออาการเหล่านี้โดยตลอดจนถึงวาระสุดท้าย เมื่อถูกประหารชีวิตท่านมีอายุได้ 52 ปี และถวายตนมาแล้ว 30 ปี

    13. ภคินีแซงต์ มาร์ต
นามเดิมก่อนถวายตน คือ มารี ดือฟัวร์ เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1741 ที่เมืองแบนน์ จ. ซาร์ต ประเทศฝรั่งเศส ท่านเข้าอารามเมื่อปี ค.ศ. 1772 ในอารามท่านคอยกระตุ้นให้ทุกคนมีความร้อนรนด้วยวัตรปฏิบัติที่มิด่างพร้อยของตนเอง เมื่อถูกประหารชีวิตท่านมีอายุได้ 52 ปี และอยู่อารามมาแล้วประมาณ 22 ปี

    14. ภคินีแซงต์ ฟร็องซัวส์ ซาเวียร์
นามเดิมก่อนถวายตน คือ ฌูเลียตต์ เวอโคโลต เกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1764 ที่เมืองลิกนิแยร์ จ. โอเบอ ประเทศฝรั่งเศส ท่านถวายตนเมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1789 ในอารามท่านเป็นคนตรงไปตรงมา สดใส เปี่ยมไปด้วยความดี และแม้ท่านจะไม่รู้หนังสือ แต่ท่านก็โดดเด่นด้วยความกระตือรือร้นแบบเด็ก ๆ และความมีอารมณ์ขัน ซึ่งแสดงออกมาผ่านกิจการง่าย ๆ ที่ท่านใช้แสดงความรักต่อพระเยซูคริสตเจ้า หน้าที่หลักของท่านในอาราม คือ การคอยดูแลสมาชิกสูงอายุในอาราม ในเวลาที่ถูกทางเจ้าพนักงานเมืองกมเปียญแจ้งเรื่องรัฐให้ถือการปฏิญาณตนเป็นนักบวชเป็นโมฆะและนักบวชสามารถออกมาเป็นฆราวาสได้ ท่านได้บอกกับพวกเขาว่า “คู่ชีวิตที่ดีย่อมปรารถนาอยู่กับสามีของเธอฉันใด เซอร์ก็ไม่ประสงค์จะละทิ้งคู่ชีวิตของเซอร์ฉันนั้นค่ะ” เมื่อถูกประหารชีวิตท่านมีอายุได้ 30 ปี และถวายตนมาแล้ว 5 ปี


    กลุ่มที่ 4 ฆราวาสสมาชิกขั้นสามคณะคาร์เมไลท์จำนวน 2 คน

    15. อันน์ คัธริน ซอยรง 
เกิดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1742 เป็นชาวเมืองกมเปียญโดยกำเนิด ซึ่งอยู่ช่วยงานอารามในฐานะคนเฝ้าประตู พร้อมกับน้องสาว คือ เทแรส ซอยรง มาตั้งแต่ ค.ศ. 1772 เมื่ออารามคาร์แมล เมืองกมเปียญเผชิญกับความยากลำบาก ท่านได้วิงวอนกับคุณแม่เทแรสทั้งน้ำตาว่าอย่าให้ท่านและน้องสาวต้องแยกจากหมู่คณะในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ ขณะถูกประหารชีวิตท่านมีอายุได้ 52 ปี และอยู่ช่วยงานอารามมาแล้วประมาณ 22 ปี

    16. เทแรส ซอยรง 
เกิดเมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1748 เป็นชาวเมืองกมเปียญโดยกำเนิด ซึ่งอยู่ช่วยงานอารามในฐานะคนเฝ้าประตู พร้อมกับพี่สาว คือ อันน์ คัธริน ซอยรง มาตั้งแต่ ค.ศ. 1772 และสืบเนื่องจากท่านเป็นหญิงที่ไม่เพียงมีรูปสวย แต่ยังมีบุคลิกที่มีเสน่ห์ ครั้งหนึ่งท่านหญิงมารี เทแรส หลุยส์ เจ้าหญิงแห่งลอมบัลล์ นางสนองพระโอษฐ์ของพระนางมารี อ็องตัวเน็ตต์ จึงเคยชวนท่านให้ไปทำงานกับนาง แต่ท่านก็ได้ปฏิเสธโดยตอบว่า “ท่านหญิงเพคะ แม้ท่านจะประทานมงกุฎแห่งฝรั่งเศสให้แก่ดิฉัน ดิฉันก็ยังจะเลือกอยู่ที่บ้านหลังนี้ ที่ซึ่งพระเจ้าผู้แสนดีได้ทรงนำดิฉันมา และดิฉันได้พบวิถีทางแห่งความรอด ที่ดิฉันไม่อาจพบได้ในคฤหาสน์ของท่านต่อไปค่ะ” เมื่อถูกประหารชีวิตท่านมีอายุได้ 46 ปี และอยู่ช่วยงานอารามมาแล้วประมาณ 22 ปี


