แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ก่อตั้งคณะนักบวช แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ก่อตั้งคณะนักบวช แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2563

'ฌาน แห่ง วาลัวส์' ราชธิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 4 (จบบริบูรณ์)

นักบุญฌาน แห่ง วาลัวส์
St. Jeanne de Valois
ฉลองวันที่: 4 กุมภาพันธ์

หลังจากนั้นอีกหลายเดือน ท่านก็มิได้ปริปากพูดเรื่องนี้กับคุณพ่อกาเบรียลอีก แต่ภายในของท่านนี่สิ แทนที่จะลืม ๆ เรื่องนี้ไป ตรงกันข้ามนับวันท่านกับรู้สึกว่าแม่พระทรงเรียกร้องให้ท่านปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระนางมากขึ้นเรื่อย ๆ จนท่านมิอาจกลั้นไว้ภายในได้ และที่สุดด้วยความโทมนัสแสนสาหัสที่ไม่อาจจะทำตามพระประสงค์ของแม่พระได้ ท่านจึงล้มป่วยลง และเมื่อสัมผัสได้ถึงความตายอยู่ไม่ไกลตัวแล้ว ท่านก็ตัดสินใจเรียกคุณพ่อกาเบรียลมาพบ เพื่อบอกกับท่านว่า “คุณพ่อคะ ลูกคิดว่าลูกกำลังจะตาย และก็เป็นคุณพ่อเองที่เป็นต้นเหตุแห่งความตายของลูก” ฝั่งคุณพ่อเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็มีอันตื่นตระหนกและพยายามจะยกเหตุผลต่าง ๆ นานามาอธิบายให้ท่านฟัง จนที่สุดแล้วท่านจึงเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวัยเยาว์ให้คุณพ่อได้ทราบ ทำให้คุณพ่อกาเบรียลเปลี่ยนความคิดที่มีมา และได้ทูลตอบ “ท่านหญิงขอรับ การเปิดเผยครานี้จะมิถูกละเลยแน่นอน” พร้อมให้สัญญาว่าจะช่วยท่านวางรากฐานความปรารถนาของแม่พระนี้ให้เป็นจริง ทำให้แต่วันนั้นเรี่ยวแรงที่หายไป ก็กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้งในตัวท่าน

ขั้นแรกในการดำเนินการตามฝันนี้ คุณพ่อกาเบรียลได้ทูลแนะให้ท่านตั้งอารามในที่ดินใกล้ ๆ กับปราสาท พร้อมจัดหาหญิงสาวที่สนใจมาเข้ารับการอบรมเพื่อเตรียมเป็นนักพรตหญิงภายในอารามแห่งใหม่ ซึ่งในส่วนของการจัดหาหญิงสาวที่สนใจนี้ คุณพ่อกาเบรียลได้ตัดสินใจเดินทางไปหา ‘มาดมัวแซล เดอ ปัวเซลเลอ’ สตรีชาวเมืองตูรส์ผู้อุทิศชีวิตในการสอนเด็กหญิงในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1500 เพื่อแจ้งความประสงค์ของท่าน และได้ขอให้นางเลือกเด็กหญิงที่มีกระแสเรียกส่งมาให้ ซึ่งนางเดอปัวเซลเลอเมื่อทราบความประสงค์แล้ว ก็ได้คัดเด็กหญิงที่มีวัยระหว่าง 9 – 14 ปี ที่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองจำนวนทั้งสิ้น 11 คนมอบให้คุณพ่อ และคุณพ่อจึงได้พาคณะเด็กหญิงผู้มีกระแสเรียกออกเดินทางกลับมาเมืองบูร์ชในวันเสาร์วันของแม่พระอย่างพอดิบพอดี


