วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560

'ฟรังซิสโกและยาซินทา' เด็กเลี้ยงแกะแห่งฟาติมา ตอน 10

นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ

อัศจรรย์เล็ก ๆ ของสองยุวนักบุญ

จะด้วยการปฏิบัติตนดั่งที่เล่ามาหรือด้วยกลเหตุประการใดก็ตาม หลาย ๆ ครั้งพระมารดา ผู้ทรงเคยเสด็จมาหาทั้งสาม ก็ทรงสดับฟังคำภาวนาจากเด็กน้อยทั้งสามทูลขอ ซึ่งในที่นี้จะยกมาเฉพาะของฟรังซิสโก และยาซินทา โดยเริ่มจากเรื่องของฟรังซิสโกที่มีอยู่ว่า วันหนึ่งบุตรชายของครอบครัวหนึ่งในหมู่ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านของทั้งสามถูกจับเข้าคุก ทั้ง ๆ ที่เขาบริสุทธิ์ ดังนั้นด้วยไม่รู้จะไปพึ่งใครสองสามีภรรยาผู้ทุกข์ใจจึงมาขอให้เทเรซา พี่สาวของลูเซีย ไปขอให้น้องสาวของเธอทูลต่อแม่พระให้ทรงช่วย ฝั่งลูเซียก็เล่าเรื่องนี้ให้ญาติผู้น้องทั้งสองคนฟังระหว่างเดินไปโรงเรียน

ฝั่งฟรังซิสโกเมื่อได้ฟังจึงขันอาสาสว่า เธอไปโรงเรียน ส่วนเราจะอยู่นี่กับพระเยซูเจ้าเพื่อวอนขอพระคุณนี้เอง  หลังจากนั้นเขาจึงใช้เวลาตลอดทั้งเช้าจนถึงบ่ายเฝ้าสวดต่อพระเยซูเจ้าเพื่อขอพระหรรษทานนี้ จนกระทั่งพบลูเซียอีกครั้งในตอนบ่าย ๆ เขาก็บอกกับเธอว่า เธอไปบอกกับพี่เทเรซาว่าให้ไปบอกพวกเขาว่า อีกไม่กี่วันเขาจะได้กลับมาอยู่บ้านได้แล้วละ และก็เป็นดังนั้นจริงเพราะในวันที่ 13 เดือนต่อมา ชายหนุ่มก็ได้รับการปล่อยตัวและได้กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย

ส่วนเรื่องของยาซินทามีอยู่ว่า คราวหนึ่งบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของนางวิกตอเรีย คุณป้าของลูเซียเกิดหายตัวไปจากบ้านเสียเฉย ๆ โดยมิมีใครรู้เห็น นางจึงมาอ้อนวอนขอให้ยาซินทาช่วยสวดต่อแม่พระเพื่อเขา และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันลูกชายของครอบครัวนั้นก็กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย ฝั่งชายหนุ่มเมื่อพบบิดามารดา ทันทีเขาก็รีบขอให้ทั้งสองยกโทษให้เขา แล้วจึงค่อยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ทั้งสองฟัง ว่าสาเหตุที่เขาหายไปมิใช้อะไร แต่เป็นเพราะเขาไปขโมยของมาและถูกจับขังคุก แต่เดชะบุญเขาสามารแหกคุกแล้วหนีเข้าไปในป่าได้

แต่พอหนีไปหนีมาเขาก็พบว่าตัวเองหลงป่าเสียแล้ว ด้วยไร้หนทางคิดอ่านจะทำการใดต่อ เขาจึงตัดสินใจคุกเข่าลงและสวดภาวนา ชั่วขณะหนึ่งเขาก็แลเห็นยาซินทามาจูงมือเขาไปทางที่เธอบอกให้เขาเดินตรงไป ก่อนเธอจะทำท่าให้เข้าให้เดินไป แล้วจึงหายไปเสียเฉย ๆ ทิ้งให้เขาเดินเพียงลำพังจนมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย บางทีเรื่องนี้อาจจะไม่น่าแปลกมากนัก ถ้าในเวลาต่อมาเมื่อลูเซียถาม ยาซินทาไม่ตอบปฏิเสธว่าเธอไม่ได้ไป ทั้งไม่รู้จักเนินเขาและป่าสนนั้น หนูสวดภาวนาเพียงเท่านั้น และขอแม่พระให้ช่วยเขามาก ๆ เพราะหนูรู้สึกเสียใจกับคุณป้าวิกตอเรียของพวกเรา นี่จะเป็นอัศจรรย์การอยู่สองสถานที่พร้อมกันหรือไม่อย่างไรก็ไม่มีใครตอบได้ จะเป็นทูตสวรรค์หรือแม่พระได้จำแลงเป็นยาซินทาไปช่วยก็สุดจะหาคำตอบได้ด้วยสติปัญญาของมนุษย์อย่างเรา

ฟรังซิสโกล้มป่วย

ฉันจะรับยาซินทาและฟรังซิสโกไปในไม่ช้านี้ ฟรังซิสโกตระหนักถึงสิ่งนี้ดี ดั่งที่ได้เล่าไปแล้ว เขาพยายามใช้เวลาที่เหลืออย่างคุ้มค่าที่สุด เขาไม่เคยพลาดโอกาสที่จะต้องสละน้ำใจตน เขายกถวายความทุกข์ยากต่าง ๆ เป็นดั่งของขวัญอันล้ำค่าแด่พระเป็นเจ้าในสวรรค์ เพื่อความรักของพระองค์ พระเยซู เขามักกล่าวเช่นนี้บ่อย ๆ

หนึ่งปีต่อมาในเดือนเดียวกับที่พระราชินีสวรรค์ทรงเสด็จมาเยี่ยมเยือนเด็กเลี้ยงแกะทั้งสาม ณ ตำบลฟาติมา คือ ในเดือนพฤษภาคม ค.. 1918 ยาซินทาซึ่งขณะนี้มีวัยได้ 8 ปี ก็ได้รับอนุญาตจากคุณพ่อเจ้าวัดให้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกตามความฝันสักที แต่ท่านก็มิได้อนุญาตให้ฟรังซิสโกรับด้วย เพราะภายนอกของเขายังดูเป็นเด็กไม่มีความรู้อะไรพอจะรับศีล เท่ากับคนอื่น และท่านเองก็มิได้แลเห็นความศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงเร้นอยู่ในวิญญาณน้อยนี้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงยังความเจ็บปวดเป็นอันมากให้เขา เพราะขณะที่น้องสาวของเขาได้รับอนุญาตให้รับศีลแล้ว แต่เขาก็ยังต้องเฝ้ารอต่อไป กระนั้นก็ตามฟรังซิสโกก็ไม่เคยต่อว่าพระเจ้า ตรงกันข้ามเขาได้ยกถวายกางเขนนี้เป็นหนึ่งในบรรดาของขวัญแด่พระองค์

