วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"คัธริน ฌาร์รีเยอ" เมอเน็ต แห่ง โมริยัค


บุญราศีคัธริน ฌาร์รีเยอ
Bl. Catherine Jarrige
ฉลองในวันที่ : 4 กรกฎาคม

ท่ามกลางบรรดาป้ายจารึกสลักนามผู้วายชนม์มากมายในป่าศักดิ์สิทธิ์ หรือ สุสานของโมริยัค จะมีหลุมหนึ่งสลักว่า กาติน็ง เมอเน็ตต์ เป็นหลุมที่พิเศษกว่าหลุมอื่นๆ กล่าวคือเหนือหลุมนี้ไม่เคยร้างลาดอกไม้นานาพันธุ์เช่นหลุมอื่นมามากกว่าร้อยห้าสิบปี นับตั้งแต่ คัธริน ฌาร์รีเยอจากชาวบ้านโมริยัคไปอย่างไม่มีวันกลับ ดอกไม้เหล่านี้มาจากไหน ใครเล่าคือกาติน็ง เมอเน็ตต์ แล้วคัธริน ฌาร์รีเยอคือใครกัน

คำตอบหาได้จากบ้านหลังหนึ่งในดูมิส(ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ชาลวิกยัค) หมู่บ้านในจังหวัดก็องตาล แคว้นโอแวร์ญ ของประเทศฝรั่งเศส บ้านที่มีสภาพชั้นแรกเป็นห้องเดียวมีมุมเตาผิงตามแบบฝรั่งเศสเรียก ก็องตู ซึ่งใช้ประกอบอาหาร ให้ความสว่างและความอบอุ่นแก่บ้าน ส่วนชั้นบนเป็นห้องใต้หลังคาซึ่งยากต่อใช้ชีวิตนัก เจ้าของบ้านคือนายปีแอร์ ฌาร์รีเยอ กับนางมารี เซอลาเยร์ สองสามีภรรยาที่ชีวิตอัตคัดนัก ดังนั้นทุกๆวันปีแอร์ซึ่งเป็นเกษตรกรต้องตื่นแต่เช้า ออกไปทำหนัก เพื่อจะหาเงินมาจุนเจือครอบครัวของเขาที่ไม่ได้มีแต่งเพียงภรรยา แต่ยังมีลูกๆอีกถึงหกคน



นี่แหละคือสภาพที่เด็กหญิงคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 4 ตุลาคม ค..1754 เด็กหญิงผู้เป็นลูกคนสุดท้องจากบรรดาลูกชายสามคนและลูกหญิงสี่คนของปีแอร์กับมารี เด็กหญิงผู้ที่เมื่อพระสงฆ์ถามว่าพวกเขาปรารถนาให้เด็กน้อยล้างบาปในชื่ออะไร ทั้งสองก็ได้ตอบว่า คัธริน ตามนามของนักบุญแคเธอรีน แห่ง ซีเอนา เด็กหญิงผู้มีชีวิตในวัยเยาว์ไม่ได้แต่งต่างไปจากเด็กชาวไร่จนๆคนหนึ่ง

ดั่งที่กล่าวไปแล้ว ในวัยเยาว์ชีวิตของท่านก็เหมือนเด็กชาวไร่คนอื่นๆ ท่านสวมเสื้อผ้าง่ายๆเก่าๆ มีชีวิตกลางแดด นิสัยซื่อๆ  องก์ความรู้ต่างๆทั้งการดำรงชีวิตและศาสนาก็ไม่ได้มาจากการเข้าเรียน ที่สมัยนั้นก็ไม่ใช่เรื่องบังคับอะไร แต่ล้วนมากจากบิดามารดาที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น กระนั้นท่านก็พออ่านออกบ้าง และแม้ครอบครัวจะอัตคัดแค่ไหน ความสุขก็ไม่ได้ตีค่าจากเงิน ท่านมีความสุขทั้งที่บ้านที่ท่านเริ่มช่วยงานตั้งแต่อายุได้เพียงเก้าปี และที่ทุ่งที่ท่านช่วยต้อนแพะต้อนแกะไปกินหญ้าพร้อมพี่และเพื่อนๆบ้านใกล้เรือนเคียง



ท่านเป็นเด็กร่าเริง หุนหันพลันแล่น และซุกซนพอควร หลายๆครั้งระหว่างเล่นกับเพื่อนๆ ท่านก็มักโกงเพื่อนด้วยกลวิธีของท่านเอง จึงไม่แปลกที่จะมีเรื่องทะเลาเบาะแว้งระหว่างท่านกับเพื่อน และก็แน่นอนท่านก็ไม่เคยยอมเป็นฝ่ายแพ้เป็นอันขาด บางทีท่านก็ลักเปิดประตูทุ่งหญ้า ไม่ก็ทำช่องตรงผนัง เพื่อให้เมื่อฝูงสัตว์ของฝ่ายตรงข้ามถูกต้อนมาเลี้ยง ก็จะมีบางตัวหลุดออกไปในบริเวณข้างเคียง ท่านเล่าการเล่นแผลงๆของท่านแบบนี้ก็ทำให้หลายๆครั้ง พวกท่านก็ต้องเสียน้ำตากันเลยทีเดียว

และสืบเนื่องจากฐานะทางการเงินของครอบครัวฌาร์รีเยอไม่ได้ดีอะไรนัก ปีแอร์และมารีก็จำต้องแก้ปัญหาด้วยการส่งลูกๆไปทำงาน ดังนั้นเมื่อท่านมีวัยได้ประมาณ 10 ปี ท่านก็ถูกส่งไปทำหน้าเป็นคนใช้ที่บ้านของเพื่อนบ้าน ซึ่งที่นั่น ท่านก็สามารถทำงานนั้นได้อย่างดี จนกลายเป็นที่นิยมชมชอบของเจ้านาย ส่วนการรับศีลมหาสนิทครั้งแรกของท่านนั้นจัดขึ้นในช่วงท่านมีอายุประมาณ 12-13 ปี และท่านก็ได้เตรียมตัวเพื่อการนี้เป็นอย่างดี กระทั้งหลังรับศีลแล้ว ชีวิตฝ่ายจิตของท่านก็ได้เติบโตขึ้น ท่านเริ่มสวดภาวนาด้วยความร้อนรนและจริงใจ


