วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อัครเทวดามีคาแอลกับแอซเท็กผู้ต่ำต้อย



อัครเทวดามีคาแอลกับแอซเท็กผู้ต่ำต้อย
San Miguel del Milagro
สักการสถานซาน มีเกล เดล มีลาโกร  ซาน เบรนาเด เมืองนาตีวีตัส รัฐตลัซกาลา ประเทศเม็กซีโก

ดีเอโก ลาซาโร เป็นชาวแอซเท็กแต่กำเนิด เขาเกิดในบ้านไร่ของซาน เบรนาเด เมืองนาตีวีตัส รัฐตลัซกาลา ประเทศเม็กซีโก เขาได้กลับใจและรับศีลล้างบาปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน ค..1613 และตามธรรมเนียมของชาวแอซเท็กที่ประมาณอายุราว 17 ปี เขาก็ได้แต่งงานกับฟรังเชสกา กาสติลลัน ซูคิตล์  แต่ก็มิได้ปรากฏว่าเขากับเธอมีลูกด้วยกัน เพื่อนบ้านกล่าวถึงดีเอโกว่า เขามีนิสัยที่น่าชื่นชม เขาเป็นคนเงียบๆและพอประมาณ เขาเข้าเรียนคำสอน มิสซา และให้ตัวอย่างที่ดีแก่ทุกคนด้วยการปฏิบัติที่ดีของเขาเอง

ต่อมาในวันที่ 25 เมษายน ค..1631 ขณะดีเอโกร่วมขบวนแห่วันฉลองนักบุญมาระโก ของวัดซานตา มารีอา นาตีวีตัส ขณะขับบทเร้าวิงวอน อัครเทวดามีคาแอลก็ได้ประจักษ์มาหาดีเอโกเป็นการส่วนตัวและกล่าวกับดีเอโกด้วยภาษาแอซเท็กว่า



ลูกจงรู้ไว้ ลูกชายของเรา ว่าเราคืออัครเทวาดามีคาแอล เรามาเพื่อแจ้งให้ลูกทราบว่ามันคือพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าและของเรา ที่ให้ลูกจะบอกแก่บรรดาเพื่อนบ้านในเมืองนี้และบริเวณโดยรอบว่าที่ในหุบเขาลึกมีลักษณะเป็นเนินเขาสองลูก ที่หันหน้าไปทางสถานที่แห่งนี้ พวกเขาจะพบน้ำอัศจรรย์สำหรับโรคภัยทั้งหมด ณ ที่ใต้ก้อนหินขนาดใหญ่มาก อย่าได้สงสัยในสิ่งที่เราบอกลูกและละเลยที่จะทำงานตามที่เราสั่งลูกเลย ตรัสเสร็จอัครเทวามีคาแอลก็ได้หายไป ทิ้งไว้แต่ดีเอโก ลาซาโร ที่ยังงุนงงและสับสน

ดีเอโก รู้สึกว่าคงไม่มีเชื่อเขาแน่เพราะเขาเป็นเพียงชาวแอซเท็กที่ยากไร้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้และลืมคำสั่งของอัครเทวดามีคาแอลเสีย โดยที่เขาไม่ทราบเลยว่าคุณพ่อฟรานซิสกันหลายคนสังเกตเห็นอาการผิดปกติที่เขาแสดงออกมานั้น พวกท่านจึงเป็นคนที่คอยแนะนำท่านและช่วยเหลือเขามาตลอด ตั้งแต่ก่อนการประจักษ์จะเป็นที่ยอมรับเสียอีก โดยพวกท่านทั้งมักสอดแทรกลงในบทเทศน์ ทั้งยังมักจัดขบวนไปยังบ่อนำและถวายมิสซา ณ ที่นั่น


และเนื่องจากการไม่เชื่อฟังของดิเอโก หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ล้มป่วยลงด้วยการไข้ตัวร้อน จนเกือบจะถึงวาระสุดท้าย ดีเอโกต้องนอนซมอยู่แต่ภายในกระโจมของเขา รายล้อมไปด้วยบรรดาญาติพี่น้องเพื่อมาช่วยเตรียมใจให้เขาจากไปอย่างสงบ ในช่วงประมาณคือที่เจ็ดถึงแปดพฤษภาคม ปีนั้น ขณะญาติทุกคนกำลังอยู่ที่นั่นก็พลันบังเกิดแสงสว่างส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา เหมือนแสงของสายฟ้า จนทำให้บรรดาญาติของเขาตกใจหนีเตลิดออกทิ้งไว้แต่ดีเอโกที่นอนลุกไปไหนไม่ได้

หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปได้ซักพักญาติๆทุกคนจึงเริ่มกลับไปที่กระโจมที่ดีเอโกนอนป่วยอยู่ ว่าเป็นอะไรบ้างหรือเปล่าเพราะสร้างจากฟาง แต่พวกเขาพบเพียงดีเอโก ที่ลืมตาขึ้นมานั่งและพูดกับทุกคนว่า อย่ากลัวไปเลยสำหรับจุดหมายของฉันเลย อัครเทวามีคาแอลได้ประจักษ์มาหาฉัน เพื่อมอบสุขภาพให้แก่ฉันและนำฉัน(ฉันไม่รู้ว่าอย่างไร)ไปยังหุบเขาใกล้ๆที่นี่ ท่านนำหน้าฉันเพื่อกรุยทาง เมื่ออยู่ในหุบเขาแล้วท่านกล่าวว่า : ที่ที่เราแตะพื้นด้วยคทานี้ (มันเป็นคทาสีทองที่ท่านถืออยู่ในมือของท่านกับกางเขนที่ด้านบน)คือน้ำพุของน้ำที่เราบอกกับลูก เมื่อลูกเดินอยู่ในขบวนแห่ จงเปิดเผยมัน ด้วยเหตุนี้ หากลูกมิยอมทำตามแล้ว ลูกจะต้องได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง



จากนั้นก็มีสว่างอันยิ่งใหญ่ส่องลงมาจากท้องฟ้ามาเหนือสถานที่ของน้ำพุ แสงที่ลูกได้เห็นนั้นลงมาจากสวรรค์ เป็นคุณธรรมที่องค์พระเจ้าได้ทรงถ่ายทอดมายังน้ำพุนี้ เพื่อเยียวยาและบรรเทาของผู้ป่วย และสิ่งจำเป็นอื่นๆ จงทำการรู้จักนี้ไปสู่ทุกคน เหตุการณ์นี้เป็นข้อพิสูจน์ว่าการประจักษ์ครั้งนี้มิใช้เรื่องโกหก

หลังจากนั้นดีเอโกก็ได้รับคำแนะนำจากภารดาเอร์นันโด การ์เซีย เรนโดน คุณพ่อฟรังซิสกันของอารามนาตีวีตัส ก่อนเขาจะเดินทางไปยังตลัซกาลาเพื่อแจ้งสารของอัครเทวดามีคาแอลต่อผู้ว่าราชการจังหวัดของชาวพื้นเมืองชื่อ ดอน เกรโกรีโอ นาเซียนเซโน เพราะการได้รับการยินยอมจากหัวหน้าเผ่าโดยอุปราชเป็นสิ่งสำคัญมาก มันเป็นที่ยอมรับและเกรงกลัวโดยชาวพื้นเมือง และทันทีที่เขาทราบเรื่องของดีเอโก เขาก็บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่อัครเทวดามีคาแอลจะประจักษ์มาหาคนแอซเท็กผู้ยากไร้ เมื่อมีทั้งนักบวช พระสังฆราช และขุนนางจำนวนมากมายที่สมควรจะได้รับเกียรตินี้ ทั้งนั้นเขายังสั่งให้หนึ่งในข้าราชการของเขาไปตรวจสอบกรณีและผลที่ได้คือเป็นภัย สำหรับในที่แห่งนั้นมีน้ำพุอยู่ตลอด และที่ต่ำลงไปเล็กน้อยยังมีน้ำนิ่งที่เรียกกันว่า Tzopiloatl หรือ น้ำของอีแร้ง ด้วยหลักฐานเหล่านี้เองที่ทำให้ผู้ราชการขู่ว่าจะลงโทษดีเอโกถ้าเขายังคงเชื่อเรื่องนี้อยู่



แต่แม้จะโดนคำตอบรุนแรงเช่นนี้ดีเอโก ก็มิได้ย่อท้อ เมื่อเขากับมาบ้านเขาก็ได้ตัดสินใจไปยังสถานที่นั้นพร้อมบิดามารดาและภรรยาของเขา ซึ่งสถานที่แห่งนี้มีลักษณะเป็นเนินเขาที่ถูกแบ่งออกด้วยหุบเขาหรือเงื้อมผาที่คนโบราณเรียกกันว่า Tzopilotitlan แปลว่าดินแดนของอีแร้ง และตั้งชื่อแอ่งน้ำนั้นว่า Tzopiloatl หรือ น้ำของอีแร้ง ซึ่งสูงขึ้นไปหน่อย พวกเขาก็พบจุดที่อัครเทวดามีคาแอลได้ใช้คทาแตะพื้น มันถูกหินภูเขาไฟขนาดใหญ่มากชนิดเปราะที่เรียกกันว่า tepetate ทับอยู่ ทั้งสี่จึงช่วยกันเลือนหินนี้ออก พยานบางคนบอกว่ามันหนักราว 500 quintales