เมื่อหน่ออ่อนของคณะใหม่เดินทางมาถึง ท่านก็ได้ต้อนรับพวกเธอด้วยความยินดีในฐานะ ‘ธิดา’ โดยในทุกวันท่านจะแวะไปหาพวกเธอ พลางเล่าถึงความสุขในการรับใช้แม่พระภายใต้อารามนี้ และทีละนิดผ่านคำพูดผนวกกับแบบฉบับของท่านดัชเชสผู้แสนดี กล้าอ่อนของคณะใหม่ก็เริ่มแทงยอดผลิใบน้อย ๆ ออกมา นั่นจึงนำมาสู่ก้าวต่อไปของอาราม นั่นก็คือการมี ‘กฏ’ ประจำอาราม แต่จะขึ้นกับธรรมนูญแบบใดดีที่จะสมกับเจตจำนงถวายเกียรติแด่แม่พระนี่สิ เป็นปัญหาต่อมาที่ท่านและคุณพ่อกาเบรียลต้องช่วยกันขบคิด และแน่นอนเมื่องานชิ้นนี้เกิดขึ้นโดยการชี้นำของพระนางมารีย์ พระนางเองก็ได้จัดเตรียมหนทางแก้ปัญหานี้ไว้

ดังนั้นเมื่อคุณพ่อกาเบรียลมาทูลถามท่านด้วยความกังวลถึงธรรมนูญที่อารามหลังนี้จะยึดถือ ท่านจึงได้บอกสิ่งที่แม่พระได้ทรงเผยแสดงให้ท่านทราบว่า “ลูกได้ทูลขอแม่พระให้ทรงสอนลูก ถึงชีวิตที่ลูกและธิดาของลูกต้องปฏิบัติ เพื่อเป็นที่พอพระทัยสำหรับพระนาง และองค์พระราชินีศรีสวรรค์ก็ทรงตรัสกลับว่า ‘จงปฏิบัติตามทุกสิ่งที่มีเขียนไว้ในพระวรสารว่าแม่ได้ปฏิบัติสิ่งใดบนโลกนี้ และจงทำให้ธรรมนูญนี้ได้รับการรับรองจากสันตะสำนัก ขอลูกรู้ไว้เถิด ว่าผู้ใดก็ตามที่ปฏิบัติดังนี้แล้ว ก็หมายความว่าเขาได้ดำรงอยู่ในพระหรรษทานขององค์พระเยซู พระบุตรของแม่และแม่ และทั้งนี้มันจะเป็นวิธีอันปลอดภัยในการสนองพระประสงค์ของพระบุตรของแม่ และความต้องการของแม่’”


เมื่อได้รับการไขแสดงเช่นนี้แล้ว ว่าธรรมนูญสำหรับอารามใหม่ไม่ได้อยู่ไหนหากแต่อยู่ในพระคัมภีร์ ฝั่งคุณพ่อกาเบรียลจึงได้เขียน ‘สิบฤทธิ์กุศลของแม่พระ’ ขึ้นโดยอาศัยพระวรสารที่ไม่เพียงบอกเล่าเรื่องราวของการไถ่กู้ของพระเยซูคริสตเจ้า แต่ยังมีเรื่องเล็ก ๆ ของสตรีชาวนาร์ซาเร็ธคนหนึ่งซึ่งเปี่ยมด้วยฤทธิ์กุศลแห่งการถือความบริสุทธิ์ยิ่ง (มัทธิว 1 : 18 , 20 , 23 / ลูกา 1 : 27 , 34) ความไม่ประมาทยิ่ง (ลูกา 2 : 19 , 51) ความถ่อมใจยิ่ง (ลูกา 1 : 48) ความเชื่อยิ่ง (ลูกา 1 : 45 , ยอห์น 2 : 5) ความภักดียิ่ง (ลูกา 1 : 46-47 , กิจการอัครสาวก 1 : 14) ความนบนอบยิ่ง (ลูกา 1 : 38 , 2 : 21-22 , 27) ความยากจนยิ่ง (ลูกา 2 : 7) ความอดทนยิ่ง (ยอห์น 19 : 25) ความเมตตายิ่ง (ลูกา 1 : 39 , 56) และความทุกข์ยิ่ง (ลูกา 2 : 35) สอดแทรกอยู่ นี่เองจึงกลายมาเป็นธรรมนูญของอารามใหม่ ตามที่พระนางมารีย์ทรงเผยแสดงแก่ท่านว่า “จงปฏิบัติตามทุกสิ่งที่มีเขียนไว้ในพระวรสารว่าแม่ได้ปฏิบัติสิ่งใดบนโลกนี้ ”