22 ธันวาคม ค..1767 ความทุกข์ครั้งใหญ่ก็มาถึงท่านและครอบครัวอีกครั้ง เมื่อมารดาของท่านมาสิ้นใจลงขณะท่านมีอายุเพียง 13 ปี สองเดือน มันนับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเด็กสาวอย่างท่าน ที่มีชีวิตค้นแค้น ซ้ำยังต้องถูกพรากจากชีวิตครอบครัวตั้งแต่อายุเพียง 10 ปีเพื่อไปทำงาน แต่กระนั้นเหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้ทำร้ายท่าน ตรงข้ามมันกลับหล่อหลอมวิญญาณของท่านให้เข้มแข็งและกล้าหาญมากขึ้น

มีสุภาษิตฝรั่งเศสบทหนึ่งกล่าวว่า นักบุญที่มีความเศร้าก็คือนักบุญที่น่าเศร้า แต่ท่านเป็นนักบุญที่มีความสุข แม้จะผ่านเรื่องร้ายๆมาแค่ไหน ท่านก็ไม่เคยหมดความร่าเริงสดใส ความขี้เล่น ท่านเรียนรู้ที่จะเต้นรำตั้งแต่เล็กๆ และก็ชอบในมันมากๆ ชนิดจัดมันเป็น กิจกรรมยามว่าง ของท่าน ท่านเล่าว่า ฉันจะไปทุกที่การล้อมกองไฟ การเต้นรำ การเต้นบาล มูเซตเตอ



แต่ที่ท่านชอบที่สุดเห็นจะเป็นการเต้นแบบที่เรียกกันว่า บูร์เรท่านเคยกล่าวในภายหลังว่า ฉันอยากให้คนไปแก้บาปบ่อยๆเท่ากับที่ฉันไปเต้นบูร์เร และด้วยกิจกรรมยามว่างนี้เองที่ทำให้เกิดปัญหาในช่วงการเปิดกระบวนการของท่าน ในช่วงปี ค..1911-..1930 เพราะความคิดที่ว่ามันไม่เหมาะที่นักบุญจะเต้นรำ พยานหลายคนต่างเน้นเรื่องนี้ซ้ำยังย้ำว่ามันไม่เหมาะสม ตัดกลับมาที่ท่าน ท่านยังคงเป็นขาแดนซ์มาเรื่อยๆกระทั้งท่านตระหนักได้ว่าพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านมารับใช้ผู้อื่น ท่านก็ละทิ้งการเต้นที่ท่านรักในทันที

ขณะอายุ 20 ปี ท่านก็ย้ายไปอยู่กับพี่ตัวเน็ตต์ที่โมริยัค และเริ่มทำงานเป็นช่างถักลูกไม้ตามที่เคยเรียนมา ก่อนสมัครเป็นสมาชิกขั้นสามของคณะโดมินิกัน ท่านจึงกลายเป็น เมอเน็ตต์หรือสตรีผู้ถวายตนต่อพระ แต่ไม่ได้เจริญชีวิตในอาราม ปกติแล้วเมอเน็ตต์จะมีพันธกิจคือการช่วยคนยากไร้ทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต และการร่วมกันสอนคำสอน ธรรมนูญของกลุ่มจะระบุเวลาสวดภาวนและเวลามามิสซา ซึ่งในโมริยัคจะมีเมอเน็ตต์อยู่สี่กลุ่มคือ กลุ่มแม่พระ กลุ่มนักบุญฟรังซิส กลุ่มนักบุญอักแนส และกลุ่มนักบุญโดมินิก



ซึ่งท่านก็เลือกเข้ากลุ่มนักบุญโดมินิก และเริ่มอุทิศตนเพื่อคนยากไร้ คนป่วย ท่านใช้เวลาตลอดชีวิตที่เหลือของท่านส่วนใหญ่ไปกับการรับบริจาคจากบรรดาผู้ดีทั้งหลายในโมริยัค ท่านจะเที่ยวเข้าไปตามบ้านต่างๆ พร้อมด้วยผ้ากันเปื้อนที่มีกระเป๋าหนังใบใหญ่สองใบ และเปิดกระเป๋าออกด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับพูดอย่างร่าเริง อาทิ มาใส่เร็วสิคะ มาใส่เร็วสิคะ ไม่ก็ สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง ฉันจะกลับมาอีกแล้ว โอ้ อย่าได้โกธรไปเลยนะคะ

และแน่นอนว่าหลายครั้งคุณหญิงคุณนายเหล่านั้น ก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก แต่ท่านก็ไม่เคยหวั่น ท่านยังคงยิ้มและยังคงอยู่ที่นั่น จนกว่าท่านจะได้รับบริจาค แม้บางครั้งเหล่าคุณหญิงเหล่านั้นจะปรี๊ดแตก ท่านก็จะตะโกนบอกเหล่าคุณหญิงนั้น เช่น โอ้คุณคะ คุณผู้หญิงผู้แสนดี คุณผู้ชายที่แสนดี พวกท่านล้วนมีทุกอย่างที่ท่านต้องการแล้วไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ขนมปังขาว ไวน์ชั้นเลิศ และไฟอันแสนอบอุ่น ท่านช่างคิดถึงบรรดาผู้ต้องสิ้นใจเพราะความหิวโหยและหนาวเย็นน้อยเสียจริง ขอโปรดอย่าทำเช่นนั้นเลย เชิญมาเถิด มาบริจาคและให้ของทานแก่ฉันเถิด และเรื่องก็จะจบด้วยการที่ท่านจะได้รับของบริจาค ดังนั้นท่านจึงมีทั้งไส้กรอก ขนมปัง ผลไม้ และเสื้อผ้าสำหรับบรรดาผู้ยากไร้และผู้ป่วยไข้ เพราะว่าแม้หัวใจที่แข็งที่สุดก็ยังต้องแพ้ต่อรอยยิ้มของกาติน็งส์ผู้นี้