ซึ่งแม้จะทำอย่างไรๆหินก็มิขยับซักที แต่อยู่ๆก็ปรากฏมีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งอาสามาช่วย ชายหนุ่มคนนั้นเพียงใช้มือหินก้อนนั้นก็ขยับและกลิ้งตกลงไปในหุบเขาโดยง่าย หลังจากนั้นชายหนุ่มผู้นั้นก็หายไป เมื่อหินได้ถูกผลักออกไปแล้วทั้งสี่ก็ช่วยกันขุดลงไปในดินด้วยมือ ปรากฏว่าก็มีน้ำไหลออกมาจากน้ำพุมีลักษณะใส



หลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปดีเอโกก็ได้มีโอกาสร่วมงานฉลองนักบุญดีดากุส แห่ง อัลกาลา ซึ่งคือวันที่ 13 พฤศจิกายน ปีนั้น ในระหว่างมิสซา ดีเอโกก็รู้สึกว่าถูกมือที่มองไม่เห็นทุบตีด้วยไม้เท้า จนทำให้เขากระดูกเคล็ด และเมื่อเขากลบไปบ้าน ดีเอโกก็กลายเป็นล้มป่วยหนัก อัครเทวดามีคาแอลก็ได้ประจักษมาหาเขาอีกครั้งพร้อมกล่าวว่า ทำไมลูกถึงเป็นคนขี้ขลาดและละเลยในสิ่งที่เราฝากฝังไว้กับลูกละ หรือลูกต้องการให้เราลงโทษลูกด้วยวิธีอื่นสำหรับการไม่เชื่อฟังของลูกใช่หรือไม่ จงลุกขึ้น และขยันในการทำให้รู้ถึงสิ่งที่เราได้สั่งลูกไว้

เมื่อถูกตำหนิเช่นนี้ดีเอโกจึงตัดสินใจไม่สนคำของมนุษย์ และมุ่งหน้าไปตักน้ำจากน้ำพุมา ก่อนเดินทางไปหาพระสังฆราชแห่งปูเอบลา พระคุณเจ้าดอน กูลเตียร์เร เบร์นาร์โด กีโรซ พระสังฆราชผู้ใจดีจะรับฟังเรื่องราวของเขา ทันทีพระคุณเจ้าก็ระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยอาณาจักรของพระองค์แก่คนต่ำต้อยเสมอ พระคุณเจ้าเห็นถึงความจริงใจของดีเอโก และรับที่จะดูแลเรื่องนี้ให้เอง หลังจากนั้นพระคุณเจ้าก็ได้กระจายน้ำนี้ไปยังโรงพยาบาลราชและผู้ป่วยในความดูแลของพระคุณเจ้าเอง ซึ่งเป็นอัศจรรย์เพราผู้ที่ดื่มน้ำนี้ต่างหายจากโรคที่เคยเป็น ข่าวนี้แพร่ไปทำให้ไม่นานทุกคนจึงเริ่มหลั่งไหลมายังหุบเขาแห่งนี้



หลังจากนั้นก็ได้มีการสอบสวนอัศจรรย์จนกลายเป็นที่ยอมรับ กลับมาที่ดีเอโก ภายหลังเขาก็ได้ใช้ชีวิตเป็นคนดูแลวัดหลังแรกที่ถูกสร้างขึ้น คอยรับทั้งอัครเทวดามีคาแอลและผู้คนที่มาแสวงบุญ ในฐานะฤาษีตลอดสามปี ดีเอโกขยันในการรับใช้ผู้ป่วยและคอยพูดหนุนใจพวกเขา เขาเจริญชีวิตอย่างเคร่งครัดและเป็นทุกข์ถึงบาป เขาใชเวลาสวดภาวนาเป็นเวลานาน อย่างไรเรื่องการเจริญชีวิตของเขาก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ดีเอโก สิ้นใจอย่างสงบในวัย 20 ปี ในวันนั้นเชื่อกันว่าจู่ๆระฆังก็ดังเองโดยที่ไม่มีใครไปตี

*หมายเหตุ ดีเอโก ลาซาโร เป็นคนละคนกับ นักบุญฆวน ดีเอโก


ข้าแต่ท่านอัครเทวาดมีคาแอล และ ท่านดีเอโก ลาซาโร ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ดาราแห่งธิดาเมคคาธรรม "มาร์ทา"


บุญราศีมาร์ทา เวียซกา
Bl. Marta Wiecka
ฉลองในวันที่ : 30 พฤษภาคม

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ดวงดาราแห่งคณะธิดาเมตตาธรรม บุตรีของนักบุญวินเซนต์ เดอ ปอล และ นักบุญหลุยส์ เดอ มารียัค สองผู้ก่อตั้งคณะ ได้รับเกียรติในฐานะบุญราศีของพระศาสนจักรอย่างสง่า โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ดวงดาราที่ฉายแสงดวงนี้มีนามว่า มาร์ทา มารีอา เวียซคา