นอกจากนี้เมื่อท่านไตร่ตรองว่ามตอนใดในชีวิตของพระนางมารีย์ ที่จะสำแดงให้เห็นชัดที่สุดถึงฤทธิกุศลอันงามพร้อมของผู้ได้ชื่อว่า ‘พระมารดาพระเจ้าและของชาวเรา’ ท่านก็พบว่า ‘การแจ้งสาส์นการรับเอากายของพระวจนาถต์’ ซึ่งส่วนตัวแล้วท่านก็มีความศรัทธาพิเศษต่อรหัสธรรมล้ำลึกนี้ยิ่ง ท่านทั้งชอบวาดรูปพระวรสารตอนนี้และยึดเอาพระวารสารตอนนี้เป็นแบบฉบับ นี่แหละคือการสรุปฤทธิ์กุศลทั้งหมดของแม่พระได้อย่างดีที่สุด ดังนั้นสำหรับคณะใหม่ที่จะเกิดขึ้น ท่านจึงได้เลือกรหัสธรรมแห่งการแจ้งสาส์นเป็นองค์อุปถัมภ์สำหรับการเจริญชีวิตเป็นที่พอพระทัยพระคริสตเจ้า ด้วยการเลียนแบบฤทธิ์กุศลของพระนางมารีย์โดยมีจุดประสงค์ที่จะเป็น ‘เหมือนพระนางมารีย์ที่มีชีวิตอยู่บนโลกอีกองค์’


เมื่อคุณพ่อกาเบรียลได้เพิ่มข้อความดังนี้ลงไปในธรรมนูญใหม่ตามคำสั่งของท่านแล้ว คุณพ่อคณะฟรังซิสกันชื่อ คุณพ่อวิลเฮล์ม โมแค็ง จึงรับหน้าที่เป็นผู้นำธรรมนูญคณะใหม่นี้ขึ้นทูลเกล้าถวายองค์สมเด็จพระสันตะปาปาเพื่อให้ทรงอนุมัติ และฝั่งองค์พระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 ก็ทรงต้อนรับฑูตของท่านเป็นอย่างดีพร้อมตรัสถึงชีวิตที่ศรัทธาและยกถวายต่อพระของท่าน ณ ที่ประชุม จนดูเหมือนว่าการรับรองธรรมนูญครั้งนี้จะไม่มีข้อขัดข้องประการใด แต่เมื่อถึงเวลาต้องพิจารณา ปีศาจก็ได้ขัดขวางผลงานชิ้นนี้ ผ่านการที่บรรดาพระคาร์ดินัลทั้งหลายก็พากันไม่รับรองธรรมนูญคณะใหม่นี้ (มีส่วนจากการสังคายนาลาเตรลันครั้งที่ 4 ที่ให้คณะนักบวชที่ตั้งขึ้นในภายหลัง เจริญชีวิตตามธรรมนูญของคณะนักบวชที่เคยได้รับการรับรองแล้ว เพื่อลดความสับสนในพระศาสนจักรลง) ทำให้คุณพ่อวิลเฮล์มจำต้องกลับไปพร้อมความผิดหวัง และเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะขณะคุณพ่อข้ามเทือกเขาแอลป์ คุณพ่อก็ทำต้นฉบับธรรมนูญคณะใหม่ของท่านหล่นหายไป

