วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

"ยอห์น ยู และ ลุทการ์ดา ยี" นักบุญสองสามีภรรยา


บุญราศียอห์น ยู จุง ชอล และ บุญราศีลุทการ์ดา ยี ซุน อี
Bl.John Yu Jung-Cheol and Lutgarda Yi Sun-i


     เร่ เข้ามาท่านทั้งหลายที่สนใจ    มานั่งใกล้ข้ามีเรื่องจะเล่า
เป็นเรื่องราวชายหญิงไม่ได้เศร้า      ไม่ต้องเอาผ้ามารอซับน้ำตา
     แต่ขอย้ำว่าเรื่องนี้จริงแท้แน่       ไม่ได้แม้นเติมแต่งหรือเพิ่มหนา
ครรลองเดิมเดินมาแต่ไรมา             ข้าก็พาสู่ท่านอย่างนั้นเอย
เรื่องราวเริ่มขึ้นที่ในหมู่บ้านชื่อ โกนัม ในเมืองจอนจู หรือในปัจจุบันคือนัมจี-รี มณฑลวันยู จังหวัดช็อลลาเหนือ ประเทศเกาหลีใต้ ในราวปี ค..1779 เมื่อภรรยาของออกัสติน ยู ฮาง ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนแรกแก่ตระกูลอันมั่งคั่งและมีชื่อเสียงของเขา สมาชิกใหม่ผู้นี้ได้รับนามว่า ยู จุง ชอล หรือจะเรียกว่า จง ซ็อก ก็ได้

โดยเรื่องราวของการเป็นคริสตชนของครอบครัวของยูนั้นเริ่มมาจากการที่บิดาของยูได้ไปเรียนคำสอนกับฟรานซิส เซเวียร์ ควอน อี ซิน และได้ตัดสินรับศีลล้างบาปเป็นคริสตชน ในเวลาที่ศาสนาคริสต์กำลังเข้ามายังเกาหลีไม่นาน ซึ่งนับแต่นั้นมาบิดาของยู ก็ได้อุทิศตัวเพื่อการประกาศพระวรสารทั้งแก่คนในครอบครัวของเขาเองและแก่มิตรสหายของเขา จนบ้านของเขากลายเป็นศูนย์กลางของคริสตชนคาทอลิกในภูมิภาคช็อลลาเลยทีเดียว



คงพอจินตนาการออกถึงสภาพแวดล้อมที่ยูเติบโตขึ้นมาและได้รับศีลล้างบาปพร้อมนาม ยอห์นแล้วซินะ สภาพแวดล้อมแบบคริสตชนโดยแท้ ขณะเดียวกันยูก็ได้รับการศึกษาภายใต้การดูแลของสตานิลาอุส ฮาน จ็อง เฮอุม ซึ่งได้เล่าถึงเด็กชายยูว่า ยอห์น ยู เป็นคนที่จริงใจและตรงไปตรงมาในการอุทิศตนของเขา และเขายังมีความเชื่อที่เข้มแข็งและร้อนรนในกิจการเมตตา แม้เขาจะยังเด็กเขาก็ปฏิบัติหน้าตนเช่นผู้ใหญ่ที่สุภาพและรอบคอบในการซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเขา ต่อชีวิตเที่ยงธรรม และต่อการรังเกียจความไร้สาระทั้งหลายของโลก

ตัดกลับไปที่ครอบครัวขุนนางเปี่ยมชื่อเสียงของยี ยุน ฮา ในปี ค..1782 สามปีหลังจากยูเกิด ภรรยาของยี ยุน ฮา ก็ได้ให้กำเนิดทารกเพศหญิงเป็นลุกคนสุดท้องของครอบครัว พร้อมตั้งนามทารกผู้นั้นว่า ยี ซุน อี หรือ ยู ฮี  สองปีหลังจากเกิดบิดาของยี ซุน ก็ได้รับศีลล้างบาปตามนามนักบุญมัทธิว ก็จะตามมาด้วยมารดาของยี ซุน ที่ได้เรียนคำสอนและตัดสินใจรับศีลล้างบาปเช่นเดียวกับสามี หลังจากนั้นมามารดาของยี ซุน ก็กลายมาเป็นครูคำสอนคนแรกของยี ซุน ลูกคนสาวคนเล็ก ซึ่งภายมีศาสนนามหลังรับศีลล้างบาปว่า ลุทการ์ดา



กระทั้งมีวัยได้ประมาณ 11 ปี บิดาของลุทการ์ดาก็ได้มาสิ้นใจไป ทิ้งให้มารดาและลุทกาดาพร้อมพี่ชายทั้งสองไว้ ลุทการ์ดาจึงอยู่กับมารดาขณะเดียวกันก็ได้อุทิศตัวเองเพื่อฝึกเป็นครูคำสอนและช่วยวิญาณทั้งหลาย จนวัยล่วงได้ประมาณ 13 ปี ในปี ค..1795  ลุทการ์ดาก็ได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกจากคุณพ่อยากอบ โจว เหวิน โหม่ ซึ่งก่อนจะถึงวันจริงนั้นลุทการ์ดาก็ได้เตรียมตัวอย่างดี สวดภาวนาและเรียนคำสอนเป็นระยะสี่วัน

หลังจากนั้นมาลุทการ์ดาก็ได้เจริญชีวิตในการสวดภาวนา ในความรักต่อศีลมหาสนิท ในคุณธรรมอย่างร้อนรน เธอตัดสินใจเลือกพระคริสตเจ้าเป็นเจ้าบ่าวแต่เพียงคนเดียวผ่านการปฏิญาณตนถือพรหมจรรย์ แต่กระนั้น ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำเช่นนี้เพราะสังคมในสมัยนั้น การที่ผู้หญิงจะอยู่คนเดียวเป็นเรื่องยากมากๆ แม้จะเป็นอย่างนี้ลุทการ์ดาก็ไม่ลังเลใจที่จะเปิดเผยเรื่องนี้แก่มารดาเมื่อเธออายุได้ 15 ปีแล้ว และก็ต้องประหลาดใจเมื่อมารดาเห็นด้วยและได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับคุณพ่อยากอบ โจว เหวิน โหม่ อีกด้วย



ทำให้คุณพ่อนึกได้ว่าในปีเดียวกันกับที่ลุทการ์ดาได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกนั้น คือในประมาณปี ค..1795 ยอห์น ยู ในวัย 16 ปี ก็ได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกจากมือของคุณพ่อเช่นกัน ในเวลาที่คุณพ่อเดินทางไปเยี่ยมเขตวัดที่โกนัม และหลังจากนั้นยูได้เปิดใจต่อหน้าคุณพ่อและบอกว่า ผมต้องการเจริญชีวิตเป็นพรหมจรรย์ครับ เมื่อนึกได้เช่นนั้นคุณพ่อยากอบ จึงไม่รีรอที่จะส่งจดหมายไปหายู พร้อมได้จัดให้ทั้งยอห์น ยู และ ลุทการ์ดา ยี เข้าพิธีสมรสกันในที่สุด