ซึ่งในฐานะเพื่อนของคนยากจน ท่านก็เจริญชีวิตอยู่ในความยากจนอย่างแท้จริง แม้หลายต่อหลายครั้งท่านจะได้เสื้อผ้าหรือรองเท้าใหม่ๆมาใช้ แต่ไม่ช้าของเหล่านั้นก็จะถูกมอบแด่คนยากไร้ และไม่เพียงเครื่องใช้ อาหารเองท่านก็ยังสละให้คนยากไร้อีกด้วย

นอกนี้ระหว่างเดินบนถนนหากท่านพบเด็กกำพร้า หรือเด็กน้อยผู้ยากไร้ ป่วย มอมแมม และสั่นเทาด้วยอากาศหนาว ท่านก็จะรีบจูงมือเขากลับไปที่บ้านของท่านไม่ก็บ้านคนที่มีจิตใจเมตตาแถวๆนั้น ก่อนจะหาอะไรมาทำให้ตัวพวกเขาอุ่น เวลาเดียวกันนำอาหารมาให้ พร้อมช่วยซ่อมแซมเสื้อผ้าของพวกเขา จนถึงเวลากลับบางครั้งท่านก็อาจจะแถมขนมปัง ไม่ก็หมวกปีก หรือเสื้อ หรือหมวกแก็ป หรือรองเท้าติดมือพวกเขาไปด้วย


ส่วนสำหรับคนป่วยแล้ว ท่านก็เป็นทั้งพยาบาลและเพื่อนฝ่ายจิตของผู้ป่วย เพราะในเวลาเดียวกันกับที่ท่านสนใจเรื่องการฟื้นตัวของร่างกาย ท่านก็สนใจการฟื้นฟูของจิตใจด้วย ท่านมักแสวงหาบรรดาผู้ป่วยที่จวนจะสิ้นใจผู้ต่อต้านพระเจ้าหรือพระศาสนจักร ซึ่งเมื่อพบเหตุการณ์เช่นนี้ท่านก็จะรีบวิ่งไปยัง และหากมีใครถามว่าท่านจะไปไหนท่านก็ตอบในเวลานั้นว่า ฉันจะไปนำเพลงสวด อันเป็นการสื่อคล้ายบอกว่า ท่านนี้จะไปพูดคุยกับชายคนนั้น หญิงคนนั้น เพื่อเปิดหัวใจของพวกเขาไปสู่ความเชื่อ

แม้กิจการของท่านล้วนเป็นกิจการที่เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม แต่กำลังของท่านในการทำสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ใช่มาจากคำเยินยอพวกนี้ แต่มันมาจากคำภาวนา ที่เป็นประดุจตาน้ำพุทรงชีวิตของท่าน ท่านจะสวดไม่เพียงแต่ที่วัด หรือที่บ้าน แต่ยังสวดแม้กระทั้งบนถนน เพราะทุกๆที่ล้วนเป็นที่ประทับของพระเจ้าได้ทั้งสิ้น พยานคนหนึ่งได้เล่าถึงท่านว่า บ่อยครั้งเมื่อฉันเห็นเธอมาหาฉัน พร้อมมือข้างหนึ่งยื้นออกไปขอรับบริจาค ส่วนอีกข้างก็ซ่อนไว้ใต้ผ้ากั้นเปื้อนที่เธอเก็บสายประคำไว้


เสรีภาพจงเจริญ พวกขุนนางจงตาย ล้มระบบสงฆ์และระบบขุนนาง เสียงตะโกนดังขึ้นในถนนของโมริยัค ประดุจมีดกรีดดวงใจของท่านให้เป็นชิ้นๆ  เมื่อการปฏิวัติฝรั่งเศส(ค.ศ.1789 - ค.ศ.1799) ดำเนินมาถึงจุดที่คณะปฏิวัติได้เป็นปฏิปักษ์กับพระศาสนจักรอันมีสมเด็จพระสันตะปาปาเป็นประมุข เมื่อทางคณะปฏิวัติก็มีประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญสงฆ์อันบังคับให้พระสงฆ์ต้องปฏิญาณตนว่าจะจงรักภักดีต่อสาธารณรัฐใหม่นี้ ทำให้เกิดกลุ่มสงฆ์แตกออกเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มปฏิญาณตน กับ กลุ่มไม่ปฏิญาณตน จึงเกิดการกวาดล้างกลุ่มสงฆ์ที่ไม่ปฏิญาณตนหรือกลุ่มที่ขึ้นตรงต่อกรุงโรมขึ้นอย่างดุเดือด

ฝั่งท่านเองก็สุดจะทำเป็นนิ่งกับธรรมนูญนี้ได้ ดังนั้นท่านจึงไม่ยอมร่วมพิธีใดๆทั้งสิ้นที่ประกอบโดยพระสงฆ์กลุ่มปฏิญาณตน ท่านได้เลือกที่จะเป็นเช่นนักบุญแคทเทอรีน แห่ง ซีเอนา คือเป็นอัศวินแห่งความเชื่อ ความรักต่อพระศาสนจักรและพระสงฆ์ ท่านไม่รีรอที่จะช่วยบรรดาสงฆ์ที่หลบหนีการกวาดล้างอย่างหาญกล้า แม้จะรู้ดีว่าโทษของการทำเช่นนี้ คือ ความตาย ท่านก็ไม่กลัว