ฝั่งท่านเมื่อทราบว่าเรื่องเป็นไปดังนี้แล้ว แทนที่ท่านจะถอดใจกับแผนการตั้งคณะใหม่นี้เสีย ท่านก็รับสั่งให้คุณพ่อกาเบรียลเขียนธรรมนูญคณะใหม่ขึ้นอีกครั้ง และได้ส่งคุณพ่อให้ไปดำเนินเรื่องนี้อีกครั้งที่กรุงโรมด้วยความเชื่ออย่างสุดหัวใจว่า กิจการนี้เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อท่าน แต่กระนั้นก็ตามแม้คราวนี้คุณพ่อกาเบรียลจะเป็นผู้เดินทางไปด้วยตัวเอง มันก็ยังไร้ผลเพราะคณะพระคาร์ดินัลยังคงปฏิเสธคณะใหม่นี้เช่นเดิม ทำให้เมื่อไม่อาจจะพึ่งพาความช่วยเหลือมนุษย์ต่อไป คุณพ่อกาเบรียลจึงหันหน้าไปหาแม่พระ ผู้เป็นเจ้าของคณะนี้เพื่อให้พระนางทรงเอื้อมพระหัตถ์เข้ามาช่วยเหลือ และในคืนนั้นเอง องค์พระมารดาก็ทรงเอื้อมพระหัตถ์ของมารดาเข้ามาพลิกสถานการณ์อันสิ้นหวังนี้ให้ผ่านพ้นไปอย่างน่าอัศจรรย์


กล่าวคืนในคืนนั้นพระคุณเจ้าพระคาร์ดินัล โยวันนี บัพติสตา แฟร์ราโร ประธานดาตารีอา อโปสโตลิกา (หนึ่งในห้าหน่วยงานเดิมของโรมันคูเรีย ปัจจุบันถูกยกเลิกไปแล้วในปี ค.ศ. 1967) ผู้มีอิทธิพลมากในหมู่พระคาร์ดินัลด้วยกันและเป็นปรปักษ์กับธรรมนูญและคณะใหม่นี้มากที่สุด ก็ได้ฝันเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตำหนิเขา เหตุเพราะเขาไม่ยอมอนุมัติคณะใหม่นี้ ทั้งยังฝันเห็นท่านนักบุญลอเรนซ์ มรณสักขี และท่านนักบุญฟรังซิส อัสซีซี ยื่นมือออกมาเหนือศีรษะของคุณพ่อกาเบรียลในลักษณะอวยพร ใบหน้าของท่านนักบุญเหมือนบอกกับพระคุณเจ้าว่าภารดาผู้ต่ำต้อยคนนี้ คือ เครื่องมือของพระเป็นเจ้าโดยแท้ แล้วพระคุณเจ้าจึงได้เห็นความยิ่งใหญ่ของแม่พระ ในข้อรหัสธรรมลำลึกแห่งการแจ้งสาส์น จนเกิดเป็นแรงดลใจภายในให้พระคุณเจ้าจำต้องทำให้มีคณะใหม่ที่ถวายความศรัทธาเป็นพิเศษต่อข้อธรรมล้ำลึกนี้ และเมื่อพระคุณเจ้าจะสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันทั้งหมด พระคุณเจ้าจึงสวดภาวนาและไตร่ตรองถึงเรื่องทั้งหมด กระทั่งที่สุดพระคุณเจ้าจึงเรียกให้คุณพ่อกาเบรียลเข้าพบ พร้อมได้เปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืนทั้งหมด ก่อนตัวพระคุณเจ้าจะไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา และได้ทูลขอให้พระองค์ทรงรับรองธรรมนูญและคณะใหม่นี้ ทำให้ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1502 สมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 จึงได้ทรงรับรองธรรมนูญและ ‘คณะแม่พระรับสาร’ อย่างเป็นทางการ ซึ่งพร้อมกันนั้นพระองค์ได้ทรงตั้งคุณพ่อกาเบรียลให้เป็นผู้แทนตรวจเยี่ยมของคณะใหม่นี้ด้วย