หลังจากนั้นในปีเดียวกัน เมื่อฤดูใบไม้ร่วงอีกปีเวียนมาถึงยังยุโรป และสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งดำเนินไปกำลังจะยุติลงดั่งคำทำนายของแม่พระ ทั้งยุโรปก็ต้องเผชิญกับความวิปโยคครั้งใหญ่อีกครั้ง เมื่อเกิดโรคระบาด ซึ่งฆ่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมาก นั่นก็คือ การระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปน โรคร้ายแพร่ไปอย่างรวดเร็วผ่านคน และมาถึงยังอัลยุสเตร์ลบ้านเกิดของทั้งสาม ในปลายเดือนตุลาคมปีเดียวกัน โดยครอบครัวของลูเซีย มีเพียงลูเซียเท่านั้นที่ไม่ติดเชื้อ ส่วนครอบครัวมาร์โตของฟรังซิสโกและยาซินทา ก็มีเพียงนายมานูเอล ผู้เป็นบิดาเท่านั้นที่ยังแข็งแรงดี

ฟรังซิสโกล้มป่วยเป็นคนแรกในบ้าน และอาการก็ทรุดลงในระยะเวลาเพียงไม่นาน จนน่าเป็นห่วง แต่เขาก็ยังคงร่าเริงแจ่มใสดั่งปกติ เพราะเขารู้ดีว่าแม่พระทรงสัญญาว่าจะมารับเขาไปสวรรค์ และเขาก็ยังคงสุภาพกับทุกคน และน้อมรับทุกสิ่ง แม้ยาขมมาก ๆ เขาก็มิได้ทำหน้าตาบูดบึ้งเมื่อต้องกิน นางโอลิมเปียเล่าว่า เขาดูดีและร่าเริงจนเรารู้สึกว่าเขาดีขึ้น แต่เขายิ้มและบอกกับเราเสมอว่ามันไม่มีประโยชน์- แม่พระกำลังมาพาเขาไปสวรรค์ เขาพูดอยู่บ่อย ๆ

บันทึกความทรงจำตอนหนึ่งของลูเซียได้เขียนถึงช่วงแรก ๆ ที่ฟรังซิสโกเริ่มส่อเค้าอาการป่วยว่า
ในเวลาต่อมาดิฉันก็สังเกตเห็นว่า เมื่อพวกเราเดินทางออกจากบ้าน ฟรังซิสโกก็เดินช้า ๆ
เกิดอะไรขึ้น ดิฉันถามเขา นายดูเดินจะไม่ไหวเลยนะ
เราปวดหัว และก็รู้สึกจะเป็นลมเสียให้ได้
แล้วจะมาทำไมละ ไปนอนพักที่บ้านไป
เราไม่ต้องการงั้น เราควรไปอยู่ที่วัดกับพระเยซูผู้ซ่อนเร้น ขณะที่เธอไปโรงเรียน
ฟรังซิสโกกำลังป่วย แต่ก็ยังพอเดินไปไหนมาไหนได้นิดหน่อย

ส่วนตัวยาซินทาเองก็ล้มป่วยเช่นกัน แต่ก็มีอาการไม่หนักเท่าพี่ชาย เธอจึงชอบมาอยู่ปลายเตียงของฟรังซิสโกที่นอนป่วยอยู่ จนวันหนึ่งขณะสองพี่น้องอยู่ด้วยกันในห้องตามลำพัง แม่พระก็ได้ประจักษ์มาหาทั้งสองอีกครั้ง พระนางทรงประกาศว่าฟรังซิสโกจะรับเขาไปในไม่ช้านี้ และทรงตรัสถามยาซินทาว่าอยากจะอยู่บนโลกต่อสักหน่อยไหม พระนางถามหนูว่าหนูยังอยากทำให้คนบาปกลับใจอยู่ไหม และหนูก็ตอบว่ายังอยากอยู่ หลังจากนั้นพระนางถามว่าหนูอยากได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาลสองแห่ง แต่หนูจะไม่ได้รับการรักษา หนูจะได้ถวายพลีกรรมมากขึ้น เพื่อความรักของพระเจ้า เพื่อการกลับใจของคนบาป และชดเชยการล่วงละเมิดดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์ นี่คือสิ่งที่พระนางบอกหนู ลูเซีย (ลูเซียตอบ จ๊ะ ที่รัก) และพี่ พี่จะไม่ได้อยู่กับหนูในทุกที่ที่หนูต้องไป คุณแม่ของหนูจะไปที่นั่นกับหนู และหนูจะต้องอยู่เพียงลำพัง ยาซินทาเล่าให้ลูเซียฟังในเวลาต่อมา

วันเวลาล่วงถึงวันฉลองพระคริสตสมภพ อาการของฟรังซิสโกก็ดูท่าจะดีขึ้น เพราะในวันฉลองเขาสามารถลุกจากเตียงได้ แม้จะตัวจะดูซีดเซียว และมีอาการเซเล็กน้อยอยู่บ้าง แต่ยังไม่ทันที่ครอบครัวจะดีใจได้เท่าไร อาการของเขาก็ทรุดหนักอีกครั้งในเดือนต่อมา และดูท่าจะทรุดหนักกว่าครั้งก่อน ยังความทุกข์ระทมใจให้นายมานูเอล ผู้เป็นบิดายิ่งนัก เพราะเขาเชื่อเสมอว่าลูกชายตัวน้อยของเขาจะหาย หายไว ๆ นะลูก และเดี๋ยว ๆ ลูกก็จะได้โตเป็นหนุ่มแล้ว เขาบอกกับลูกชายที่นอนป่วย ไม่ครับ ลูกรู้ดีว่าแม่พระกำลังจะมา และรับลูกไป ฟรังซิสโกตอบบิดา

บนทางสู่กัลวาร์

ทุกวันหลังเลิกเรียน ลูเซียจะแวะมาเยี่ยมทั้งสองที่บ้าน ฝั่งฟรังซิสโกและยาซินทาเองก็มีความสุขที่ได้พบลูเซีย  ทั้งสามจะต่างคุยกันอย่างเงียบ ๆ (ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าทั้งสามพูดอะไรกัน กระทั่งวันที่ลูเซียเป็นพยานในกระบวนการขอแต่งตั้งทั้งสองเป็นนักบุญ) วันหนึ่งที่ข้างเตียง ลูเซียก็เอ่ยถามฟรังซิสโกว่า เจ็บมากไหมฟรังซิสโก ฝั่งฟรังซิสโกที่นอนซมก็ตอบกลับไปว่า ก็เจ็บอยู่พอควรเลยละ แต่เราไม่คิดถึงมันหรอก เรารับทรมานก็เพื่อปลอบประโลมองค์พระผู้เป็นเจ้า และไม่นานเราก็จะได้ไปอยู่กับพระองค์

