วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ดาราน้อยของแม่พระ "เบียตริส "


นักบุญเบียตริส ดา ซิลวา
St.Beatriz da Silva
ฉลองในวันที่ : 17 สิงหาคม
องค์อุปถัมภ์ : นักโทษ

ดอม ฮุย โกมีส ดา ซิลวา เป็นอัศวินโปรตุกีสผู้กล้าหาญ ผู้ได้ร่วมบุกยึดเซวตาและอาศัยอยู่ ณ อาณานิคมโปตุเกสในแอฟริกา ซึ่งด้วยความกล้าหาญของเขา ทำให้เขาได้สมรสกับโดนา อิซาเบล  เด เมเนซีส ธิดาวัยแรกรุ่นของกงดี เด วีลา เฮล ทายาทผู้มากด้วยชื่อเสียงของปฐมกษัตริย์องค์แรกของประเทศโปรตุเกส พระเจ้าอาฟองโซที่ 1 แห่งโปรตุเกส ภายหลังการแต่งงานทั้งสองก็ได้ให้กำเนิดบุตรธิดารวม 11 คน เบียตริส ดา ซิลวา คือหนึ่งในนั้น

เบียตริส เกิดราวๆ ค..1424  นับถึงตอนนี้ก็เป็นระยะเวลาถึง 590 ปีแล้ว ที่เซวตา อาณานิคมโปรตุกีสในแอฟริกาเหนือ เป็นลูกคนที่แปดจากสิบเอ็ดคนของครอบครัว ท่านเติบโตขึ้นมาโดยมีมารดาผู้เปี่ยมคุณธรรมเฉพาะตัวตามแบบศรีภรรยาและแบบมารดา เป็นผู้คอยสอนคำสอนต่างๆ และจากคณะฟรานซิสกัน ผู้ได้หว่านเมล็ดแห่งความรักต่อแม่พระปฏิสนธินิรมลลงในดวงใจน้อยๆของท่านและพี่น้องของท่านทุกๆคน และภายหลังพี่ชายสองคนของท่านคือ ยวง และ อมาเดโอ จึงได้ตัดสินใจเข้าคณะฟรานซิสกัน และต่อมาอมาเดโอผู้นี้ ก็ได้มีบทบาทสำคัญในการตั้งสาขาใหม่ของคณะภารดาน้อยและการปฏิรูปที่เรียกว่า the Amadeists



ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็ได้แสดงออกถึงคุณลักษณะอันพิเศษแตกต่างไปจากเด็กทั่วไปคือ ความอ่อนโยน ความมีมโนธรรม และความศรัทธา ขอย้อนกลับมาที่ครอบครัวท่าน ครอบครัวท่านนั้นยังคงอยู่ที่เซวตา กระทั้งในปี ค..1437 เมื่อกษัตริย์แห่งโปรตุเกสในขณะนั้นได้ทรงพระกรุณาแต่งตั้งบิดาท่านให้เป็นนายกเทศมนตรีของกัมโป มายอร์ เมืองชายแดนสเปน ครอบครัวของท่านจึงย้ายมายังปราสาทใกล้ๆหมู่บ้านชนบทเก่าแก่ของที่นั่น

และนอกเหนือจากนิสัยแล้ว หน้าตาตั้งแต่ยังเล็กๆของท่านก็จัดได้ว่างามเลยทีเดียว ครั้งหนึ่งเมื่อบิดาท่านนำช่างวาดชาวอิตาลีมาวาดรูปแม่พระในวัดน้อยของปราสาท ทันทีเขาก็บอกว่าท่านนี้แหละเป็นแบบแม่พระได้ดีที่สุด ดังนั้นด้วยเชื่อฟังบิดาท่านจึงยอมเป็นแบบให้ช่างวาดผู้นั้น แต่ด้วยความเจียมตนท่านจึงมิได้ยกสายตาของท่านไปยังด้านหน้าของช่างวาด ทำให้เมื่อภาพเสร็จออกมาแล้วมันจึงเป็นที่รู้จักกันว่า ภาพพรมจารีปิดเนตร ซึ่งปัจจุบันภาพนี้ถูกแขวนอยู่ ณ วัดประจำเมืองกัมโป มายอร์ นี้เอง