ไม่กี่วันต่อมาหลังได้รับการรับรองคณะใหม่ คุณพ่อกาเบรียลก็รีบออกเดินทางกลับถึงเมืองบูร์ช เพื่อนำข่าวแห่งความยินดีนี้มาแจ้งกับท่าน การเดินทางครั้งนี้เป็นไปได้อย่างปลอดภัย และเมื่อท่านได้รับพระราชกฤษฏีการับรองคณะใหม่ ท่านก็รับมาจูบด้วยความเคารพและความชื่นชมโสมนัสเป็นล้นพ้น ก่อนท่านจะรีบนำพระราชกฤษฏีกานี้ไปยังห้องของผู้สมัครในคณะใหม่คนหนึ่งที่ล้มป่วยหนักด้วยอาการไข้จนใกล้จะสิ้นใจเต็มที และเมื่อถึงที่ห้อง ท่านก็รีบเอาพระราชกฤษฏีกานี้ไปแตะที่ริมฝีปากของผู้สมัครเณรีที่หายใจรวยรินคนนั้น และบัดดลอาการไข้ของเธอก็หายสนิท (เหตุการณ์นี้เป็นที่เล่าลือกันมากในหมู่ชาวเมืองที่ต่างทวีความเคารพในตัวท่านมากขึ้น)


ขั้นต่อไปของการตั้งคณะใหม่ของท่านก็คือ ‘การสร้างอารามแม่พระรับสาร’ โดยท่านได้เลือกที่ดินที่จะสร้างอารามหลังใหม่ที่ข้าง ๆ ปราสาทของท่าน และได้เร่งจัดสร้างอาคารอารามหลังนี้ด้วยความร้อนรนในเดือนสิงหาคม ปีนั้น โดยในระหว่างที่การก่อสร้างอาคารถาวรวัตถุดำเนินไป ท่านก็ใช้เวลาเดียวกันนั้นก่อร่างจิตารมณ์แห่งการเลียนแบบฤทธิ์กุศลทั้งสิบประการของแม่พระ เพื่อสมเป็นที่พอพระทัยพระเป็นเจ้า ให้กับบรรดาธิดาน้อยของท่าน ท่านปรารถนายิ่งที่จะให้ความเมตตารักแผ่ปกคลุมอารามของท่านไม่ว่าจะยามนี้หรืออนาคต ท่านแนะให้บรรดาสมาชิกในคณะทักทายกันว่า “จงรักซึ่งกันและกัน”

ส่วนเครื่องแบบของคณะใหม่ ท่านได้เลือกให้สมาชิกสวมเสื้อยาวสีเทาคู่ผ้าคลุมสีดำเพื่อเตือนผู้ถวายตนถึงการพลีกรรมใช้โทษบาป ก่อนทับด้วยเสื้อจำพวกสีแดงสดอันสื่อถึงพระโลหิตประเสริฐของพระคริสตเจ้า และเสื้อคลุมสีขาวสัญลักษณ์แทนการถือพรหมจรรย์และความเมตตาธรรม ที่คอของสมาชิกทุกคนท่านยังออกแบบให้สวมเหรียญรูปพระนางมารีย์ ผู้ที่สมาชิกในคณะต่างมอบความศรัทธาพิเศษไว้ให้ โดยให้ผูกไว้กับริบบิ้นสีฟ้า เมื่อออกแบบเครื่องแบบคณะแล้วเสร็จดี ท่านจึงได้มอบชุดคณะที่ออกแบบใหม่นี้ให้กับผู้สมัครห้าคนแรกในวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1502


จากนั้นคุณพ่อกาเบรียลและคุณพ่อเยราร์ดจึงได้ร่วมกันอบรมผู้สมัครที่เพิ่มมาเป็น 21 คน และได้มีการเลือกคัธริน กูวิเนลเลอ ชาวเมืองอัมบัวส์ให้เป็นหัวหน้ากลุ่มคนแรก และระหว่างนั้นในวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1503 ก็มีพระราชหัตถเลขาลงพระนามพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 อดีตพระสวามีจากเมืองลียง รับรองการตั้งคณะของ ‘พระญาติที่รักและรักยิ่งฌานแห่งฝรั่งเศส ดัชเชสแห่งแบร์รี’ พร้อมพระราชทานการคุ้มครองเป็นพิเศษให้กับอารามของท่าน