อีกวันหนึ่งลูเซียและยาซินทาได้พากันเข้าไปหาฟรังซิสโกที่ห้อง ซึ่งทันทีที่พบหน้าทั้งสองฟรังซิสโกก็เอ่ยดักขึ้นก่อนว่า อย่าพูดอะไรเยอะเลยนะวันนี้ คือเราเจ็บหัวมาก ฝั่งยาซินทาน้องสาวผู้มีจิตใจมอบแด่คนบาป จึงเอ่ยเตือนพี่ชายที่มีอาการเจ็บศีรษะว่า อย่าลืมยกเป็นพลีกรรมเพื่อคนบาปนะ ฟรังซิสโกเมื่อได้ยินเช่นนี้ จึงตอบน้องสาวคนเดียวของเขาว่า แน่นอน แต่แรกสุดพี่ขอถวายเพื่อการปลอบประโลมองค์พระผู้เป็นเจ้าและแม่พระก่อนนะ แล้วก็ค่อยเพื่อคนบาปและเพื่อองค์สันตะบิดร

ในสภาพป่วยหนักฟรังซิสโกได้ใช้เวลาเกือบทั้งสิ้นไปกับการสวดสายประคำ เพื่อชิดสนิทกับแม่พระ แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็เอ่ยกับนางโอลิมเปีย ผู้เป็นมารดาอย่างอ่อนแรงว่า ลูกไม่ใช่มันแล้ว แม่ครับ เมื่อลูกสวดวันทามารีย์ หัวของลูกหมุนติ้วจนลูกไม่รู้ว่าลูกคิดอะไรอยู่ แต่นางโอลิมเปียก็ให้กำลังใจบุตรชายตัวน้อยว่า สวดด้วยหัวใจของลูก ลูกแม่ ก็เพียงพอแล้วสำหรับท่านที่จะเข้าใจ

แต่ความเจ็บป่วยใดเล่าของฟรังซิสโกในระหว่างป่วยหนักจนลุกไปไหนมาไหนมิได้ จะเท่ากับความทุกข์ที่เขาไม่มีโอกาสได้ไปเฝ้าศีลอยู่ที่ ใกล้ประตูทางเข้าวัด ทางปีกซ้ายของวัด เพราะขณะนั้นวัดกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุง ฟรังซิสโกจะไปอยู่ที่นั่นระหว่างอ่างล้างบาปและพระแท่น และก็เป็นที่นั่นแหละที่ดิฉันพบเขาเมื่อกลับมา” (คำบอกเล่าของลูเซีย) กระนั้นก็ตามแม้ไม่อาจจะไปหาพระองค์ที่วัดด้วยตัวเองได้ บ่อยครั้งเมื่อลูเซียกำลังไปโรงเรียนและได้แวะหาฟรังซิสโก เขาก็จะฝากเธอไปว่า นี่ ช่วยไปที่วัดและมอบความรักของเราให้พระเยซูเจ้าผู้ซ่อนเร้นที่นะ สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ที่สุดก็คือการที่เราไม่อาจจะไปและพำนักอยู่กับพระองค์ ณ ที่นั่นได้

มรณกรรมของฟรังซิสโก

อาการของฟรังซิสโกนานวันก็มีแต่จะทรุดหนักลงเรื่อย ๆ ในลำคอเขามีเสหะมาก ส่วนไข้ก็มีแต่จะสูงขึ้นมากกว่าจะลด เขารับอาหารอะไรไม่ได้ และอ่อนแรงลงเต็มที กระทั่งลุถึงเช้าวันเสาร์ที่ 2 เมษายน ค.. 1919 ฟรังซิสโกที่นอนซมก็บอกกับบิดาว่า พ่อครับ ลูกอยากรับศีลก่อนลูกจะตาย นายมานูเอลจึงรับปากบุตรชายและรีบไปตามพระสงฆ์ในทันที หลังจากนั้นเขาจึงให้ตามลูเซียมา และเมื่อเธอมาถึงเขาก็ขอให้ทุกคนที่ไม่ใช่ลูเซียและยาซินทาออกไปข้างนอก

และเมื่อเห็นว่าเหลือเพียงสามคนแล้ว  ฟรังซิสโกก็บอกกับเธอว่า ลูเซีย เราป่วยหนักมาก เราจะไปสวรรค์เร็ว ๆ นี้ลูเซีย เราอยากแก้บาปเพื่อจะได้รับศีลและจากโลกนี้ไป ดังนั้นเราอยากถามเธอว่า เธอเห็นเราเคยทำบาปอะไรบ้าง ยาซินทาละ สองสาวจึงพากันครุ่นคิดกัน สักพักลูเซียก็กล่าวถึงเรื่องการไม่เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่เล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา  ส่วนยาซินทาก็กระซิบบอกเบา ๆ ว่า น้องคิดถึงเรื่องก่อนการประจักษ์ที่พี่เคยไปขโมยเงินพ่อเพื่อมาซื้อฮาร์โมนิก้าของโฆเซ มาร์โต และก็เคยปาหินตอนทะเลาะกับเด็กชายคนอื่น

พี่เคยสารภาพบาปนี้แล้ว ฟรังซิสโกพึมพำเบา ๆ แต่พี่จะสารภาพมันอีกครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะบาปพวกนี้ก็ได้ ที่ทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเศร้าพระทัยพี่เสียใจ…”  ลูเซียคว้ามือฟรังซิสโกมากุม และเริ่มสวดบทภาวนาที่แม่พระสอนพร้อมๆกับทั้งสอง ข้าแต่พระเยซูเจ้าโปรดอภัยบาปของลูกทั้งหลาย โปรดช่วยลูกทั้งหลายให้รอดพ้นจากไฟนรก และนำวิญญาณทั้งหลายไปสู่สวรรค์ เป็นต้นวิญญาณที่ต้องการพระเมตตาของพระองค์มากที่สุด แล้วฟรังซิสโกจึงหันมาขอให้ลูเซียสวดให้เขา ลูเซียเองก็รับปากและปลอบใจเขาว่าพระอภัยให้เขาแล้ว ไม่งั้นแม่พระไม่บอกกับยาซินทาหรอกว่าจะมารับเขาไปสวรรค์เร็ว ๆ นี้

เวลาไล่เลี่ยกันคุณพ่อก็มาถึงและได้ฟังแก้บาปในเย็นวันเดียวกัน และเมื่อฟังแก้บาปเสร็จแล้ว คุณพ่อก็ได้ให้สัญญากับฟรังซิสโกว่า พรุ่งนี้ท่านจะเชิญศีลมหาสนิทมาส่งให้เขา ฝั่งลูเซียที่ทราบดังนั้นก็พลอยมีแต่ความยินดีร่วมกับเขาไปด้วย เพราะนี่จะเป็นการรับศีลมหาสนิทครั้งแรกของเขา