     ร่วมยินดีปรีดากันเถิดหนา      เหตุละว่าลูกท่านยีได้ออกเรือน
กับชายหนุ่มสมคู่ดั่งดาวเดือน     คงมิเคลื่อนแคล้วกันเป็นแน่นอน
     มาละพี่ร่วมกันอวยพรเขา      ให้มิเศร้ามีแต่สุขอดิศร
ให้ครองคู่นานยิ่งสมใจปอง         ลูกว่านอนสอนง่ายทุกคนเอย
เดือนตุลาคม ค..1797 ทั้งสองก็ได้จูงมือกันเข้าประตูวิวาห์ ก่อนที่ลุทการ์ดาจะติดตามสามีซึ่งก็คือยอห์น ยูไปยังบ้านเกิดของเขา และได้ปฏิญาณตนรักษาพรหมจรรย์ต่อหน้าบิดามารดาของยู ในเดือนกันยายน ปีถัดมา พร้อมสัญญาจะดำเนินชีวิตในฐานะพี่ชายและน้องสาว มิใช่ในฐานะสามีและภรรยา



แน่นอนว่าชายหญิงที่ไม่ใช่พี่น้องกันมาอยู่บ้านหลังเดียวกันก็ต้องเกิดความต้องการบ้าง ฉันใดฉันนั้นทั้งสองก็ต้องพบกับปัญหานี้ แต่ทุกๆครั้งทั้งสองก็ก้าวผ่านมันไปได้ด้วยการ รำพึงและภาวนา คราใดที่ยูอยากจะฝ่าฝืนข้อปฏิญาณนั้น ลุทการ์ดาก็จะช่วยเขาด้วยรำพึงภาวนา เช่นเดียวกันกับยู เขาก็เอาชนะการล่อใจนี้ด้วยการรำพึงภาวนาเช่นเดียวกัน และด้วยวิธีการนี้เองทั้งสองจึงมีชีวิตอยู่ร่วมกันโดยมิได้ละเมิดคำปฏิญาณซักครั้ง จวบจน ณ วันที่สัญญาอีกอันที่ทั้งสองให้ไว้คือจะตายเช่นเดียวกับมรณสักขี

ทั้งสองดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขกระทั้งปี ค..1801 เมื่อพระอัยยิกาคิม พระราชมารดาในพระเจ้าซุนโจ ผู้สำเร็จราชการแทนในขณะนั้นเพราะพระเจ้าซุนโจ ยังทรงพระเยาว์ ได้ออกพระราชกำหนดห้ามเผยแพร่ศาสนาคริสต์ โดยกล่าวหาคริสตชนว่าเป็นคนที่ ไม่มีกษัตริย์ให้จงรักภักดี ไม่มีบิดาให้คำนับ เหตุคริสต์ศาสนาห้ามบูชาสิ่งอื่นใดนอกจากพระเจ้า และโทษของการไม่บูชาบรรพบุรุษในโชซอนนั้นรุนแรง จึงส่งผลให้เกิดเบียดเบียนคริสตชน ซึ่งตามประวัติศาสตร์เรียกว่า การสังหารหมู่ชาวคริสต์ปีชินยู ขึ้น



และที่หมู่บ้านโกนัม เจ้าหน้าที่ก็ได้บุกเข้ามาและได้จับกุมบิดาของยู ก่อนพาตัวไปยังโซล เช่นเดียวกันกับบิดายูก็ถูกจับ แต่ถูกส่งไปขังยังเมืองจอนจู ในฤดูใบไม้ผลิปีนั้นเอง ซึ่งตลอดระหว่างถูกจำคุกนั้น ยู มุน ซ็อก น้องชายของยูก็ทำหน้าที่เป็นผู้คอยส่งอาหารให้พี่ ผู้ต้องทนสวมชุดสำหรับฤดูหนาว แม้จะเป็นกลางหน้าร้อนเพราะในเวลานั้นการจัดหาเสื้อผ้าให้นักโทษถือเป็นเรื่องต้องห้าม ทั้งกลางวันและกลางคืนยูถูจับใส่ขื่อคาไว้ ได้รับความทรมานมากมาย แต่กระนั้นหัวใจของยูก็ยังคงหนักแน่นในพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง

ลุถึงกลางเดือนกันยายน คนในครอบครัวรวมทั้งลุทการ์ดาก็ถูกจับและถูกส่งมายังเมืองจอนจู ท่ามกลางความเครียดลุทกาดากล่าวปลอบโยนครอบครัวว่าเราทุกคนจะไปสวรรค์ด้วยกัน  และเมื่อถูกจำคุกลูทกาดาก็ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงพี่สาวของเธอ ซึ่งแสดงถึงความรู้สึกว่า
พวกเราทั้งห้าเป็นหนึ่งเดียวกันในความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวของพวกเราที่จะมอบถวายชีวิตทั้งครบแด่พระเจ้าแม้นจะต้องเป็นมรณสักขีก็ตามที อาศัยการเปิดใจกับคนอื่นก็ทำให้พวกเราได้ทราบว่าพวกเราทั้งหมดล้วนมีความปรารถนาอันร้อนแรงที่จะตายเพื่อพระเช่นเดียวกัน…. และเช่นนั้น ความเสียใจและความวิตกกังวลของพวกเราก็ได้มลายหายไปสิ้น แต่ละวัน พวกเราหล่อเลี้ยงด้วยพระหรรษทาน ความรัก และความยินดีในพระเจ้าที่เติบโตในหัวใจของพวกเรา จนดูราวกับว่าความกังวลใจไม่มีเหลือแล้วในหัวใจของพวกเรา



ประมาณยี่สิบวันหลังถูกจับพร้อมครอบครัว ยู มุน ซ็อก น้องชายของยู ก็ถูกนำตัวมาขังไว้ในห้องเดียวกับยู และถูกตัดสินให้แขวนคอจนจบชีวิตลงในฐานะมรณสักขีในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค..1801 ซึ่งในเวลาสิ้นใจนั้นยูมีอายุรวม 22 ปี  พร้อมกันนั้นยุได้ทิ้งจดหมายถึงลุทการ์ดาไว้ในเสื้อว่า พี่ขอสั่งเสีย ให้กำลังใจ และปลอบประโลมน้องสาวของพี่ ให้เราไปพบกันในสวรรค์

กลับมาที่ลุทการ์ดาที่ยังคงถูกจองจำอยู่ ทางเมืองจอนจูก็ได้มีการขอความเห็นในการตัดสินคดีของลุทการ์ดาและญาติไปยังราชสำนัก ทางราชสำนักจึงได้ส่งคณะปกครองอย่างเป็นทางการมายังจอนจูเพื่อดูแลคดีนี้ในทันที ผลสุดท้ายปรากฏว่าลุทการ์ดาถูกสั่งเนรเทศไปยังฮัมกีอง โด แต่อย่างไรก็ตามในนามของครอบครัว ลุทการ์ดาก็ได้วิงวอนเจ้าหน้าขอให้ลงโทษตามกฎหมาย แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ



แต่เพียงไม่นานหลังจากพวกเขาออกจากดินแดนเนรเทศ  เจ้าหน้าที่ก็สามารถตามจับพวกเขากลับมาได้ เวลานั้นลุทการ์ดาไม่อาจะทนเก็บความยินดีไว้แต่ภายในได้อีกต่อไป ในที่สุด ฉันก็จะได้ตายแบบมรณสักขีแล้ว ลุทการ์ดากล่าวด้วยยินดี เธอถูกพาไปอยู่ต่อหน้าผู้ว่าการจังหวัดอีกครั้งและถูกตัดสินประหารชีวิตดั่งความปรารถนา แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นลุทการ์ดาก็ต้องถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณและถูกจับขังคุกไว้ อย่างไรก็ตามแม้จะถูกตีเช่นนั้นเธอก็ไม่รู้สึกอันใด และบาดแผลนั่นก็หายขาดภายสี่ห้าวันถัดมา

31 มกราคม ค..1802 หลังจากได้รับการอนุมัติจากราชสำนักแล้ว ลุทการ์ดาและญาติๆ ก็ถูกพาไปยังจุดที่มีชื่อว่า ซุปยองจี และถูกตัดศีรษะจบชีวิตตามความปรารถนาคือการเป็นมรณสักขีอย่างสง่าด้วยวัย 20 ปี  พร้อมญาติๆ นับเป็นเวลากว่า 200 ปี ถัดมาหลังมรณกรรมของทั้งสอง ที่สุดแล้ว ยอห์น ยู และ ลุทการ์ดา ยี ก็ได้รับการบันทึกนามในสารบบบุญราศีของพระศาสนจักรพร้อมเพื่อนมรณสักขีอีก 122 คน โดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ในวันที่ 16 สิงหาคม ที่ผ่านมา



เนื่องจากพระคริสตเจ้าทรงรับทรมานในพระวรกายมาเเล้ว ท่านทั้งหลายจึงต้องมีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับพระองค์เป็นประดุจอาวุธ”(1 ปต 4:6) ความนึกคิดเช่นเดียวกับพระเยซูเจ้าเป็นอย่างไร? ความนึกคิดแบบพระเยซูเจ้าก็คือ รัก รักอะไรบ้างละ ก็รักพระเจ้าสุดจิตสุดใจและเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองไงละ รักสองสิ่งนี้แหละคือความนึกคิดแบบพระเยซูเจ้า แล้วทำไมต้องเปรียบเป็นอาวุธ ก็เพราะการรักพระเจ้าทำให้เราหักห้ามใจที่จะทำบาปผิดต่อพระ และการรักเพื่อนพี่น้องก็ทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปีศาจไม่ต้องการที่สุด มันปรารถนาให้คนทำบาปและเข่นฆ่ากัน ดังนั้นหากเราคิดเช่นนี้ปีศาจก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ เพราะ มันไม่สามารต่อกรกับพระเจ้าได้ แต่เราก็อย่าประมาท เราต้องหมั่นสวดภาวนาเสมอ ยิ่งสวดมากก็ยิ่งช่วยให้เรามีชัยชนะเหนือปีศาจและมีฉายาลักษณ์แบบเดียวกับพระเยซูเจ้าทั้งภายในและภายนอกมากขึ้น บุญราศีสององค์นี้เป็นอีกหนึ่งต้นแบบของต่อสู้การประจบด้วยความรักต่อพระและพี่น้องด้วยการสวดภาวนา การรำพึง ท่านทั้งสองเป็นแบบอย่างการเจริญชีวิตฆราวาสที่ดี ที่ควรเลียนแบบอีกหนึ่งคู่ที่ได้ฝากไว้บนพื้นโลกให้เราได้ศึกษาและเลียนแบบต่อไป


ข้าแต่ท่านบุญราศียอห์น ยู จุง ชอล และ บุญราศีลุทการ์ดา ยี ซุน อี พร้อมเพื่อนมรณสักขี
ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง


วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

"เอลิซาเบธน้อย" พุ่งสู่พระตรีเอกภาพ


บุญราศีเอลิซาเบธ แห่ง พระตรีเอกภาพ
Bl. Élisabeth of the Trinity
ฉลองในวันที่ : 9 พฤศจิกายน

18 กรกฎาคม ค..1880 ช่างเป็นวันที่แสนดีอะไรอย่างนี้นะ สำหรับครอบครัวเล็กๆในค่ายอาวอร (Avord) ของกับตันโจเซฟ กับ นางมารี โรลอง กาเทส (Captain Joseph and Marie Rolland Catez) เพราะวันนี้พวกเขาได้ต้อนรับบุตรหัวปีเพศหญิงคนแรกของพวกเขา หลังจากที่ทั้งสองต้องทนกังวลจากที่แพทย์ได้กล่าวว่าบุตรีคนแรกของพวกเขาอาจจะไม่รอด

สี่วันหลังจากนั้น ในวันที่ 22 กรกฎาคม ค..1880 หนูน้อยได้รับศีลล้างบาปด้วยชุดสีขาวภายในอ้อมแขนมานดาของท่านในวัดประจำค่ายในนามว่า มารี เอลิซาเบธ โฌเซฟินโดยมีคุณตาเรย์มอง โรลอง(Raymond Rolland)และคุณยายแอน มาร์เกอริต โฌเซฟิน โรลอง (Anne Marguerite Joséphine Rolland) เป็นพ่อแม่ทูนหัว



เพียงสี่เดือนหลังจากที่ท่านเกิด ในปี ค..1881 ครอบครัวของท่านก็ได้ย้ายมาอยู่ที่โอซอง (Auxonne) และ ดีฌง (Dijon) ในปี ค..1882 ที่นั่นมารดาของท่านแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีชีวิตเป็นของตัวเองเลย เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับท่านตลอด

วัยเด็กท่านนั้นเป็นเด็กที่อารมณ์โกธรที่เหลือร้ายประมาณว่าทุกคนก่อนหน้าท่านต้องหลีกทางให้ท่าน แต่ข้อเสียนี้ก็เริ่มได้รับเครื่องหมายแห่งการเปลี่ยนแปลงในปี ค..1887 เริ่มจากการจากไปของคุณตาในเดือนมกราคม ขณะอาศัยอยู่กับบุตรสาวที่รักของเขา มิทันใดที่เมฆหมอกแห่งโศกเศร้าจะจางหายไป บิดาของท่านก็มาด่วนจากไปอีกคนด้วยอาการหัวใจวายในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ทิ้งไว้แต่เพียงมาดามกาเทส ท่านและน้องมาร์เกอริตเท่านั้น