แต่ขณะท่านส่งต้นกล้าอ่อนให้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของชาวเมืองบูร์ชในฐานะผู้ปกครอง ท่านจึงมิได้เข้าประทับในอาราม แต่เลือกประทับที่ปราสาทดังเดิม โดยเลือกที่จะแต่งเครื่องแบบคณะและเข้าพิธีปฏิญาณตนนบนอบต่อคุณแม่อธิการในอารามในวันสมโภชพระจิตเจ้าที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1504 เมื่อมีพระชันษาได้ 40 พรรษา พร้อมปฏิบัติตนตามฤทธิ์กุศลของชีวิตนักบวชควบคู่ไปกับการดูแลทุกข์สุขของชาวเมืองให้ได้มากที่สุด


ลุถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน ปีเดียวกันนวกะห้าคนแรกของคณะก็ได้เข้าพิธีปฏิญาณตน หลังจากนั้นในวันที่ 21 เดือนเดียวกัน อันเป็นวันฉลองแม่พระถวายตนในพระวิหาร หลังสวดภาวนาตลอดทั้งคืน รุ่งเช้าท่านจึงได้ร่วมในขบวนแห่กับบรรดาธิดาของท่านเข้าสู่อารามหลังใหม่ และ ณ ที่วัดน้อยประจำอาราม ท่านได้เป็นประธานในการยกถวาย ‘อารามแม่พระรับสาร’ ของคณะแด่พระเป็นเจ้าและแม่พระ ผู้ประสงค์ให้ตั้งอารามหลังนี้ขึ้น

แม้ภารกิจตั้งคณะแม่พระรับสารจะสำเร็จลุล่วงไปแล้ว แต่ด้วยความรักที่ลุกเป็นไฟของท่านต่อแม่พระ ท่านปรารถนาจะแต่งบทสวดสักบทให้วิญญาณทุกดวงได้สวดสรรเสริญพระมารดา ผู้นิรมล ดังนั้นเองหลังจากรำพึงคิดใครครวญท่านจึงได้ประดิษฐ์ลูกประคำชนิดสิบเม็ดขนาดเล็กเพื่อระลึกถึงฤทธิ์กุศลทั้งสิบประการของแม่พระขึ้น และเมื่อสมเด็จพระสันตาปาปาทรงทราบ พระองค์ก็ทรงส่งเสริมกิจศรัทธา ‘สวดวันทามารีย์สิบครั้ง’ และไม่นานกิจศรัทธานี้ก็แพร่ไปอย่างรวดเร็วในหมู่คริสตชน


แม้จะสามารถตั้งคณะใหม่ที่จำลองแบบแม่พระ และแต่งบทภาวนาเพื่อสรรเสริญพระนาง ท่านก็ยังรู้สึกว่าภารกิจของท่านบนโลกนี้ยังไม่จบสิ้น เพราะท่านยังรู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งจากการเกิดสงครามกลางเมืองและความไม่ลงรอยกัน ท่านจึงไม่เคยเหน็ดเหนื่อยที่จะสวดภาวนาเพื่อสันติภาพของราชอาณาจักรฝรั่งเศส และปรารถนายิ่งที่จะนำพระพรแห่งสันตินี้ไปมอบแก่โลกทั้งใบ ทั้งนี้ท่านรู้ดีเสมอว่า ‘สันติ’ จะพบได้ก็เฉพาะใน ‘ความรักของพระคริสตเจ้า’ ซึ่งหลอมรวมมนุษย์ทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จนวันหนึ่งระหว่างท่านสวดภาวนาอยู่ลำพังเป็นเวลานาน แม่พระผู้ทรงสอนธิดาน้อย ๆ ของพระนางเองในเวลานี้หลายต่อหลายครั้ง ก็ตรัสกับท่านว่า “ในทุกคำพูดของลูก ลูกต้องแสดงถึงความปรารถนาดีกับทุกคน และสร้างสันติให้ปรากฏท่ามกลางพี่น้องที่ลูกอยู่ร่วมด้วย” 