เช้าวันรุ่งขึ้นคือในวันที่ 3 เมษายน เมื่อฟรังซิสโกได้ยินเสียงกระดิ่งที่ใช้สั่นเวลายกศีลหรือเชิญศีลดังเข้ามาใกล้ ๆ บ้านของตน เขาก็รีบจะลุกขึ้นรับพระองค์ที่เสด็จมาหา แต่ก็ไม่อาจจะลุกขึ้นมาได้ ฝั่งนางโอลิมเปียเมื่อเห็นคุณพ่อเดินทางมาถึงพร้อมศีล ก็รีบจุดเทียนรอรับ และเมื่อคุณพ่อเจ้าวัดมาถึงยังห้องที่ฟรังซิสโกนอนพักรักษาตัว เมื่อเห็นเขาพยายามจะลุกขึ้นมา แต่ลุกไม่ไหว คุณพ่อจึงก็บอกเขาว่า เธอสามารถรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ในท่านอน

ดังนั้นเองคุณพ่อก็ได้ส่งศีลมหาสนิทให้เขาที่บนเตียง ฟรังซิสโกก็รับปังแผ่นนั้นไปด้วยความเริงรื่นในวิญญาณ  เมื่อไรคุณพ่อจะพาพระเยซูเจ้าผู้ซ่อนพระองค์มาให้ผมอีกครับ เขาลืมตาขึ้นพลางเอ่ยถามคุณพ่อ เราไม่รู้ว่าคุณพ่อได้ตอบเขาเช่นไร เรารู้แต่เพียงว่าตลอดวันนั้นดวงใจของฟรังซิสโก ก็มีแต่ความยินดีเป็นยิ่งนัก

เย็นวันเดียวกัน ลูเซียก็แวะมาเยี่ยมเขา และเหมือนเธอจะรู้ว่าวันนี้จะเป็นการเยี่ยมครั้งสุดท้าย เพราะเมื่อถึงเวลาที่จะลากลับบ้าน ลาก่อน ฟรังซิสโก หากนายไปสวรรค์คืนนี้ อย่าลืมเรานะนายจะได้ยินเราไหม เธอเอ่ยลา ได้ยินสิ อย่ากังวลไปเลย เราไม่ลืมเธอหรอก ฟรังซิสโกตอบ พร้อมเขย่ามือที่กุมแน่นของเธอด้วยกำลังเฮือกใหญ่ บัดนี้ดวงตาของทั้งสองต่างสบมองกัน น้ำตาหยดใส ๆ ไหลออกมาจากตาน้อย ๆ ของทั้งคู่  นายอยากได้อะไรอีกไหม ลูเซียเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง ไม่แล้วละ เขาตอบกลับ งั้น ลาก่อนนะ ฟรังซิสโก แล้วเจอกันในสวรรค์ เธอตอบเขา แล้วจึงละจากเขาไปทั้งน้ำตาที่นองหน้า

หลังจากนั้นผู้ใกล้วายชนม์ตัวน้อยก็ผ่านค่ำคืนอันเงียบสงัดด้วยการรำพึงนึกถึงพระเยซูเจ้า จนถึงเวลารุ่งสางของวันถัดมา เขาก็ร้องเรียกมารดาขึ้นว่า ดูนั่นซิ แม่ครับ ดูแสงสว่างที่สวยงามตรงประตูนั่นโอ้ ตอนนี้ลูกไม่เห็นมันแล้ว หลังจากนั้นเขาจึงขอให้นางอวยพรเขา และยกโทษในสิ่งที่เขาทำลงไปกับนาง นางก็ทำตามคำขอของลูกชาย แล้วแต่เวลานั้นมา เวลาของฟรังซิสโกก็ค่อย ๆ หมดลงเรื่อย ๆ ตามลำดับ กระทั่งล่วงมาถึงเวลาสิบนาฬิกาของวันที่ 4 เมษายน ค.. 1919 ในวัย 10 ปี ฟรังซิสโกก็ได้ปิดดวงตาน้อย ๆ ลง และได้จากไปอย่างสงบพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ บนริมฝีปาก

ผมไม่อยากเป็นอะไรทั้งสิ้น ผมอยากตายและไปสวรรค์ครับ ร่างไร้วิญญาณของฟรังซิสโกถูกฝังอย่างเรียบง่ายในวันถัดมา ในสุสานตรงข้ามวัดของฟาติมา โดยมีไม้กางเขนง่าย ๆ ฝีมือลูเซียปักไว้เพื่อบอกตำแหน่ง


ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ

วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2560

'ฟรังซิสโกและยาซินทา' เด็กเลี้ยงแกะแห่งฟาติมา ตอน 9

นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ

หลังการประจักษ์จบลงทั้งฟรังซิสโกและยาซินทาก็มีชีวิตที่มิได้ผิดแปลกไปจากเดิมเว้นเสียแต่ไม่ได้ไปเลี้ยงแกะแล้วเพราะนางโอลิมเปียตัดสินใจขายแกะไป ส่วนลูเซีย ญาติผู้พี่ก็เริ่มไปโรงเรียนตามคำสั่งของแม่พระ ดังนั้นทั้งสองก็มีโอกาสติดตามเธอไปเรียนพร้อมกันด้วย ซึ่งแต่ก่อนจะเข้าเรียนทั้งสามก็จะแวะไปเฝ้าศีลที่วัดสักระยะก่อน หลังจากนั้นจึงไปเข้าเรียน แต่ในวันแรกขณะยังไม่ทันจะเข้าเรียน ฟรังซิสโกก็ระลึกถึงคำทำนายของแม่พระที่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เพียงไม่นานได้

เธอไปเรียนเหอะ เราจะอยู่กับพระเยซูเจ้าผู้ซ่อนพระองค์ มันดีแล้วหรือที่จะเรียนอ่านเขียน ถ้าเราจะไปสวรรค์ในไม่ช้านี้ เขาตัดสินใจบอกลูเซียก่อนจะเข้าเรียนเพียงเสี้ยววิ หลังจากนั้นเขาจึงผลักจากทั้งสอง แล้วตรงไปวัดที่ใกล้ที่สุด เพื่อคุกเข่าลง ณ เบื้องหน้าตู้ศีล และเมื่อลูเซียและยาซินทากลับจากโรงเรียนในตอนบ่าย ทั้งสองก็พบฟรังซิสโกสวดอยู่ที่เดิม (และหลังจากนั้นหลาย ๆ ครั้งเขาก้มักปฏิบัติเช่นนี้)

แม้ตลอดการประจักษ์ ฟรังซิสโกจะไม่เคยได้ยินเสียงตรัสของแม่พระ แต่ภายหลังจากการประจักษ์มาเขาก็ยิ่งทวีความศรัทธาของตนมากขึ้น เขามักใช้เวลานาน ๆ ไปกับการคิดถึงพระเยซูเจ้าและสารที่แม่พระมอบแก่โลก และบางเวลาที่เขาสวด เมื่อลูเซียและยาซินทามาเรียก เขาก็ไม่ได้ยินทั้งสอง (แต่ในเวลาปกติเขาก็พร้อมเสมอที่จะช่วยงานครอบครัว) ยามนี้คำพูดของทูตสวรรค์ในการประจักษ์ครั้งที่สามที่ว่า และปลอบโยนพระเจ้า คือคำที่ตราตรึงในวิญญาณน้อยๆของเขา เขาปรารถนายิ่งที่จะปลอบโยนพระองค์ ผู้ทรงต้องทุกข์ทนเพราะบาปผิดของมนุษย์ที่พระองค์รัก