มาร์ธาเป็นลูกคนที่สามสิบสาม เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม ค..1874 ที่หมู่บ้านนอวี วีซ จังหวัดพอดลาสเกีย ประเทศโปแลนด์ ในครอบครัวของสองสามีภรรยาผู้ร่ำรวยชื่อ มาเซ็ลโล เวียซกา กับ เปาลีนา คามรอฟสกา เวียซกา หลังจากนั้นหกวันหลังเกิดท่านจึงได้รับศีลล้างบาป



ขอเล่าถึงสภาพตอนนั้นของโปแลนด์ซักนิด โดยในตอนนั้นตั้งแต่ปี ค..1772 เป็นต้นมาโปแลนด์นั้นก็ถูกแบ่งและถูกครอบครองจากหลายๆประเทศเพื่อนบ้านที่มีอำนาจมากขึ้น ซึ่งในส่วนที่ท่านอาศัยอยู่ในความครอบครองของปรัสเซีย ซึ่งพยายามปราบปรามเอกลักษณ์และพระศาสนจักรคาทอลิกประจำชาติโปแลนด์ด้วยปฏิบัติการต่อความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ทำให้โรงเรียนถูกห้ามไม่ให้สอนภาษาโปแลนด์ ประวัติศาสตร์โปแลนด์ และความเชื่อคาทอลิก แต่ครอบครัวของท่านนั้นยังคงเป็นเหมือนคนอื่นๆคือยังคงเป็นคริสตชนและชาวโปลิสที่แข็งขัน ดังนั้นท่านจึงได้เรียนรู้รากเหง้าของท่านและความเชื่อจากครอบครัวของท่านนี้ และได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยการภาวนาร่วมกันในครอบครัว การอ่านหนังสือฝ่ายจิต และการศึกษาบทเทศน์แต่ละอาทิตย์

ต่อมาเมื่อท่านมีอายุได้ 2 ปี ท่านก็เกิดล้มป่วยหนัก แม้นจะรักษาเพียงใดก็ไม่หาย เหตุนี้ครอบครัวของท่านจึงหันไปหาพระมารดาพระเจ้าแห่งปีเซ็คชโน เพื่อวิงวอนนามของท่าน และอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น เมื่อท่านหายเป็นปลิดทิ้ง ซึ่งหากมองแล้วจะพบเลยว่าตลอดชีวิตของท่านนี้มีความผูกพันธุ์กับพระแม่มาก ท่านมีความรักที่ยิ่งใหญ่ต่อพระแม่ ยามใดที่ท่านต้องการความช่วยเหลือ ท่านก็จะหันไปหาพระนางเพื่อวิงวอน และก็ดูเหมือนว่าพระแม่จะไม่เคยเมินเฉยต่อคำวิงวอนของท่านซักครั้ง



ตั้งแต่เยาว์วัยท่านมีความสุขที่จะช่วยมารดาของท่านทำงานบ้าน เพื่อนบ้านหลายคนต่างชื่นชมในการภาวนา อัชฌาสัยที่ดี ความเมตตา และการมองโลกในแง่ดีของท่านที่ท่านแสดงออกให้คนรอบข้างได้เห็น ทุกคนยังรู้ดีอีกว่าท่านมีความศรัทธาเป็นพิเศษต่อท่านนักบุญยอห์น เนโปมูเซน พวกเขามักเห็นท่านมักยืนภาวนาอยู่เงียบๆที่ด้านหน้าสักการสถานของท่านนักบุญข้างทางเสมอ ตลอดชีวิตของท่านยึดบทภาวนาของนักบุญองค์นี้ตามที่คุณพ่อเจ้าวัดสอนท่านตั้งแต่เด็กๆมาเสมอ

3 ตุลาคม ค..1866  นับเป็นวันที่สำคัญอีกครั้งในชีวิตของท่าน เพราะ เป็นวันรับศีลมหาสนิทครั้งแรกของท่าน เป็นวันที่พระเยซุเจ้ากลายมาเป็นศูนย์กลางในชีวิตของท่าน ยามใดก็ตามหากมีโอกาสร่วมมิสซาท่านก็ไม่ลังเลที่จะเดินถึง 12 กิโลเพื่อไปวัด ส่วนที่บ้านนั้นเวลาการการสวดภาวนานั้นนานพอดู ต่อมาเมื่อมารดาท่านล้มป่วยลง มันจึงลดลงมาบ้างเพราะท่านต้องดูแลน้องๆแทนมารดา ซึ่งน้องก็มักเรียกท่านว่า แม่รอง