พระดำรัสนี้จุดประกายเปลวไฟแห่งความคิดใหม่แก่ท่านอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่การตั้งคณะแห่งการสวดภาวนา แต่คือการตั้งกลุ่มฆราวาสที่จะสร้างสันติแก่โลกทั้งใบ ‘คณะสันติภาพ’ หรือปัจจุบันคือ ‘ชมรมแม่พระรับสาร มรรคาแห่งสันติ’ จึงถูกก่อตั้งขึ้น โดยมีจุดประสงค์ให้สมาชิกของคณะนี้ “ไม่มีความเกลียดชัง ความไม่พอใจต่อใคร ในหัวใจของพวกเขาทุกคน” , “ไม่พูดถึงผู้อื่นในแง่ร้าย” , “นำสันติไปยังบรรดาพี่น้องที่ขุ่นข้องหมองใจ” และสุดท้ายคือการสวดสายประคำน้อย ๆ การสวดเพื่อองค์สมเด็จพระสันตะปาปา และสันติของพระศาสนจักร


นับวันหลังได้เป็นสมาชิกคณะ ความศรัทธาร้อนรนในการติดตามมรรคาแห่งสวรรค์ และความปรารถนาเจริญชีวิตร่วมกับบรรดาธิดาน้อยของท่านก็ยิ่งทวีขึ้น มีหลายต่อหลายครั้งพระเป็นเจ้า ผู้ทรงหมั้นท่านเอาไว้เป็นเจ้าสาวของพระองค์ก็ทรงกระทำกิจอันน่าพิศวงในตัวท่าน หลายครั้งหลายคราวระหว่างสวดภาวนา ท่านก็ได้เข้าสู่สภาวะฌาน พยานหลายคนมักได้ยินท่านพึมพำออกมาว่าระหว่างนั้นว่า “วันทามารีย์… เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน…” มีบางคราวท่านอยู่ในสภาวะนี้เป็นเวลาหลายวันโดยไม่กินไม่ดื่มอะไร ชนิดคนใช้ในปราสาทอุทานออกมาว่า “ท่านหญิงกำลังจะตายเป็นแน่” แต่แท้จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่เป็นเพราะการสนทนากับพระเป็นเจ้าต่างหากเล่า ที่ทำให้ท่านลืมโลกใบนี้ไปสิ้น และอิ่มหนำด้วยความสุขภายในที่มากพอจนความทุกข์ฝ่ายร่างกายไม่อาจมีกำลังเหนือได้

แต่ในขณะที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างแสนสุข เหมือนนี่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวใหม่ที่เต็มไปด้วยความยินดี โดยไม่มีใครคาดคิด เมื่อทุกสิ่งสำเร็จไปตามน้ำพระทัย พระเป็นเจ้าก็ทรงกระทำกิจอันน่าพิศวงอีกครั้ง ด้วยการทรงเรียกข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยกลับไปรับรางวัลในสวรรค์ กล่าวคือในวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1505 จู่ ๆ ท่านก็เริ่มมีอาการป่วยหนัก ท่านจึงตัดสินใจสร้างช่องไว้สำหรับติดต่อกับอารามแม่พระรับสาร อาการของท่านยังทรง ๆ มาเรื่อย ๆ จนล่วงเลยมาถึงวันหนึ่งพระเป็นเจ้าก็ทรงดลใจให้ท่านปรารถนาจะไปยังอารามเพื่อพูดคุยแนะนำธิดาน้อยของท่านทุกคน ท่านจึงได้เสด็จไปยังอารามโดยที่ไม่ล่วงรู้เลยว่าการมาที่นี่จะเป็นการมาพร้อมลมหายใจเป็นครั้งสุดท้าย และท่านเองก็เหมือนจะทราบ เพราะครั้งนั้นเมื่อท่านเสด็จกลับ ท่านรู้สึกได้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ท่านจะได้มาเหยียบอารามหลังนี้อีกในสภาพที่มีลมหายใจ


