วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

พระมหาทรมาน ภาค คุกใต้ดิน



พระมหาทรมาน ภาค คุกใต้ดิน

เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงการจำลองขึ้นจากคำบอกเล่าของผู้ได้รับนิมิต 4 คนด้วยกัน โดนมีจุดประสงค์ที่ทำขึ้นมานี้เพื่อให้ใช้ระลึกในระหว่างค่ำคืนวันพฤหัสศักดิ์ในสัปดาห์มหาพรต อาจจะมีข้อผิดพลาดบางประการ จึงขออภัยมา ณ ที่นี้


คำชี้แจง
สีดำมาจากคำบอกเล่าของ : ผู้น่าเคารพมารีย์ แห่ง พระเยซูเจ้าแห่งอาเกรดา ภคินีชาวสเปน (ค.ศ.1602- ค.ศ.1665)
สีแดงมาจากคำบอกเล่าของ : บุญราศีแอน แคทเทอรีน อัมเมอริก ภคินีชาวเยรมัน (ค.ศ.1774-ค.ศ.1824)
สีฟ้ามาจากคำบอกเล่าของ : ภคินีมารีย์ มักดาเลน แห่ง นักบุญคลารา ภคินีชาวอิตาลี
สีส้มมาจากคำบอกเล่าของ : ภคินีโจเซฟา เมเนนเดส ภคินีชาวสเปน(ค.ศ.1890-ค.ศ.1923)





เที่ยงคืนได้ผ่านพ้นไปแล้ว สมาชิกสภาทั้งหมดลงมติให้จับพระองค์ขังไว้ในคุกใต้ดินซึ่งเป็นอุโมงค์อยู่ใต้ดินของบ้านของกายฟาสซึ่งยังคงมีซากหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน แสงสว่างไม่สามารถส่องผ่านเข้าไปในคุกนี้ได้เลยมันจึงมืดมิด ข้างในคุกคละเคล้าไปด้วยกลิ่นเหม็นอันน่ารังเกียจ ถ้าหากมันไม่ได้อยู่ห่างไกลและถูกปิดเอาไว้อย่างมิดชิดแล้วละก็ มันจะต้องส่งผลต่อตัวบ้านโดยรวมอย่างแน่นอน คุกนี้ไม่เคยถูกทำความสะอาดมาเป็นเวลาหลายปี ทั้งนี้เป็นเพราะมันอยู่ลึกมากและมีแต่นักโทษเท่านั้นที่จะถูกนำไปกักขังไว้ ไม่มีใครคิดที่จะลงไปข้างล่างนั่น สถานที่นี้จึงไม่เหมาะสมอย่างสิ้นเชิงต่อมนุษย์ที่จะอยู่อาศัย

พระเป็นเจ้าได้ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าโดยผ่านทางประกาศกเยเรมีย์ ว่า พระเยซูเจ้าจะทรงถูกจองจำในคุก ท่านประกาศกเองก็ถูกจับขังคุกเช่นเดียวกัน ในเยเรมีย์ 37:15 “บรรดาเจ้านายเดือดดาลต่อเยเรมีย์ จึงสั่งให้เฆี่ยนตีและขังท่านไว้ในคุกที่อยู่ในบ้านของโยนาทาน เลขานุการ เพราะที่นั่นถูกทำให้เป็นคุก 37:16 ดังนั้นเยเรมีย์จึงอยู่ในคุกมืดเป็นเวลานานหลายวัน


คนรับใช้ของสมณะได้ลากองค์พระผู้เป็นเจ้าไปยังคุกใต้ดินที่มืดและสกปรก โดยที่พระองค์ถูกมัดด้วยเชือกและโซ่ ที่เท้าของพระองค์ก็ถูกเขาเอาเชือกมามัดไว้ด้วยกัน ทหารเหล่านี้ปฏิบัติต่อพระองค์ตามใจชอบด้วยความโหดเหี้ยม พวกเขาลากพระองค์ไปด้วยเชือกทำให้พระองค์ทรงสะดุด ล้มลงกับพื้น แต่พวกเขายังใช้เท้าเตะพระองค์พร้อมทั้งด่าว่าต่างๆนาๆไปในระหว่างบันไดแต่ละขั้น
นอกจากนั้นพวกเขายังฉีกกระชากถอดเสื้อพระองค์ออก แล้วเขาก็ทิ่มแทงร่างกายของพระองค์ด้วยโลหะแหลมคมหลังจากนั้นพวกเขาเอาเชือกมาผูกรอบตัวพระองค์ แล้วเขาก็ลากพระองค์ไปมาบนพื้นถ้ำสกปรกและเย็นยะเยือกนั้น และเขาจึงเอาพระองค์ไปไว้บนขื่อแล้วทิ้งพระองค์ไว้อย่างนั้น จนกระทั่งพระองค์ไถลลื่นตกลงมาบนพื้นถ้ำสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัส จนน้ำตาไหลเป็นเลือดอาบใบหน้าของพระองค์ หลังจากนั้นเขาจึงผูกมัดพระองค์ไว้กับขอนไม้ใหญ่ แล้วเขาก็รุมล้อมพระองค์ กดพระองค์ไว้และทำทารุณกรรมต่อเราด้วยอาวุธยุทธภัณฑ์ทุกชนิดที่มี ทิ่มแทงเข้าไปในร่างกายของพระองค์หลังจากนั้น เขาก็ขว้างก้อนหินใส่พระองค์ แล้วเอาคบไฟที่ลุกโชนอยู่มานาบและจี้ตามตัวของพระองค์ นอกจากนั้นเขายังใช้เครื่องมือมีคม และพวกที่แหลมเหมือนเข็ม ฟาดใส่ตัวพระองค์ มันเจาะเนื้อหนังและฉีกกระชากเนื้อหลุดออกมา และตัดเส้นเลือดขาดไปหลายเส้นตามตัวของพระองค์

ขณะเดียวกันเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเข้าไปในคุก พระองค์ทรงสวดภาวนาด้วยสิ้นสุดจิตใจเพื่อขอให้พระบิดาแห่งสวรรค์ทรงยอมรับความทุกข์ทรมานทั้งหมดนี้ รวมทั้งความทุกข์ทรมานที่พระองค์จะทรงได้รับต่อจากนี้ด้วย เพื่อเป็นยัญบูชาชดเชยบาปสำหรับมนุษย์ทั้งมวล แม้แต่ผู้ที่กล่าวหาพระองค์ และเพื่อผู้ที่จะได้รับความทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับพระองค์ในอนาคต


ศัตรูขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมให้พระองค์ได้พักผ่อนเลยแม้ชั่วขณะ แม้แต่ในคุกอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ที่มุมหนึ่งของคุกใต้ดินมีก้อนหินที่โผล่ยื่นออกมาจากพื้นดิน พวกเขาจับพระองค์มัดติดไว้ที่ก้อนหินนี้ คนเหล่านี้กระทำทารุณต่อพระองค์โดยมัดพระองค์ให้อยู่ในท่าทางที่เจ็บปวดสาหัส เพื่อทำให้พระองค์ไม่สามารถนั่งหรือยืนตรงเพื่อพักผ่อนพระวรกายได้ พวกเขาไม่ยอมแม้จะให้พระองค์พิงเสา แม้ว่าพระองค์จะทรงเหน็ดเหนื่อยอย่างมากจากทารุณกรรมที่ทรงได้รับ จากน้ำหนักของโซ่ และจากการหกล้มหลายครั้งจนพระองค์พยุงตัวประทับยืนอย่างยากลำบากด้วยพระบาทที่บอบช้ำและเป็นรอยแผล และยังบังคับให้พระองค์วางเท้าของพระองค์บนถาดโลหะที่เผาจนสุดเป็นสีขาว หลังจากนั้นพวกเขาละทิ้งพระองค์ไว้ที่ก้อนหิน ปิดประตูคุกด้วยกุญแจและมอบหมายให้คนหนึ่งซึ่งดุร้ายที่สุดในบรรดาพวกเขาเป็นผู้คุม


ถึงตอนนี้มีคนรับใช้บางคนตัดสินใจกลับมาที่คุกนี้อีกเพื่อเล่นสนุกบางอย่างต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์ พวกเขาถ่มน้ำลายรดพระองค์และกระหน่ำชกต่อยพระองค์ด้วยหมัด พระเยซูเจ้ามิได้ทรงร้องหรือตรัสอะไรโต้ตอบพวกเขาเลย พระองค์มิได้ทรงทอดพระเนตรพวกเขาและทรงถ่อมพระองค์ตลอดเวลาด้วยการอยู่ในความสงบ การกระทำอย่างโหดเหี้ยมของพวกเขามีจุดประสงค์จะทดสอบความอดทนของพระองค์ โดยคาดว่าพระองค์จะตอบโต้ด้วยการกระทำหรือกล่าวถ้อยคำที่หยาบคาย แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นเป็นประจักษ์ถึงความสุภาพอันไม่เปลี่ยนแปลงของพระองค์ พวกเขากลับยิ่งทำทารุณกรรมมากขึ้นอีก



พวกเขาปล่อยพระองค์จากก้อนหินและนำพระองค์มาไว้ที่กลางคุก ในเวลาเดียวกันก็มัดพระองค์ไว้ด้วยผ้า นอกจากนั้นเขายังเอาหนามขดเป็นมงกุฎ แล้วกดลงบนศีรษะของพระองค์ แล้วเขาก็ผูกผ้าปิดตาพระองค์ด้วยผ้าขี้ริ้วที่ส่งกลิ่นเหม็นสกปรก แล้วก็เริ่มต้นต่อยพระองค์ด้วยหมัดทีละคนๆหรือไม่ก็เตะถีบพระองค์และสบประมาท แต่ละคนพยายามที่จะทำทารุณให้หนักและมากกว่าคนก่อน พวกเขาพูดว่า ผู้ทำนาย” “ลองทายดูสิว่าใครที่ต่อยแกพระชุมพาผู้ทรงสุภาพที่สุดทรงนิ่งเงียบ ทรงยอมรับการทารุณกรรมและการสบประมาททั้งหมดที่กระหน่ำมายังพระองค์
ดังนั้นพวกเขาจึงด่าทอและสบประมาทเยาะเย้ยพระองค์และชกต่อยพระองค์ต่อไป
ต่อมา คนที่กักขฬะที่สุดตัดสินใจที่จะถอดเสื้อผ้าของพระองค์จนเปล่าเปลือย แต่พระยุติธรรมของพระเป็นเจ้าไม่ทรงอนุญาตต่อการกระทำอันหยาบคายและจาบจ้วงเช่นนี้ ดังนั้นจึงปรากฏว่าไม่มีใครในพวกเขาที่สามารถทำตามที่ตั้งใจได้ มือเท้าของพวกเขาไม่สามารถขยับเขยื้อน จนไม่อาจทำสิ่งที่เขาตั้งใจ พวกเขาจึงละทิ้งความตั้งใจนั้นซึ่งมีผลทำให้มือเท้าขยับเขยื้อนได้อีก พวกเขาคิดว่านี่คงเป็นเวทมนต์ของชายที่ชื่อเยซู นอกจากนั้นเขายังบังคับพระองค์ให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่มีตะปูแหลมคม ตะปูเหล่านั้นทิ่มลึกเข้าไปในร่างกายของพระองค์ และราดน้ำมันสนและน้ำตะกั่วหลอมเหลวบนบาดแผลตามร่างกายของพระองค์ แล้วด้วยความโหดร้าย เขาผลักพระองค์พลัดตกจากเก้าอี้ ให้พระองค์ลงไปกองบนพื้นอย่างน่าอดสู ไม่พอเขาเพิ่มการทรมานและการเหยียดหยามพระองค์ ด้วยการทึ้งหนวดเคราหลุดจากใบหน้าของพระองค์ แล้วเขาก็เอาตะปูและเหล็กแหลมจิ้มแทงใบหน้าของพระองค์ ที่ที่เขาทึ้งหนวดเคราของพระองค์หลุดไป จากนั้นเขาก็จับพระองค์โยนกองไปกับพื้น บนไม้กางเขนที่วางนอนอยู่ แล้วเขาก็มัดพระองค์ไว้อย่างแน่นหนากับไม้กางเขน จนพระองค์แทบหายใจไม่ออกและพากันย่ำศีรษะของพระองค์ แล้วคนหนึ่งก็เหยียบหน้าอกของพระองค์ แล้วเอาหนามแหลมอันหนึ่งจากมงกุฎ แล้วเสียบทะลุลิ้นของพระองค์และด้วยจิตใจแข็งกระด้าง และปราศจากความรู้สึกหวาดกลัวต่อบาปกรรมใดๆ พวกเขาเทปฏิกูลและอาจมที่เน่าเหม็นใส่ลงไปในปากของพระองค์และด่าคำหยาบใส่หน้าพระองค์อย่างไม่หยุดปากทั้ง เยาะเย้ยพระองค์ สบประมาทพระองค์ จนเขาเองรู้สึกว่าค่ำคืนนั้นช่างยาวนาน หลังจากนั้นพวกเขาจึงจับพระเยซูเจ้ามัดไว้กับเสาให้อยู่บนพื้นเย็นยะเยือก  แล้วจึงละจากพระองค์ไป ปล่อยให้พระองค์หนาวสั่นเจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย



พระเยซูเจ้ายังคงสวดภาวนาเพื่อศัตรูของพระองค์ต่อไป และพวกเขาได้ละจากพระองค์สักพักหนึ่งเป็นเวลาไม่นาน พระองค์ทรงประทับพิงอยู่กับเสาเพื่อพักผ่อน แสงสว่างเจิดจ้าล้อมรอบพระองค์ แสงยามรุ่งอรุณเริ่มส่องสว่างแล้ว - - เป็นสัญญาณการเริ่มต้นวันแห่งพระมหาทรมานของพระองค์ องค์พระผู้ไถ่ - - แสงสลัวๆส่องผ่านรูแคบๆของคุกกระทบองค์พระชุมพาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทรงรับแบกบาปของโลกไว้บนพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงผินพระพักตร์ไปยังแสงสว่างนั้น ทรงยกพระหัตถ์ที่ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนขึ้น และด้วยพระอริยบทอันนุ่มนวลทรงขอบพระคุณพระบิดาสวรรค์ของพระองค์สำหรับแสงรุ่งอรุณที่ทรงประทานมาในวันนี้ อันเป็นวันแห่งความปรารถนาอันแสนยาวนานของบรรดาประกาศก และเป็นวันแห่งการรอคอยที่พระองค์เองได้ทรงถอนหายใจด้วยความปรารถนาอันลึกซึ้งในเวลาที่ทรงบังเกิดมาบนโลก และยังเกี่ยวข้องกับพระวาจาที่ทรงตรัสกับสานุศิษย์ว่า เรามีการชำระล้างชนิดหนึ่งซึ่งจะต้องได้รับ และจิตใจของเรารู้สึกหวั่นไหวสักเพียงไรจนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จบริบูรณ์?”



ในตอนี้พระเยซูเจ้ายังทรงสวมเสื้อคลุมเก่าที่สกปรก ซึ่งมีเศษกรังของน้ำลายและสิ่งสกปรกอื่นๆที่ทหารขว้างใส่พระองค์ เพราะพวกทหารไม่ยอมให้พระองค์สวมเสื้อผ้าของพระองค์เองอีก แต่ได้มัดพระหัตถ์ทั้งสองของพระองค์ไว้ด้วยกัน

แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายถึงความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่องค์พระผู้ศักดิสิทธิ์ยิ่งทรงได้รับจากการกระทำไร้หัวใจเช่นนี้ ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าโศกจนสุดบรรยาย และทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายราวกับว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ เราควรจะละอายใจในความอ่อนแอของเราที่ไม่อาจทนฟังการบรรยายถึงหรือการพูดถึงพระมหาทรมานเหล่านั้นซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงทนรับไว้อย่างสงบและอดทนเพื่อความรอดของพวกเราทั้งหลาย ความน่าสะพรึงกลัวที่เรารู้สึกได้นั้นเปรียบได้กับความรู้สึกของฆาตกรที่ถูกบังคับให้วางมือบนบาดแผลที่เขาเองได้กระทำต่อเหยื่อของเขา พระเยซูเจ้าทรงทนรับความทรมานทุกประการโดยมิได้ทรงเผยพระโอษฐ์บ่นว่า ตำหนิ มนุษย์หรือบาปของมนุษย์ ที่กระทำผิดต่อพระผู้ทรงเป็นพี่ชาย เป็นพระผู้ไถ่และเป็นพระเจ้าของพวกเขา ฉันเองก็เป็นคนบาปหนา และบาปของฉันก็เป็นสาเหตุของความทรมานเหล่านี้ด้วย



ในวันพิพากษา เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกเปิดเผย เราจะได้เห็นบาปของเราที่มีส่วนทำให้องค์พระบุตรของพระเป็นเจ้าต้องรับทนทรมาน เราจะเห็นว่าบาปของเรานั้นทำให้พระองค์ต้องรับความทุกข์ทรมานหนักมากสักเพียงไร บาปชนิดใดที่เป็นสาเหตุหรือมีส่วนร่วมในทารุณกรรมซึ่งกระทำต่อพระเยซูเจ้าโดยศัตรูที่เหี้ยมโหดของพระองค์ อนิจจา ถ้าหากเราจะสามารถรู้สึกได้ถึงสิ่งเหล่านี้อย่างจริงจัง เราคงจะสวดภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยพระวาจาที่เราพบบ่อยๆในหนังสือภาวนา : พระเจ้าข้า โปรดอนุญาตให้ลูกตาย ดีกว่าที่จะทำบาปผิดต่อพระองค์ด้วยเถิด


โดยพระมหาทรมานอันน่าเศร้าสลดยิ่งของพระเยซูเจ้า ของทรงโปรดเมตตาลูกทั้งหลายและชาวโลกทั้งมวลเทอญ



วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

"คาโรลินา คูซคา" มาเรีย กอเร็ตตี้สัญชาติโปแลนด์



บุญราศีคาโรลินา คูซคา
Bl. Karolina Kózka
ฉลองวันที่ : 18 18 พฤศจิกายน
องค์อุปถัมภ์ : การเคลื่อนไหวแห่งดวงใจบริสุทธิ์(RCS) , สมาคมเยาวชนคาทอลิก , สังฆมณฑลเรสซอวกี้