ยิ่งในช่วงระหว่างปี ค..1790 ถึง ค..1799 ท่านก็ยิ่งลงมือช่วยพระสงฆ์เหล่านั้นอย่างจริงจัง ด้วยการจัดหาที่พักและอาหารสำหรับพวกท่าน ชนิดไม่กลัวตาย โดยมีเพื่อนที่เป็นตำรวจจะคอยบอกก่อนเสมอว่าตำรวจจะไปค้นเมื่อใดเพื่อให้ท่านและพระสงฆ์ไหวตัวทัน ท่านเสี่ยงกับทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการให้ที่พักแก่พระสงฆ์ถึงสองท่านตลอดเวลาถึง 18 เดือน หรือการเดินทางไปตามทางที่ยากลำบากเพื่อนำอาหาร เสื้อผ้า และของที่จำเป็นสำหรับมิสซาไปให้ นอกนั้นในเวลากลางคืนท่านก็จะติดตามพระสงฆ์ไปตามบ้านต่างๆ ที่จะประกอบพิธีต่างๆในแถวๆแซ็งต์ ฟลูร์ และโมริยัค  

กระทั้งท่านถูกจับและถูกขังที่โรช แต่ไม่นานท่านก็ถูกปล่อยเพราะขาดหลักฐาน หลังจากนั้นท่านก็ได้เดินตามคุณพ่อฟีลีโอล(หนึ่งในคุณพ่อที่ท่านช่วยเหลือ)ที่ถูกตัดสินประการชีวิตในวันที่ 14 มีนาคม ค..1793 อย่างกล้าหาญ และได้เก็บเลือกมรณสักขีของคุณพ่อ ณ ที่เชิงนั่งร้าน เช่นเดียวกับคริสตชนยุคแรก หลังจากนั้นหนึ่งปีภายหลังถูกจับครั้งแรก ในปี ค..1794 ท่านก็ถูกจับอีกครั้งที่โอรียักและถูกนำตัวขึ้นศาล แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ท่านรอดมาได้ เพราะหลักฐานมัดตัวท่านไม่เพียงพอ แต่นับจากนั้นท่านก็ถูกดูถูกและเย้ยหยันมาตลอด



ยิ่งช่วงเดือนสิงหาคม ค..1795 ถึงช่วงเดือนมกราคม ค..1796 ยิ่งเป็นช่วงที่ท่านลุยงานอย่างถึงที่สุด เพราะช่วงนั้นท่านจัดให้มีพิธีรับศีลล้างบาปถึง 14 ครั้ง และพิธีสมรสอีก 13 ครั้ง โดยทุกครั้งท่านรับเป็นแม่ทูนหัว และพยานให้แก่บ่าวสาว

เวลาผ่านไปสิบปีเวลาแห่งราตรีกาลก็เคลื่อนผ่านฝรั่งเศส แสงเงินยวงแรกเริ่มสาดส่องทั่วปฐพี การรื้อฟื้นพระศาสนจักรจึงเริ่มขึ้น ท่านก็มิได้หยุดอยู่เฉย ตรงข้ามท่านร่วมกับพระสงฆ์สร้างโมริยัคให้เป็นแผ่นดินแห่งพระวรสาร ภายใต้ความคุ้มครองของดวงพระหฤทัยอีกครั้ง ทำให้ เมอเน็ตของผู้ยากไร้นี้ได้กลับกลายมาเป็น เมอเน็ตผู้แสนดีของบรรดาพระสงฆ์


นอกนั้นชีวิตที่เหลือ ท่านก็อุทิศให้กับบรรดาผู้ด้อยโอกาสไม่ว่าจะเป็นการไปดูแลหรือช่วยฝังศพ รวมถึงบรรดานักโทษที่ท่านมักแวะไปเยี่ยมเยือน และคนป่วยที่ท่านได้ทำงานเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลโมริยัคถึง 22 ปี จนวันเวลาล่วงผ่านมาได้ 36 ปี นับจากวันที่อรุณแสงฉาบทั่วฝรั่งเศส ภายหลังล้มป่วยเป็นเวลาถึงห้าวัน ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค..1836 ด้วยวัย 81 ปี เมอเน็ตผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็คืนวิญญาณไปหาพระเป็นเจ้าอย่างสงบ

ร่างของท่านถูกฝังในอาภรณ์ของคณะโดมินิกัน ท่ามกลางความโศกเศร้าของชาวโมริยัคทุกคน ไม่ว่ารวยหรือจนก็ต่างมาพร้อมกันที่สุสานเพื่อบอกลามารดาที่รักเป็นครั้งสุดท้าย กาลเวลาค่อยๆล่วงผ่านไป แต่ความทรงจำเกี่ยวกับท่านก็ยังคงอยู่มิได้จืดจาง ตรงข้ามกับเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปี ค..1912 นายปีแอร์ กอร์มีร์ เจ้าหน้าที่ประจำสังฆมณฑลแซ็งต์ ฟลูร์ ก็ได้เริ่มดำเนินเรื่องท่านไปยังโรม และที่สุดในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค..1996 สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงยกคาระวียะคัธรินไว้ ในสารบบบุญราศีอย่างสง่า ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร นครวาติกัน ที่ท่านภักดีไม่เปลี่ยนแปลง


ลูกเอ๋ย วันนี้ จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด(มธ. 21:28) อุปมาในข้อนี้พระเยซูเจ้าได้บอกเราว่ามีลูกสองคนที่ปฏิบัติต่างกันโดยสิ้นเชิง คือ คนโตเมื่อฟังคำสั่งที่ยกมาวันนี้ กล่าวว่าไม่ แต่ก็ไปทำในภายหลัง ส่วนคนเล็กเมื่อฟังคำสั่งนี้ กล่าวรับ แต่ก็ไม่ทำตาม ซึ่งสุดท้ายพระองค์ทรงตรัสจบอุปมานี้ว่าสองคนนี้ใครตามใจพ่อ ซึ่งหากเรามองดีๆแล้วทั้งสองต่างมีข้อบกพร่องกันทั้งสิ้น คนแรกบกพร่องที่ตอบไม่ ส่วนคนที่สองบกพร่องเพราะไม่ยอมทำทั้งๆที่รับปากไว้ ผมจึงคิดว่าในหลายๆครั้ง ที่ผ่านมาในชีวิตของเรา พระเป็นเจ้าได้ทรงเรียกเราให้ทำบางสิ่งบางอย่างตามฐานะคริสตชน และเราก็มักเลือกเป็นลูกคนที่สองไม่ก็คนที่หนึ่ง