“จงพิจารณาว่าเขาเหล่านั้นดำเนินชีวิตและตายอย่างไร” (ฮีบรู 13:7) เมื่อมองพินิจเข้าไปในกระบวนการที่ใครสักคนจะเป็นมรณสักขี เราจะพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการนี้ นอกเหนือไปจากความเชื่อ คือ การที่มนุษย์คนหนึ่งเอาชนะความอ่อนแอตามประสามนุษย์ ต่อทั้งความปลอดภัยและความหวาดกลัวต่อความตาย โดยเฉพาะความตายที่ไม่อภิรมย์ เพื่อติดตามและยืนยันความเชื่อที่ตนยึดถือ ฉะนั้นแล้วอาจกล่าวได้ว่าการเป็นมรณสักขี คือ การเอาชนะตนเอง เพื่อติดตามพระคริสตเจ้า แล้วสิ่งใดที่จะทำให้มนุษย์คนหนึ่งสามารถทำอย่างนั้นได้ เรื่องราวของลำนำ ณ นั่งร้านได้ตอบเราถึงเรื่องนี้ เพราะเมื่อไตร่ตรองเรื่องราวของพวกท่านทั้ง 16 เราจะพบว่า ‘ความหวัง’ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของพระคริสตเจ้า ผู้สิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนมชีพ ดังที่พระสันตะปาปาฟรานซิสดำรัสไว้ในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 ในโอกาสประกาศปีศักดิ์สิทธิ์ 2025 บรรดาผู้จาริกแห่งความหวัง นี้เอง คือ สิ่งที่กระตุ้นให้บรรดาข้ารับใช้พระเจ้าทั้ง 16 ไม่ลังเลที่จะเอาชนะน้ำใจของตนเองตามประสามนุษย์ ที่มีความอ่อนแอ ความกลัว ความกังวลใจเป็นธรรมดา แล้วเปล่งลำนำออกมาในขณะที่ตนก้าวขึ้นไป และใช้ชีวิต ณ วินาทีนั้นประกาศยืนยันถึงความหวังที่ตนมี เพราะความหวังที่เกิดจากความเชื่อว่า พระคริสตเจ้าได้เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์ พระคริสตเจ้าได้ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ ทำให้มนุษย์คนหนึ่งตระหนักได้ว่า พระเจ้านั้นมีจริง และพระองค์ได้ทรงเปิดประตูสวรรค์อันเป็นนิรันดร์ไว้รอท่ามนุษย์ ที่เดินตามรอยพระองค์

นี่จึงไม่ใช่ความบังเอิญที่ก่อนการเปิดปีศักดิ์สิทธิ์ 2025 พระศาสนจักรจะได้ยอมรับการบันทึกนามบุญราศีแห่งกมเปียญไว้ในสารบบนักบุญ เพราะมรณสักขีแห่งกมเปียญเป็น ‘ประจักษ์พยานแห่งความหวัง’ เป็นแบบฉบับตามที่ปรากฏในจดหมายถึงชาวฮีบรูว่า “เราจงยึดมั่นโดยไม่หวั่นไหวในการประกาศความหวังที่เรามีอยู่ เพราะว่าพระองค์ผู้ประทานพระสัญญานั้นทรงซื่อสัตย์” (ฮีบรู 10 : 23) ที่กำลังเรียกร้องให้เราในฐานะคริสตชนได้ใช้ชีวิตด้วยความหวังในพระเป็นเจ้า และเป็น ‘ประจักษ์พยานแห่งความหวัง’ ด้วยชีวิต ที่ไม่ใช่เพียงการยอมตายเพื่อเป็นมรณสักขีที่เป็นเพียงเครื่องหมายภายนอกรูปแบบหนึ่งอย่างพวกท่าน แต่คือการเอาชนะความอ่อนแอตามประสามนุษย์และการผจญของจิตชั่วร้ายที่มุ่งพรากความหวัง ไม่เพียงไปจากตัวเราแต่ยังจากโลก เพื่อดำรงคุณค่าการเป็นคริสตชน ผู้ประกาศความหวังด้วยการใช้ชีวิตยึดถือคุณค่าและความหมายของการเป็นศิษย์พระคริสต์ ผู้เป็นความหวังที่ทำให้เราไม่ผิดหวัง ‘ลำนำ ณ นั่งร้าน’ จึงมีความหมายมากไปกว่าเพียงเสียงของหญิงกลุ่มหนึ่งเมื่อหลายร้อยปีที่แล้วที่แสดงถึงความกล้าหาญในการต่อสู้กับความอยุติธรรม แต่คือคำประกาศและคำเชื้อเชิญให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความหวังเดียวที่พวกเธอได้ยึดถือ ลำนำของพวกเธอจึงสรุปได้อย่างสั้น ๆ และเป็นข้อความที่พวกเธอได้ส่งผ่านมาถึงพวกเราตามกระแสของเวลาว่า “ความหวังนี้ ไม่ทำให้เราผิดหวัง” (โรม 5 : 5).
รูทราย, เทเรซีโอของพระเยซู
วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025

“ข้าแต่ท่านนักบุญมรณสักขีแห่งกมเปียญ ช่วยวิงวอนเทอญ”

รายการอ้างอิง

ลำนำ ณ นั่งร้านของ 'มรณสักขีแห่งกมเปียญ' ตอนแรก

  นักบุญมรณสักขีแห่งกมเปียญ St. Martyrs of Compiègne วันฉลอง: 17 กรกฎาคม ‘เลาดาเต โดมินัม โอมเนส เซนเทส’ (นานาชาติเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์...