บุญราศี คาโรลินา คูซโควนา เกิดมาในฐานะบุตรคนที่ 4 จาก 11คนของครอบครัวชาวนาผู้ที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาก ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆในฟาร์มเล็กๆขนาด 2 เฮกเตอร์ ผู้ที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากในวาล-รูดเซีย (Wał - Rudzie) ของนายยอห์น คูซคา (Jan Kózka)กับนางมาเรีย คูซคา(Maria Kózka) ที่สมรสกันในปีค.ศ.1890 และอาศัยทำงานอยู่ในประเทศโปแลนด์ ในวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ.1898  โดยมีเรื่องเล่าถึงอัศจรรย์การเกิดของท่านว่า ในขณะนั้นมานดาของท่านกำลังเตรียมแป้งสำหรับอบขนมปังและจุดไฟเพื่ออุ่นเตาซึ่งกว่ามันจะร้อนก็ใช้ระยะเวลาที่นาน ดังนั้นมารดาของท่านจึงได้ไปโม่แป้งรอ ในขณะนั้นเองมารดาของท่านก็รู้สึกว่าเร็วๆนี้เด็กในท้องจะคลอดและที่แปลกก็คือมันไม่ใช่อาการเจ็บท้องคลอด ด้วยเหตุนี้มารดาของท่านจึงล้มตัวลงนอนบนเตียงและคลอดท่านออกมาอย่างไม่มีปัญหาใดๆและหลังจากมารดาท่านก็อุ้มท่านไปล้างตัวและพบว่าได้บุตรี มารดาท่านก็จกลับไปอบขนมปังต่อให้เสร็จ




และได้รับศีลล้างบาป ในโบสถ์แรดโลเวีย(Radłowie) ในวันที่  7 สิงหาคม ค.ศ.1898 โดยคุณพ่อโยเซฟา โอลโซเวียคีโก(Józefa Olszowieckiego) ท่านเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งภายนอกและภายใน ท่านมีความจำที่ดีเพียง 8 ปีท่านก็แสดงให้เห็นถึงความรู้เรื่องคำสอน ท่านสามารถที่จะจดจำบทภาวนาและเพลงสวดได้อย่างรวดเร็วและท่านยังมีเสียงที่ไพเราะ นอกจากนั้นที่บ้านของท่านยังมีกฎที่ว่าใครทำผิดต้องถูกตี ซึ่งแน่นอนท่านไม่เคยถูกตีเลยแม้กระทั้งครั้งหนึ่ง และเมื่อท่านเจริญวัยพอสำหรับการเป็นนักเรียน ในปีค.ศ.1906 ท่านก็ได้เข้ารับการศึกษาในฐานะนักเรียนในโรงเรียนในท้องถิ่นเป็นระยะเวลา 6 ปี ซึ่งครูผู้สอนต่างเห็นว่าท่านเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ เรียนรู้เร็วและนบนอบเชื่อฟัง ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจกลับมาทำงานในฟาร์ม ทั้งๆที่ท่านมีตัวเลือกดีๆมากมาย




นอกจากนั้นท่านยังเป็นเด็กที่มีนิสัยขี้อายและเจียมเนื้อเจียมตัวและเป็นคนที่ไม่ชอบพูดเรื่องตลกหรือคุยในเวลาที่ไม่เหมาะสมและกระตือรือร้นและขยันและเป็นมิตรกับคนรอบข้างชนิดว่ามีเรื่องร้อนใจมา ท่านก็พร้อมที่จะช่วยแม้ว่ามันจะลำบากก็ตาม ดังนั้นทุกคนจึงต่างพากันเรียกท่านว่า นางฟ้าในร่างมนุษย์ และท่านยังเป็นที่รักของทุกคน ท่านไม่เคยต้องการที่จะแต่งงานแต่สำหรับท่านแล้ว สิ่งที่ท่านหวังมากที่สุดคือการได้อยู่ในสวรรค์กับพระมานดาของพวกเรา นอกจากนี้ท่านยังได้อุทิศตัวเองเพื่อสวดมนต์และรับใช้พระเจ้าและเพื่อนบ้าน. ในบางครั้งในวันที่ท่านเงียบๆ จะได้ยินท่านท่องบทวันทามารีย์เบาๆ ท่านเป็นคนแรกที่สวดมนต์ในบ้านของท่านและที่โบสถ์ ซึ่งในบางคืนท่านจะก็ภาวนาจนร่างกายของท่านได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอหรือพูดง่ายๆว่าท่านภาวนามากกว่านอน




เพื่อนๆของท่านทุกคนต่างคิดว่าท่านปราศจากบาป แต่ไม่ท่านไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ดังนั้นในทุกๆวันศุกร์แรกของเดือนท่านจะเดินทางไปวัด เพื่อแก้บาปกับพระสงฆ์เสมอ และนอกจากนั้นท่านยังคอยทำความสะอาดโบสถ์และคอยช่วยเหลือผู้อื่นและสวดภาวนาให้ ด้วยความเต็มใจและสนุกสนาน และลูกประคำของท่านคือคำอธิษฐานอันทะนุทะหนอมในทุกที่ที่ท่านไป และท่านเคยกล่าวกับเพื่อนท่านว่า พกเสมอเพื่ออธิษฐานกับคุณ" และท่านยังอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือคนชราและผู้ป่วย และท่านยังรวมกลุ่มกับเพื่อนๆของท่านและเด็กในหมู่บ้านของท่านสำหรับการเรียนคำสอน อ่านพระคัมภีร์ หนังสือประวัตินักบุญและพูดคุยเกี่ยวกับพระเจ้าในบริเวณต้นแพรใกล้ๆบ้านของท่าน และท่านยังเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อมิตรภาพ



แต่แล้วสมครามโลกครั้งที่ 1 ก็ประทุขึ้นมาระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง ในช่วงเวลาครุกกรุ่นนี้เองทหารรัสเซียก็ได้เข้ามาครอบครองหมู่บ้านของท่าน ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1914 วันนั้นท่านได้ขอมารดาท่านที่จะไปโบสถ์กับมารดาของท่าน แต่มารดาของท่านไม่อนุญาตและให้เหตุผลว่าด้านนอกมีทหารปะปนอยู่ ดังนั้นที่บ้านจะปลอดภัยที่สุด ฝ่ายท่านก็ยืนน้ำตาใสอาบสองแก้มพลางกล่าวหนูอยากจะไปโบสถ์ หนูกลัวสิ่งที่ไม่ดีที่จะเกิดขึ้นในวันนี้”(I would rather go to church.I am afraid something bad will happen today.”) 




