บุญราศีมารีอา
ซากรารีโอ แห่ง นักบุญอลอยซิอุส กอนซากา
Bl. María
del Sagrario de San Luis Gonzaga
ฉลองในวันที่ : 15 สิงหาคม
ท่ามกลางรายชื่อมากมายของบรรดามรณสักขี
ผู้ได้บรรลุถึงจุดหมายในธรรมเนียบของพระศาสนจักรปรากฏรายชื่อของ “มารีอา ซากรารีโอ แห่ง นักบุญอลิยซิอุส กอนซากา” มรณสักขีชาวคาร์เมไลท์ เป็นอีกหนึ่งบุพผาชาติ
ที่เบ่งบานขึ้น ณ บนยอดของภูเขาคาร์แมล เป็นอีกกุลธิดาตัวจริงของนักบุญเทเรซา
ผู้ก่อตั้งคณะ กล่าวมายาวยืดขนาดนี้ วันนี้ก็คงไม่พ้นประวัติของท่านเป็นแน่
ดังนั้นในโอกาสห้ารอยปีชาตกาลของนักบุญเทเรซา ขอเชิญทุกคน มาร่วมย้อนไปสัมผัสกับเรื่องราวของกุลธิดาคนนี้พร้อมๆกันเลย
เอลวีรา
โมรากัส อี กันเตเรโร เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม
ค.ศ.1881
ที่เมืองลิลโล จังหวัดโตเลโด ประเทศสเปน
ท่านเป็นลูกคนที่สามจากบรรดาพี่น้องทั้งสิ้นสี่คน
บิดาท่านเป็นเภสัชกรที่โตเลโดชื่อ ริการ์โด โมรากัส อูเคเรย์ มารดาท่านเป็นแม่บ้านชื่อ
อิซาเบล กันตาเรโร วาร์กัส เมื่อท่านมีอายุได้ 4 ปี บิดาท่านก็ไปทำงานที่กาซา เรอัล หลังจากนั้นในปีถัดมา
บิดาท่านจึงออกไปเปิดร้านขายยาเองบนถนนชื่อ บราโว มูริลโล กรุงมาดริด และเป็นที่นั่นเองที่ท่านเติบโตขึ้นมา
จนได้รับศีลกำลังเมื่ออายุได้ 6 ปี ในวันที่ 28 กันยายน ค.ศ.1887
ชีวิตในวัยเยาว์ท่านจัดเป็นเด็กที่เข้มแข็ง
ยึดมั่น หยิ่งและเอาแต่ใจ ดังนั้นมารดาของท่าน จึงให้ท่านอ่านหนังสือเสริมศรัทธา
เพื่อให้ท่านมีแบบอย่างที่ดี ส่วนเรื่องการศึกษา
ท่านได้เข้ารับการศึกษาในระดับชั้นประถม ณ โรงเรียนซาน เฟรดินันโด
ของคณะแม่พระแห่งความเมตตา(คนละคณะกับคณะภคินีพระแม่แห่งความเมตตา) ที่ตั้งอยู่ใกล้บ้าน
และได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกเมื่ออายุ 7
ปี จากวันเป็นปีล่วงได้ 13 ปี ท่านก็กลายเป็นที่รักจากทุกคน
ทั้งยังเฉลียวฉลาด
เห็นดังนั้นบิดามานดาท่านจึงตัดสินใจส่งเสียท่านเรียนต่อในระดับชั้นมัธยม
ณ สถาบันซานอิสิโดร พร้อมๆกับน้องชายของท่านคือริการ์โด ในปี ค.ศ.1894 ก่อนสามปีถัดมาทั้งสองจะย้ายไปศึกษาต่อที่สถาบันการ์เดนัล
กระทั้งในวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ.1899 ในวัย 18
ปี ท่านก็จบการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาศิลปะการสกัดสาร ด้วยคะแนนที่ดี ภายหลังจากพากเพียรศึกษาอย่างขยันขันแข็งเป็นเวลาสองปี
ด้วยความตั้งใจว่าสักวันท่านจะต้องเป็นเภสัชกรให้ได้ และในวัย 19 ปี ท่านเติบใหญ่เต็มตัวเป็นสาวที่น่ารัก
ร่าเริง ชอบพูดคุย เพื่อนๆของท่านเล่าว่าท่านเป็นคนที่มีสง่าราศี ขี้สงสาร
ใจศรัทธา แต่ก็ไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรเพื่อให้คนมาสน ดังนั้นโดยสรุปคือท่านเป็นคนสวย
เฉลียวฉลาด และมีความสามารถ ที่มีชีวิตไม่ได้ผิดแปลกจากใคร
ไม่ว่าจะไปเที่ยวพักร้อนกับเพื่อน ขี่ม้า หรือหนีวัวที่หลุดออกมา
แล้วมานั่งหัวเราะ