ดังนั้นมานดาของท่านจึงหอบหิ้วท่านและน้องสาวไปอยู่อพาร์ทเมนท์ย่านชานเมืองของดีฌง และบ้านใหม่หลังนี้เองที่ทำให้ท่านค้นพบคาร์แมล ผ่านบานหน้าต่างในห้องของท่านเอง และถึงแม้ว่าบิดาของท่านจะจากไปแล้ว ท่านก็ยังคงมีอารมณ์ที่มีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้น จนกระทั้งท่านได้เรียนรู้จักศีลอภัยบาป มันนำมาสู่การต่อสู้อย่างเห็นได้ชัดกับข้อเสียนี้ ท่านสัญญาต่อมารดาของท่านว่าท่านจะทำตัวให้น่ารัก อดทนและเชื่อฟัง

ที่สุดความพยายามของท่านก็บรรลุผล กับการเอาชนะอารมณ์ที่แสนร้ายของท่าน เมื่อท่านอายุได้ 11 ปี ท่านก็ได้รับพระวรกายของพระคริสต์เป็นครั้งแรก ในวันที่ 19 เมษายน ค..1891 น้ำตาแห่งความปิติหลั่งรินแก้มของท่านหลังจากรับพระองค์ ดิฉันไม่หิวอีกต่อไปแล้วละ พระเยซูเจ้าทรงเลี้ยงดูดิฉัน  คือคำกล่าวของท่านหลังจากออกจากวัดกับมารี หลุยส์เพื่อนของท่าน และหลังจากนั้นมาท่านก็สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น



ในโอกาสครบรอบ 7 ปีแห่งการรับพระวรกายกวีหนึ่งบทก็ได้ถูกท่านรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ว่า
ครั้นพระเยซูเจ้าทรงกระทำตัวข้าให้เป็นที่ประทับของพระองค์
ครั้งพระเจ้าทรงครองดวงใจข้า
สันติสุขก็เกิดขึ้นตั้งแต่เวลานั้น
ตั้งแต่ครั้งการรับศีลน่าพิศวง(mysterious colloquy)
ที่ศักดิ์สิทธิ์และโอชาการพบปะ
ข้าได้รับแรงบาดาลใจว่า มิมีอื่นใด แต่จะมอบถวายชีวิตของข้าเพื่อที่จะคืนสู่ความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่เป็นที่รักแห่งมหาสนิทศีล ผู้พักผ่อนในดวงใจที่แสนอ่อนแอของข้า
อันเออล้นไปด้วยความพอพระทัยของพระองค์

หนูรู้ไหมว่าเอลิซาเบธแปลว่าบ้านของพระเจ้า คุณแม่มารีแห่งพระเยซูเจ้าพดขึ้นเมื่อได้รู้ชื่อของท่าน ในระหว่างการสนทนาผ่านลูกกรงของอารามคาร์เมไลท์ของดีฌง ที่ท่านกับมารดาไปในบ่ายวันเดียวกันกับที่ท่านรับศีลมหาสนิท และหลังจากนั้นสองสามวันต่อมาคุณแม่ก็ได้ส่งบัตรศักดิ์ที่มีข้อความเขียนด้วยลายมือด้านหลังว่า ชื่ออันมีพระพรของหนูแฝงไปด้วยรหัสธรรม จงพบเจอความสำเร็จในวันดีๆนี้ เด็กน้อย ดวงใจของหนูคือบ้านของพระเจ้าบนโลก ของพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก



พรสวรรค์พิเศษ ท่านมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรี โดยเฉพาะเปียโนที่ท่านทั้งเรียนที่โรงเรียนและที่บ้านเป็นเวลาหลายชั่วโมง ท่านสามารถเรียนมันได้อย่างรวดเร็วและได้รับรางวัลจากนายดีทริช ท่านสอบได้อย่างดีเลิศในโรงเรียนดนตรี และได้รับรางวัลในชั้นเรียนวิชาทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติของนายพลาเดล(Pradel) ในปี ค..1893 ท่านยังมีโอกาสได้ศึกษาอยู่ที่โรงเรียนดนตรีที่ดีฌงตั้งแต่ปี ค..1888 –..1895 อีกด้วย

กระแสเรียก วันหนึ่งที่อายุ 14 หลังจากการรับศีลมหาสนิท ท่านก็สัมผัสได้ถึงกระแสเรียกการเป็นคาร์เมไลท์ของท่าน แต่เมื่อนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับมานดาของท่าน คำตอบที่ได้ก็คือไม่ เพราะมานดาของท่านไม่เชื่อว่าท่านมีกระแสเรียกในด้านนี้ จึงพยายามผลักดันท่านให้เข้าชีวิตสังคม ดังนั้นระหว่างที่รอท่านจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคม ท่านได้รับเชิญไปรับประทานอาหารค่ำและจบลงด้วยการขอให้ท่านเล่นเปียโนให้ฟัง



เวลาเดียวกันท่านก็ได้มีส่วนร่วมในการสอนคำสอนในเขตวัด เป็นนักคณะนักร้องประสานเสียง นำคนหนุ่มสาวเข้าวัดในเดือนแม่พระ คอยเตรียมตัวเด็กๆที่จะรับศีลมหาสนิทครั้งแรก และในฤดูร้อนท่านก็จะมีวันที่จะไปดูแลลูกๆของลูกจ้างในโรงงานยาสูบท้องถิ่น  

บันทึกของท่านถูกเขียนขึ้นเมื่อท่านมีอายุ 18 ปี มันแสดงให้เห็นถึงรสนิยมเรื่องภูเขาของท่านเพราะท่านมักใช้เวลาในช่วงวันหยุดไปกับการเที่ยวภูเขาหรือทะเล  ต่อมาในระหว่างการพักผ่อนในเดือนมกราคม ปี ค..1899 ท่านก็ได้อ่านหนังสือหนทางสู่ความครบครันของนักบุญเทเรซาแห่งอาวิลลาและค้นพบอะไรมากมายตามคำพูดของนักบุญเทเรซา



ที่สุดหลังจากเวลารอคอยอันยาวนาน มารดาท่านก็ยอมให้ท่านเข้าอารามซึ่งนับเป็นการตัดสินใจที่เจ็บปวดยิ่งของเธอ แต่อาศัยคำแนะนำของเพื่อนที่ดี และสภาพของท่านที่คอยแต่เฝ้ารอเวลานั้นเวลาเป็นชีลับอย่างไม่สิ้นสุด กำหนดการเข้าอารามของท่านถูกจัดในวันที่  2 สิงหาคม ค..1901  ระหว่างรอท่านก็ดำเนินชีวิตตามปกติจนถึงคืนวันที่ 1 สิงหา ท่านก็สวดภาวนาในเวลากลางคืนเช่นปกติ ด้วยความปรารถนาพร้อมสุดที่รักของท่านในความสันโดษแห่งกางเขน