แต่มารดาของท่านไม่ได้ยินและเดินทางไปโบสถ์แค่เพียงคนเดียว ซึ่งมันเป็นการตัดสินใจที่พลาดอย่างแรงของมารดาท่าน ด้วยเหตุนี้ทำให้ท่านอยู่กับบิดาพี่สาวและน้องชายของท่านที่บ้าน จนกระทั้งเวลา 9 นาฬิกาวันเดียวกัน ทหารรัสเซียก็มาถึงบ้านของครอบครัวท่านเพื่อถามหาทหารออสเตรียบิดาของท่านพยายามเอาใจพวกเขาแต่มันไม่ได้ผล ซึ่งในเวลานั้นท่านกำลังจัดเตรียมอาหารอยู่  แต่กลับกันเขาได้บังคับให้บิดาของท่านและท่านออกมาข้างนอก โดยบอกว่าจะพาทั้งสองไปหาผู้บัญชาการ ครั้งแรกท่านและบิดาจะเดินไปทิศทางของหมู่บ้าน แต่ทหารรัสเซียกลับให้พวกท่านเดินไปในทิศทางของป่า ทหารและพวกท่านเดินมาจนถึงเขตป่า ทหารรัสเซียก็ใช้ปลายมีดที่ยื่นออกมาจากกระบอกปืนจ่อไปที่น่าอกของบิดาท่านและไล่ให้บิดาของท่านกลับไป หลังจากนั้นพวกเขาก็ต่างบังคับให้ท่านเข้าไปในเส้นทางสู่ป่า 



โดยทิ้งไว้เพียงบิดาของท่านที่ยังคงยืนและมองด้วยสายตาอันว่างเปล่าไปที่ป่าที่ลูกที่รักของเขาเข้าไปจนกระทั้งภาพของลูกรักของเขาค่อยๆไกลไปเรื่อยๆจนเลือนหายไปพร้อมกับทหาร ภายในจิตใจของเขาในตอนนี้เขาต้องการที่จะวิ่งไปขอความช่วยเหลือ แต่อนิจจาขาของเขามันกลับไม่ยอมขยับไปดังใจหวัง ดังนั้นบิดาของท่านจึงยืนอย่างนี้ไปจนกระทั้งมีเพื่อนบ้านวิ่งตามมา เมื่อพบเขาก็ได้กล่าวเพียงว่า "ป่า ... ทหารรัสเซีย.....คาโรลินา ... ... "  หลังจากพูดจบบิดาของท่านก็ก้มหน้า ด้วยตัวอันสั่นเทาจนไม่สามารถพุดอะไรได้มาก ก่อนที่บิดาของท่านจะเดินกลับบ้านไปในสภาพผีดิบและตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่รู้สึกถึงสันติภาพอีกเลยซักพัก




ข่าวเรื่องของท่านแพร่ไปอย่างรวดเร็วอย่างไฟลามทุ่ง พร้อมๆกับเพื่อนบ้านและญาติที่ต่างพากันมาหาบิดาและมานดาของท่านที่กลับมาจากโบสถ์และได้รู้เรื่องราวของบุตรสาว และพบภาพที่ช่างน่าหดหู่ยิ่งนัก ภาพของพ่อแม่ที่ใจลอยห่วงคิดถึงลูกสาว ที่ตอนนี้ไม่รู้ชะตากรรมว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร อันที่จริงใครจะไปรู้ว่าภายในของบิดามารดาของท่านเป็นอย่างไร บางทีมันอาจชอกช้ำกว่านั้นด้วยซ้ำ กลับมาที่ฝั่งชาวบ้านทุกคนที่ทราบข่าวก็ต่างพากันหารือกัน แล้วพร้อมใจกันไปที่ขอบป่าแต่ก็ไม่ได้เข้าไปในเขตป่าผืนนั้น


ขณะเดียวกันภายในป่าเด็กชายสองคนจากหมู่บ้าน ฟรานซิสเซฺค ซาเลสนี(Franciszek Zaleśny)กับ ฟรานซิสเซฺค  โบร์ด(Franciszek Brod) ได้หลบซ่อนตัวและม้าของพวกเขาจากพวกทหารรัสเซียและหลังจากที่พวกเขาหาสถานที่ซ่อนม้าที่เหมาะสมได้แล้วในพุ่มไม้และผูกม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาทั้งสองจึงเดินทางกลับบ้านโดยใช้เส้นทางที่มีคนสัญจรน้อย ในระยะ 6 เมตรพวกเขาก็พลันเห็นการต่อสู่ระหว่างทหารรัสเซียกับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีจุดประสงค์จะหลุดจากพันธนาการของทหารรัสเซีย พวกเขาเฝ้ามองเหตุการณ์นานถึง 10 นาที พวกเขาเห็นถึงความกล้าหาญของหญิงสาวคนนั้นที่จะปกป้องตัวเอง จนในที่สุดเธอสามารถหลุดจากพันธนาการจากทหารได้  เธอจึงรีบวิ่งไปในทิศทางของหมู่บ้านแต่พอเธอวิ่งไปได้ซักพัก ทหารก็จับเธอได้และลากตัวของเธอลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆ ถึงจุดๆนี้พวกเขาทั้งสองจึงรีบวิ่งไปยังหมู่บ้านเพื่อบอกเรื่องที่เขาเห็น โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าหญิงคนนั้นคือ คาโรลินา




(บทตอนนี้เป็นการคาดการสถานการณ์ที่ได้จากการชันสูตรศพท่าน)หลังจากที่ท่านถูกลากเข้าไปในป่าแล้ว เขาก็พยายามจะขืนใจท่าน ท่านพยายามต่อสู้กับเขา ก็หลุดจากพันธนาการ ท่านก็รีบวิ่งหนีอีกครั้งในคราวนี้ท่านวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตผ่านดงหนามของต้นแบล็กเบอรรี่ซึ่งมันขีดข่วนขาของท่านจนเป็นแผลและฝากหนามไว้บางส่วนในขาของท่านที่ตอนนี้เปื้อนไปด้วยโคลนซึ่งสร้างความเจ็บปวดแก่ท่าน แต่ท่าก็ยังคงวิ่งต่อไปจนถึงชายป่า การไล่ล่าครั้งกินระยะทางครอบคลุมไปกว่า 1 กิโลเมตร จนในที่สุดจากความไคร่กลายเป็นความโกธรและเมื่อถือจุดๆหนึ่งนายทหารจึงชักดาบคอซแซคของเขาออกมาและเตรียมพร้อมฆ่าท่าน หลังจากท่านก็ตระหนักได้ว่ามันคือการต่อสู้เพื่อชีวิตของท่าน ท่านจึงหันไปเผชิญหน้ากับเขาและเช่นกันเขาก็เงื้อมดาบขึ้นเตรียมฟันท่านก่อน จะฟันท่านแต่ทันทีทันใดท่านก็ใช้มือขวาของท่านรับดาบไว้ซึ่งมันทำให้แขนขวาของท่านได้รับบาดเจ็บ จากนั้นท่านก็พยายามใช้มือซ้ายของท่านเพื่อคว้าปืนของทหารซึ่งเป็นผลให้ท่าสูญเสียนิ้ว แต่ถึงแม้ท่านจะเจ็บปวดและมีเลือดซักเพียงใดท่านก็ยังคงเลือกที่จะต่อสู้กับเขา จนสุดท้ายเขาจึงใช้ดาบตัดคอท่าน จนท่านล้มลงกับพื้นและสิ้นใจในไม่กี่นาทีในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1914




เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยหิมะและทหารรัสเซียได้ยาตราทัพออกไปแล้ว แต่ความเศร้าโศกก็ยังไม่จางหายไป แต่กระนั้นบิดาของท่านก็กลับไปทำงานเช่นเดิมด้วยไม่มีทางเลือกอื่น เป็นระยะเวลาถึง 2 สัปดาห์ ยังไม่มีใครรุ้ว่าท่านเป็นตายร้ายดีอย่างไร จนกระทั้งวันศุกร์ ที่ 4 ธันวาคม ปีเดียวกันนั้นขณะที่ฟรานซิสเซฺค ซวีซ(Franciszek Szwiec) ไปหาฝืนในป่า ขณะนั้นเขาสังเกตเห็นวัตถุสีขาว และเมื่อเขาเข้าไปดูใกล้ๆเขาก็พบว่าวัตถุนั้นคือร่างอันไรวิญญาณของคาโรลินาที่ถูกลักพาตัวไป ทันทีทันใดเขรีบไปแจ้งกับบิดาของท่านว่า ลูกสาวของคุณ ... ป่า ... คาโรลินา ... ฉันพบเธอ ทันทีทันใดทุกคนต่างรีบพากันไปยังที่เกิดเหตุ ทุกคนพบร่างของท่านนอนหงายอยู่กับพื้นดินในลักษณะเท้าเปล่าห่างจากที่บิดาท่านเห็นท่านเป็นครั้งสุดท้ายเป็นระยะ 1 กม. ผ้าโพกศีรษะที่ขาดออกจากศีรษะของท่านยังคงอยู่ในมือของท่าน ตามศีรษะและไหล่ของท่านเต็มไปด้วยเลือดที่ซึมลงพื้นดิน




หลังจากการชันสูตรศพแล้วจึงมีการบรรจุร่างท่านไว้ในโลงและแห่ไปยังสุสานในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.1914 เป็นภาพที่น่าแปลกเมื่อในขบวนศพของท่านนั้นมีทหารรัสเซียร่วมขบวนอยู่ด้วย ก่อนที่จะมีการย้ายร่างของท่านอีกครั้งไปไว้ข้างโบสถ์และสร้างรูปปั้นแม่พระคนที่ท่านรักที่สุดไว้ ณ เหนือหลุมนั้น และจารจารึกข้อพระธรรมจากพระวรสารนักบุญมัธทิวไว้ว่า บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์เป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า เพื่อเน้นย้ำความทรมานของท่าน โดยผู้ที่กระทำการย้ายครั้งนี้คือพระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลทารโนวสกี(Tarnowskiej) และหลังจากการฟันฝ่าวิกฤตต่างๆมากมายอาทิการถกเถียงเรื่องที่ว่าท่านตายเพื่อปกป้องความบริสุทธิ์จริงหรือไม่ สงครามโลกครั้งที่ 2 จนในที่สุดวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ.1987 ท่านก็ได้รับการสถาปนาให้ท่านได้เป็นบุญราศี โดย สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์นปอลที่สอง ณ ประเทศโปแลนด์



จากชีวิตนี้เราคงไ้ด้เรียนรู้อะไรมากมาย ว่าสวรรค์เป็นของทุกคนไม่ว่าจะตัวเล็กตัวใหญ่ ทุกคนก็สามารถไคว่คว้ามันได้ เหมือนท่านบุญราศีที่ถึงแม้จะเป็นเพียงเด็กสาววัย 16 ปี ท่านบุญญราศก็สามารถที่จะไปสวรรคได้ ผู้เขียนไม่ได้หมายถึงทุกคนต้องไปเป็นมรณสักขีแบบท่าน แต่อยากให้ทุกคนรู้เสมอว่าสวรรค์อยู่แค่เพียงเอื้อมมือเราหากเราเดินตามทางสวรรค์  ไม่ต้องกลัวสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายเหมือนท่านบุญราศีที่กล้าที่จะหันกลับไปต่อสู้กับความชั่วหลาย โดยไม่คิดกลัวเพื่อยืนยันถึงความบริสุทธิ์

ข้าแต่ท่านบุญราศีคาโรลินา คูซคา ผู้พลีชีวิตดีกว่าต้องตกอยู่ในบาป โปรดช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

http://elk-karolina.diecezja.elk.pl/patronka/patronka.htm

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

"นักบุญมิเกล เฟเดรส โกรเบโร" วีรบุรุษผู้มีปากกาเป็นอาวุธ


นักบุญมิเกล เฟเดรส โกรเบโร
St.Miguel Febres Cordero
ฉลองวันที่ : 9 กุมภาพันธ์


วันหนึ่งเด็กชายตัวน้อยวัย 5 ขวบกำลังมองดูบรรดากอกกุหลาบที่กำลังเบ่งบานแข่งกันในสวนของบ้านของเขา ทันใดเด็กน้อยก็พลันตะโกนขึ้นว่า ดูซิ สิ่งที่สวยงามคือผู้หญิงที่อยู่บนดอกกุหลาบ ทันใดนั้นญาติๆก็พากันมารุมล้อมเด็กน้อย และพากันมองตามที่เด็กน้อยบอก แต่พวกเขาพบแต่ความว่างเปล่าและอีกครั้งเด็กน้อยยังคงกล่าวว่า ดูเธอคนสวยซิ เธอมีชุดสีขาวและเสื้อคลุมสีฟ้าและเธอกำลังเรียกผม ฉัพพลันทันใดญาติๆก็ต่างพากันตกตะลึงเมื่อเด็กน้อยลุกขึ้นและเริ่มเดิน เหตุการณ์นี้คงไม่แปลกอะไรถ้าเด็กน้อยคนนี้ไม่ใช่ฟรานซิสโก เฟเดรส โกรเบโร(Francisco Febres-Cordero) ผู้ป่วยด้วยโรคเท้าปุกมาตั้งแต่วันแรดที่เขาถือกำเนิดมาในวันที่   7 พฤศจิกายน ค.ศ.1854 ในครอบครัวที่มีความเข้มแข็งทางการเมืองในเกวงกา ประเทศเอกวาดอร์