เมื่ออายุได้ 16 ปี ท่านก็ตัดสินใจเข้าคณะธิดาเมตตาธรรม แต่เมื่อท่านเดินทางไปเยี่ยมอารามคณะที่เค็ลโม เมืองใกล้ๆ ท่านก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะถูกปฏิเสธเนื่องจากท่านยังเด็กเกินไป แต่ท่านก็ไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเข้าคณะ ท่านรออยู่สองปีท่านจึงไปอีกครั้งพร้อมเพื่อนของท่านอีกคน แต่เนื่องจากรัฐบาลปรัสเซียนจำกัดจำนวนผู้สมัคร ดังนั้นท่านและเพื่อนจึงไปยังบ้านคณะในคราคูฟและได้เข้าคณะที่นั่น

ดังนั้นในวันที่ 26 เมษายน ค..1892 ในวัย 18 ปี ท่านจึงได้เริ่มเป็นโปสตุลันต์ของคณะที่บ้านเลขที่ 8 วาร์ชาฟสคา กรุงคราคูฟ หลังจากนั้นในวันที่ 12 สิงหาคม ปีเดียวกันท่านก็เข้าเป็นโนวิสของคณะ ก่อนในวันที่ 12 เมษายน ค..1893  ท่านจึงได้รับชุดคณะ หลังจากได้รับการอบรมถึงจิตตารมณ์ของคณะอันเป็นแนวทางในการเจริญชีวิตของท่านมาแล้วเป็น งานแรกของก็คือการไปประจำที่โรงพยาบาลในลวีฟ ประเทศยูเครน ที่นั่นด้วยความรวดเร็วท่านก็เป็นที่เลื่องลือว่าเป็นซิสเตอร์ที่มีความรักต่อผู้ป่วยของท่านและรับใช้อย่างไม่เคยเห็นแก่ตัวเอง



ท่านทำงานอยู่ที่นั่นได้ปีครึ่งในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค..1894 ท่านจึงถูกย้ายให้มาทำงานที่โรงพยาบาลในโปดไฮเซอ และปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่นเป็นระยะเวลาห้าปีในฐานะพยาบาลที่แสนดีและธิดาเมตตาธรรมอันซื่อสัตย์อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย จากนั้นในวันที่ 15 สิงหาคม ค..1897 ท่านก็ได้เข้าพิธีปฏิญาณตน

จากนั้นในปี ค..1899 ท่านก็ถูกให้มาประจำที่บ้านคณะในโบคเนีย ที่นี่มีซิสเตอร์มารีอา คาบัว เป็นแม่อธิการ ผู้ซึ่งจะกลายมาเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของท่าน ในเวลานี้เองที่ท่านได้เห็นนิมิตพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน พระองค์องค์ทรงเร่งเร้าให้ท่านมีความอดทนต่อความทุกข์ยากและสัญญาว่าวันหนึ่งท่านจะได้อยู่กับพระองค์ เหตุการณ์นี้ช่วยกระตุ้นการอทิศตนของท่านในการปฏิบัติศาสนกิจของท่านและแรงบัลดาลใจในการปรารถนาสวรรค์ของท่าน



ไม่นานหลังจากภาพนิมิตนี้ ความทุกข์ยากดั่งกล่าวก็ปรากฏขึ้น เมื่อคนป่วยเป็นโรคจิตคนหนึ่งได้รับการปล่อยตัวออกจากโรงพยาบาลที่ท่านปฏิบัติหน้าที่อยู่ เริ่มป่าวประกาศไปทั่วว่าท่านกำลังตั้งท้องหลังจากไปมีความสัมพันธ์กับผู้ป่วยของท่านเอง(นักเรียนผู้เป็นหลานชายของคุณพ่อเจ้าวัด) ในตอนนี้เองที่ซิสเตอร์มารีอา ได้มีบทบาทในการทำให้ท่านอยู่ที่นี้ต่อเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของท่าน แม้จะโดนพายุเช่นนี้ท่านก็ไม่หยุดดูแลผู้ป่วยด้วยความอ่อนโยนตามปกติของท่าน ท่านแบกรับการดูหมิ่น การนินทา ไว้ด้วยความอดทนอันเงียบสงบภายใต้การชิดสนิทกับพระเป็นเจ้าตลอดเวลา

จนเมื่อข่าวโคมลอยนี้จบลงแล้ว ท่านก็ส่งไปประจำที่โรงพยาบาลในสไนตึน ประเทศยูเครน ไม่นานชื่อเสียงความศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็ดึงดูดพระสงฆ์ท้องถิ่น ไม่ช้าพวกเขาก็เริ่มติดต่อท่านเมื่อพบปัญหาหรือวิกฤตฝ่ายจิต ในตัวท่านพวกเขาพบว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือทั้งเรื่องฝ่ายกายและฝ่ายจิต ท่านทำสิ่งเหล่านี้ควบคู่ไปกับการปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ในโรงพยาบาล