ครั้งหนึ่งลูเซียและยาซินทาผ่านมาพบเขากำลังกราบอยู่หลังกำแพง ทั้งสองจึงถามเขาไปว่า ทำไมไม่มาสวดกับเราละ ฝั่งฟรังซิสโก ก็ตอบกลับทั้งสองไปว่า เราชอบอยู่คนเดียว เพื่อคิดถึงแม่พระและการปลอบโยน อีกคราวลูเซียเคยถามฟรังซิสโกตรง ๆ ว่า ฟรังซิสโก นายชอบอะไรมากที่สุด ปลอบโยนพระเจ้าหรือทำให้คนบาปกลับใ เขาก็ตอบเธอว่า เราชอบปลอบโยนองค์พระผู้เป็นเจ้า เธอไม่เห็นหรอว่าแม่พระเศร้าแค่ไหนตอนที่บอกพวกเราว่ามนุษย์ไม่ควรทำเคืองพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงขัดเคืองพระทัยเป็นยิ่งนักอีกต่อไป เราอยากปลอบโยนองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วค่อยไปทำให้คนบาปกลับใจ เพื่อว่าพวกเขาจะไม่ทำให้พระองค์ขัดเคืองพระทัยอีกต่อไป ไม่นานเราก็จะได้อยู่ในสวรรค์ และเมื่อเราถึงที่นั่นแล้วนะ เราก็จะปลอบโยนองค์พระผู้เป็นเจ้าและแม่พระมาก ๆ 

ส่วนยาซินทา เดชะพระหรรษทานและความช่วยเหลือจากแม่พระ วิญญาณของเธอก็ลุกร้อนไปด้วยไฟแห่งความรักต่อพระและความปรารถนาที่จะช่วยวิญญาณทั้งหลายจากการไปนรก บัดนี้ชีวิตของเธอมอบพลีเพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า ความรอดของวิญญาณทั้งหลาย ความสำคัญของพระบิดาเจ้าและพระสงฆ์  และความจำเป็นและความรักต่อศีลศักดิ์สิทธิ์ ทุกวันเธอเฝ้าไปร่วมมิสซา พร้อมความหวังว่าจะได้รับพระองค์สักวันหนึ่งเพื่อชดเชยบาปของโลกที่ทำให้ดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า และดวงหทัยนิรมลของแม่พระต้องระทมทุกข์ นอกนี้สำหรับเธอแล้ว ไม่มีอะไรจะน่าสนใจไปยิ่งกว่าการสำแดงพระองค์อย่างแท้จริงในศีลมหาสนิท ยาซินทาเคยเอ่ยบ่อย ๆ ว่า หนูรักที่จะอยู่ที่มาก ๆ หนูมีเรื่องราวมากมายจะคุยกับพระองค์

เธอไม่เคยเหนื่อยที่จะบอกทุกคนที่พบว่าพระเยซูเจ้าและแม่พระรักพวกเขา เธอเคยบอกกับลูเซียว่า หนูชอบที่จะทูลกับองค์พระเยซูหลาย ๆ ครั้งว่า หนูรักพระองค์ ซึ่งเมื่อหนูพูดเช่นนี้ หนูก็รู้สึกเหมือนมีไฟลุกอยู่ในหัวใจของหนู แต่มันไม่เคยเผาหนู  , หนูรักองค์พระผู้เป็นเจ้าและแม่พระมาก ๆ หนูไม่เคยเหนื่อยที่จะบอกทั้งสองพระองค์ว่าหนูรักพระองค์ทั้งคู่เลย และเธอยังร้อนรนยิ่งในการที่จะปลีกตัวเองจากโลก และใฝ่หาแต่สวรรค์

ในทั้งสามเธอนับเป็นหนึ่งในด้านการทรมานร่างกายเพื่อทำให้คนบาปกลับใจนับตั้งแต่ได้รับการประจักษ์ครั้งที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการสละน้ำใจตน การสละนิสัยตน การอดอาหารกลางวันแล้วเอาไปให้คนยากไร้หรือเจ้าแกะกินแทน การปฏิเสธที่จะดื่มน้ำในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวตลอดวัน การอดอาหารในช่วงมหาพรต และการเลิกเอาเวลาไปเล่นเกมส์ตามปกติมา แล้วมาเพิ่มเวลาสวดภาวนาให้มากขึ้น ดังที่เล่าไปแล้ว

ระยะแรกยาซินทารัดเชือกนี้ตลอดเวลา แต่ในการประจักษ์ครั้งหนึ่ง แม่พระได้ตรัสบอกเธอว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยกับการพลีกรรมของพวกหนูนะ แต่พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้พวกหนูสวมสายรัดเอวเวลานอน ใส่มันแค่ตอนกลางวันก็พอแล้วจ๊ะ ทำให้แต่นั้นมาทั้งสามจึงนบนอต่อคำสั่งนี้ และได้ยิ่งทวีการพลีกรรมมากยิ่ง ๆ ขึ้น เพราะบัดนี้ทั้งสามต่างรู้ดีแล้ว ว่าพระเจ้าและแม่พระทรงพระพระทัยการปฏิบัติเช่นนี้ ทั้งฟรังซิสโกและยาซินทาต่างรัดเชือกนี้จนเกือบถึงวันสุดท้ายของพวกเขา แม้มันจะสร้างบาดแผลให้พวกเขาก็ตาม (เรื่องนี้ไม่มีใครล่วงรู้เลย เพราะทั้งสองมิได้เปิดเผยเรื่องนี้แก่ใคร ซ้ำในช่วงท้ายของชีวิตทั้งฟรังซิสโกและยาซินทาก็ได้ปลดเชือกนี้ออกเพื่อมิให้ครอบครัวล่วงรู้ และได้มอบให้ลูเซียนำไปทำลายในวันเดียวกัน)

นิมิตเรื่องสันตะบิดร

และไม่เพียงแต่พลีกรรมเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ยาซินทายังตระหนักถึงความจำเป็นยิ่งที่จะต้องพลีกรรมเพื่อองค์สันตะบิดร ผู้ทรงเป็นประมุขแห่งพระศาสนจักร และเธอก็มีโอกาสเห็นนิมิตเกี่ยวกับความทุกข์ของพระสันตะปาปาถึงสองครั้ง ครั้งแรกยาซินทาเล่าว่า หนูเห็นพระองค์อยู่ในบ้านหลังใหญ่ พระองค์คุกเข่าพร้อมซุกหน้าลงที่มือพร้อมร้องไห้ มีคนมากมายอยู่ข้างนอกนั่น บ้างขว้างก้อนหิน บ้างก็พูดดูหมิ่นและคำหยาบ