แต่กลับกันกับมาดามกาเตส เธอกับไม่สามรถหลับตาลงได้ ที่สุดเธอจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาคุกเข่าที่ข้างเตียงของบุตรสาวด้วยน้ำตา พลางตัดพ้อถามธิดาน้อยว่า ทำไมลูกถึงทิ้งแม่ไปละ ฟังความดังนั้นธิดาน้อยก็ตอบมารดาผู้โศกาว่า อ้า คุณแม่ที่รักของหนู หนูจะสามารถต้านทานพระสุรเสียงของพระเจ้าที่เรียกชื่อหนูได้อย่างไร พระองค์ทรงโอบหนูไว้ด้วยพระหัตถ์และทรงตรัสกับหนูว่าพระองค์ไม่รู้ น้อยพระทัย ถูกทอดทิ้ง แล้วหนูจะทอดทิ้งพระองค์ ได้อย่างไร …. เพื่อพระองค์หนูจำต้องสละแม้ความเศร้าโศกของหนูที่คุณแม่มอบให้ หรือ การที่คุณแม่ต้องดื่มด่ำความเจ็บปวดก็ตามที

ดิฉันไม่สามารถทำอะไรได้ ดิฉันเพียงทิ้งตัวของดิฉันลงในอ้อมพระหัตถ์ของพระองค์ เช่นเด็กเล็ก วันถัดมาท่านก็ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า ก่อนรีบจัดแจงข้าวของต่างๆแล้วไปที่รูปบิดาเพื่อขอพร ตามด้วยแม่และน้อง หลังจากนั้นจึงเดิน
ทางมาร่วมมิสซาที่วัดน้อยของอารามที่ดีฌงในเวลาแปดโมงและได้เดินเข้าอารามไปในวันนั้นหลังมิสซาจบลง
ถ้าแม่รู้ว่าหนูรักแม่มากแค่ไหน หนูคิดว่าคงไม่สามารถขอบคุณได้เพียงพอสำหรับการให้หนูได้เป็นคาร์แมลที่รักที่หนูมีความสุขมากๆ
มันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆของคุณแม่ เช่นเดียวกันกับที่หนูเป็นหนี้ความสุขของหนู คุณแม่รู้ดีว่าถ้าคุณแม่ได้กล่าวกับคำว่าได้เอลิซาเบซน้อยของคุณแม่ก็จะคงอยู่กับคุณต่อไป
จดหมายถึงมารดาหลังเข้าอาราม

โอ้ ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความดี ลูกหาได้สรรหาคำใดที่จะแสดงถึงความสุขของลูกได้ ทุกวันลูกก็ยิ่งซาบซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่ ไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าพระองค์ ผู้ทรงเป็นทุกสิ่ง เพียงพระองค์และจากพระองค์ก็เพียงพอแล้ว เราพบพระองค์ทุกที่ ไม่ว่าเวลาซักรีดถึงเวลาสวดภาวนา
จดหมายถึงน้องสาว

พิธีรับเสื้อคณะ ในครั้งแรกมีความเป็นไปได้มากที่จะถูกจัดขึ้นในวันที่  27 ธันวาคม ปีเดียวกันกับที่ท่านเข้าอาราม ซึ่งตรงกับวันฉลองนักบุญยอห์น อัครสาวก เพราะเป็นวันที่ครอบครัวและพระสงฆ์ที่ท่านสนิทสามารถมาได้ แต่ท้ายสุดพิธีรับชุดคณะของท่านก็ตกลงเป็นวันสมโภชแม่พระผู้ปฏิสนธินิรมล ปีเดียวกัน แทน ซึ่งนับเป็นวันที่ท่านรักด้วยเหตุผลสองข้อคือ
1.ในวันนี้พระศาสนจักรร่วมกันสมโภชรหัสธรรมแห่งการปฏิสนธินิรมล ที่ดึงดูดท่านด้วยธรรมล้ำลึกแห่งความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์อันมิได้มาจากการเป็นอิสระมลทินแต่เดิม แต่เป็นการกระทำของหัวใจอันได้รับจากพระเจ้า
ให้ลูกบริสุทธิ์ทุกวันวา
แลรักษาลูกพ้นบาปมัวหมอง
โปรดคอยเฝ้าหทัยอย่าร้างรอน
อดิศรแลมารีนิรมลเอย
8 ธันวาคม ค..1897
2.นับเป็นความบังเอิญพอดีที่ปีนั้น วันสมโภชตรงกับวันอาทิตย์พอดี อันมีข้อสัมพันธ์ถึงรหัสธรรมแห่งพระตรีเอกภาพ ด้วยพรหมจารีแท้ยิ่งได้ถวายตนฉกเช่นปังแห่งการสรรเสริญพระสิริสามพระบุคคล


หลังจากนั้นในเย็นวันพุธที่ 4 ธันวาคม ท่านก็ได้ออกมาพักผ่อนเป็นเวลาสามวัน
ดิฉันจะเตรียมตัวให้พร้อมในวันที่ดีที่สุดของการหมั้นหมายด้วยการพักผ่อนสามวัน โอ้ เธอเห็นไหม ว่าตอนนี้ดิฉันคิดว่าดิฉันไม่มีความหมายใดอีต่อไปในแผ่นดินแล้ว โปรดสวดให้คาร์แมลน้อยของเธอมากๆเพื่อให้เธอส่งมอบทุกสิ่งอย่าง และมีความชื่นชมยินดีต่อหัวใจแห่งกระแสเรียกของเธอ ดิฉันจะมอบถวายพระองค์ในวันอาทิตย์ด้วยบางสิ่งของความดี เพราะดิฉันรักพระคริสตเจ้าของดิฉันมากๆ

และเมื่อวันนั้นมาถึง เช่นมารดาทั่วไป มารดาของท่านก็ได้จัดหาช่างทำผมมาให้ท่าน ซึ่งเมื่อช่างถามถึงทรงท่านก็ตอบง่ายๆว่า ง่ายและทนที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เลยค่ะ ดังนั้นเขาจึงจัดให้และเพียงไม่นานทรงผมก็เสร็จลงเขาจึงยื่นกระจักมาให้ท่านพร้อมถามว่า มาดมัวแซลล์ คุณพอใจไหมครับ ท่านก็ตอบพร้อมดันกระจกออกไปว่า มันต้องดีแน่ๆค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ เหตุการณ์นี้สร้างความประหลาดใจแก่เขาจนเขาเอ่ยขณะกลับกับลูกมือว่าเขาไม่เคยพบผู้หญิงแบบท่านมาก่อนและรู้สึกสะเทือนใจมากๆ นอกจากนั้นเมื่อท่านพบเพื่อนชายที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ในอีกสองเดือน ท่านก็พูดกับเขาว่า นายมีคงมีความสุขละซิ แต่เรามีมากกว่านายอีกนะ