ท่านยังใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ กระทั้งอายุได้ 23 ปี ใน ค..1447 ชีวิตอันเรียบง่ายของท่านก็มาถึงจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ เมื่อพระเจ้าฆวนที่ 2 แห่ง กาสติล ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอิซาเบล พระราชธิดาในพระเจ้าอาฟอนโซ ที่ 5 แห่ง โปตุเกส เจ้าหญิงอิซาเบลจึงได้ทรงเลือกพระญาติ อันคือท่านเข้ามารับหน้าที่เป็นนางสนองพระโอษฐ์ของพระนาง  ท่านจึงต้องอำลาครอบครัว ก่อนมุ่งสู่กรุงลิสบอนและติดตามเจ้าหญิงอิซาเบลไปยังเมืองโตร์เดซีลลัส ประเทศสเปน

ตามบันทึกของประวัติศาสตร์ในสมัยนั้น กล่าวว่าท่านเป็นที่รู้จักทั้งในด้านหน้าตา ความไร้เดียงสาและความรักต่อแม่พระผู้ปฏิสนธินิรมล ท่านสวยชนิดที่ว่าคนยกย่องกันเลยว่าไม่เคยเห็นสตรีใดในโปตุเกสหรือสเปนจะงามเท่าท่าน ทั้งภายในและภายนอก ท่านรู้จักวางตัวและใจดีกับทุกๆคน เว้นแต่คนที่จะพรากท่านไปจากทางอันเที่ยงตรงเส้นนี้ ฉะนั้นจึงไม่แปลกอะไรเลย ที่ท่านจะเป็นที่รักและที่ชื่นชมของคนในราชสำนักไม่ว่าจะชายหรือหญิง



วันเวลาผ่านไป แป๊บๆเดียว ท่านก็มาอยู่ที่นี่ได้สามปีแล้ว เป็นสามปีที่เต็มไปด้วยความสงบ แต่ท่ามกลางความเงียบ เงาดำแห่งความอิจฉาก็ได้ถามโถมเข้ามายังพระราชินีอิซาเบล เหตุมาจากข่าวลือหนาหูในราชสำนักที่ว่าท่านเตรียมแย่งพระเจ้าฆวนไปจากพระนาง บวกกับเหตุการณ์ที่พระเจ้าฆวนทรงเสด็จพระดำเนินไปทรงสนทนากับท่านเพื่อขอกำลังในการปกครอง เพราะพระองค์มีนิสัยเป็นคนขี้อายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้พระนางหลงเชื่อเรื่องนี้มากขึ้น จนลืมความภักดีของท่านที่พระนางชื่นชมไปสิ้น

ยิ่งนานวันเท่าไร ต้นไม้แห่งความเกียจชังก็ยิ่งหยั่งรากลึกลงไปในใจของพระนางมากขึ้นเรื่อยๆ พระนางเริ่มทำไม่ดีกับท่าน ไม่ว่าจะเป็นการด่าท่านในที่สาธารณะ ปลดท่านออกจากฐานะสตรีผู้มีเกียรติ หรือดูถูกท่านด้วยวาจาที่หยาบกระด้างและเชือดเฉือน แต่ถึงจะเจอกับการกลั่นแกล้งเช่นนี้ ท่านก็มิได้ตอบโต้อันใด ตรงข้ามท่านอดทนด้วยความนบนอบอันเป็นแบบอย่าง และยิ่งทวีความรักและความภักดีต่อพระนางยิ่งๆขึ้น แต่อนิจจา.... ยังไงๆพระราชินีก็หาได้มองเห็นไม่ ตรงข้ามพระนางกลับตัดสินใจอย่างเด็จขาดที่จะ เก็บ ท่านเสีย



ในราตรีสงัดของค่ำคืนอันแสนเหนื่อยในห้องของท่าน ทุกสิ่งเหมือนจะดำเนินไปเป็นปกติ ในห้องวันนี้น้ำตาของท่านหยาดรินรด ณ แทบเท้ารูปปั้นแม่พระ คำวิงวอนของพละกำลังจากพระล่องลอยไปดุจควันกำยาน ไม่นานหลังจากนั้นเสียงเคาะประตูอย่างแรงก็ดังขึ้น ใครหนอมาในยามวิกาลเช่นนี้ ไม่ต้องคิดนาน แขกในยามวิกาลผู้นี้คือพระราชินีอิซาเบลผู้กำลังจ้องด้วยสายตาที่บ้าคลั่ง พร้อมตะเกียงในมือ ตามข้ามา เสียงเย็นชาเอ่ยสั่ง เรียกให้ท่านตามพระนางจากห้องลงไปยังชั้นล่างสุดของปราสาท ก่อนลัดเลาะลงไปตามทางเดินสู่ห้องใต้ดิน