ส่วนอีกครั้งขณะเกิดขึ้น ขณะเธอกำลังกราบและสวดบทภาวนาที่ทูตสวรรค์สอนที่ถ้ำ อยู่ ๆ ยาซินทาก็รีบรุดขึ้นพรวดพราด และบอกแก่ญาติผู้พี่ว่า ดูซิ พี่ไม่เห็นถนนหลายสาย ทางเท้าหลายทาง และทุ่งมากมายที่เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังร้องไห้ด้วยความหิว เพราะไม่มีอะไรจะกิน และพระสันตะปาปาในวัดกำลังสวดภาวนาต่อดวงหทัยของแม่พระงั้นหรือ ทำให้หลังจากนั้นมาทั้งสามจึงระลึกถึงองค์สันตะบิดรอยู่เสมอ และได้คอยสวดเพื่อพระองค์อย่างไม่เคยหยุดหย่อน ทั้งสามตกลงกันว่าจะสวดบทวันทามารีย์สามครั้งหลังสวดสายประคำเสร็จเพื่ออุทิศแด่พระสันตะปาปา

นิมิตปีศาจ

เหมือนการที่ฟรังซิสโกมีความร้อนรนมากขึ้นจะทำให้ปีศาจไม่พอใจ คล้ายกับว่าการที่ฟรังซิสโกมอบชีวิตเพื่อปลอบโลมใจของพระเยซูเจ้า จะทำให้แผนการต่าง ๆ นานาของมันที่จะเร่งพระพิโรธให้ตกมาสู่โลกเร็วขึ้น แล้วคนจำนวนมากมายที่มันชักนำจะได้ไม่มีเวลาพอที่จะกลับใจใช้โทษบาป และท้ายสุดก็จะต้องถูกทำลายไปในไฟนรก หรือนี่จะเป็นการย้ำเตือนกับพวกเราว่าปีศาจนั้นน่ากลัวเพียงใด เพราะขนาดเด็กชายที่ใจกล้าที่สุดยังต้องร้องเสียงหลงเมื่อพบมัน พวกเราก็ก็มิอาจจะเข้าใจน้ำพระทัยที่แท้จริงของพระเป็นเจ้าได้

ลูเซียได้ทบทวนเล่าถึงความทรงจำนี้ว่า วันหนึ่งขณะเธอและสองพี่น้องมาร์โตพาแกะไปอาหารที่บริเวณซึ่งเรียกกันว่า เปเดรยรา ระหว่างปล่อยเจ้าแกะน้อยให้เล็มหญ้า ทั้งสามก็พากันเล่นอยู่ใกล้นั้น กระโดดไปตามก้อนหินที่มีอย่างดาษเดียรบ้าง ตะโกนฟังเสียงสะท้อนจากช่องเขาบ้าง กระทั่งถึงจุดหนึ่งฟรังซิสโกก็ปลีกตัวไปสวดภาวนาอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ตามปกติ

เมื่อเวลาไปล่วงไปได้นานพอดู จู่ ๆ ทั้งสองที่กำลังเล่นกันอยู่ก็ได้ยินเสียงฟรังซิสโกตะโกนเรียกทั้งสองและแม่พระพร้อม ๆ ปล่อยโฮออกมา ลูเซียและยาซินทาที่เล่นอยู่จึงพากันออกตามหาตัวฟรังซิสโก นาย/พี่อยู่ไหน ทั้งสองส่งเสียงเรียก อยู่นี่ อยู่นี่ ฟรังซิสโกขานรับ แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไรนัก เพราะต้องใช้เวลาสักพัก ทั้งสองจึงมาพบตัวฟรังซิสโกที่บัดนี้สั่นสะท้านเป็นลูกนก กำลังคุกเข่าอยู่ และมีอาการหัวเสียที่ไม่เขาไม่อาจจะลุกขึ้นยืนได้

เกิดอะไรขึ้น มีอะไรไม่ดีหรือเปล่า ลูเซียถาม มันเป็นสัตว์ตัวใหญ่ที่พวกเราเห็นในนรก มันอยู่ตรงนี้พร้อมหายใจออกมาเป็นไฟ ฟรังซิสโกเล่าด้วยน้ำเสียงระทึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ทั้งสองที่ตามาที่หลังก็ไม่เห็นอะไรตามที่เขาบอก ดังนั้นดิฉันจึงหัวเราะออกมาและบอกเขาว่า นายไม่เคยอยากคิดถึงเรื่องนรก เพราะจะได้ไม่กลัวนิ และตอนนี้นายมาเป็นคนแรกที่กลัวเสียนี่อันที่จริงแล้ว เมื่อใดก็ตามที่ยาซินทาคิดถึงเรื่องนรก เขามักจะบอกกับเธอว่า อย่าคิดถึงเรื่องนรกให้มาก คิดถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าและแม่พระแทนสิ’” ลูเซียบันทึก

เหมือนเดิมมิแปรเปลี่ยน

แม้การประจักษ์จะจบไปแล้ว หลาย ๆ คนก็ยังเดินทางมายังอัลยุสเตร์ลเพื่อขอคำภาวนาจากเด็ก ๆ แต่การมีชื่อเสียงเช่นนี้ก็ไม่เคยทำให้เด็กทั้งสามเปลี่ยนไป พวกเขายังคงมีชีวิตที่เรียบง่ายและถ่อมตน นอกนี้ยิ่งผู้คนเริ่มมองหาพวกเขามาเท่าไร ทั้งสามก็ยิ่งซ่อนตนจากสายตาของพวกมากยิ่งขึ้น (ดั่งที่เล่าไปบ้าง) เช่นวันหนึ่งขณะทั้งสามกำลังเดินไปบนถนนของหมู่บ้านอย่างสงบเสงี่ยม รถคันใหญ่ที่มีสุภาพบุรุษและสุภาสตรีแต่งตัวดูภูมิฐานนั่งมาก็มาจอดที่หน้าทั้งสาม

ดูนั่นสิ พวกเขากำลังมาหาพวกเรา…” ฟรังซิสโกเอ่ยขึ้น พวกเราจะไปซ่อนกันดีไหม ยาซินทาถามต่อ เป็นไปไม่ได้หรอกที่พวกเขาจะไม่รู้ เดินต่อไปเถอะและเธอก็จะเห็นว่าพวกเขาจำพวกเราไม่ได้ ลูเซียตอบ แต่ขณะทั้งสามกำลังจะออกเดินต่อ ผู้แวะเวียนเข้ามาก็ถามทั้งสามขึ้นว่า พวกหนูมาจากอัลยุสเตร์ลหรือเปล่า ลูเซียจึงตอบว่า ใช่ค่ะ ท่าน ผู้แวะเวียนจึงถามต่อว่า เธอรู้จักเด็กเลี้ยงแกะสามคนที่แม่พระประจักษ์มาหาไหม ถ้าหนูรู้จักพวกเขา หนูพอจะบอกที่อยู่ของพวกเขาได้ไหม ลูเซียก็ตอบไปว่า ไปตามถนนสายนี้แล้วลงไปทางซ้าย…” เธออธิบายทางไปบ้านของพวกเขาจนจบ ผู้แวะเวียนจึงขอบคุณและออกรถไป  ทิ้งให้ทั้งสามที่ต่างพากันวิ่งอย่างลิงโลดเข้าไปหาที่หลบตัวจากสายตาของพวกเขา