และเพื่อไล่ตามอาชีพของบิดาตามที่หวัง
ท่านจึงลงเรียนในคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมาดริด
และกลายเป็นสตรีคนแรกที่จบจากมหาวิทยาลัยนี้ แม้ในเวลานั้นจะนับเป็นเรื่องใหม่มากๆ
ที่ท่ามกลามผู้ชายปรากฏมีอิสตรี กระนั้นไม่นานท่านการเรียนของท่านก็เป็นที่ชื่นชมว่ายอดเยี่ยมจากอาจารย์
และที่ให้เกียรติและรักจากบรรดาเพื่อนๆ กระทั้งในวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ.1905 ด้วยอายุ 24
ปี ท่านก็สำเร็จการศึกษา พร้อมได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
นับเป็นเภสัชกรหญิงปริญญาคนแรกของสเปน
หลังจากนั้นท่านจึงไปทำงานเป็นผู้ช่วยในร้านของบิดา
แต่อีกแง่หนึ่งของชีวิต
ท่านเก็บซ่อนจิตวิญญาณอันล้ำลึกไว้ แต่ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้โดยไม่ต้องบอก
ทุกคนสัมผัสได้ว่าท่านเป็นนักบุญ นอกจากนี้ท่านยังรู้สึกถึงกระแสเรียกการเป็นนักบวช
แต่ยังไม่ทันจะได้บอกใคร บิดาของท่านมาสิ้นใจลงในปี ค.ศ.1909 น้องชายคนเดียวของท่านที่กำลังศึกษาด้านวิทยาศาสตร์อยู่
จึงตัดสินใจย้ายมาเรียนคณะเภสัชศาสตร์แทน เพื่อจะได้มารับช่วงต่อธุรกิจของบิดา
ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากมารดาของท่าน ที่ไม่ปรารถนาจะให้ท่านอยู่หน้าร้านเท่าไรนัก
อนิจจาความเศร้ายังไม่ทันหายดี
ความทุกข์ใหม่ก็มาเยือนท่านและน้องชายอีกครั้ง
เมื่อมารดาท่านก็มาสิ้นใจตามบิดาไปในอีกสองปีถัดมา
โดยก่อนจากไปมารดาท่านได้ปรับทุกข์กับท่านไว้ว่า “ลูกแม่ แม่รู้ว่าลูกจะทำอะไร
แต่แม่กังวลเรื่องน้องชายของลูก” ดังนั้นท่านจึงบอกกับน้องชาย ว่าท่านตัดสินใจชะลอที่จะทำตามฝัน
ไว้จนกว่าน้องชายจะเรียนจบและมารับช่วงต่อกิจการได้
ในฐานะเภสัชกร
ท่านกลายเป็นที่รู้จักดีของชาวเมืองละแวกนั้น ท่านอุทิศตนใช้ความรู้ที่มีทั้งหมดดูแลทุกคนที่เจ็บไข้แล้วแวะมา
เวลาเดียวกันก็เจริญชีวิตภาวนา เมตตาและพลีกรรม ทุกครั้งที่ท่านว่างจากงาน ท่านก็มักไปช่วยสอนคำสอนที่เขตวัดนักบุญมาระโก
จนได้พบกับคุณพ่อโลเป บัลเลสเตโรส คุณพ่อวิญญาณของท่าน
ที่แนะนำให้ท่านได้รู้จักกับอารามซานตาอานา อี ซาน โฆเซ ของคณะคาร์เมไลท์ไม่สวมรองเท้า
นอกจากนี้จากความทรงจำของน้องชายของท่านทำให้ทราบว่า มีบางครั้งท่านก็มอบผ้าห่มของท่านแก่คนยากไร้
สวมใส่เข็มขัดหนาม ร่วมงานเขตวัดทุกอย่างและรับศีลทุกวันอีกด้วย
หลังจากคุณพ่อโลเปสิ้นใจลงแล้ว
ท่านก็ได้คุณพ่อวิญญาณคนใหม่เป็นคุณพ่อโฆเซ รูบีโอ อี เปรัลตา
สงฆ์เยซูอิตที่เป็นรู้จักกันดีในนา “อัครสาวกแห่งมาดริด” (ปัจจุบันคุณพ่อรูบีโอได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญแล้ว) ซึ่งเป็นคุณพ่อองค์นี้เองที่บอกกับท่านว่า
“พระเจ้าทรงต้องการท่าน”
ท่านจึงตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่จะเข้าอาราม
ดังนั้นระหว่างรอท่านจึงเตรียมตนให้พร้อม ด้วยการเริ่มสวดเป็นเวลานาน และพลีกรรมากขึ้น