ท่านรักกระแสเรียกของท่าน ท่านปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยของท่านด้วยความยินดีและความพอใจ ท่านยิ้มเสมอและเปี่ยมไปด้วยความอดทนและความดี ท่านพบเวลาที่จะสอนคำสอนเพื่อเตรียมพวกเขาให้พร้อมสำหรับการรับศีลศักดิ์สิทธิ์และเวลาที่จะร่วมสวดภาวนาพร้อมพวกเขา และเมื่อใดก็ตามที่ท่านจัดให้มีเดินรูปที่วัดน้อยของโรงพยาบาลก็จะมีผู้ป่วยถึง 40 คนที่จะมาร่วม ท่านมีพระหรรษทานในการเป็นสะพานที่จะช่วยคนให้คืนดีกับพระเจ้า ไม่มีใครเลยในแผนกของท่านที่สิ้นใจทั้งๆที่ไม่ได้รับศีลอภัยบาป บ่อยครั้งที่ป่วยชาวยิวของท่านขอรับศีลล้างบาป สำหรับท่านแล้วผู้ป่วยทุกคนเท่าเทียมกันหมดไม่ว่าคุณจะเป็นโปแลนด์, ยูเครน, ยิว , ออร์โธดอกซ์หรือคาทอลิกก็ตาม ท่านปฏิบัติกับพวกเขาด้วยความรัก ขับเคลื่อนชีวิตไปด้วยคำภาวนา

ท่านเจริญชีวิตด้วยความความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวมาตลอด แม้ชีวิตก็ยอมแลกได้ ซึ่งแสดงให้เห็นเมื่อมีการระบาดของโรคไข้ไทฟอยด์ มีชายคนหนึ่งซึ่งเป็นทั้งบุรุษพยาบาลและพ่อคน ต้องไปประจำในห้องฆ่าเชื้อของผู้ป่วยด้วยโรคไข้ไทฟอยด์ ท่านเห็นความกลัวต่อตัวเขาเองและครอบครัวของเขา ท่านจึงอาสาเข้าไปทำแทน จนติดเชื้อไข้ไทฟอยด์และล้มป่วยในที่สุด ข่าวนี้แพร่ไปในขณะที่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อทุกคนที่ทราบก็ต่างร่วมกันสวดภาวนาให้ท่านหาย แม้ชาวยิวจากศาลาธรรมในท้องถิ่นก็จัดการสวดภาวนาพิเศษเพื่อท่าน



ผู้ที่อยู่ร่วมในวันสุดท้ายของท่านเล่าว่าหลังจากพระสงฆ์ส่งศีลแล้ว ท่านก็ตกอยู่ในสภาวะเข้าฌาน ท่านสิ้นใจอย่างสงบในวันที่  30 พฤษภาคม ค..1904 ด้วยวัย 30 ปี และถูกฝังที่เมืองนั้น ไม่นานหลุมศพท่านก็กลายเป็นที่แสวงบุญอีแห่งหนึ่ง ด้วยเวลาได้พิสูจน์แล้ว่าท่านคือนักบุญ จนมีอัศจรรย์นำไปสู่การบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศีในวันที่ 24 มีนาคม ค..2008 ณ ลวีฟ ประเทศยูเครน

ท่านต้องมีความพากเพียรในการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า เพื่อจะได้รับบำเหน็จตามพระสัญญา (ฮีบรู 10:36) น้ำพระทัยของพระเป็นเจ้านั้นคือกางเขนในชีวิตของเรา เราต้องแบกกางเขนอย่างพากเพียร อย่างร้อนรน อย่างอดทน เหมือนท่านที่แบกกางเขนอันคือข้อกล่าวหาอันไร้ซึ่งเค้ามูล จนต้องถูดูแคลนจากคนรอบข้าง ในบางที ใช่ กางเขนนั้นนำพามาแต่ความยากลำบากนั่นคือมองด้วยสายตาของผู้ขลาดเขลา  แต่สำหรับผู้รักพระแล้ว กางเขนคือความรอด ที่กางเขนเราพบความรอด ที่กางเขนนั้นเราได้รับความรอด ดังนั้นในฐานะคริสตชนมันจึงจำเป็นมากๆที่เราต้องแบกและแบกกางเขน ในทุกๆวินาทีของชีวิตเพื่อสุดท้ายในเมืองสวรรค์เราจะได้ร้องเพลงสรระเสริญพระเจ้าพร้อมกัน อัลเลลูยา


ข้าแต่ท่านบุญราศีมาร์ทา เวียซกา ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