ยิ่งลึกความมืดก็ยิ่งคืบคลานเข้ามามากขึ้นจนเต็มไปทุกอณู ความหนาวเย็นและความชื้นเกาะกุมทุกจุดของกำแพง ยิ่งทำให้ท่านเริ่มกลัวต่อความตั้งใจของพระราชินีมากขึ้น เบื้องหน้าทั้งสองคือห้องนิรภัยเก่า ที่สูงและแคบมาก ทันทีเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น พร้อมคำพูดจากปากนั้น เจ้าหลอกข้าจนถึงยามนี้ เจ้าหมายจะพิชิตใจพระราชา จะกำจัดข้าและราชบัลลังก์แห่งกาสติลงั้นหรือ ไม่เจ้าไม่สามารถ จะเข้าดีๆหรือให้ข้าโยนเจ้าเข้า  พระนางกล่าวพลามจ้องไปยังท่าน


ทูลกระหม่อม พระองค์จะทรงฆ่าหม่อนฉันก็ทำเถิด แต่โปรทรงรู้ไว้ว่าหม่อมฉันนั้นบริสุทธิ์จากบาปที่ถูกกล่าวหา พระเจ้า ผู้ทรงพิพากษ้เปี่ยมความชอบธรรม เป็นพยานถึงการกระทำของพระองค์(อิซาเบล) โปรดอภัยความโง่เขลาของลูกพี่ลูกน้องของลูก และโปรดประทานพระหรรษทานแห่งการกลับใจชำระวิญญาณของพระองค์(อิซาเบล)ด้วย ท่านกล่าว แต่ดูเหมือนมันจะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะหยุดมือของพระนางที่ผลักท่านเข้าไปในห้องนิรภัย ก่อนปิดประตูลงกลอนไว้ด้วยใจหมายให้ท่านขาดอากาศหายใจตายไปเสีย เพื่อ คู่แข่งจะได้หมดไป

เวลานี้ทางรอดของท่านคือ “0” ความตายโดยปราศจากศีลศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆคลานเข้าใกล้ท่าน คงมีแต่ความช่วยเหลือจากสวรรค์กระมั้งที่จะช่วยให้ท่านรอดจากความอาฆาตนี้ไปได้ ท่านจึงหันไปหาพระแม่ผู้เป็นความรักของท่าน โอ้ แม่พระผู้ปฏิสนธินิรมล ช่วยลูกด้วย  ท่านสวด เวลานั้นเองความมืดในห้องก็ถูกแทนที่ด้วยความสว่างกว่าดวงอาทิตย์ สตรีงามปรากฏกายด้วยอาภรณ์สีขาว เสื้อคลุมสีฟ้า พร้อมกุมาราน้อยในอ้อมแขน ใช่แล้ว อย่างที่เราคิดนี่คือแม่พระ ลูกสาวของแม่ ลูกจะไม่ตาย แม่จะพิทักษ์ชีวิตของลูกเพื่อชีวิตนักบวชอันคือสิ่งที่ลูกและแม่ปรารถนา จงตั้งคณะตามนามการปฏิสนธินิรมล บรรดาธิดาของคณะจะแต่งกายด้วยชุดเดียวกันกับแม่และอุทิศตัวเพื่อรับใช้พระเจ้า โดยร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับแม่ พระนางตรัส ยังความปิติมายังดวงใจของท่าน จนท่านไม่รู้วันรู้คืนว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว



ความจริงเป็นระยะเวลาสามวันแล้วที่ท่านหายไป จนเป็นที่ผิดสังเกตแก่ลุงของท่านที่สนองงานในราชสำนักเช่นกัน ความกังวลสุมอยู่ในใจผู้เป็นลุงว่าท่านหายไปไหนกัน ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าพระราชินีอิซาเบลต้องรู้เรื่องนี้ดีแน่นอน  เขาจึงทูลถามพระนางจนท้ายสุดพระนางก็พาเขาไปยังห้องนิรภัยที่ขังท่านไว้ด้วยคำพูดที่ว่า ตามมาและดูเธอเอง แน่นอนว่าพระนางคิดว่าท่านตายไปแล้ว แต่ผิดคาดสิ่งที่ทั้งสองพบหาได้ใช้ร่างไร้วิญญาณของท่าน แต่กลับเป็นว่าพบท่านยังมีชีวิตอยู่ พร้อมความงามเกินบรรยายด้วยใบหน้าที่ส่องแสงราวกับเพชรยามต้องแสง

ท่านไม่ถือโทษอะไรต่อการกระทำของพระนาง เมื่อพระนางได้กลับใจ ท่านให้อภัย และได้ตัดสินใจออกจากราชสำนักไปอาศัยอยู่ในอารามซิสเตอร์คณะโดมินิกัน ชื่อ อารามซานโดมินโก เอล เรอัล ใน เมืองโตเลโด ซึ่งถือเป็นเรื่องสุดแสนจะปกติในสมัยนั้นที่บรรดาสตรีชั้นสูงจะไปพักในอารามและเจริญชีวิตตามกฎ โดยไม่ได้รับชุดคณะ ซึ่งชีวิตในอารามนี้แหละที่ท่านโหยหา ลาก่อนการเป็นเจ้าสาวฝ่ายโลก ต้อนรับสู่การเป็นเจ้าสาวสวรรค์



ด้วยสำนึกผิด พระราชินีจึงทรงจัดเตรียมข้าวของที่จำเป็นสำหรับการเดินทางอันเจ็บปวดและเสี่ยงให้แก่ท่าน ก่อนท่านจะอำลาที่นี้ไป ระหว่างทางสู่ชีวิตใหม่ท่านก็ได้พบกับภารดาฟรังซิสกันสองท่านที่ได้พูดพยากรณ์ถึงอนาคตของคณะใหม่นี้ แต่เพียงเมือท่านเชื้อเชิญทั้งสองให้ร่วมทางด้วย ฉับพลันต่อหน้าต่อหน้าตาทุกคนภารดาทั้งสองก็พลันหายไป ทำให้ท่านตระหนักได้ทันทีว่าทั้งสองคือนักบุญฟรานซิส แห่ง อัสซีซี และ นักบุญอันตน แห่ง ปาดัว

ด้วยผ้าคลุมศีรษะสีขาวที่ซ้อนเร้นความงามขอท่านจากชายหนุ่ม และถวายมันแด่พระเจ้าเพียงพระองค์เดียว ในความเงียบ ท่านก็ได้เริ่มวางรากฐานคณะใหม่ นิมิตในห้องนิรภัยนั้นไม่ได้เลือนหายไปไหน เสื้อสีขาวและเสื้อคลุมสีฟ้า คือสัญลักษณ์ของการปฏิสนธินิรมลงั้นหรือ ระหว่างรอเวลาท่านก็ได้แสดงออกถึงชีวิตสวดภาวนา ยัญบูชา และกิจเมตตาอันซ่อนเล้นอันเป็นแบบอย่างและความเรียบง่าย ท่านยังอุทิศตนเป็นพิเศษต่อทั้งศีลมหาสนิท พระมหาทรมานของพระสวามี และการปฏิสนธินิรมลของแม่พระ อันจะเป็นลักษณะของคณะใหม่นี้



วันละนิด ท่านเฝ้าอดทนรอวันนั้นวันที่คณะใหม่จะถูกตั้งขึ้น จนล่วงไปถึง 30 ปี ที่สุดในปี ค..1484 แขกคนสำคัญก็ได้เดินทางมายังอาราม บุคคลนั้นคือพระราชินีอิซาเบล ผู้เคยหมายเอาชีวิตท่านไปครั้งหนึ่ง ในวันนี้พระเสด็จพระดำเนินมาเพื่อขอคำภาวนาสำหรับสถานการณ์บ้านเมืองต่างๆในขณะนั้น และก่อนพระนางจะทรงอำลาท่านนั้น พระนางก็ได้แสดงออกถึงความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลืออะไรบางอย่าง พระนางได้เสนอปราสาทใกล้วัดซานตา เฟ ใน โตเลโด แก่ท่าน เพื่อเริ่มงานที่ท่านต้องการ ทันทีท่านก็ได้แลเห็นการเสนอนี้ในหัตถ์แห่งพระญาณสอดส่อง มันถึงเวลาแล้ว