ท่านจัดอาหารที่ดีที่สุดให้น้องชาย ส่วนตัวท่านรับเพียงอาหารแบบถูกๆ ไร้ซึ่งของขบเคี้ยวทีหลัง
และที่สุดวันแห่งการรอคอยก็จบลง
เมื่อริการ์โดจบการศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ บัดนี้ท่านจึงเป็นอิสระจากพันธะต่างๆที่รั้งท่านไว้จากการมอบชีวิตแด่พระองค์
“พวกเราสองคนร้องไห้หนักมาก”
เพราะนี่คือการแยกจากพี่สาวที่เขาเปรียบได้กับ “แม่คนที่สอง” พี่สาวคนเดียวที่เขาใกล้ชิด
และแม้ในครั้งแรกอารามซานตาอานา อี ซาน โฆเซ จะปฏิเสธรับท่าน
ด้วยท่านดูเหมือนคนป่วย อารามจึงเกรงว่าจะเป็นปัญหา กระนั้นในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ.1915 หลังจากพยายามครั้งที่สอง
ในปีที่ชาวคาร์เมไลท์โมทนาคุณพระเจ้า โอกาสสี่ร้อยปีชาตกาลของนักบุญเทเรซา ท่านก็ได้เข้าอารามสมความปรารถนา
ในฐานะสมาชิดคนหนึ่งของอาราม
ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายอย่างไร้ที่ติ ท่านชอบทุกอย่างในอาราม
ไม่ว่าจะการทำวัตร การสวดภาวนา หรือการใช้โทษบาป คุณแม่ฆูเลียนา แห่ง
นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน นวกจารย์ของท่าน เล่าถึงท่านว่า “เธอเป็นคนเข้มแข็งและมีพลัง
ที่สามารถบรรลุถึงอุดมการณ์ อันยิ่งใหญ่ที่สุดของความศักดิ์สิทธิ์ได้” นอกจากนี้ท่านยังโดดเด่นออกมาด้วยจิตตารมณ์ของการเป็นยัญบูชา
และการใช้โทษบาป ท่านเป็นคนถ่อมตนที่เรียบง่าย และมีเมตตาจากเนื้อแท้
วิญญาณของท่านปรากฏอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์เสมอ
ท่านได้รับเสื้อศักดิ์สิทธิ์ของคณะในวันที่
21
ธันวาคม ค.ศ.1915 พร้อมนามใหม่ว่า “ภคินีมารีอา ซากรารีโอ แห่ง
นักบุญอลอยซิอุส กอนซากา” ก่อนเข้าพิธีปฏิญาณตนครั้งแรก ในวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ.1916 และพิธีปฏิญาณตนตลอดชีพในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ.1920
บัดนี้ท่านจึงกลายมาเป็นชีลับอย่างสมบูรณ์แล้ว และในฐานะใหม่สิ่งที่ท่านมุ่งมั่นก็คือ
การทำตามน้ำพระทัยของพระ
ท่านรักที่ช่วยงานซิสเตอร์ทุกคนทำงานโดยเฉพาะงานที่ต่ำต้อยที่สุด
แม้จะยากท่าก็บอกว่าท่านแข็งแรง
นอกจากนี้ท่านยังชอบที่จะช่วยงานในครัว
จนคราวหนึ่งซิสเตอร์ในนั้นเลยจัดการปิดประตูใส่หน้าท่าน แต่ก็ไม่อาจจะหยุดท่านได้ ดังนั้นเมื่อประตูปิด
ท่านจึงไปปีนเข้าทางหน้าต่างแทนเสียเลย และมีซิสเตอร์คนหนึ่งไม่อยากให้ท่านช่วยเธอปอกเปลือกมันฝรั่ง
ท่านก็พูดกับเธอว่า “ซิสเตอร์คะ
ดิฉันจะมีความสุขมากเลยถ้าได้ปอกเปลือกมันฝรั่ง …เพราะดิฉันคิดว่ามันฝรั่งในมือของดิฉันคือสิ่งสร้างของพระเจ้า
และดิฉันได้สรรเสริญพระองค์ด้วยความยินดีด้วยการทำให้มันสมบูรณ์มากขึ้น” อีกครั้งหนึ่งท่านมีโอกาสได้พูดคุยกับซิสเตอร์ที่ต้องทุกข์ทนจากอาการเจ็บศีรษะ ท่านก็บอกขึ้นว่า “ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว
ว่ามันจะทำร้ายเธอมาขึ้น เพราะดิฉันได้ขอพระเจ้าทรงนำมันออก