ผมจึงอยากเสนอตัวอย่างของลูกคนที่สามที่ไม่ปรากฏในพระคัมภีร์ แต่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในการเป็นผู้ติดตามพระคริสเจ้า คือเป็นผู้ที่เมื่อบิดาเดินมาแล้วบอกว่า ลูกเอ๋ย วันนี้ จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด ก็ตอบรับและไปทำงานที่บิดาสั่งในทันที ซึ่งแบบอย่างของลูกคนที่สามที่เด่นชัดที่สุดก็ไม่ต้องมองไปไหนไกล ก็พวกท่านนักบุญต่างๆไงละ บุญราศีคัธรินก็คือหนึ่งในนั้น เพราะเมื่อท่านทราบว่าพระเจ้าทรงเรียกท่านให้ไปทำงานในสวนองุ่นของพระองค์ ท่านก็ได้ละทิ้งสิ่งที่ท่านรัก นั่นคือ การเต้นบูร์เรและออกไปทำงานพระอย่างร้อนรน ดังนั้นในวันนี้ที่ทุกคนได้อ่านเรื่องราวที่อาจจะยาวไปนิด ผมก็ขอให้เรามาเป็นลูกคนที่สามเมื่อพระเรียกเราให้ทำงานตามฐานันดรกษัตริย์ ประกาศก พระสงฆ์ที่เราได้มาในวันรับศีลล้างบาป ก็รีบปฏิบัติตามอย่างซื่อตรงด้วยกันเถอะ เพื่อที่ว่าพระนางพระองค์จะเป็นที่สรรเสริญจากประชาชาติ อัลเลลูยา อัลเลลูยา




ข้าแต่ท่านบุญราศีคัธริน ฌาร์รีเยอ ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"ลาซโล" เจ้าชายหมอของคนจน


บุญราศีลาซโล บัทเทียนย์ สตร็อตต์มอนน์
Bl. László Batthyány-Strattmann
ฉลองในวันที่ : 22 มกราคม

ลาซโล เกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค..1870 ณ หมู่บ้านดูนาคีลีตี มณฑลเยอร์-โมโชน-โซโพรน ในประเทศฮังการี ท่านเป็นลูกคนที่หกจากสิบคนของครอบครัวตระกูลขุนนางเก่าแก่ ชีวิตช่างดูมีความสุขสำหรับชีวิตใหม่นี้ แต่อนิจจามันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย เริ่มจากบิดาของท่านที่ตัดสินใจหย่ากับมารดาของท่าน และทิ้งครอบครัวไป ทำให้เหลือแต่มารดาคนเดียว ผู้แปลไม่แน่ใจว่าบิดาท่านทิ้งครอบครัวไปตอนไหน อาจก่อนหรือหลังที่ครอบครัวท่านจำต้องย้ายหนีน้ำท่วมไปยังประเทศออสเตรีย ในปี ค..1876

แต่ที่แน่กว่านั้นคือหลังจากป่วยมานานในวัย 39 ปี มารดาท่านมาทิ้งท่านในวัย 12 ปี ไปอีกคน แต่การจากไปของมารดาท่านนั้นไม่ได้สูญเปล่า เพราะเธอได้ทิ้งสิ่งสำคัญไว้ในใจของลูกชายคนนี้ของเธอ สิ่งที่จะชี้นำท่านถึงอนาคตของท่านเอง เธอได้ทิ้งจุดหมายที่บุตรน้อยของเธอจะก้าวไปนั่นก็คือ การเป็นหมอ เมื่อผมโตขึ้น ผมจะเป็นหมอและรักษาผู้ป่วยและยากไร้ฟรีๆ ท่านมักกล่าวบ่อยๆ ถึงความฝันที่จะเป็น หมอของคนจน


ในวัยเยาว์ท่านยังแสดงออกชัดถึงความศรัทธาให้เป็นที่ประจักษ์ ท่านรักการเรียนพระคัมภีร์ และประวัตินักบุญในพระศาสนจักรองค์ต่างๆ และยังไปร่วมมิสซาบ่อยๆ แต่ชีวิตของท่านก็ไม่ใช่แบบนักบุญ เมื่อจบมัธยม ตามความต้องการของบิดาที่ต้องการให้ท่านดูแลทรัพย์สินของตระกูล ท่านจึงลงเรียนในคณะเกษตรศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัย แห่ง กรุงเวียนนา และที่เดียวกันท่านก็ลงเรียนในภาควิชาเคมี ภาควิชาฟิสิกส์ ภาควิชาปรัชญา ภาควิชาวรรณกรรมและดนตรี แต่ก็ไม่จบซักอัน

ช่วงชีวิตนี้ดั่งที่เกริ่นไว้ ท่านดำเนินชีวิตเหมือนคนไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง ชนิดถึงขั้นไปได้เสียกับหญิงคนหนึ่ง จนนางตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรสาวแก่ท่าน ที่ท่านก็รับดูแล แต่ที่สุดหลังผ่านชีวิตไร้จุดหมายมา ในวัย 25 ปี ที่สุดท่านก็พบจุดหมายที่แน่นอนของท่าน นั่นก็คือความฝันในวัยเยาว์ที่จะเป็น หมอ ดังนั้นในปี ค..1896 ท่านจึงลงเรียนในภาควิชาแพทยศาสตร์ และสำเร็จการศึกษาในปี ค..1900