ท่านได้รับชุดคณะเป็นนวกะอย่างสง่าในชุดสีขาวที่งดงาม และนามใหม่ว่า ซิสเตอร์เอลิซาเบธ แห่ง พระตรีเอกภาพ หลังจากนั้นท่านก็ได้ปฏิญาณตนในวันสมโภชพระคริสตเจ้าสำแดงองค์ที่ 11 มกราคม ค..1903 อันนับเป็นอีกวันของความสุขสำหรับท่าน ดิฉันได้มีวันที่สวยงามมากๆ” , “เป็นเช้าวันสมโภชพระคริสตเจ้าสำแดงองค์ที่สวยที่สุดในชีวิตของดิฉันในวันนี้ดิฉันจะได้ทำตามความปรารถนาของดิฉันและดิฉันจะกลายเป็น เจ้าสาวของพระคริสตเจ้า ในที่สุด.. ” เป็นดั่งความฝันที่กลายเป็นจริง
ในความลับลึกลงข้าฝังร่าง
ในทรงสร้าง ข้าอยู่และดับไป
รักพระองค์คือชีวาข้านี้ไซร้
ให้ข้าได้ดิ่งสู่สันติองค์เอย
บางตอนจากบทเพลงระหว่างพิธี

หลังจากนั้นท่านจึงได้รับผ้าคลุมศีรษะในวันที่  21 มกราคม ปีเดียวกัน ซึ่งนับอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาวดีฌง ที่ผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลไปที่วัดของอารามคาร์แมลในเช้าวันพุธทั้งๆที่เป็นวันทำงาน ไม่ใช่เพื่อฉลองนักบุญอักแนส แต่เพื่อร่วมพิธธีรับผ้าคลุมศีรษะของท่าน ภายหลังจากมีพิธีปฏิญาณตนเป็นการภายในแล้ว ซึ่งในวันนั้นมีทั้งครอบครัว เพื่อนและผู้คนจำนวนมากที่เคยชมการแสดงของท่าน ที่พวกเขายังคงตราตรึงถึง การแสดงเปียโนของ กาเทสน้อย



ในฐานะเจ้าสาวพระคริสต์ ความตระหนักรู้และประสบการณ์เรื่องพระตรีเอกภาพผู้ทรงดำรงอยู่ในท่านนับวันก็ยิ่งเติบโต และอาศัยการสนทนากับพระคริสตเจ้าในศีลศักดิ์สิทธิ์และในพระคัมภีร์ ชีวิตฝ่ายจิตของท่านก็ยิ่งล้ำลึกขึ้นไปเรื่อยๆ ท่านตักตวงอาหารบำรุงชีวิตจิตจากคำสอนของนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ของคณะ นักบุญเทเรซาแห่งอาวิลลา นักบุญยอห์น แห่ง ไม้กางเขน และจากนักบุญร่วมสมัยกับท่านเอง นักบุญเทเรซา แห่ง ลิซีเออร์  แต่เหนือสิ่งอื่นใดบิดาฝ่ายจิตของท่านนั้นมีเพียงคนเดียวคือ นักบุญเปาโล อัครสาวก

ซึ่งผ่านนักบุญเปาโล ท่านได้ค้นพบการเรียนรู้ถึงสองสิ่งคือการสะท้อนประสบการณ์ของท่านต่อความรักของพระเจ้าและช่วยให้ท่านสามารถตีความประสบการณ์เหล่านี้ได้ ไม่เพียงเท่านั้นนักบุญเปาโลยังได้เผยแสดงถึง ความรักอันล้นหลามของพระคริสตเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้าและทรงมอบพระองค์เพื่อข้าพเจ้า (กาลาเทีย 2:20) ต่อท่านอีกด้วย



ขอย้อนกลับไปในวัยเยาว์ ท่านได้ค้นพบกำลังที่จะเอาชนะอารมณ์ร้อนของท่านผ่านทางพระวรกายและพระโลหิตของพระเยซุคริสตเจ้าในศีลมหาสนิทครั้งแรก และในอารามท่านค้นพบคำอธิบายถึงเหตุการณ์นี้ผ่านจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโคโลสี 2:20 ที่เขียนว่า พระคริสตเจ้าโปรดให้ทุกสิ่งมีสันติ ด้วยพระโลหิตที่ทรงหลั่งบนไม้กางเขนของพระองค์  ท่านเขียนว่า การทำสันติในสวรรค์น้อยๆของดิฉัน ก็เพื่อว่ามันอาจจะเป็นสถานที่พักผ่อนอย่างแท้จริงขอองพระตรีเอกภาพ  นี้นับเป็นประสบการณ์หนึ่งที่ท่านค้นพบคำอธิบายผ่านจดหมายของนักบุญเปาโล

ในทำนองเดียวกัน อีกครั้งที่ท่านค้นพบคำยืนยันของนักบุญเปาโลถึงประสบการณ์ของท่านถึงเรื่องที่ว่าผ่านพระคริสตเจ้า เราสามารถเข้าเฝ้าพระบิดา (เทียบเอเฟซัส 2:18) เช่นนั้นท่านจึงเขียนเรื่องนี้ในบทกวีที่ท่านประพันธ์ขึ้นในวันพระคริสตสมภพ ปี ค..1901 ว่า
ทรงมาเผยข้อเชื่อน่าฉงน
มอบชาวชนความลับพระบิดา
นำสิริสู่สิริโรจนา
จนใจกลางตรีเอกานุภาพ
ท่านได้รับการเผยแสดงจากพระเจ้าว่า พระคริสตเจ้าทรงเป็นเสด็จมาเพื่อเผยแสดงถึงความรักของพระบิดาต่อพวกเราทั้งหลาย พร้อมทั้งนำเราไปส่วนร่วมในชีวิตศักดิ์สิทธิ์แห่งความรักของพระตรีเอกภาพ ท้ายสุดผ่านจดหมายนักบุญเปาโล ท่านได้ค้นพบทางมากมายสู่ศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ของกระแสเรียกการเป็นคริสตชนที่มีส่วนในชีวิตตรีเอกภาพผ่านการสนิทสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้า



การสรรเสริญแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ หรือ “Laudem Gloriae” คือ กระแสเรียกส่วนตัวที่ท่านค้นพบจากจดหมายถึงชาวเอเฟซัส คือการดำรงอยู่เพื่อสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดา เช่นเดียวกันกับพระเยซูเจ้าพระองค์เองก็ได้ทรงสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาเจ้าอย่างชัดเจน ท่านกล่าวว่า
ความฝันของดิฉันคือการเป็นการสรรเสริญแห่งพระสิริรุ่งโรจน์
มันอยู่ในจดหมายนักบุญเปาโลที่ดิฉันอ่าน และพระสวามีเจ้าของดิฉันเผยแสดงให้ดิฉันเข้าใจว่านี้คือกระแสเรียกจากการถูกเนรเทศที่กำลังรอคอยจะไปขับบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ไปนิรันดรในอาณาจักรนักบุญของดิฉัน
แต่จำเป็นยิ่งที่ต้องใช้ความภักดีอย่างสูง เพื่อที่จะเป็นการสรรเสริญแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ มันจะต้องตายจากทุกสิ่งอันมิใช่พระองค์ เพื่อที่จะไม่สั่นสะเทือนภายใต้การสัมผัสของพระองค์
จากจดหมายถึงเพื่อนคนหนึ่งของท่าน ในสิ้นเดือนธันวาคม ค..1905
กระแสเรียกนี้ยังไม่เพียงแต่การเป็นการสรรเสริญเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการน้อมรับความทุกข์ทรมานในการไถ่กู้ร่วม
กับพระคริสตเจ้า ดั่งคำของนักบุญเปาโลที่ว่า ความทรมานของพระคริสตเจ้ายังขาดสิ่งใด ข้าพเจ้าก็เสริมให้สมบูรณ์ด้วยการทรมานในกายข้าพเจ้าเพื่อพระกายของพระองค์คือพระศาสนจักร(โคโลสี 1:24)