และประทานแก่ดิฉันแล้วค่ะ” และไม่นานซิสเตอร์คนนั้นก็หายจริงๆ
ส่วนท่านนั้นก็มีอาการไมเกรนขึ้นมาแทน
อีกคราวหนึ่งขณะท่านไปทำงานซักรีด
ท่านก็ได้รับบาดเจ็บที่นิ้วมือ จนกลายเป็นแผลติดเชื้อ
แม้จะถูกป้องกันไม่ให้แผลเน่าเท่าไร มันก็ยิ่งสร้างความทุกข์ทรมานให้ท่านเท่านั้น
แต่แม้จะเจ็บปวดเช่นนี้ท่านเพียงแต่กำกางเขนแน่น แม้ตัวจะสั่นเทาไปด้วยความเจ็บปวด
ท่านก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องโอดครวญ จนที่สุดท่านจึงต้องสูญเสียนิ้วมือนั้นไป
และสืบเนื่องจากการสิ้นใจของคุณแม่เทเรซา
แห่ง พระหฤทัย อธิการของอาราม ในเดือนมกราคม ค.ศ.1927 ก็ทำให้มีการจัดการเลือกตั้งขึ้นวันที่ 18 เมษายนปีเดียวกัน และผลก็ปรากฏท่านในวัย 46 ปี
ที่เป็นน้องคนสุดท้องของอารามได้รับเลือกให้เป็นคุณแม่อธิการ ดังนั้นท่านจึงเริ่มปฏิบัติหน้าที่ใหม่ด้วยการเริ่มซ่อมแซมอาราม
แม้ในช่วงปีแรกๆจะถูกต่อต้านจากซิสเตอร์บางกลุ่ม
ที่ไม่ยอมปรับวิถีชีวิตเพื่อให้ตนครบครันขึ้น ซึ่งแม้จะดำรงตำแหน่งสูง
ท่านก็ไม่เคยถือตัว อาทิเวลาคนยากไร้แวะมาที่อาราม
ก็จะเป็นท่านเองที่เตรียมอาหารให้เขา หรือจัดอาหารค่ำในวันก่อนสมโภชพระคริสตสมภพท่านก็จะเป็นคนทำให้พวกเขา
หรือเมื่อซิสเตอร์คนใดอยากคุยท่านก็พร้อมเสมอ
ท่านทำทุกสิ่งด้วยใจโมทนาคุณต่อพระเจ้า
ท่านจึงชอบบทเพลงเต เดอุม ในยามกลางคืน ขณะซิสเตอร์ทุกคนหลับไปแล้ว ท่านก็ชอบที่จะมาอยู่เฝ้าศีลตลอดคืน
และเมื่อซิสเตอร์มาขอคำแนะนำด้วยความทุกข์ว่าตัวเองบกพร่องในฤทธิ์กุศล
ท่านก็จะยิ้มและตอบเธอคนนั้นว่า “พวกเราได้รับมันในดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า” นอกจากนี้ท่านยังใช้ความรู้ด้านเภสัชฯที่เรียนมา ในการประหยัดค่ารักษา
ทำให้ตลอดวาระของท่าน ท่านบริหารทรัพย์สินของอารามได้เป็นอย่างดี ชนิดที่ว่าอารามไม่เคยมีอะไรขาดตกบกพร่องเลย
และเมื่อครอบสามปี
ท่านก็สิ้นสุดวาระ นวกจารย์ของท่านคุณแม่ฆูเลียนาได้รับเลือกให้เป็นอธิการ
ส่วนท่านได้ไปเป็นนวกจารย์ นวกะที่เคยผ่านการเรียนจากท่านเล่าว่า
คุณลักษณะที่ท่านไม่เคยเศร้าแม้ท่านจะรู้สึกไม่สบาย และวิญญาณที่ร่าเริง
กล้าหาญเป็นดั่งสิ่งที่ส่งต่อมายังพวกเธอ
เธอยังเล่าอีกว่าท่านชอบร้องเพลงในเวลาหย่อนใจ และชอบยกย่องบรรดามรณสักขี สิ่งที่บ่อยๆท่านปรารถนาจะเป็นเช่นพวกเขาเหล่านั้น
โดยที่ไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งท่านจะเป็นดั่งพวกเขาเหล่านั้นจริงๆ ส่วนการสอนของท่านเป็นการสอนด้วยชีวิต ความเข้าใจ
ชนิดจัดเต็ม
อีกคุณธรรมที่น่ายกย่องของท่านคือความอดทน
ที่แม้ท่านจะทุกข์มาก ท่านก็เก็บซ่อนมันไว้ภายในให้ทุกคนเห็นว่าสบายดี มีครั้งหนึ่งท่านต้องขึ้นอ่านบทอ่าน
ทั้งๆที่ท่านมีไข้ขึ้นสูงท่านก็ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่นั้น และยังคงร่าเริงเช่นเดิม
และอีกคราวหนึ่งท่านดูเหมือนมีการเวียนศีรษะ แต่ท่านก็ตอบเพียงว่า ไม่มีอะไรๆ