มีอีกคราวมีกลุ่มผู้ศรัทธาย่อม ๆ มาดักรอทั้งสามที่บ้าน หลังทั้งสามกลับจากที่กาเบโซและวาลินโยส คราวนั้นทั้งสามไม่อาจจะหนีผู้แสวงบุญเหล่านี้ได้ทันเช่นครั้งก่อน ๆ ตอนนั้นลูเซียและยาซินทาถูกกลุ่มศรัทธาจำนวนหนึ่งล้อมไว้ แล้วขอคำภาวนาต่าง ๆ นานา ส่วนตัวฟรังซิสโกเองที่เริ่มป่วยก็ถูกสตรีนางหนึ่งดึงตัวไป เพื่อให้ช่วยมาอวยพรบรรดาสิ่งของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกประคำ เหรียญ ไม้กางเขน และข้าวของอื่น ๆ ฝั่งฟรังซิสโกเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็รีบตอบสตรีคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง และบ่งบอกถึงความงดงามที่แฝงเร้นในวิญญาณว่า ผมอวยพรไม่ได้หรอกครับ และมันก็ไม่เหมาะสมด้วย เพราะมีแต่พระสงฆ์เท่านั้นที่ทำได้

หัวใจที่มอบแด่เพื่อนมนุษย์ผู้ทุกข์ยาก

แม้จะไม่ชอบพบผู้แสวงบุญมากเท่าไร แต่เมื่อพบผู้แสวงบุญที่มีความทุกข์ใจมาขอคำภาวนาจริง ๆ ไม่ใช่มาเพื่อหาคำตอบสารพัดที่จะสรรหามาถาม สองยุวนักบุญก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธที่ช่วยเหลือพวกเขาด้วยคำภาวนาน้อย ๆ ของทั้งสอง จงบังเกิดผลหลายคราว  ดั่งเช่นเรื่องราวที่จะยกมาสาธกให้ได้ฟัง อันเกิดกับสองสตรี และหนึ่งทหารกล้า

เรื่องที่หนึ่งเกิดขึ้นระหว่างทั้งสามเดินทางไปยังโควา ก็เผอิญไปพบกับบรรดาผู้แสวงบุญกลุ่มหนึ่งบริเวณทางโค้งเข้า ฝั่งผู้แสงบุญเหล่านั้นเมื่อพบทั้งสามก็ต่างพากันดีใจ รีบมาล้อมหน้าล้อมหลังทั้งสาม และเพื่อพวกเขาจะได้เห็นและได้ยินทั้งสามได้อย่างทั่วถึง จึงมีคนหนึ่งอุ้มลูเซียและยาซินทาขึ้นบนกำแพงใกล้ ๆ แต่พอถึงคราวจะอุ้มฟรังซิสโกขึ้นไปบ้าง เขาก็ตอบปฏิเสธ (เป็นไปได้ว่าน่าจะเกิดจากอาการป่วยของฟรังซิสโกที่เริ่มแสดงอาการ ทำให้เขามีอาการเหมือนจะเป็นลมอยู่ตลอด ผู้เรียบเรียง)  ก่อนค่อย ๆ ถอยออกไปพิงกับกำแพงฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบ ๆ

เวลานั้นมีสตรีนางหนึ่งมาพร้อมบุตรชายของนางมาจากซาน มาเมเด ด้วยใจที่ต้องการอัศจรรย์ เมื่อเห็นว่าคงไม่มีทางแน่ที่จะฝ่าฝูงชนเข้าไปหาสองสาวได้แน่ นางพร้อมบุตรจึงเดินไปคุกเข่าลงเบื้องหน้าฟรังซิสโกที่ยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ แล้ววอนขอให้เขาทูลต่อแม่พระผู้น่ารักให้ทรงรักษาสามีของเธอให้หายและไม่ต้องออกไปร่วมรบในสงคราม ฝั่งฟรังซิสโกเอง เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าลงพร้อม ๆ กับถอดหมวกออก และถามทั้งสองกลับว่าอยากจะสวดสายประคำไหม ฝั่งทั้งสองก็ตอบว่าอยาก ดังนั้นฟรังซิสโกจึงเริ่มก่อสวดลูกประคำ และชั่วขณะฝูงชนที่ต่างกำลังแย่งกันถามคำถามมากมาย ก็พากันหยุดถามและพากันคุกเข่าลงร่วมใจสวดลูกประคำ

จากนั้น พวกเขาได้ตามพวกเราไปที่โควา ดา อิเรีย พร้อมร่วมสวดสายประคำไปตลอดทาง ซึ่งเมื่อถึงที่นั่น พวกเราก็สวดต่ออีกหนึ่งสาย แล้วพวกเขาจึงลาพวกเรากลับไปด้วยความสุข สตรีผู้น่าสงสารคนนั้นสัญญาว่าจะกลับมาและโมทนาคุณแม่พระสำหรับพระหรรษทานที่เธอได้รับ ถ้าเธอได้รับจริง ๆ ซึ่งในเวลาต่อมา เธอกลับมาที่นี่หลายต่อหลายต่อครั้ง ไม่เพียงพร้อมบุตรชายของเธอ แต่พร้อมสามี ที่หายดี…” ลูเซียสรุปเรื่องราวทั้งหมด

ส่วนเรื่องที่สองที่สามเป็นเรื่องของยาซินทา ซึ่งมีอยู่ว่าคราวหนึ่งยาซินทาเกิดพบสตรีคนหนึ่งที่ป่วยด้วยโรคร้ายมาคุกเข่าลงเบื้องหน้าเธอ เพื่อขอให้เธอช่วยวอนขอแม่พระให้รักษาเธอทั้งน้ำตา  เหตุการณ์นี้จับใจยาซินทามาก เธอรีบใช้มือน้อย ๆ ของเธอที่สั่นเทาด้วยความสะเทือนใจประคองสตรีคนนั้นให้ลุกขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าเกินกำลังของตนแน่แล้ว เธอจึงเลือกที่จะคุกเข่าลงไปและได้ก่อสวดวันทามารีย์ร่วมกับสตรีคนนั้นสามครั้ง แล้วจึงขอให้เธอลุกขึ้นพร้อมให้ความมั่นใจว่าเธอจะได้รับการรักษาให้หาย และแต่นั้นมายาซินทาก็สวดให้สตรีคนนั้นทุกวัน จนเธอได้พบสตรีคนนั้นกลับมาโมทนาคุณพระแม่เจ้าที่ฟาติมาในเวลาต่อมา

และเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องของทหารนายหนึ่ง ที่ร้องไห้เหมือนเด็กมาบอกกับทั้งสามว่าเขาได้รับคำสั่งให้ไปประจำการที่แนวหน้า ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ภรรยาของเขากำลังล้มป่วยหนัก และเขาเองก็มีลูกกับเธอถึงสามคน ดังนั้นใครเล่าจะดูแลลูกของเขากัน สิ่งที่เขาปรารถนาก็เพียงแค่คำขอสักประการคือให้เขาไม่ต้องไปไม่ก็ภรรยาของเขาหายขาด ฝั่งยาซินทาเมื่อทราบความต้องการของเขาแล้ว เธอก็ชวนเขาให้สวดสายประคำด้วยกัน

อย่าร้องไห้ไปเลยนะคะ แม่พระท่านใจดีมาก ๆ พระนางจะประทานพระคุณตามที่คุณขอแน่นอนค่ะ เธอบอกกับเขาก่อนจะจากกัน จากนั้นมาหลังสวดสายประคำเสร็จ ยาซินทาก็จะสวดบทวันทามารีย์ให้เขาเสมอ จนหลายเดือนต่อมาทหารนายนั้นก็ได้กลับมาที่ฟาติมาอีกครั้ง พร้อมภรรยาและบุตรทั้งสามของเขา เพื่อโมทนาคุณแม่พระสำหรับพระคุณถึงสองชั้นสำหรับเขา นั่นคือการที่เขาไม่ต้องไปประจำที่หน่วยหน้าเพราะก่อนหน้าจะถูกส่งไปนั้นเขาก็เกิดป่วยเป็นไข้หวัดเสียเฉย ๆ ส่วนภรรยาของเขาก็หายดี

หัวใจที่มอบแด่ผู้ทุกข์ยากนี้ของสองข้ารับใช้ตัวน้อยของพระเจ้าไม่เคยถูกจำกัดแม้ในยามเจ็บป่วยจะถาโถมเข้ามา เช่นคราวที่ตัวฟรังซิสโกล้มป่วยหนักจนลุกไปไหนมาไหนไม่ไหว เมื่อมีสตรีคนหนึ่งมาขอให้เขาช่วยสวดให้คนคนหนึ่งหายป่วยและการกลับใจของคนคนหนึ่ง ฟรังซิสโกก็รับสวดให้สตรีคนนั้น (ในเวลาต่อมาเมื่อฟรังซิสโกได้สิ้นใจลง สตรีนางนั้นจึงได้กลับที่ฟาติมา และได้ขอให้ลูเซียและยาซินทาพาไปที่หลุมที่ฟรังซิสโกนอนฝังร่าง เพื่อขอบคุณสำหรับคำภาวนาน้อย ๆ ของเขา) และคงมีอีกมากที่ลูเซียอาจจำมิได้ 


นักรักษาศีลธรรมน้อย

ฟรังซิสโกมีคุณลักษณะหนึ่งที่ได้รับหลังการประจักษ์มา ก็คือ การเริ่มหลีกลี้จากการร้องรำทำเพลงไร้สาระ และการคอยเป็นผู้เตือนให้ลูเซียไม่ปฏิบัติสิ่งที่นำมาซึ่งบาปอันเป็นที่คัดเคืองพระทัยพระเป็นเจ้า เพื่อดำเนินชีวิตตามที่สตรีปริศนาวอนขอให้ทำ จนทำให้ผู้เรียบเรียงอดนึกถึงอุปนิสัยของคุณพ่อเจ้าวัดผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งตำบลอาร์ส ซึ่งก็คือท่านนักบุญยอห์น มารี เวียนเนย์ ที่ไม่ถูกกับการร้องทำเพลงเต้นรำที่ไร้สาระ และนำมาซึ่งบาปไปเสีย จนท่านต้องออกมาเทศน์สอนให้บรรดาสัตบุรุษละเลิกสิ่งเหล่านี้ไปเสีมิได้  

เช่น คราวหนึ่งเมื่อมีเพื่อนบ้านคนหนึ่งชวนทั้งสามไปช่วยร้องเพลงให้ฟังเพราะนางไม่ได้ฟังเพลงที่สดใสจากทั้งสามมานานมากแล้ว ฝั่งลูเซียก็รับคำและได้ร้องเพลงให้สตรีนางนั้นฟัง แต่พอถูกขอให้ร้องอีกรอบเมื่อเพื่อน ๆ คนอื่นตามสมทบ ฟรังซิสโกก็เข้ามาบอกกับลูเซียว่า อย่าร้องเพลงนี้ต่อไปอีกเลยนะ องค์พระผู้เป็นเจ้ามิทรงประสงค์ให้พวกเรามาร้องเพลงเช่นนี้ในเวลานี้ ดังนั้นเองทั้งสามจึงพากันค่อย ๆ หลบไปจากที่แห่งนั้น แล้วไปนั่งที่บ่อน้ำที่ทั้งสามชอบไป ลูเซียเขียนเล่าไว้ในเวลาต่อมาว่า “…กล่าวตามตรง บัดนี้ดิฉันพึงเขียนบทเพลงเหล่านั้นภายใต้ความนบนอบเสร็จ ดิฉันซ่อนใบหน้าของดิฉันด้วยความละอาย…”

และแม้ในเวลาที่เจ็บป่วยหนัก ฟรังซิสโกก็ไม่เคยละเลยสิ่งเหล่านี้ กล่าวคือเมื่อพบว่าลูเซียอยู่ใกล้บาป เขาก็ไม่รอช้าที่จะเตือนเธอ ดั่งเช่นเย็นวันหนึ่งขณะลูเซียกลับจากโรงเรียนพร้อมเพื่อน ๆ กลุ่มใหญ่ ซึ่งหลังจากแยกลาจากเพื่อนๆเพื่อมาเยี่ยมสองพี่น้องมาร์โตตามปกติ ฟรังซิสโกที่ยินทุกสิ่งทีเกิดขึ้นภายนอก ก็ถามลูเซียขึ้นว่า เธอมากับคนพวกนั้นหรือ ฝั่งลูเซียก็ยอมรับไปตามตรงว่าเธอมากกับกลุ่มคนเมื่อกี้ อย่าไปไหนมาไหนกับพวกเขาอีกนะ เพราะเธออาจจะได้เรียนรู้วิธีที่จะทำบาป เมื่อเธอกลับจากโรงเรียนจงไปและเฝ้าพระเยซูเจ้าผู้ซ่อนเร้นสักครู่ แล้วเธอจึงค่อยกลับมาบ้านตามลำพังนะ” ฟรังซิสโกเตือน 


ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ

คือปัสกาของ 'การ์โลส มานูเอล' ตอนจบ

บุญราศีการ์โลส มานูเอล เซซิลิโอ โรดริเกซ ซันติอาโก Bl. Carlos Manuel Cecilio Rodríguez Santiago วันฉลอง: 13 กรกฎาคม และ 4 พฤษภาคม (ในปวยร์โต...