ข่าวเรื่องคณะใหม่แพร่ไปอย่างรวดเร็วในบริเวณใกล้เคียง มีธิดามากมายต่างพากันมาสมัครจากหลากหลาย แต่มีจุดหมายเดียวกันคือเข้าคณะ พระแม่ผู้ปฏิสนธินิรมล อันมีการดำเนินชีวิตนักพรตที่เคร่งคัดในความเงียบและการทรมานร่างกาย ตามจิตตารมณ์จากคณะภารดาน้อย ไม่นานท่านก็รวมผู้สมัครได้สิบสองคนและได้ย้ายเข้าไปยังปราสาทที่พระราชินีอิซาเบลถวายในปี ค..1484 ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นของคณะนี้ ด้วยอารามหลังแรกที่มีนามว่า อารามซานตา เฟ



คณะเจริญชีวิตห้าปีแรกตามกฎของคณะซิสเตอร์เซียนอย่างเคร่งคัด เราอาจบอกได้ว่าท่านมีส่วนสำคัญในการสร้างจิตวิญญาณของบรรดาธิดาน้อยๆของท่าน ผ่านการเป็นครูและมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นต้นแบบที่ดีของบรรดาธิดาน้อยของท่านทุกๆคนที่จะเลียนแบบวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของท่าน ซิสเตอร์ทุกคนจะอาศัยอยู่ด้วยการบำเพ็ญพรตดั่งที่กล่าวไว้ข้างต้นในเขตพรตและการเพ่งพิศ ภายใต้ชุดสีขาวพร้อมกับภาพของแม่พระล้อมรอบไปด้วยรัศมี สวมมงกุฎดาราสิบสองดวง ตัดกับผ้าคลุมสีฟ้า พร้อมคาดเอวด้วยเชือกป่านแบบฟรานซิสกัน

ทุกสิ่งในตอนนี้ดูเหมือนจะครบแล้ว แต่เอาจริงมันยังขาดสิ่งหนึ่งอยู่ นั่นคือการอนุมัติพระธรรมนูญและนามของคณะใหม่จากทางสันตะสำนัก ท่านคอยเฝ้ารอกระทั้งวันที่ 30 เมษายน ค..1489 จู่ๆก็ปรากฏมีแขกแวะมายังอาราม ท่านจึงออกไปต้อนรับที่ประตู และพบกับอัศวินผู้นำข่าวอันเปี่ยมไปด้วยความน่ายินดีมาแจ้งว่า สมเด็จพระสันตะบิดรทรงอนุมัติคณะของท่านแล้ว และตอนนี้มันกำลังถูกส่งมาทางทะเล ไม่ต้องบอกว่าเกิดอะไรขึ้นต่อ เพราะท่านๆก็คงรู้กันดี ใช่ ความสุขมากมายเอ่อล้นไปทั่วทุกอณูของอาราม เช่นเดียวกับเสียงร้องเพลงและการฉลอง



แต่อัศวินนั้นคือใคร แล้วเขารู้ได้ไงว่าพระสันตะบิดรทรงอนุมัติแล้ว ในเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค..1489 สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ ที่ 8 พึ่งทรงลงพระปรมาภิไธยอนุมัติพระธรรมนูญและคณะใหม่นี้อย่างเป็นทางการตามคำร้องของท่านและของพระราชินีอิซาเบลเสร็จ เขาเป็นใครกัน ตามความเชื่อของท่านแล้วอัศวินผู้นี่คือ อัครเทวดาราฟาแอล ที่ท่านศรัทธาและสวดต่ออัครเทวดาองค์นี้เป็นประจำตั้งแต่ยังน้อยนั่นเอง

แต่ จุ๊ๆ การทดลองยังไม่จบ เพียงไม่กี่วันถัดมาก็ปรากฏข่าวว่าเรือที่นำกฤษฎีกามานั้นเกิดล่ม เป็นระยะเวลาถึงสามเดือนจึงมีการยืนยันแน่ชัดว่าเรือลำนี้หายสาบสูญไปในทะเลจริงๆ ที่จุดนั้นเรื่องนี้ทำให้ทุกข์ใจยิ่งนัก มันจะเป็นสัญญาณจากพระญาณสอดส่องหรือไม่ ท่านทำได้เพียงเฝ้าสวดภาวนาหน้าตู้ศีลเพื่อคณะของท่าน พร้อมด้วยบรรดาธิดาของท่าน ด้วยความเชื่อที่มิแปรผัน เพราะพระแม่ย่อมไม่ปล่อยให้งานของพระแม่ล่มกลางทางเป็นแน่ เพียงแค่มันเป็นความล่าช้าที่เกินคำนวณได้เฉยๆ….