เมื่อครบวาระสามปีคุณแม่ฆูเลียนาก็ได้เลือกต่อ
ส่วนท่านก็มีจุดหมายจะไปทำงานอื่นๆ และเนื่องในโอกาสฉลองศาสนนามของคุณแม่ฆูเลียนา อารามจึงจัดให้มีการแสดงละครชีวประวัติของนักบุญจูเลียนนา
แห่ง นิโกเมเดีย พรหมจารีและมรณสักขี
ซึ่งฉากเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ตราตรึงในดวงใจของท่าน
ถึงการสละชีวิตเพื่อคงไว้ซึ่งความเชื่อ และมันก็ใกล้เวลาแล้วที่ท่านจะบรรลุถึงจุดหมายนี้
เพราะเวลานี้ข่าวถึงสงครามได้แพร่สะพัดไปทั่ว ว่าสงครามอันน่ากลัวกำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้
1 กรกฎาคม ค.ศ.1936 ภายหลังคุณแม่ฆูเลีนนา หมอวาระลงแล้ว
ท่านก็ได้รับเลือกให้เป็นอธิการอารามอีกครั้ง ท่านจึงน้อมรับมันด้วยความถ่อมตนสำหรับหน้าที่ใหม่
ด้วยความมุ่งมั่นว่า “สิ่งเดียวที่ดิฉันต้องการก็คือทุกคนมีความสุข และพูดได้ว่าทุกคนมีความสุข”
ท่านรับหน้าที่ใหม่โดยไม่รู้เลยว่า บัดนี้สงครามและความตาย
กำลังจะแวะมาเคาะประตูอารามแล้ว
เพราะเพียงสิบเจ็ดวันหลังจากนั้น
คือในวันที่ 18
กรกฎาคม ค.ศ.1936
สงครามกลางเมืองสเปนก็ปะทุ
เหตุการณ์ในวันนั้น ปรากฏว่ามีการขว้างปาก้อนหินใส่หน้าต่างทั้งของวัดและอาราม แต่ก็ไม่มีอะไรร้ายแรงไปมากกว่านี้
ลุถึงเวลาบ่ายๆ ท่านจึงเรียกรวมซิสเตอร์ทุกคนเพื่อแจ้งถึงสถานการณ์ภายนอกที่เกิดขึ้น
และอนุญาตให้ทุกคนกลับบ้านไปก่อนเพื่อความปลอดภัย หากต้องการ
แต่ก็ไม่มีซิสเตอร์คนไหนไป
อย่างไรก็ตาม ด้วยแรงกดดันของครอบครัวที่อยากให้บุตรสาวปลอดภัย ที่สุดซิสเตอร์จำนวนเก้าคน ก็จำต้องออกจากอารามไป ทำให้อารามเหลือซิสเตอร์ประจำทั้งสิ้นสิบคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือท่าน ที่แม้จะสามารถย้ายไปอยู่กับน้องชายได้ ท่านก็เลือกที่จะอยู่กับบรรดาซิสเตอร์ที่ไม่มีญาติในมาดริดต่อ กระทั้งวันที่ 20 กรกฎาคม อารามก็ถูกบุกและทำลายโดยกลุ่มผู้นิยมสาธารณรัฐในเวลาห้าโมงเย็น ซึ่งทีแรกวางแผนจะเผาอารามเวลสียด้วยซ้ำ แต่เพราะชาวบ้านแถวนั้นขอไว้ ด้วยกลัวไฟจะลามไปติดบ้าน พวกเขาจึงเปลี่ยนมาทำลายประตูเข้าไปแทน
อย่างไรก็ตาม ด้วยแรงกดดันของครอบครัวที่อยากให้บุตรสาวปลอดภัย ที่สุดซิสเตอร์จำนวนเก้าคน ก็จำต้องออกจากอารามไป ทำให้อารามเหลือซิสเตอร์ประจำทั้งสิ้นสิบคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือท่าน ที่แม้จะสามารถย้ายไปอยู่กับน้องชายได้ ท่านก็เลือกที่จะอยู่กับบรรดาซิสเตอร์ที่ไม่มีญาติในมาดริดต่อ กระทั้งวันที่ 20 กรกฎาคม อารามก็ถูกบุกและทำลายโดยกลุ่มผู้นิยมสาธารณรัฐในเวลาห้าโมงเย็น ซึ่งทีแรกวางแผนจะเผาอารามเวลสียด้วยซ้ำ แต่เพราะชาวบ้านแถวนั้นขอไว้ ด้วยกลัวไฟจะลามไปติดบ้าน พวกเขาจึงเปลี่ยนมาทำลายประตูเข้าไปแทน
ท่านจึงได้กันผู้บุกรุกเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะปลอดภัย
และพาบรรดาซิสเตอร์ที่เหลือที่แต่งกายด้วยชุดฆราวาส หลบออกจากอารามอย่างกล้าหาญ จนพ้นกำแพงอารามออกมาได้