"โยเซฟ" ฝรั่งลายมังกร


นักบุญโยเซฟ ไฟรนาเดเมตซ์
St. Josef Freinademetz 
ฉลองในวันที่ : 29 มกราคม

เรื่องราวสุดอัศจรรย์เริ่มขึ้นในบ้านกึ่งไม้กึ่งปูนเรียบง่ายในหมู่บ้านออยส์ หมู่บ้านเล็กๆที่บ้านเพียงห้าหลัง เมืองบาดีอา เมืองที่เล่นกายอยู่ภายใต้เทือกเขาแอลป์ในส่วนที่ชื่อว่าโดโลมีตี สีเขียวขจีดั่งหยกชั้นเลิศ ในจังหวัดปกครองตนเองโบลซาโน หรือ ในภาษาเยอรมันกับละดินของคนท้องถิ่นนี้จะเรียกว่า ซุดทิรอล เมื่อเด็กชายตัวน้อยได้ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกในครอบครัวของโยฮัน มัทเทียส ไฟรนาเดเมตซ์ กับ อันนา มารีอา ซอตต์วัลกีอาไร

ทารกได้รับศีลล้างบาปด้วยนามตามภาษาละดินว่าอูโยบ หรือ โยเซฟ ในวันเดียวกันกับวันที่เกิดคือวันที่ 15  เมษายน ค..1825 ท่านเป็นบุตรคนที่สี่จากสิบสามคนของครอบครัวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านออยส์ เมืองบาลีอา จังหวัดปกครองตนเองโบลซาโน อาณาจักรฮังการี(ปัจจุบันคือภาคเหนือของประเทศอิตาลี)



ท่านเติบโตขึ้นมาท่ามกลางมรดกล่ำค่าของครอบครัวคือความเชื่ออันเรียบง่าย มีการสวดภาวนาทุกๆวัน และลงไปมิสซาที่วัดนักบุญลีโอนฮาร์ดในวันอาทิตย์ หลังจากนั้นเมื่อเจริญวัยขึ้นอีกท่านก็เข้าบ้านเณรที่เบรซซาโนเน ซึ่งระหว่างศึกษาอยู่ที่นั่นท่านก็เริ่มคิดอย่างจริงจังว่างานธรรมทูตนั้นคือแนวทางของท่าน ท่านได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ในวันที่ 25 กรกฎาคม ค..1875  และถูกส่งไปประจำที่วัดนักบุญมาร์ติน เด โตร ใกล้ๆบ้านของท่าน ซึ่งในไม่ช้าท่านก็ครองหัวใจสัตบุรุษทุกคน

อย่างไรก็ตามกระแสเรียกการเป็นธรรมทูตก็มิได้หายไปไหน เพียงสองปีหลังจากรับศีลบวช ท่านก็ได้ติดต่อนักบุญคุณพ่ออาร์โนลด์ ยานซึน ผู้ก่อตั้งคณะวจนาตถ์ของพระเจ้า และเมื่อได้รับอนุญาตจากพระสังฆราชแล้ว ท่านก็ได้เป็นสมาชิกคณะวจนาตถ์ของพระเจ้าที่บ้านในสเตย์ล ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในเดือนสิงหาคม ค..1878 หลังจากนั้นในวันที่ 2 มีนาคม ค..1879  ท่านก็ถูกเลือกให้ไปเป็นธรรมทูตในประเทศจีนพร้อมคุณพ่อโยฮัน บัพทิสท์ ฟอน อันซาร์ และมาถึงฮ่องกงในห้าสัปดาห์ถัดมา พร้อมอยู่ที่นั่นต่ออีกสองปีเพื่อเตรียมตัว



ก่อนในปี ค..1881 ท่านและคุณพ่อโยฮันจึงเดินทางไปทำงานอภิบาลที่ตอนใต้ของมณฑลชานตุง จังหวัดที่ประชากรถึงสิบสองล้านคน เป็นคริตชนอยู่ 158 คน มันเป็นที่ลำบากที่ถูกทำเครื่องหมายไว้ด้วยเวลายาวนาน การเดินทางอันแสนยากลำบาก การถูกทำร้ายจากโจร และการก่อร่างสร้างชุมชนคริสตชนเป็นครั้งแรกอย่างยากลำบาก

อย่างไรท่านก็ยกย่องความสำคัญของความมุ่งมั่นของฆราวาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูคำสอน เพื่อประกาศข่าวดีเป็นครั้งแรก ท่านทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการพัฒนาพวกเขาและจำทำหนังสือคำสอนภาษาจีน ขณะเดียวกันท่านก็ร่วมมือกับคุณพ่อโยฮันในการพยายามเตรียมความพร้อม สำหรับการก่อตัวของจิตวิญญาณและการศึกษาอย่างต่อเนื่องของพระสงฆ์ชาวจีนและธรรมทูตคนอื่นๆ