หลังจากการรักษาอัศจรรย์ของแม่พระต่อท่าน ในปีค.ศ.ท่านก็ได้เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนของคณะภารดาโรงเรียนคริสตังหรือที่เรารู้จักกันดีในนามคณะลาซาลที่พึ่งเข้ามาเปิดโรงเรียนในเกวงกา ที่นั่นในทุกๆเย็นขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่กำลังจะเดินทางกลับบ้าน ท่านจะยังคงอยู่ในโรงเรียนเพื่อทบทวนบทเรียนในวันนี้และเช่นกันที่นั่นท่านได้เห็นแบบอย่างที่ดีของอาจารย์ที่ทำให้ท่านมีกระแสเรียกการเป็นภารดา แต่กระนั้นงานของพระย่อมมีศัตรูเสมอ ท่านก็เช่นกันท่านก็มีศัตรูสำคัญที่สุดของท่านที่ขัดขวางการเป็นภารดาของท่านและไม่ใช่ใครที่ไหนเลยคือครอบครัวของท่านเอง


เมื่อพวกเขาทราบถึงความต้องการของท่าน พวกเขาก็ย้ายท่านไปศึกษาที่อื่น แต่ไม่นานท่านก็ล้มป่วยและจำเป็นต้องกลับมาบ้านและในไม่นานหลังจากความอดทนของท่าน ที่สุดขณะที่ท่านอายุได้ 13 ปี ในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ.1868 มารดาของท่านก็อนุญาตให้ท่านก็ได้เข้าเป็นเณรในคณะลาซาลและได้รับชุดของคณะพร้อมชื่อใหม่ว่า ภารดามิเกลก่อนถูกย้ายไปยังเมืองกีโต



เมืองกีโตหรือชื่อทางการคือซานฟรันซิสโกเดกีโต เมืองหลวงของประเทศเอกวาดอร์ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ มันตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศในแอ่งแม่น้ำกวายาบัมบาบนเนินเขาปีชินชา ภูเขาไฟที่ยังทรงพลังในเทือกเขาแอนดีสและด้วยความสูง 2,850 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จึงทำให้มันเป็นเมืองที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองในโลก ในโรงเรียนเอล เซโบลลาร์ (El Cebollar School) ในฐานะภารดาท่านเริ่มงานเป็นอาจารย์ที่นั่น ท่านมีพรสวรรค์ด้านการสอน และเป็นคนที่อ่อนโยน และทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ทุกๆชั่วโมงเรียนท่านก็จะคอยสอนคำสอนและดูแลผู้เรียนภาษาที่ป่วยเพราะด้วยเหตุที่ว่าท่านพูดได้ถึง 5 ภาษาคือเยอรมัน, อังกฤษ, อิตาลี, ฝรั่งเศสและละติน



และเช่นกันที่นั่นท่านค้นพบว่าที่โรงเรียนยังไม่มีคู่มือและตำราที่เหมาะสมต่อการเรียน ดังนั้นด้วยเหตุนี้ท่านจึงตัดสินใจเขียนมันขึ้นมาด้วยตัวเอง ซึ่งท่านจะดัดแปลงมาจากหนังสือประเทศต่างๆแล้วนำมาเขียนในสไตล์การเรียนการสอนของท่านเอง ซึ่งต่อมางานเขียนของท่านก็กลายมาเป็นแบบแผนของทุกโรงเรียนในเอกวาดอร์และนอกจากนั้นจากการงานเขียนของท่านทำให้ท่านได้เป็นสมาชิกในวิทยาลัยแห่งชาติแห่งประเทศเอกวาดอร์และสเปน(the National Academies of Ecuador and Spain.)และกลายเป็นแบบข้อความมาตรฐาน แต่กระนั้นท่านก็ก็ยังคงให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกและไม่ละเลยการสอนคำสอนแก่เด็กๆในชั้นของท่านและคอยเตรียมตัวให้พวกเขาพร้อมกับการรับศีลมหาสนิทครั้งแรกของพวกเขา ซึ่งท่านทำหน้าที่เตรียมตัวให้พวกเขานี้จนกระทั้งปีค.ศ.1907ที่ท่านเดินทางไปยุโรป แน่นอนพวกเขาต่างมีความทรงจำดีๆกลับท่านเพราะพวกเขาต่างยกย่องท่านในความเรียบง่าย ความตรงไปตรงมา ความห่วงใยที่ท่านมอบแด่พวกเขาและความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อพระหฤทัยและแม่พระ



ในปีค.ศ.1904 ประเทศฝรั่งเศสผลจากกฎหมายที่เป็นปรปักษ์กับคริสตชน กิจกรรมทางศาสนาต่างๆของคณะลาซาลถูกห้าม ด้วยเหตุนี้เองทางคณะจึงย้ายออกจากประเทศแม่ของพวกเขาฝรั่งเศส ซึ่งก็มีหลายคนที่เลือกประเทศสเปนและลาตินอเมริกา และด้วยความจำเป็นท่านจึงถูกส่งไปยังยุโรปในปีค.ศ.1907เพื่อมีส่วนร่วมในการประพันธ์หนังสือสำหรับการศึกษาเป็นภาษาสเปนอย่างเร่งด่วนเพื่อที่จะนำมาใช้กับบรรดาภารดาของคณะที่ถูกขับออกมาจากประเทศฝรั่งเศส ที่นั่นไม่กี่เดือนจากปารีสท่านก็ย้ายไปอยู่บ้านของคณะในเลมเบซ์ค เลซ ฮาล(Lembecq-lez-Hal) ประเทศเบลเยี่ยม




แต่เนื่องด้วยสุขภาพที่บอบบางของท่านและภูมิอากาศที่หนาวเย็นที่แตกต่างกับบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน ทำให้สุดท้ายท่านก็ล้มป่วยลง ดังนั้นในปีค.ศ.1909 ท่านจึงถูกย้ายไปอยู่ในศูนย์ลาซานนานาชาติหรือลาซานอินเทอแนชเชินเนิลเซนเตอร์ในพีรเมีย เด มาร์ (Premiá de Mar) ในเมืองชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของคาบสมุทรไอบีเรียนาม บาร์เซโลนา แคว้นคาเทโลเนีย ประเทศสเปน และยังคงทำหน้าที่อบรมเยาวชน ซึ่งทุกคนต่างชื่นชมในความเรียบง่ายของท่านที่มีไม่น้อยไปกว่าความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า