ด้วยความกลัวว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ท่านจึงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราพร้อมแล้วที่จะถูกฆ่า” และ “ขอพระคริสตราชา จงทรงพระเจริญเทอญ” แต่พอดีที่แท็กซี่มาถึง
ท่านจึงสั่งให้ทุกคนขึ้นไป และก็นับเป็นโชคดีที่ไม่มีใครสนใจสิ่งที่ท่านพูด
ดังนั้นความกังวลของท่านต่อสิ่งที่พูดไปเมื่อกี้จึงไม่เกิดขึ้น
ตลอดทางที่รถแล่นไปด้วยความยินดีที่รอด
ซิสเตอร์ทุกคนจึงต่างพากันร้องเพลงเต เดอุม มักนีฟีกัต และซัลเว เรยีนา
เพื่อโมทนาคุณพระเจ้า ชนิดไม่อายต่อสายตาของใครๆทั้งสิน จนมาถึงยังที่ทำงานของผู้อำนวยการณ์การรักษาความสงบ
ท่านและซิสเตอร์จึงไปรอเข้าพบเขาที่ใต้บันได ในระหว่างนั้นท่านก็ไม่ได้แสดงท่าทางตระหนกอะไร
ท่านยังคงดำรงอยู่ในสันติ แม้จะมีบางเวลาที่ท่านก็รู้สึกตำหนิตัวเองบ้าง
ซิสเตอร์บางคนก็ช่วยปลอบท่าน จึงทำให้ท่านดีขึ้นบ้าง
แต่ด้วยงานที่ล้นมือของผู้อำนวยการณ์การรักษาความสงบ
ก็ทำให้เขาลืมสนิทว่ามีกลุ่มซิสเตอร์มาคอยอยู่
จนเวลาผ่านไปได้หลายชั่วโมงจึงมีพนักงานมาพบพวกท่าน และนำเรื่องไปแจ้งแก่เขาว่ามีซิสเตอร์มาขอเข้าพบ
เขาจึงสั่งให้จัดรถให้ไปส่งซิสเตอร์ในสถานที่ที่ปลอดภัย
ประการฉะนี้ซิสเตอร์ทุกคนจึงต้องจำกอดลากันไปในที่สุด
หลายๆคนอาจคิดว่าท่านจะไปซ่อนที่บ้านของน้องชาย แต่เปล่าเลยท่านเลือกที่จะไปซ่อนตัวที่บ้านของบิดามานดาซิสเตอร์เทเรซา
มารีอา พร้อมตัวซิสเตอร์เอง และซิสเตอร์อีกสองคนคือคุณแม่ฆูเลียนา
และซิสเตอร์เทเรซา แห่ง พระกุมารเยซู
หลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นและวัดถัดๆไป
น้องชายของท่านก็แวะมาเยี่ยมท่าน พร้อมขอให้ท่านไปหลบที่ปินโตกับเขา แต่ท่านปฏิเสธ
พร้อมกล่าวย้ำความตั้งใจอย่างงแน่วแน่ว่า “พี่ต้องดูแลบรรดาซิสเตอร์ของพี่” ซึ่งท่านก็ทำอย่างนั้นจริงๆ
คือระหว่างที่หลบภัยท่านก็คอยสร้างความมั่นใจแก่ซิสเตอร์ทุกคน
และคอยส่งความช่วยเหลือทางการเงินต่างๆ
แม้จะถูกกันไม่ให้เดินทางไปเยี่ยมด้วยเป็นการเสี่ยง
มันก็หาได้เป็นกำแพงที่กั้นท่านจากซิสเตอร์ที่หลบที่อื่นไม่
ท่านได้ใช้จดหมายในการสร้างกำลังใจและกระตุ้นให้ทุกคนอดทนจนกว่าพายุร้ายนี้จะผ่านไป
ท่านและคณะหลบอยู่ที่บ้านบนถนนซานตา
กาตาลีนา เลขที่ 3 ได้แปดวันก็เริ่มมีการค้นบ้านต่างๆ
ดังนั้นคุณแม่ฆูเลียนาและซิสเตอร์เทเรซา จึงย้ายไปบ้านหลังอื่น
เวลาเดียวกันครอบครัวของซิสเตอร์มารีอา
เทเรซาก็เห็นว่าไม่ปลอดภัยแน่ที่จะพักอยู่หน้าอาราม
ดังนั้นท่านจึงย้ายไปยังบ้านบนถนนลิสตาแทน ณ ที่นั่นซิสเตอร์มารีอา เทเรซา
พร้อมซิสเตอร์บลันกาก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมท่านเสมอ โดยเฉพาะซิสเตอร์มารีอา เทเรซาที่คอยแวะมาประสานงานระหว่างคุณแม่อธิการและบรรดาซิสเตอร์เสมอ
ท่านได้พบเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 13 สิงหาคม
บัดนี้เหตุการณ์ทุกอย่างดูจะราบรื่นดี