ท่านตระหนักว่ามนุษย์ทุกคนล้วนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า  เพื่อเลียนแบบพระองค์ แม้ในขณะทรงรับทรมาน และเพื่อมีส่วนร่วมในความรักสัมพันธ์ที่เกิดจาดพระเยซูเจ้าทรงมีส่วนกับพระบิดาและพระจิตเจ้า ท่านอธิบายถึงแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในครั้งในหนึ่งในการรำพึงว่า
พระเจ้าทรงก้มลงมาเหนือวิญญาณนี้ด้วยความรัก
ธิดาบุญธรรมของพระองค์ ผู้เป็นเหมือนฉายาลักษณ์ของพระบุตร คนแรกที่บังเกิดขึ้นในหมู่สรรพชีวิตทั้งหลาย
ทรงรู้จักเธอดีว่าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ตั้งไว้ ได้เรียก ผู้ชอบธรรม
และหัวใจบิดาของพระองค์ตื่นเต้นขณะทรงคิดถึงความสำเร็จบริบูรณ์
ราชกิจของพระองค์ นี้คือการเชิดชูเธอ
โดยการนำเธอเข้าไปสู่พระอาณาจักรของพระองค์
ที่นั่นมีบทเพลงสำหรับทุกเพศทุกวัยไม่รู้จักจบที่สรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์
ทุกกิจการอันดีเลิศนี้คือราชกิจของพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมาเพื่อนำเราไปสู่การสนทนากับพระองค์เอง พระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความรักด้วยตัวเอง


21 พฤศจิกายน ค..1904 ตรงกับวันฉลองแม่พระถวายตนในพระวิหาร ท่านก็ได้ประพันธ์บทภาวนาต่อพระตรีเอกภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดขึ้น อันประหนึ่งเป็นการถวายตนต่อองค์ความรัก ซึ่งแสดงออกอย่างชัดเจนความปรารถนาของท่านที่จะร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสตเจ้า ตามรอยพระองค์ เพื่อเป็นที่พอพระทัยของพระบิดาเจ้าและเข้าสู่ความรักอันเป็นพลวัตและไร้ขีดจำกัดของพระตรีเอกภาพอย่างสุดซึ้ง และสรุปในตอนท้ายบทภาวนาด้วยยอมจำนนตัวของท่านเองต่อพระตรีเอกภาพว่า ขอโปรดฝังพระองค์เองลงในตัวลูก เพื่อจะลูกจะได้ฝังตัวเองไว้ในพระองค์ ไปจนกว่าลูกจะจากโลกนี้ไปสู่การเพ่งพิศความยิ่งใหญ่อันล้ำลึกไม่มีขอบเขตในแสงสว่างของพระองค์เทอญ

หลังจากนั้นในวันที่ 8 มีนาคม ปีถัดมาถึง 22 เมษายน ปีนั้น ท่านก็เริ่มอาการแรกของโรคแอดิสัน และยิ่งทรุดหนักขึ้นในช่วงต้นปี ค..1906  นักบุญยอแซฟเป็นองค์อุปถัมภ์การสิ้นใจในศีลในพร ท่านจะมาพาดิฉันไปหาพระบิดาค่ะ ท่านกล่าวในเวลาหย่อนใจในวันที่ 1 มกราคม ค..1906 แต่ก็ไม่มีใครเชื่อท่านในเวลานั้น ตรงข้ามทุกคนกับยิ้มอย่างมีความหวังให้กับท่าน



อาการท่านหนักลงเรื่อยจนป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร ซึ่งทำให้ท่านต้องทรมานจากอาการอ่อนเพลีย และอาการไม่สามารถย่อยอาหารได้ ท่านต้องทนปวดท้องอย่างรุนแรงและอาการกระหาย ท่านเขียนว่าท่ารู้สึกเหมือนมีแมลงตัวเล็กๆกำลังกัดกินอวัยวะภายในของท่านและบอกว่าสิ่งแรกๆที่ท่านจะทำในสวรรค์คือการดื่มน้ำ แต่จะทรมานอย่างไรท่านก็ยังคงอดทน อาจหาญ และเปี่ยมไปด้วยความสุข ขณะเดียวกันก็เจริญชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสตเจ้าเสมอ

ท่านเล็งเห็นว่าความทุกข์ยากของท่านเป็นหนทางอันสอดคล้องกับพระเยซูเจ้า เป็นเช่นหนทางของการร่วมเป็นหนึ่งเดียวในความทุกข์ทรมานเพื่อการไถ่กู้ของเจ้าบ่าวของท่านเพื่อความดีของพระศาสนจักร ท่านจึงมองเห็นมันเป็นดั่งของขวัญ ท่านอธิบายกับมารดาผ่านจดหมายที่ถูกเขียนขึ้นจากเตียงว่า
ข้าพเจ้ายินดี นักบุญเปาโลกล่าว ที่ได้รับความทุกข์ทรมานในเนื้อหนังเพื่อเสริมสิ่งที่ขาดหายไปจากความทรมานของพระเยซูคริสตเจ้าเพื่อประโยชน์ของพระกายของพระศาสนจักรของพระองค์ โอ้ วิธีที่ดวงใจของคุณแม่ควรจะโลดเต้นสำหรับความสุขของพระเจ้าในยามคิดถึงการที่พระจอมฟ้าทรงถ่อมพระอง์ลงมาเลือกสรรธิดาน้อยของคุณแม่ ผลิตผลจากครรภ์ของคุณแม่เอง ให้ได้มีส่วนร่วมในพันธกิจการไถ่กู้อันยิ่งใหญ่ และการที่พระองค์ทรงรับทรมานในตัวเธอของพระองค์ จะว่าอย่างว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของพระมหาทรมานของพระองค์ก็ว่าได้ เจ้าสาวอยู่ในเจ้าบ่าว และพระองค์ก็ได้ลูก พระองค์ปรารถนาให้ลูกมีสภาพมนุษย์อย่างอื่นเพื่อให้พระองค์จะสามารถบรรเทาความทรมานเพื่อพระสิริของพระบิดาของพระองค์ เพื่อช่วยเหลือความต้องการของพระศาสนจักรของพระองค์ ซึ่งด้วยความคิดเป็นผลดีอย่างมากมายต่อลูก



นักบุญเทเรซา แห่ง ลีซีเออร์ ผู้มีชีวิตร่วมสมัยกับท่านสัญญาว่าจะทำความดีจากในสวรรค์ เช่นเดียวกันมีคนถามท่านว่าท่านจะทำเช่นนั้นไหม และคำตอบของท่านคือไม่ แต่ตรงข้ามท่านจะพุ่งไป เช่นจรวด ลึกลงไป ลงไปในก้นบึ่งของพระตรีเอกภาพ แต่ท่านไม่รู้เลยว่าท่านนี้จะได้ฝึกพันธกิจของพระศาสนจักรจากในสวรรค์ จากเตียงผู้ป่วยท่านเขียนจดหมายถึงเพื่อนคาร์แมลว่า  ดิฉันคิดว่าในสวรรค์พันธกิจของดิฉันก็คือการดึงบรรดาวิญญาณทั้งหลายผ่านการช่วยพวกเขาให้ออกจากตัวเองในการยึดพระเจ้าผ่านความเรียบง่ายที่เต็มเปี่ยมและความรักในทุกอิริยาบถ และให้พวกเขาได้อยู่ในความเงียบภายในอันจะช่วยให้พระเจ้าทรงตรัสด้วยพระองค์เองต่อพวกเขาและเปลี่ยนพวกเขาเป็นตัวพระองค์เอง

ดิฉันกำลังจะไปสู่องค์ความสว่าง ความรัก และชีวิต ท่านกล่าวลีอันมีชื่อเสียงของท่านและเป็นวลีสุดท้าย ก่อนท่านจะพุ่งพยานวิญญาณของท่านไปสู่ก้นบึ่งของพระตรีเอกภาพอย่างสงบในเวลาเช้าของวันที่ 9 พฤศจิกายน ค..1906 ด้วยอายุรวม 26 ปีจากโรคแอดดิสัน หลังจากนั้นอีก 78 ปีมรณกรรมของท่าน ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค..1984 สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงบันทึกนามท่านในสารบบบุญราศี



ในโอวาทพิธีสถาปนา สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทรงได้ยกท่านเป็น ผู้นำชีวิตซ่อนอยู่กับพระคริสตเจ้าในพระเจ้า”(โคโลสี 3:3) และ พยานอันสุกไสวต่อความสุขของการหยั่งรากและตั้งมั่นอยู่บนความเชื่อ”(เอเฟซัส 3:7) ในเวลานี้เรากล่าวได้เลยว่าท่านเป็นพยานถึงผลจากการสำแดงพระองค์ของพระเจ้าภายในวิญญาณของมนุษย์ ท่านได้ป่าวประกาศแก่พวกเราด้วยวาจาของนักบุญเปาโลถึงศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ของกระแสเรียกคริสตชน อันคือ การเจริญรอยตามพระคริสตเจ้า ไปจนถึงการถูกตรึงกางเขน การกลับคืนพระชนม์ชีพ และการถวายตัวต่อศีลมหาสนิท รวมทั้งการกลายเป็น วัดฝ่ายจิต ให้ทุกคนได้สรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาเจ้า

ท่านยังเตือนเราว่าพระตรีเอกภาพนั้นคือ บ้านของเรา พระองค์ทรงสร้างเราเพื่อให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า เจริญชีวิตในฐานะบุตรและธิดาบุญธรรมของพระองค์ และอาศัยอยู่ในความรักของพระองค์ ซึ่งยังเหลือเฟือ แม้นในครั้งต่อๆไป ต่อไปนี้จะเป็นคำพูดจากจดหมายของท่านในโอกาสต่างๆ
ดิฉันจะให้ความลับของดิฉันแก่คุณ คือ จงคิดถึงพระเจ้าผู้ทรงดำรงในคุณ พระผู้ทรงเป็นวัดของคุณ นักบุญเปาโลกล่าวถึงทางนี้ และเราก็สามารถเชื่อมันได้
จดหมายถึงเพื่อน
ขอให้เรามีชีวิตอยู่กับพระเจ้าเช่นเดียวกับเพื่อน ขอให้เราทำความเชื่อให้มีชีวิตเพื่อคงอยู่ในการสนทนากับพระองค์ผ่านทุกๆสิ่ง นั่นแหละคือวิธีของบรรดานักบุญ เราพกสวรรค์ของเราอยู่ภายในเราเอง พระเจ้าทรงมอบพระองค์เองแด่เราในความเชื่อและความล้ำลึก
มันดูเหมือนว่าดิฉันได้พบสวรรค์บนโลกใบนี้แล้ว ตั้งแต่ที่สวรรค์คือพระเจ้าและพระเจ้าก็ทรงสถิตในวิญญาณของดิฉัน วันที่ดิฉันเข้าใจมัน ทุกอย่างก็กลายเป็นชัดแจ้งแก่ดิฉัน ดิฉันต้องการบอกความลับนี้ให้คนที่ดิฉันรักเพื่อพวกเขาเอง ผ่านทุกสิ่ง ขอยึดมั่นแต่พระองค์
พระเจ้าทรงรักเธอในวันนี้
ดั่งพระองค์ทรงรักเธอเมื่อวาน
และก็จะรักเธอในวันพรุ่งนี้ต่อไป


ความทรมานของพระคริสตเจ้ายังขาดสิ่งใด ข้าพเจ้าก็เสริมให้สมบูรณ์ด้วยการทรมานในกายข้าพเจ้าเพื่อพระกายของพระองค์คือพระศาสนจักร”(โคโลสี 1:24) ดั่งคำอธิบายชีวิตสั้นๆของท่าน ชีวิตท่านคือการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ผ่านการติดตามพระคริสตเจ้าไม่ว่ายามไหน เลียนแบบพระองค์ที่จะแบกกางเขนด้วยรอยยิ้ม และเรียนรู้ที่จะสนิทกับพระองค์ยิ่งขึ้นผ่านกางเขน เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปจากความทรมานของพระองค์คือผู้ร่วมเดินทาง ท่านแสดงให้เราเห็นถึงทางการดำเนินชีวิตแบบเพื่อนตายกับพระองค์ ขณะที่นักบุญเทเรซาน้อยแสดงให้เราเห็นถึงการดำเนินชีวิตแบบเด็กน้อย ซึ่งมีความสัมพันธ์ในจุดเดียวกันคือการสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า ในทุกๆเวลาของชีวิต การเลียนแบบชีวิตของบุญราศีเอลิซาเบธคือการเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตเฉพาะพักตร์ของพระเจ้า ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ และเปลี่ยนเราเองให้กลายเป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ขอให้เราพุ่งทะยานไปหาพระเจ้าเช่นท่านเถิด


ข้าแต่ท่านบุญราศีเอลิซาเบธ แห่ง พระตรีเอกภาพ ช่วยวิงวอนเทอญ
โอกาสฉลอง 500 ปี ชาตกาลนักบุญเทเรซาแห่งอาวิลลา

ข้อมูลอ้างอิง

คือปัสกาของ 'การ์โลส มานูเอล' ตอนจบ

บุญราศีการ์โลส มานูเอล เซซิลิโอ โรดริเกซ ซันติอาโก Bl. Carlos Manuel Cecilio Rodríguez Santiago วันฉลอง: 13 กรกฎาคม และ 4 พฤษภาคม (ในปวยร์โต...