ซึ่งในระหว่างเรียนนั่นเอง ท่านก็ได้จูงมือโกเร็ธ มาเรีย เทเรเซีย หญิงสาวใจศรัทธาเข้าประตูวิวาห์ไปในวันที่ 10 พฤศจิกายน ค..1898 หญิงสาวผู้จะมีส่วนสำคัญตลอดชีวิตที่เหลือของท่าน ทั้งท่านและเธอ ต่างร่วมกันสร้างครอบครัวแห่งพระพร ที่ภายหลังพระเจ้าก็ทรงอวยพระพร ให้มีชีวิตใหม่กำเนิดถึงสิบสามชีวิต มันเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างใกล้ชิด อบอวลไปด้วยบรรยากาศของความรัก และความสนุกสนานอย่างไร้กังวลใด ชนิดที่ฉันไม่เคยในที่ใดเลย หนึ่งในลูกๆทั้งสิบสามคนบรรยายถึงบรรยากาศในครอบครัวของท่าน

หากถามว่าสภาพครอบครัวของท่านเป็นอย่างไร คำตอบก็คือทุกๆเช้าครอบครัวของท่านจะเริ่มด้วยการไปมิสซา หลังจากการนั้นท่านก็สอนคำสอน และกำหนดให้ลูกๆแต่ละคน ไปทำกิจการเมตตาในวันนั้นมา กระทั้งสิ้นสุดวันด้วยการสวดสายประคำในตอนเย็น ก็จะเป็นการทบทวนเรื่องที่ผ่านมาทั้งวันและกิจการเมตตาที่ได้รับมอบหมายไป เออเดิน บุตรชายหัวปลีเขียนในบันทึกว่า คุณพ่อของผมมีคุณสมบัติที่ดีทุกประการ เท่าที่เราจะจินตนาการได้ถึงบิดาในอุดมคติ  ท่านเป็นคนยุติธรรมและใจดี เป็นนักวิทยาศาสตร์และคนถ่อมตน  เป็นคนจริงจังและขี้เล่น เป็นคนกล้าหาญและเป็นนักบุญตัวจริง ในความจริงแล้วท่านไม่เป็นแต่เพียงบิดาที่เหมาะสม แต่เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์มากที่สุดของพวกเรา


ย้อนกลับมาที่หน้าที่การงานของท่าน ภายหลังจากท่านจบมาได้สองปี คือ ในปี ค..1902 ท่านก็ได้เปิดโรงพยาบาลขนาด 25 เตียงขึ้นที่เมืองกิตต์ซี ประเทศออสเตรีย โดยเริ่มจากเป็นแพทย์ทั่วไป ก่อนที่จะค่อยๆพัฒนาตนจนเป็นศัลยแพทย์ กระทั้งในปี ค..1906 ท่านจึงได้ใบรับรองการเป็นจักษุแพทย์ ทีละนิดจากปากต่อปากความเชี่ยวชาญและความใจดีของท่านก็เป็นที่กล่าวขานไปทั่ว มีคนป่วยจำนวนมากต่างเดินทางมาหาท่าน จนถึงขั้นการรถไฟฮังการีต้องจัดขบวนพยาบาลขึ้นมาเพื่อการนี้

ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แทนที่ท่านจะหนีหลบภัย ตรงกันข้ามไม่เพียงแต่ทำงานในโรงพยาบาลที่มีงานล้นมือ ท่านยังสมัครเป็นแพทย์อาสาให้เมืองและพื้นที่โดยรอบ ท่านไม่เคยบ่นแม้จะถูกปลุกมากลางดึกขณะหลับสนิท ทั้งไม่ลังเลแม้จะมีหิมะ หรือโคลนเปรอะรถ ท่านก็จะนั่งไปเพื่อช่วยทำคลอด ท่านได้เปลี่ยนโรงพยาบาลเอกชนของท่านให้กลายเป็นสถานพยาบาล พร้อมขยายมันเพื่อรองรับผู้ป่วยเป็นขนาด 120 เตียง ไม่พอท่านยังดูแลครอบครัวทหารเหล่านั้นที่มาพึ่งอีกด้วย


ท่านอยู่ที่กิตต์ซีกระทั้งปี ค..1915 เมื่อคุณลุงของท่านเสียชีวิต ท่านจึงได้รับมรดกเป็นปราสาทที่เมืองเคอรแม็งด์ ประเทศฮังการี พร้อมตำแหน่ง เจ้าชาย ดังนั้นในปี ค..1920 ท่านก็อพยพครอบครัวย้ายมาอยู่ที่ปราสาทแห่งนี้ พร้อมได้ดัดแปลงปีกขางหนึ่งของปราสาทเป็นโรงพยาบาลตาแห่งแรก บัดนี้ท่านเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นจักษุแพทย์ชั้นนำผู้มีฝีมือเป็นที่ยอมรับทั้งในและนอกประเทศ เช่นเดียวกันท่านก็เป็นที่รู้จักกันในนาม หมอของคนจน

เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะท่านรักษาให้ฟรีๆสำหรับคนยากจน แม้จะมีค่ารักษาและค่าที่พักมันก็เป็นเพียงแค่ บทข้าแต่พระบิดาสักบทให้ท่านก็พอแล้ว นอกนั้นใบสั่งยาของท่านยังแนบเงินเป็นค่าเดินทางมาให้พวกเขาเสมอ จึงไม่แปลกอะไรที่คนยากไร้ส่วนมากจะแวะเวียนมาหาท่าน


ผู้ป่วยที่มาหาฉัน ก็คือเพื่อนของฉัน แม้ไม่เคยเจอกันมาก่อนก็ตาม ท่านมักหาเวลาไปเยี่ยมผู้ป่วยทุกคน เพื่อฟังสิ่งที่พวกเขาพูดอย่างอ่อนโยนและระมัดระวัง ไม่ว่าเขาจะดีใส่ท่านหรือร้ายใส่ท่านก็ตาม ท่านตระหนักดีว่ากระแสเรียกของท่านคือการนำพระเจ้าไปยังทุกคน