ไม่มีใครเป็นอะไร แต่ทุกสิ่งกำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อสาวใช้บ้านของซิสเตอร์มารีอา
แห่ง พระเยซูเจ้า ที่ตั้งอยู่ที่ถนนมาร์เกส เด ริสกัล นำเรื่องที่มีซิสเตอร์มาซ่อนตัวไปแจ้ง กลุ่มผู้นิยมสาธารณรัฐจึงบุกมาจับซิสเตอร์ทั้งสามคน พร้อมเปโดร พี่ชายของซิสเตอร์มารีอาไปขัง
และผลจากค้นตัวของซิสเตอร์เบียตริซ กลุ่มผู้นิยมสาธารณรัฐก็พบหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่พวกเขาตามหา
มันก็คือจดหมายจำรวนมากที่ลงที่อยู่ของท่านไว้
ดังนั้นในวันที่
14 สิงหาคม
ขณะท่านพร้อมคนอื่นที่หลบด้วยกันกำลังร่วมกันทำวัตรฉลองแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์
เวลานั้นเป็นเวลาราวสี่โมงได้ พวกนิยมสาธารณรัฐก็มาถึงประตูบ้านที่ท่านหลบอยู่
พวกเขาทำการตรวจค้นเพื่อตามหาท่าน ฝ่ายท่านเมื่อทราบความต้องการเขาก็ออกรับทันที
ว่าท่านนี้แหละคนที่พวกเขาตามหา ดังนั้นเมื่อทราบแล้วพวกเขาจึงจับท่านแยกออกมาสอบสวน
ณ ที่ตั้งของพวกนิยมสาธารณรัฐบนถนนมาร์เกส เด ริสกัลป์
โดยมีจุดมุ่งหมายในการสอบสวนที่ว่า “สมบัติของอารามอยู่ไหน”
แต่ท่านก็ยังคงสงบ
และตอบอย่างใจเย็น โดยไร้ซึ้งอาการตกใจกลัวใดๆทั้งสิ้น การสอบสวนเป็นไปอย่างไร้ผล ท่านไมได้บอกอะไรแม้แต่ที่อยู่ของบรรดาซิสเตอร์คนอื่นๆ
เขาจึงส่งท่านกลับมาขังกับซิสเตอร์อีกสี่คนที่เหลือ
แต่ไม่นานท่านก็ถูกเรียกไปสอบสวนอีกครั้ง ในครั้งนี้พวกนิยมสาธารณรัฐค้นตัวท่านจนพบเงิน 7,000
เปโซที่ท่านนำติดตัวมาเพื่อใช้กับซิสเตอร์ และพบเอกสารสำคัญซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อชั้นในของท่าน
แต่ท่านรีบแย่งมา แล้วจับยัดปากตัวท่านเอง ก่อนจะกลืนลงท้องไป
จนสร้างความโกธรให้กับพวกนิยมสาธารณรัฐมาก เอกสารนั้นคืออะไร
ทำไมท่านถึงต้องปกป้องมันขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลย
มันก็คือใบเสร็จรับเงินที่แสดงจำนวนเงินของอารามในธนาคาร นับเป็นการย้ำเตือนว่าท่านจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาปล้นอารามเป็นอันขาด
จากนั้นท่านก็ถูกนำตัวไปสอบสวนที่อีกห้องหนึ่ง
ซิสเตอร์ที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าท่านเดินเข้าไปอย่างใจลอย พร้อมลูกประคำในมือ
และใบหน้าที่เปี่ยมสันติ หลังจากนั้นท่านจึงถูกสอบสวน แม้จะดึกดื่นแค่ไหน
พวกเขาก็พยายามกดดันให้ท่านเขียนบางสิ่ง แต่ท่านก็ไม่ยอมแม้จะถูกดดันอย่างหนัก
จนที่สุดท่านจึงคุกเข่าลงสวดภาวนา ก่อนจะลุกขึ้นอย่างมั่นคง
แล้วจึงเริ่มเขียนบางสิ่งสักครู่ เนื้อหาไม่เป็นทีทราบแน่ชัด
บางที่ท่านอาจเขียนว่า “ขอพระคริสตราชา จงทรงพระเจริญเทอญ” หรือข้อความเชื่อ แต่ที่แน่ๆมันไม่ใช่สิ่งที่คนสอบสวนท่านหวัง
เขาจึงด่าทอท่าน ก่อนจะนำท่านกลับไปขังดังเดิม
ท่านถูกตัดสินให้ประหารชีวิตในเวลาราวๆห้าทุ่มถึงห้าทุ่มครึ่ง
และถูกนำตัวไปยังทุ่งหญ้าชื่อ “ซาน อิสิโดร” พร้อมบิดาและพี่ชายของซิสเตอร์มารีอา