ท่านอดอาหารและสวดอย่างนี้ตลอดสามวัน กระทั้งในเช้าของวันที่สี่ ขณะท่านเปิดหีบเพื่อเอารายการที่จำเป็น ท่านก็พบกับม้วนกระดาษหนึ่งวางอยู่เหนือสุด ซึ่งท่านคิดเท่าไรๆท่านก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ท่านสัมผัสได้ว่ามันมีกลิ่นของทะเลที่ค่อนข้างแรง มันทำให้ใจของท่านเริ่มหวั่น ข้าแต่พระเจ้า นี่ดูเหมือนว่าเป็นพระราชกฤษฎีกาเลย ท่านตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาและพบว่ามันมีตราประทับ ก่อนค่อยๆคลี่มันออกนิดหน่อย แล้วใช้ทักษะที่ท่านมีในการอ่านภาษาละตินไม่กี่ตัว ก็พอทำให้ท่านรู้ว่าสิ่งนี้มีคุณสมบัติเหมือนพระราชกฤษฎีกา

แต่เพื่อความชัวร์ท่านจึงส่งไปให้พระสังฆราชพิสูจน์ ใช่แล้วเมื่อตรวจดู นี่ก็คือคือพระราชกฤษฎีกาเดียวกันที่สมเด็จพระสันตะปาปาทรงอนุมัติคณะใหม่ของท่าน ลงวันที่ 30 เมษายน ค..1489 จริงๆ แต่แล้วใครละ เป็นคนเอามันมาจากเรือที่จม เช่นเดิมท่านเชื่อว่าคืออัครเทวาราฟาแอลนั่นเอง เอวังเมื่อเหตุการณ์เป็นดังนั้นแล้ว ในวันที่ 2 สิงหาคม ค..1490 ชาวเมืองและบรรดาซิสเตอร์ก็ได้จัดขบวนแห่ พระราชกฤษฎีกาอัศจรรย์ จากอาสนวิหารมายังอารามอย่างยิ่งใหญ่ พิธีมิสซาในวันนั้นประกอบโดยพระสังฆราชพระคุณเจ้าการ์เซีย และวันเดียวกันคณะฟรังซิสกันประกาศว่าอีกสิบห้าวันจะมีพิธีรับชุดคณะของพวกท่าน



ห้าวันต่อมาขณะเตรียมตัวสำหรับพิธีที่เฝ้ารอ ยามท่านสวดภาวนา พระมารดาพระเจ้าก็ได้ประจักษ์มาหาท่านเป็นครั้งสุดท้าย พระนางทรงตรัสกับท่านว่า ลูกสาวของแม่ มันไม่ได้เป็นความประสงค์ของพระบุตรของแม่และแม่เองที่ลูกสนุกบนโลกอันเป็นสิ่งที่ลูกปรารถนา อีกสิบวันนับจากนี้ลูกจะอยู่กับแม่บนสวรรค์ หลังจากนั้นท่านก็เริ่มล้มป่วยลงและเผยนิมิตของท่านแดคุณพ่อวิญญาณณารักษ์ ท่านมิได้กลัวอันใดตลอดวันที่เหลือ ท่านเจริญชีวิตด้วยความสงบและความวางใจในพระผู้ที่ท่านรักที่สุด

กระทั้งในวันที่  16 สิงหาคม ค..1490 ท่านก็ได้รับชุดคณะสมความปรารถนา ในเวลาที่ผ้าคลุมศีรษะสีขาวที่คลุมใบหน้าของท่านถูกเผยขึ้น หลังจากมันถูกปิดมานับตั้งแต่ท่านออกจากราชสำนัก เพื่อรับการเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องทำให้ทุกคนถึงกับประหลาดใจด้วยใบหน้าของท่านนั้นส่องสว่างและงดงามปราศจากเค้าแห่งความชรา ที่หน้าผากของท่านนั้นก็ปรากฏดาราอันงดงามส่องแสงสุกสกาว กระทั้งเมื่อลมหายใจสุดท้ายขาดลงไป ดารานั้นจึงอันตรธานหายไป



ในวัย 66 ปี ท่านได้จากไปในชุดคณะที่เฝ้ารอมานาน ท่ามกลางความศักดิ์สิทธิ์ ร่างของท่านได้รับการพักผ่อนในวัดของคณะในโตเลโด  ส่งกลิ่นหอมไปทั่วเป็นอัศจรรย์นับครั้งไม่ถ้วน คณะของท่านแพร่ขยายไปทุกที่ทั้งในยุโรป เอเชีย แอฟริกาและอเมริกา ตามแบบฉบับฟรังซิสกันขั้น 3 หลังจากนั้นในวันที่  28 กรกฎาคม ค..1926 สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 11 ก็ได้ทรงสถาปนาท่านขึ้นเป็นบุญราศี และที่สุดแห่งการรอคอยในวันที่ 3 ตุลาคม ค..1976 พระศาสนจักรก็มีความยินดีที่จะบันทึกนามท่านไว้ในสารบบนักบุญ โดยการอนุมัติของสมเด็จพระสันตะปาปาเปาโล ที่ 6

สำหรับประเทศไทยยังไม่มีอารามของคณะนี้ในประเทศโซนทวีปเอเชีย คณะมีอารามที่ประเทศญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์และเกาหลีใต้ แต่เป็นแขนงอีกอันมิใช้แบบดั้งเดิม เป็นสายงานธรรมทูต ซึ่งตัวผู้เขียนเองแล้วก็แอบหวังลึกๆให้คณะมาตั้งอารามสายนักพรตในไทย (แต่เอ๊ะแค่นี้กระแสเรียกก็แทบจะขาดอยู่แล้วนะ) แต่สุดท้ายผู้เขียนก็ขอมอบทุกสิ่งไว้แด่แม่พระเถิด ถ้า แม่ประสงค์คณะของแม่ก็ยังไทยเอง ขอแนะนำคณะคร่าวๆคณะนี้มีแก่นสำคัญคือการสวดภาวนาและการทำงานรับใช้พี่น้อง



ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มกิจการดีนี้ในท่านแล้ว จะทรงกระทำต่อไปให้สำเร็จบริบูรณ์จนถึงวันของพระคริสตเยซู (ฟิลิปปี 1:6) เช่นเดียวกันในการตั้งคณะใหม่นี้ท่านได้มอบความวางใจในพระอย่างสูงเลยทีเดียว ดูได้จากตอนที่พระราชกฤษฎีกาหายไป แทนที่ท่านจะวิ่งเต้นหาวิธีเอามันคืนมาด้วยวิธีต่างๆท่านกลับมอบความวางใจในพระด้วยการสวดภาวนาและอดอาหาร ด้วยความเชื่อว่ายังไงๆแม่พระก็ต้องดูแลงานนี้เพราะคืองานของพระ นี่เป็นหนึ่งในคุณธรรมที่เราควรจะหยิบยกขึ้นมาเลียนแบบจากชีวิตของท่าน ไม่ใช่เพียงเท่านั้นชีวิตทั้งหมดของท่านคือการวางใจจริงๆ เราต้องพยามเลียนแบบความวางใจนี้ให้ได้ แม้ซักนิดก็ยังดี ให้เราเพิ่มความวางใจ วางใจ วางใจ ให้มากๆ วางใจในพระเมตตา วางใจพระญาณสอดส่อง และวางใจในพระองค์ ผู้เดียว


ข้าแต่แม่พระผู้ปฏิสนธินิรมลและท่านนักบุญเบียตริส ดา ซิลวา ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง



คือปัสกาของ 'การ์โลส มานูเอล' ตอนจบ

บุญราศีการ์โลส มานูเอล เซซิลิโอ โรดริเกซ ซันติอาโก Bl. Carlos Manuel Cecilio Rodríguez Santiago วันฉลอง: 13 กรกฎาคม และ 4 พฤษภาคม (ในปวยร์โต...