ผมจะเป็นชาวจีนในสวรรค์ ทั้งชีวิตของท่าน ท่านพยายามที่จะกลายเป็นชาวจีนในหมู่ของชาวจีน มากเสียจนท่านเขียนถึงครอบครัวว่า ผมรักประเทศจีนและชาวจีน ผมต้องการตายท่ามกลางพวกเขาและพักผ่อนในเวลาที่เหลือท่ามกลางพวกเขา ในปี ค..1898 จากผลของการทำงานหนักและความยากลำบากต่างๆ ท่านก็เกิดป่วยด้วยโรคกล่องเสียงอักเสบ อันเป็นจุดเริ่มต้นของวัณโรค ท่านจึงถูกส่งไปประเทศญี่ปุ่นตามคำร้องของของบรรดานักบวช เพื่อรักษาตัว ก่อนกลับมาทั้งๆที่ยังไม่หายขาด

ต่อมาเมื่อพระสังฆราชโยฮันต้องเดินทางออกจากประเทศจีนในปี ค..1907 ท่านก็มีหน้ามากขึ้นในการบริหารสังฆมณฑล ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็ได้มีการระบาดครั้งใหญ่ของไข้รากสาดใหญ่ขึ้น ท่านในฐานะนายชุมภาบาลที่ดีก็ได้ทำงานอภิบาลอย่างไม่ย่อท้อ ท่านเดินทางไปตามหมู่บ้านต่างๆจนท่านเองติดเชื้อ ท่านจึงกลับไปไตเกี๋ย เมืองจินหนิง ตอนใต้ของมณฑลซานตง และถึงแก่มรณกรรมอย่าสงบด้วยวัย 55 ปี ในวันที่ 28 มกราคม ค..1908



ท่านเรียนรู้ที่จะค้นพบความยิ่งใหญ่และความสวยงามของวัฒนธรรมจีนและความรักต่อผู้คนที่เป็นเป้าหมายที่ท่านถูกส่งมา ท่านอุทิศชีวิตของท่านทั้งครบเพื่อการถึงข่าวดีของความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์ทุกๆคน และรวบรวมความรักนี้ในรูปแบบของชุมชนคริสตชนชาวจีน ท่านขับเคลื่อนชุมชนนี้ด้วยการเปิดตัวเองให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับทุกคนรอบๆ ท่านสนับสนุนคริสตชนชาวจีนจำนวนมากในการเป็นธรรมทูตในหมู่ชาวจีนด้วยกันผ่านการเป็นครูคำสอน นักบวช พระสงฆ์และซิสเตอร์ ชีวิตของท่านเป็นไปตามคำขวัญของท่าน คือ ภาษาที่ทุกคนเข้าใจคือภาษาของความรัก

ร่างของท่านถูกฝังที่สถานพระมหาทรมานที่ 12 ในการเดินรูปที่ไตเกี๋ย ประเทศจีน หลังจากนั้นสมเด็จพระสันตะปาปาปอล ที่ 6 ก็ได้ทรงแต่งตั้งท่านเป็นบุญราศีหลังจากนั้นพร้อมกับบุญราศีอาร์โนลด์ผู้ก่อตั้งคณะท่านก็ได้รับการบันทึกนามในสารบบนักบุญของพระศาสนจักรเมื่อวันที่ 5 ตุลาคมปี ค..2003 โดยนักบุญสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2



ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้ เราก็ควรจะรักกันด้วย(1ยอห์น 4:11) พระเจ้าทรงรักเรามากแค่ไหน ก็มากพอจะทรงส่งพระบุตรลงมาเป็นค่าไถ่เพื่อไถ่เราให้รอดไงละ พี่น้องดังนั้นมันจะไม่ดีหรือที่เราจะนำความรักไปยังคนรอบข้างของเรา ความรักที่พระให้เรามากมาย รักแบบจริงใจ รักอย่างที่เขาเป็น เช่นท่านที่รักคนจีนอย่างที่คนจีนเป็น ไม่ได้รักเพราะอย่างอื่น ความรักนี้แหละเป็นภาษาที่ทุกคนเข้าใจได้ไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือชาติไหนเหมือนคติของท่าน ดังนั้นเราต้องพกความรักไว้ในกระเป๋าของเราเสมอ เพื่อให้พร้อมมอบแด่ทุกคน ให้ทุกคนได้สัมผัสความรักของพระเจ้า และร้องสรรเสริญพระองค์ว่า อัลเลลูยา อัลเลลูยา


ข้าแต่ท่านนักบุญโยเซฟ ไฟรนาเดเมตซ์ ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง
http://www.heiligenlexikon.de/BiographienJ/Josef_Freinademetz.html

คือปัสกาของ 'การ์โลส มานูเอล' ตอนจบ

บุญราศีการ์โลส มานูเอล เซซิลิโอ โรดริเกซ ซันติอาโก Bl. Carlos Manuel Cecilio Rodríguez Santiago วันฉลอง: 13 กรกฎาคม และ 4 พฤษภาคม (ในปวยร์โต...