แต่แล้วในกรกฎาคมปีเดียวกันก็เกิดการปฏิวัติที่พีรเมีย เด มาร์ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ สัปดาห์วิปโยค เกหตการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจนทำให้บรรดาสงฆ์ต้องลี้ภัยออกจากพีรเมีย เด มาร์ ไปปบาเซโลนา และอาศัยซ่อนตัวอยู่และฝึกอบรมในท่าเรือและโรงเรียนเอ็นเอสในโบนาโนวา(Bonanova) ฝั่งท่านนั้นทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลวัดในพีรเมียและดูแลเรื่องค่าใช่จ่ายการลี้ภัยของบรรดาเยาวชนข้ามอ่าวไปเพื่อความปลอดภัยของพวกเขา


ไม่นานหลังเหตุการณ์สงบลงทุกอย่างจึงกลับมาเป็นปกติ พระเจ้าก็ได้ทรงเรียกผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์แล้ว เพราะต่อมาในช่วงปลายเดือนมกราคม ค.ศ.1910 ท่านก็เริ่มล้มป่วยลงด้วยโรคปอดบวมซึ่งมันทำให้ร่างกายของท่านอ่อนแอลงและหลังจาก 3 วันของความทุกข์ทรมานท่านก็ได้คืนวิญญาณของท่านแด่พระเจ้าซึ่งวันนั้นตรงกับวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1910 ขณะอายุ 55 ปี หลังจากข่าวการจากไปของท่านแพร่ไปทั่วพร้อมกับความตื่นเต้นและน้ำตา ฝั่งเอกวาดอร์ก็ประกาศไว้ทุกข์แห่งชาติแด่ท่าน อีกทั้งบรรดาพี่น้องคณะ ศิษย์เก่าและคู่แข่งของท่านก็ต่างชื่นชมคุณธรรมท่าน ร่างของท่านถูกฝังไว้ ณ พีรเมีย เด มาร์  ประเทศสเปนก่อนในช่วงการปฏิวัติสเปนจะมีการค้นย้ายร่างของท่านไปฝังไว้ ณ กีโต ประเทศเอกวาดอร์ซึ่งในตอนนั้นปรากฏว่าร่างของท่านไม่เน่าเปื่อยและที่นั่นหลุมศพของท่านก็กลายเป็นที่แสวงบุญ จนกระทั้งอัศจรรย์ผ่านการร้องขอท่านในการรักษาภคินีเคลเมนทินา ฟรอเรส โครเดโร(Sor Clementina Flores Cordero)สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่6 ก็ได้ประกอบพิธีสถาปนาท่านเป็นบุญราศีพร้อมบุญราศีภารดาชาวเบลเยี่ยม ในวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ.1977


และในที่สุดความเปรมปรีย์ก็มาสู่นประเทศในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ที่นามตามเส้นสูงสูตรในภาษาสเปนว่า เอกวาดอร์อีกครั้ง เมื่อเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ของนางสาว เบอาตรีซ โกเมซ เด นูเนซ(Señora Beatriz Gómez de Núñez) ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่ด้วยการเสนอคำวิงวอนผ่านท่าน เธอได้รับการรักษาอย่างน่าอัศจรรย์  ดังนั้นเรื่องราวอัศจรรย์ครั้งนี้จึงถูกส่งไปยังโรมเพื่อพิจารณาการเป็นนักบุญของท่าน ซึ่งหลังจากการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน สุดท้ายสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ก็ทรงอนุมัติการสถาปนาท่านเป็นนักบุญและทรงประกอบพิธีสถาปนาท่านเป็นนักบุญ ในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ.1984 ณ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ กรุงวาติกัน


มีครั้งหนึ่งพี่น้องในคณะของท่านได้ชมท่านว่ากิจการของท่านช่างมหัศจรรย์และถามท่านว่าจะทำกิจกรรมอะไรเพื่อคณะของเรา ซึ่งท่านก็ตอบไปว่า คนอื่นๆจะทำได้ดีกว่าฉัน และจำคำแนะนำขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า เช่นเดียวกัน เมื่อพวกท่านทำสิ่งสารพัดที่เราบัญชาไว้กับท่านแล้ว ก็จงพูดด้วยว่า 'เราเป็นบ่าวที่ไม่ได้มีบุญคุณต่อนาย เราเพียงแต่ทำตามหน้าที่ ที่ควรจะทำเท่านั้น(ลูกา 17:10)” ("Otros lo harán mejor que yo", y recuerda aquel consejo de Jesucristo: "Cuando hayáis hecho lo que se os ha encomendado, decid: siervos inútiles somos. Solamente hicimos lo que teníamos el deber de hacer" (Luc. 17,10).)

คุณพ่อมิเกลเป็นแบบอย่างที่ดีของอาจารย์ที่มีความกระตือรือร้นในการสอน ถึงขนาดที่คุณพ่อได้ดิบได้ดีแล้วคุณพ่อก็ยังคงเห็นการสอนในห้องของท่านคือสิ่งแรกสุด คุณพ่อเลือกที่จะใส่ใจนักเรียนมากกว่าสิ่งล้ำค่าทั้งหลาย เมื่อคุณพ่อพบว่าไม่มีตำราที่เหมาะสมแก่นักเรียนคุณพ่อก็กล้าที่จะแปลและเขียนมันเพื่อนักเรียนของท่านจะได้มีแบบเรียน ซึ่งต่อมามันกลายเป็นแบบแผนการเรียนของเอกวาดอร์จนทำให้หลังจากการสิ้นใจของท่านรัฐบาลเอกวาดอร์ก็ยกให้ท่านเป็นวีรบุรุษของชาติ ไม่ใช่ในด้านสงครามแต่เป็นด้านศาสนาและความสำเร็จของท่าน ท่านเป็นวีรบุรุษที่ไม่ถือดาบฟาดฟันศัตรู แต่กลับกันท่านกลับถือปากกาที่จะคอยเขียนเพื่อสันติภาพ ท่านใช้ปากกาเป็นอาวุธในการต่อสู่การมารซาตานความโง่ทั้งหลาย

ข้าแต่ท่านนักบุญมิเกล เฟเดรส โกรเบโร ครูผู้แสนดีและนักเขียนที่ยอดเยี่ยม ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

คือปัสกาของ 'การ์โลส มานูเอล' ตอนจบ

บุญราศีการ์โลส มานูเอล เซซิลิโอ โรดริเกซ ซันติอาโก Bl. Carlos Manuel Cecilio Rodríguez Santiago วันฉลอง: 13 กรกฎาคม และ 4 พฤษภาคม (ในปวยร์โต...