เทเรซา ก่อนทั้งหมดจะถูกประทับยิงจนสิ้นใจ
ในเวลาประมารเที่ยงคืนถึงตีหนึ่งของเช้าวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1936
ซึ่งเป็นวันสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์
วันฉลองของแม่พระแห่งซากรารีโอ องค์อุปถัมภ์เมืองโตเลโด ศาสนานามของท่าน เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อบรรดาอาสาสมัครเหล่านั้นกลับมา
ก็ตรงไปบอกซิสเตอร์ที่เหลือว่า “คุณแม่ไปที่บูร์โกส
พร้อมครอบครัวของท่านแล้วนะ” แต่ไม่มีใครเชื่อ
พวกเขาจึงจึงเปลี่ยนมาล้อเลียนว่า “แย่จังเลย พวกเธอไม่มีแม่สักแล้ว…”
ร่างของท่านถูกพบอยู่ในถังในวันเดียวกัน
โดยมีสายจำพวกคล้องอยู่ แสดงชัดว่าบัดนี้ข้ารับใช้พระเจ้าได้บรรลุถึงสิ่งที่หวังไว้แล้ว
นั่นก็คือสวรรค์ ด้วยการยอมสละชีพตนเป็นมรณสักขีเพื่อปกป้องทรัพย์สินของอาราม
และซิสเตอร์ทุกคนให้รอดปลอดภัย ด้วยอายุ 55 ปี
ร่างของท่านถูกฝังในสามวันถัดมาในสุสานอัลมูเดนา พร้อมศพอื่นๆอีกยี่สิบราย ฝั่งน้องชายของท่านตลอดเวลาแม้จะวิ่งเต้นแค่ไหนก็ไม่เป็นผลมันสายไปแล้ว
เขาจึงลงมือสืบการตายของท่าน แต่ก็ถูกขู่ว่าหากสืบต่อไปเขาและซิสเตอร์ที่เหลือจะต้องได้รับอันตรายแน่
กระทั้งสงครามสิ้นสุดลง
ในวันที่ 17
พฤศจิกายน ค.ศ.1942
จึงมีการนำร่างของท่านกลับคืนอาราม
และมีการเปิดกระบวนการในเวลาถัดมา กระทั้งในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ.1998 ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร
สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงสถาปนาท่านขึ้นเป็นบุญราศี
พร้อมข้ารับใช้พระเจ้ามาราวีลลาส คุณแม่อธิการคาร์เมไลท์ชาวสเปน
“จิตใจข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า
พระผู้กอบกู้ข้าพเจ้า”(ลูกา 1:49) เราทุกๆคนล้วนมีพันธกิจสำคัญที่พระได้มอบให้เรา
บางคนเป็นพระสงฆ์ บางคนเป็นพ่อแม่ บางคนเป็นซิสเตอร์ บางคนเป็นครู
และแน่นอนว่าในการทำหน้าที่ที่เราได้รับมอบมานั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายทุกครั้ง
บางครั้งมันก็ทำให้เราอยากเลิก ทำให้เราท้อ ทำให้เราสงสัย คุณแม่ซากรารีโอ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น
ท่านได้รับตำแหน่งอธิการของอารามในช่วงสงครามกลางเมือง แต่ทำไมเมื่อถูกสอบสวน
ท่านจึงยังคงยึดมั่นในหน้าที่ที่พระได้มอบมาให้ได้ละ คำตอบง่ายๆคือคำพูดของแม่พระในข้อนี้
นั่นก็คือ ในท่ามกลางความทุกข์ท่านเห็นไปถึงรางวัลในสวรรค์
ซึ่งนำมาซึ่งความยินดีนี้ ดังนั้นท่านจึงไม่กลัวที่จะแลกความสุขต่างๆฝ่ายโลกเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขแห่งสวรรค์
ชีวิตของท่านคือการเรียกร้องให้พวกเรามองไปยังบำเหน็จในสวรรค์ เพื่อเราจะได้ชื่นชมยินดีและมีกำลังก้าวต่อไปพร้อมกางเขนของเรา
“ข้าแต่ท่านบุญราศีมารีอา ซากรารีโอ แห่ง
นักบุญอลอยซิอุส กอนซากา ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง