วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

ฮุสโท กัลเลโก มาร์ติเนซ ผู้พลิกผืนนาเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์




20 กม. จากมาดริด เป็นที่ตั้งของเมืองเล็กๆนาม เมโฮราดา เดล กัมโป” (Mejorada del Campo)  ที่นั่นเด็กชาย ฮุสโท กัลเลโก มาร์ติเนซ (Justo Gallego Martínez) ได้ลืมตาดูโลกใบกว้างนี้เป็นครั้งแรกในวันที่ 20 กันยายน ค.ศ.1925  ในครอบครัวที่มารดาเคร่งศาสนาเขาได้เข้ารับการศึกษาแต่ก็ต้องจบลงเพราะสงครามกลางเมืองของสเปน



ตั้งแต่วัยเยาว์เขาก็มีความปรารถนาที่จะอุทิศตัวของเขาเพื่อองค์พระเจ้า ดังนั้นด้วยเหตุนี้ด้วยวัย 27 ปี เขาจึงตัดสินใจเข้าอารามซานตา มารีอา เด ลา ฮวนตา (the monastery of Santa Maria de la Huerta) ของคณะทราปปิสทิเนส (Trappistines)  ในโซเรีย (Soria)



หลังจากไม่นานเขาก็เริ่มล้มป่วยลงด้วยโรควัณโรค และในที่สุดในปี ค.ศ.1961 เขาจึงถูกสั่งให้ออกจากคณะ เนื่องจากสาเหตุที่ว่าท่านอาจแพร่เชื่อวัณโรคไปทั้งอาราม ดังนั้นเขาจึงจำต้องกลับมาบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน ซึ่งในความปราชัยในครั้งก็นี้ยังให้ความพยายามที่จะมีชีวิตฝ่ายจิตครั้งแรกของเขา


 ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเริ่มสร้างสักการสถานบนผืนดินที่เป็นมรดกจากบิดาเขา และตามคำมั่นสัญญาต่อพระนางมารีย์แห่งเสาหินว่าถ้าเขาหายขาดจากวัณโรคแล้ว เขาจะสร้างสักการสถานเพื่อเป็นเกียรติแด่พระนาง  ดังนั้นในวันฉลองแม่พะแห่งเสาหิน ในปี ค.ศ.1961 เขาจึงเริ่มก่อสร้างสักการสถานที่ได้แรงบันดาลใจมาจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ทำเนียบขาว ปราสาทและโบสถ์ต่างๆในสเปน



โดยไม่มีแปลนอย่างหรือคำอนุมัติเป็นทางการ เพราะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นแบบ ขนาด ล้วนอยู่ในสมองของเขาหมดแล้ว จากสิ่งที่ทุกคนเรียกว่าขยะไม่ว่าจะเป็นกระป๋องสี  เหล็กเอย ก็มารวมกับอิฐบริจาคจากโรงอิฐใกล้ๆจนค่อยๆกลายเป็นอาคาร




ทุกๆวันนี้เวลาประมาณ 6.00 น. เขาก็จะเริ่มงานของเขาและทำไปเรื่อยๆจนสิ้นวัน ยกเว้นในวันอาทิตย์ที่เขาจะไปร่วมพิธีมิสซาที่วัด  หลังจากหลายสิบปีจากผืนดินที่ว่างเปล่า ก็ก่อร่างสร้างตัวมาเป็นสักการสถานที่ยิ่งใหญ่ที่มีขนาด20×50 เมตร และสูง 40 เมตร ทั้งหมดทั้งมวลล้วนจากน้ำพักน้ำแรงของเขา และเพื่อนร่วมงานของเขาอาทิ อันเจล โลเปซ ซานเชซ (Angel Lopez Sanchez) หรือกลุ่มอาสาสมัครในบางครั้ง  นอกจากนั้นเขาก็มีผู้แนะนำที่ดีคือองค์พระเยซูเจ้า ที่คอยแนะนำเขาตลอดงานในครั้งนี้



และถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความรู้เรื่องก่อสร้างอะไรเลย เขาก็สามารถที่จะสร้างสิ่งที่คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ขึ้นมาได้ จากชีวิตของเขาเราคงเห็นว่าถ้าเรากล้าที่จะฝัน กล้าที่จะทำสิ่งที่เราฝันไว้ก็จะสำเร็จ เฉกเช่นเขาที่กล้าที่จะเปลี่ยนผืนนาทั่วไปเป็นผืนดินอันศักดื์สิทธิ์ของพระเจ้า อันเป็นนายของเขา โดยไม่แคร์ว่ามันจะดีไม่ดี และเรื่องเขายังสอนเราอีกว่าที่ปรึกษาที่ดีสุดคือองค์เจ้าเพราะฉะนั้นวางตัวเราเบาๆ ไว้ในพระหัตถ์อันทรงพระกรุณาธิคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วทุกสิ่งจะเป็นไป



ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำในพระนามของพระเจ้า ช่วยให้เราได้ชื่นชมภาพสะท้อนและพระสิริรุ่งโรจน์อันเป็นนิจนิรันดร์ของพระองค์
(Everything that is made in the name of God helps us to admire his reflected and eternal glory.”)
ฮุสโท กัลเลโก มาร์ติเนซ


"พระ้เยซูเจ้าข้า ลูกวางใจในพระองค์"


อ้างอิง
http://www.cathedraljusto.com/thestory.html
http://de.wikipedia.org/wiki/Justo_Gallego_Mart%C3%ADnez
http://en.wikipedia.org/wiki/Mejorada_del_Campo

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556

คุณแม่ธีโอดอร์ เกแรง วิหคน้อยผู้พลัดถิ่น



นักบุญธีโอดอร์ เกแรง
St. Theodore Guerin
ฉลองในวันที่ : 3 ตุลาคม
องค์อุปถัมภ์ : สัตบุรุษในสังฆมณฑลลาฟาแยตในรัฐอินดีแอนา , อัศวินแห่งโคลัมบัสอินดิแอนาโพลิซของอินดีแอนา

ในระหว่างการเบียดเบียนคริสตชนที่ดำเนินไปในประเทศฝรั่งเศสโรงเรียนและโบสถ์จำนวนมากมายถูกสั่งปิดลง นักบวชหลากหลายคณะไม่ว่าจะหญิงหรือชายต่างถูกเนรเทศหรือประหารชีวิตมากมายนับร้อยคน ภายใต้การปกครองของนโปเลียน ขณะที่การปฏิวัติดำเนินไปในวันที่ 2 ตุลาคม ค..1798 ในครอบครัวของเจ้าหน้าที่ในกองทัพเรือฝรั่งเศสอันเกรียงไกรของนโปเลียนนาม ‘ลอเรนต์ เกแรง’  กับ ‘อิสเบล เกแรง’  ทารกเพศหญิงตัวน้อยๆ บุตรคนที่สองจากสี่คนของครอบครัวเกแรง ได้ลืมตาดูโลกใบกว้างนี้เป็นครั้งแรก ในหมู่บ้านของอีตาเบลส เซอ เมร์ แคว้นเบรอตาญหรือบริตทานีที่รู้จักกันดี ในประเทศฝรั่งเศส


หนูน้อยได้รับนามว่า ‘อานน์ เทเรซ เกแรง และกลายมาเป็นหนึ่งในเด็กสองคนที่รอดจากเด็กสี่คนของครอบครัว ท่านได้รับการศึกษาจากมารดาของท่านที่บ้านที่จะคอยสอนท่านในเรื่องพระคัมภีร์ ศาสนา และเมื่อท่านมีอายุได้ 10  ปีท่านก็ได้รับอนุญาตให้รับศีลมหาสนิทเป็นครั้งแรก ซึ่งในวันนั้นท่านได้เปิดเผยแก่พระสงฆ์ในเขตวัดว่าท่านจะเข้าอารามและจะกลายเป็นภคินี นอกจากนั้นท่านยังเป็นเด็กที่มักจะแสวงหาความสันโดษตามโขดหินใกล้ๆบ้านของท่าน  เพื่อรำพึงและสวดภาวนาเสมอ



แต่แล้วเมื่อท่านโตเป็นสาววัย 15 ปี มรสุมชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ก็ถาโถมเข้ามาที่บ้านของตระกูลเกแรง เมื่อบิดาอันเป็นเสาหลักของครอบครัวถูกฆาตกรรมโดยโจรขณะที่เดินทางกลับมาที่บ้านเพื่อเยี่ยมครอบครัว ความสูญเสียครั้งนี้ทำให้มารดาของท่านต้องตกอยู่สภาวะซึมเศร้านานจนไม่เป็นอันทำงานทำการใด ดังนั้นตลอดหลายปีต่อมาท่านจึงกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัวที่จะดูแลมารดา น้อง เช่นเดียวกับบ้านและสวน


แต่ละปีแห่งความยากลำบากความเสียสละผ่านไปอย่างช้าๆ ท่านก็ยังคงมีความเชื่อที่มั่นคงในพระเจ้าอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆเลย ท่านรู้เสมอว่าภายในส่วนลึกๆของจิตวิญญาณของท่าน ว่าพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างท่านเสมอเป็นดั่งสหายสนิท จนเมื่อท่านอายุได้ประมาณ 20 ปี ท่านก็ได้ตัดสินใจขอมารดาของท่านเข้าอาราม แต่มารดาของท่านปฏิเสธเพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับความสูญเสียอีกครั้งหนึ่ง ท่านจึงได้แต่รอ จนอายุได้ 25 ปี มารดาของท่านก็อนุญาตให้ท่านเข้าอารามได้ดั่งใจหวัง


ดังนั้นด้วยวัย 25 ปี ท่านจึงเดินเข้าคณะภคิณีแห่งพระญาญสอดส่อง ซึ่งเป็นคณะเล็กๆของสตรีที่อุทิศตัวเพื่อการศึกษาของเด็กและการดูแลผู้ป่วยที่ยากไร้ ในวันที่ 18  สิงหาคม ค..1823 และได้รับนามใหม่ว่า ‘ภคินีธีโอดอร์


ภาหลังจากการปฏิญาณตนตลอดชีวิตในวันที่ 5 กันยายน ค.ศ.1831 ท่านก็ถูกส่งตัวไปในภาคกลางของฝรั่งเศส ที่นั่นท่านเริ่มเป็นครูสอนหนังสือและคอยไปเยี่ยมเยือนผู้ป่วยและผู้ยากไร้  ในเวลาเดียวกันที่งานของท่านดำเนินไป พระสังฆราชประจำสังฆมณฑลวินเซนเนสก็ได้ส่งคำเชื้อเชิญมาให้คณะของท่าน ส่งมิชชันนารีกลุ่มเล็กๆของคณะ ไปสหรัฐอเมริกาเพื่อตั้งบ้านแม่ โรงเรียนและเพื่อแบ่งปันความรักของพระเจ้าที่ได้รับการบุกเบิกไว้แล้วในสังฆมณฑลวินเซนเนสในรัฐอินดีแอนา ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือกตอนนี้นคือท่านสำหรับงานการเป็นผู้นำงานแพร่ธรรมในครั้งนี้ 



เมื่อท่านทราบเรื่องแล้ว ท่านคิดว่าไม่คู่ควรกับมัน ท่านไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าท่านจะเป็นคนที่เหมาะสมกับภารกิจนี้เลย เพราะเนื่องจากสุขภาพของท่านนั้นเปราะบางจากการที่ท่านเคยล้มป่วยหนักในขณะที่ท่านเป็นครูอยู่และได้รับการรักษาจนหาย แต่กระนั้นการล้มป่วยในครั้งนั้นก็ทิ้งความเสียหายไว้แก่ระบบย่อยอาหารของท่านจนทำให้ตลอดชีวิตที่เหลือของท่าน ท่านต้องกินแต่อาหารที่อ่อนและเหลวเพียงเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามหลังจากการสวดภาวนาและขอคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ในคณะ ท่านก็ตัดสินใจที่จะยอมรับภารกิจนี้จากการที่ท่านกลัวว่าหากท่านไม่ไปแล้ว คงจะไม่มีใครกล้าบุป่าฝ่าความยากลำบากไปเพื่อแบ่งปันความรักขององค์พระเจ้าเป็นแน่แท้

และด้วยความปรารถนาที่แน่วแน่ของท่านที่จะรับใช้พระเจ้าและภคินีทั้งหลาย ท่านและภคินีอีกห้าคนจึงพร้อมใจกันหอบหิ้วสัมภาระที่จำเป็นกระโดดขึ้นเรือที่มุ่งตรงไปยังอเมริกาในเดือนกรกฎาคม ค..1840 หลังจากหลายเดือนบนเรือเดินสมุทร ท่านและสหายภคินีก็กระโดดจากเรือใหญ่ไปลงเรือกลไฟและรถม้าตามลำดับเพื่อไปบุกป่าฝ่าดงอินเดียนแดง จนที่สุดท่านและสหายที่หอบหิ้วความรักของพระเจ้าก็มาถึงที่ตั้งของภารกิจที่เซนต์แมรี ออฟ เอดะ วูดซ์ ในตอนเย็นของวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ.1840 และในทันทีท่านและคณะก็รีบเดินทางไปตามถนนโคลนที่แสนแคบเพื่อไปที่กระท่อมไม้ซุงขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เป็นโบสถ์ เพื่อโมทนาขอพระคุณพระเจ้าสำหรับการเดินทางที่ปลอดภัย และเพื่อขอพระหรรษทานในการทำงานแพร่ธรรมในครั้งนี้




ในช่วงแรกๆที่ท่านมาอยู่นั้น ในฤดูใบไม้ร่วงปี ค..1840 ภารกิจที่เซนต์แมรี ออฟ เอดะ วูดซ์ยังมีเพียงแค่โบสถ์ไม้ซุงหลังเล็กๆที่ทำหน้าที่เป็นทั้งวัดและที่พักสงฆ์กับบ้านไร้หลังเล็กๆที่เป็นอาศัยของท่านกับสหายกับบรรดาผู้ฝึกหัด  ซึ่งบ้านหลังเล็กๆนี้เมื่อต้องพบกับฤดูหนาวมันก็ไม่สามารถที่จะกันลมเหนือที่พัดมาอย่างรุนแรง ในบางครั้งมันก็ออกลีลาโยกย้ายเล็กน้อยไปตามแรงลม ดังนั้นภคินีที่อาศัยอยู่ในบ้านนี้บางครั้งถึงขั้นล้มป่วยด้วยโรคหวัดและอาจมีบางครั้งที่ขาดแคลนอาหารอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงแม้ท่านจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคเช่นนี้ ท่านก็ได้รับการปลอบประโลมเสมอจากศีลศักดิ์สิทธิ์ในบ้านแม่อันต่ำต้อยเสมอ ท่านเคยกล่าวว่า พร้อมกับองค์พระเยซูเจ้า เราจะต้องกลัวอะไร” 


ตลอดปีผ่านมาแห่งความโศกเศร้า ท่านยังคงเชื่อมั่นและวางตัวของท่านไว้ในพระองค์เสมอ ท่านคอยกระตุ้นให้บรรดาพี่น้องของท่านที่พลัดถิ่นมาว่า “วางตัวเองเบาๆ ไว้ในพระหัตถ์อันทรงพระกรุณาธิคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด”  ในจดหมายของท่านถึงฝรั่งเศสท่านเขียนไว้ว่า แต่ความหวังของเราอยู่ในพระญาณสอดส่องขององค์พระเจ้า ซึ่งได้คุ้มกันเราจนถึงปัจจุบันและซึ่งจะช่วยให้ความต้องการในอนาคตของเรา”  และหลังจากนั้นเมื่อมาถึงที่นี่ ท่านก็ก่อตั้งคณะคณะภคิณีแห่งพระญาญสอดส่องแห่งเซนต์ แมรี่ ออฟ เดอะ วูดขึ้นอีกด้วย



หลังจากผ่านพ้นปีแรกของการทดลองมากมายที่ท่านต้องเผชิญทั้งอคติกับคาทอลิกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อต้านภคินี ความไม่ลงรอยของบรรดานักบวชหญิงในรัฐ ไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ทำลายผลผลิตทางการเกษตรซึ่งทำให้อารามต้องอยูาสภาพอยู่ยากไร้ หิวโหย และโรคภัยที่เข้ามาคุกคาม แต่ตลอดปีนั้นท่านก็ยังคงสโลแกนที่ว่ามันคือน้ำพระทัยของพระเจ้าเช่นที่ท่านกล่าวกับเพื่อนของท่านที่ต้องพบกับความยากลำบากว่า ในทุกที่และทุกแห่งหนอาจเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ทรงทำ” 

สิ่งต่างๆก็ไม่อาจขัดขวางท่านที่จะก่อตั้งโรงเรียนเด็กหญิงแห่งแรกของคณะในเดือนกรกฎาคม ค..1841 โรงเรียนใหม่แห่งนี้ได้รับชื่อว่าโรงเรียนเซนต์แมรีวิทยาลัย ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นวิทยาลัยเซนต์แมรีออฟเดอะวูดซ์ และหลังจากนั้นในปี ค..1842 ท่านก็ได้ก่อตั้งโรงเรียนในแจสเปอร์ อินดิแอนาและที่เซนต์ฟรานซิสวิล อิลลินอยส์  และอีกมากมายทั้งในแมดิสัน มอนโกเมรี โคลัมบัส เป็นต้น  นอกจากนี้ท่านยังได้เปิดสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสำหรับเด็กผู้หญิงและอีกหนึ่งแห่งสำหรับเด็กผู้ชายในวินเซนเนส และยังเปิดร้านขายยาที่ให้บริการฟรีแด่ผู้ยากไร้ในวินเซนเนสและเซนต์แมรี ออฟ เอดะ วูดซ์  ไม่พอท่านยังเป็นผู้คุมการก่อสร้างบ้านแม่หลังใหม่ของคณะเอง


ด้วยเหตุนี้ท่านจึงกลายเป็นที่เคารพนับถือจากหลายๆคน และทุกคนที่ได้รู้จักท่านต่างอธิบายความศักดิ์สิทธิ์ของท่านด้วยคำง่ายๆว่า นักบุญ  นอกจากนั้นท่านยังมีความสามารถดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของทุกคน และช่วยให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถบรรลุเป้าหมายมากกว่าที่พวกเขาจะคิดถึง และในทุกครั้งที่คณะของท่านมีการเติบโตหรือประสบความสำเร็จท่านก็จะบันทึกมันถึงพระเจ้า แม่พระ ผู้ซึ่งท่านถวายภารกิจของท่านไว้ในการอุปถัมภ์ของพระนาง 

ส่วนความรักของท่านนั้นก็เป็นหนึ่งในการปฏิบัติที่ดีของท่าน ท่านรักในพระเจ้า ประชากรของพระองค์ คณะภคินีแห่งพระกรุณาธิคุณของพระเจ้า พระศาสนาจักรศึกดิ์สิทธิ์และผู้ที่ท่านให้บริการ ท่านไม่เคยผลักไสใครจากพันธกิจหรือคำภาวนาของท่านเพราะท่านเลือกที่จะอุทิศชีวิตน้อยๆของท่านเพื่อช่วยให้หลายๆคนได้รู้จักพระเจ้าและมีชีวิตที่ดีขึ้น และถึงแม้ใครๆจะมองท่านเป็นคนที่มีความสามารถ ท่านก็ไม่เคยคิดว่าท่านมีความสามารถที่จะทำสิ่งต่างๆได้หากท่านขาดพระเจ้าเพราะทุกสิ่งเป็นไปได้กับพระองค์ และท่ามกลามการประหัตถ์ประหารท่านยังยืนหยัดในฐานะคุณแม่ธีโอดอร์สตรีที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า


บันทึกย่อมมีวันจบซักวันใดวันหนึ่ง บันทึกของวิหคน้อยเช่นกัน หลังจากสิบหกปีที่อเมริกา ด้วยวัย 57 ปี ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค..1856  บันทึกการผจญภัยของวิหคน้อยผู้พลัดถิ่นก็ปิดลงพร้อมๆกับการเริ่มต้นบันทึกหน้าใหม่ที่จะสารต่องานของวิหคน้อยต่อไป


ร่างของท่านได้พักผ่อนยังสุสานของอารามยาวนานถึง 51 ปีก่อนจะมีการขุดร่างของท่านขึ้นมาก็ต้องเป็นอัศจรรย์เมื่อสมองของท่านยังคงสมบูรณ์หลังจากหลายสิบปีในหลุม อัศจรรย์ในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนในกระบวนการของแต่งตั้งท่านเป็นบุญราศีและนักบุญตามลำดับ ที่เริ่มดำเนินขึ้นในปี ค..1909 หลังจากการรักษาอย่างน่ามหัศจรรย์โดยอาศัยคำวิงวอนของท่าน แก่ภคินีแมรี ธีโอดอเซีย มัก สำหรับการยับยั้งความเสียหายของเส้นประสาทและการรักษาโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งในช่องท้องของเธอ ในปี ..1908 เหตุการณ์เกิดหลังจากที่เธอไปภาวนาต่อหน้าหลุมศพของท่าน ก่อนในเช้าวันต่อมาเธอจึงได้รับการรักษาอย่างอัศจรรย์


และหลังจากทำการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ในวันที่ 25 ตุลาคม ค..1998 สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์นปอลที่ 2 ก็ทรงสถานาให้ท่านเป็นบุญราศี  ณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ นครวาติกัน และแปดปีถัดมาหลังจากเป็นบุญราศี ท่านก็ได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญ โดย สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ในวันที่ ถ ตุลาคม ค..2006



ข้าแต่ท่านนักบุญธีโอดอร์ เกอแรง ช่วยวิงวอนเทอญ



ข้อมูลอ้างอิง
็ได้HHHHgggdppppllHDDHDHDHDHDHhhhhhhhhhhhhhhhhhhhhhฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉฉ

คือปัสกาของ 'การ์โลส มานูเอล' ตอนจบ

บุญราศีการ์โลส มานูเอล เซซิลิโอ โรดริเกซ ซันติอาโก Bl. Carlos Manuel Cecilio Rodríguez Santiago วันฉลอง: 13 กรกฎาคม และ 4 พฤษภาคม (ในปวยร์โต...