ไม่เพียงฝ่ายกายเท่านั้นที่ท่านเห็นความจำเป็น ท่านยังเห็นความสำคัญฝ่ายวิญญาณของผู้ป่วย ท่านจะสวดภาวนาทุกครั้งที่ทำการผ่าตัด ท่านมักกล่าวเสมอว่าไม่ใช่ท่านที่เป็นคนผ่าตัด แต่เป็นพระเจ้าต่างหาก ท่านแค่เป็นเพียงเครื่องมือของพระองค์เท่านั้น นอกจากนี้ก่อนผู้ป่วยจะกลับบ้านท่านก็จะมอบภาพศักดิ์สิทธิ์ไม่ก็หนังสือฝ่ายจิตเล่มเล็กๆชื่อ จงลืมตาและดูเถิด” ให้เขาไป เพราะท่านมั่นใจว่าผ่านคำสอนและคำแนะนำในหนังสือนี้จะช่วยวิญญาณของผู้ป่วย


ท่านไม่ใช่คนที่ชอบอะไรที่ฉาบฉวย น้องสาวของท่านเขียนว่า เขาเกลียดการสนทนาแบบไม่มีแก่นสาร ดิฉันขอบอกเลยว่า เขาไม่เคยผู้ไม่ดีถึงคนอื่น แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้ใครพูดไม่ดีถึงคนอื่น หากมีสิ่งนี้ขึ้นในการล้อมวงคุยกันในครอบครัว ในงานเลี้ยงถ้าไม่เลี่ยงมานอกห้อง เขาก็จะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น ท่านเขียนในบันทึกว่า ในความจริงแล้วมนุษย์ทุกคนเป็นคนดี เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า…”

ชีวิตประจำวันของท่านประกอบถวายเกียรติแด่แม่พระและความรักต่อศีลมหาสนิท สำหรับท่านแล้วพระเจ้าไม่ใช่สิ่งอันเป็นความคิดนามธรรมหรือแนวคิด แต่พระองค์ทรงเป็นความเที่ยงแท้และปัจจุบัน ท่านยังให้ความสนใจต่อการสวดสายประคำ ท่านซ่อนสายประคำไว้ในมือ เพื่อไม่ใครมองเห็น แต่ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงความร้อนรนในการสวดภาวนาของท่าน ซึ่งสอนผู้คนรักและเชื่อมพวกเขาไว้กับพระเจ้า


และเมื่อนักบุญสมเด็จพระสันตะปาปาปีอุส ที่ 10 ทรงอนุญาตให้คริสตชนรับศีลมหาสนิทได้ทุกวัน ในปี ค..1905 ท่านก็ได้เขียนในบันทึกว่า ขอบคุณพระเจ้า วันนี้ในงานฉลองของแม่พระผมก็สามารถไปร่วมมิสซาได้อีกครั้ง และสามารถรับศีล หากเราไม่สามารถรับศีลได้แล้ว  มันก็ไม่ใช่วันอันแท้จริง และอีกอย่างการรับศีลยังเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวันด้วย พระสงฆ์องค์หนึ่งบันทึกว่า ศีลมหาสนิทสำหรับเจ้าชายแล้วไม่ใช่เพียงแค่คารวะกิจ แต่เป็นการสำแดงพระองคือย่างแท้จริงของพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเข้าถึงได้ ผู้ทรงทอดพระเนตรและสดับ ผู้ทรงอุดมไปด้วยความสุขความเคารพ

ความศรัทธาต่อภัสดาแม่พระ นักบุญยอแซฟคืออีกหนึ่งบุคคลที่ท่านยกเป็นองค์อุปถัมภ์เมื่อต้องพบเรื่องการเงินและปัญหาครอบครัว อาทิเช่นในระหว่างความยากลำบากของสงคราม ท่านก็สวดภาวนาวิงวอนต่อท่านนักบุญยอแซฟและได้เขียนที่ภาพเล็กๆของนักบุญยอแซฟ แต่งตั้งด้วยความรักจากหัวใจท่านว่า รัฐมนตรีการคลัง


หากเราสังเกตตราประจำตระกูลบัทเทียนย์ดีๆ จะพบว่าเป็นรูปนกกระทุมกำลังจิกเนื้อตัวเองให้ลูกกิน ดูสิมันช่างเหมือนท่านเสียนี่กระไร ท่านไม่เคยหนีปัญหา ทั้งพร้อมเสมอที่จะเสียสละเพื่อคนอื่น จิตตารมณ์คริสตชนของท่านประจักษ์ชัดในยามทดลองเหล่านี้ ดั่งคราหนึ่งเมื่อท่านต้องสูญเสียบุตรชาวหัวปลีวัย 21 ปีของท่านไปอย่างไม่มีวันกลับ จากโรคไส้ติ่งอักเสบ ทุกคนจำได้ดี ว่าทันทีที่เออเดินปิดตาลง ท่านก็กล่าวกับทุกคนขึ้นว่า บัดนี้ขอให้เราไปที่วัดน้อย และโมทนาพระคุณพระเจ้าสำหรับกิจการดี ที่เออเดินได้ทำให้เรากัน

ท่านประกอบกิจการดีมาเรื่อยๆ กระทั้งอายุล่วงได้ 60 ปี ท่านก็ล้มป่วยลงด้วยโรคเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ ท่านจึงต้องไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลลูฟ ในกรุงเวียนนา ระหว่างการพักรักษาตัวอยู่นั้นท่านก็น้อมรับความทุกข์นี้อย่างอดทนถึง 14 เดือน ท่านเขียนถึงลิลลี่ลูกสาวว่า พ่อไม่รู้หรอกว่านานแค่ไหนกันองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้แสนดีจะให้พ่อทนทรมาน พระองค์ได้ทรงประทานความยินดีมากมายแก่ชีวิตของพ่อ และตอนนี้ ในวัย 60 ปี พ่อต้องน้อมรับเวลาอันน่าลำบากนี้ด้วยกตัญญู


พี่มีความสุขเหลือเกิน พี่กำลังทนทุกข์อันโหดร้าย แต่พี่รักความทุกข์ของพี่และได้รับการปลอบประโลมด้วยความเข้าใจว่าพี่ได้รับมันเพื่อพระคริสตเจ้า ท่านกล่าวกับน้องสาว นักเขียนชีวประวัติของท่านเขียนว่า วอร์ดได้กลายเป็นสถานที่แสวงบุญที่ทุกคนที่เจ็บป่วย ทุกคนที่เสียน้ำตา มาและกลับออกไปด้วยความเชื่อที่มากขึ้น  วันหนึ่งก่อนท่านจะสิ้นใจ ท่านก็ได้บอกกับครอบครัวว่า ช่วยพาพ่อไปที่ระเบียง เพื่อพ่อจะได้มองดูโลก วิธีการอันแสนดีของพระเจ้าที

22 มกราคม ค..1931 ภายหลังจากป่วยมาสิบสี่เดือน ท่านในวัย 60 ปี ก็คืนวิญญาณไปรับบำเหน็จในสวรรค์อย่างสงบ ร่างของท่านถูกส่งกลับไปยังปราสาทและผู้ที่เคยได้รับการรักษาและคนยากไร้จำนวนมากหลั่งไหลกันมาเคารพศพของท่านเป็นครั้งสุดท้าย เสียงร้องไห้ดังระงมถึงสามวัน ทุกคนต่างกล่าวว่าท่านคือนักบุญ ไม่เว้นแม้แต่คุณพ่อเจ้าวัดที่แม้จะล้มป่วยอยู่ก็ลุกขึ้นมาเพื่อร่วมพิธีปลงศพของท่าน พร้อมเหตุผลที่ว่าเป็นโอกาศอันหาได้ยากที่จะได้ร่วมพิธีฝังนักบุญ


ร่างของท่านถูกฝัง ณ สุสานประจำตระกูลที่ใต้อารามฟรังซิสกัน ในเมืองกึสชิง หลังจากนั้นอีก 13 ปี จึงมีการเปิดกระบวนการของท่านโดยความร่วมมือกันของสองสังฆมณฑลในสองประเทศคืออัครสังฆมณฑลเวียนนา(ออสเตรีย)และสังฆมฑลซมบัทเฮย(ฮังการี) และที่สุดหลังจากมีการรื้อฟื้นกระบวนการของท่านอีกครั้งในวันที่ 23 มีนาคม ค..2003 ท่านก็ถูกบันทึกนามในสารบบบุญราศีอย่างสง่า โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2  

แต่เวลาของท่านทั้งหลายนั้นพร้อมอยู่เสมอ(ยอห์น 7:6) ความตายคือสิ่งที่เราไม่อาจจะหลีกหนีได้ไม่ว่าจะยากมีจนแค่ไหน ท้ายสุดของชีวิตของทุกคนก็ต้องล้วนมาสุดที่ประตูแห่งความตาย  ดังนั้นเมื่อเราพิจารณาดูแล้ว ให้พูดตรงๆก็คือ ความตายนั้นอยู่เพียงแค่เอื้อม ดังนั้นในเมื่อเราไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร ระหว่างก่อนจะถึงเวลานั้นเราไม่ควรสร้างสรรค์สิ่งดีงามแก่เพื่อนมนุษย์งั้นหรือ เราไม่ควรฉวยโอกาสที่ผ่านแวะเข้ามาในการเป็นภาพสะท้อนของพระคริสตเจ้าแก่เพื่อนมนุษย์ของเราหรือ เราไม่ควรใช้เวลานี้ปฏิบัติตามบทบัญญัติเอกที่พระคริสตเจ้าทรงสอนหรือ ในเมื่อเราได้ชื่อว่าเป็น คริสตชน หรือผู้ที่เชื่อและปฏิบัติตามพระคริสตเจ้า เฉกเช่นพระคริสตเจ้าที่ทรงกระทำพัธกิจตลอดสามปีสุดท้ายของพระองค์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เราไม่ควรเลียนแบบพระองค์งั้นหรือ


คุณหมอลาซโลเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนอีกท่าน ในการฉวยโอกาสที่มีในทุกๆวันในการเป็นภาพสะท้อนของพระคริสต์ตามกำลังของตน โดยใช้อาศัยอาชีพแพทย์ที่ท่านได้ร่ำเรียนมา มาเป็นเครื่องมือในการนำความรักของพระคริสต์ไปยังทุกคนที่อยู่รอบตัวท่าน ดังนั้นเวลานี้ชีวิตของคุณหมอลาซโลจึงได้เรียกร้องให้เราๆคริสตชน ให้ตระหยักว่าชีวิตของเรานั้นสั้นนะ ดังนั้นจงหยิบฉวยทุกโอกาสที่จะนำความรัก ที่จะเป็นภาพสะท้อนของพระคริสต์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราไว้ ยิ่งในปีศักดิ์สิทธิ์นี้ของพวกเรา หาโอกาสทำตามคำขวัญของปีที่ว่า จงเป็นผู้เมตตากรุณาดั่งพระบิดาของท่าน อัลเลลูยา อัลเลลูยา



ข้าแต่ท่านบุญราศีลาซโล บัทเทียนย์ สตร็อตต์มอนน์ ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง



คือปัสกาของ 'การ์โลส มานูเอล' ตอนจบ

บุญราศีการ์โลส มานูเอล เซซิลิโอ โรดริเกซ ซันติอาโก Bl. Carlos Manuel Cecilio Rodríguez Santiago วันฉลอง: 13 กรกฎาคม และ 4 พฤษภาคม (ในปวยร์โต...