ลุถึงค่ำของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1505 อาการของท่านก็ทรุดหนักลงสู่สภาวะตรีฑูต พระสงฆ์จึงถูกตามมาโปรดศีลเจิมให้ท่าน มีบันทึกว่าเวลานั้น ณ ท้องนภาเหนือปราสาทดยุกแห่งแบร์รีก็ปรากฏดาวหางทอแสงขึ้น คล้ายเครื่องแจ้งเหตุที่กำลังจะเกิดในปราสาทเป็นอัศจรรย์แก่ผู้พบเห็น ซึ่งภายหลังรับศีลเจิมแล้ว ท่านก็รับสั่งให้ทุกคนที่เฝ้าดูอาการของท่านถอยออกไป เพื่อว่าตัวท่านจะได้พร้อมจะรับเสด็จมาของเจ้าบ่าวที่รักที่กำลังจะเสด็จมารับท่าน กระทั่งถึงเวลาหนึ่ง ท่านจึงรับสั่งให้ดับไฟในห้องลง ก่อเกิดเป็นความมืดแห่งรัตติกาลแผ่ไปทั่วห้อง แต่… บัดดลสตรีที่ยืนอยู่ข้างท่าน ก็แลเห็นแสงสว่างส่องเรืองขึ้นมาจากร่างนายผู้เป็นที่รักของเธอ แสงนั้นสว่างเป็นพิเศษที่ตรงบริเวณหัวใจและปากของท่าน แต่มันอยู่เพียงชั่วขณะ (บ้างว่าถึงชั่วโมง) จึงค่อย ๆ อันตรธานหายไป สตรีรับใช้คนนั้นมองกิจการอันน่าพิศวงนี้ ก่อนเมื่อฉุดคิดถึงบางสิ่ง นางจึงรีบเอนตัวเข้าไปใกล้ร่างของท่าน และพบว่าพระเป็นเจ้าได้ทรงยก ‘ท่านดัชเชสผู้แสนดี’ ไปยังเมืองฟ้าด้วยพระชันษา 40 พรรษา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ร่างของท่านที่ถูกพบสวมเข็มขัดตะขอพร้อมโซ่เหล็กคาดที่เอวได้รับการฝังตามพิธีอย่างสมพระเกียรติ และไม่นานอัศจรรย์มากมายก็บังเกิดขึ้นที่หลุมพระศพของท่าน ทั้งการรักษาโรคหรือการกลับใจต่างเกิดขึ้น ณ ที่พักแห่งสุดท้ายของท่านดัชเชส ส่วนคณะของท่านที่ท่านได้มอบไว้ในความดูแลของคุณพ่อกาเบรียล มารีก็ได้เจริญขึ้นตามลำดับ ดั่งคำสั่งเสียของท่านที่ว่า “มันคือความปรารถนาของลูกที่จะถูกเรียกว่าผู้ก่อตั้งคณะตามที่ลูกได้รับการเรียกมาทั้งชีวิต ท่าน คุณพ่อนั่นแหละ จะเป็นจิตตาธิการ อาจารย์ ผู้พิทักษ์แรก และผู้ตรวจการณ์คนแรก และบรรดาภคินีจะเรียกท่านว่า คุณพ่อผู้รอบคอบ”


กาลเวลาล่วงผ่านไปถึงปี ค.ศ. 1562 หรือ 56 ปีหลังมรณกรรมของท่าน ก็เกิดสงครามศาสนาขึ้นในฝรั่งเศสระหว่างฝ่ายคริสตังกับกลุ่มอิวเกโนต (กลุ่มคริสเตียนปฏิรูปพระศาสนจักรชาวฝรั่งเศสซึ่งได้รับอิทธิพลจากงานเขียนของจอห์น คาลวิน ในช่วงศตวรรษที่ 16-17) เมืองบูร์ชก็ประกาศอยู่ฝ่ายอิวเกโนต ร่างของท่านจึงถูกขุดขึ้นมา และถูกพบว่าไม่เน่าสลายไปตามธรรมชาติ แต่อัศจรรย์นี้ก็ไม่อาจหยุดความเกียจชังในใจของผู้บุกรุกได้ ดังนั้นร่างของท่านจึงถูกนำไปเผาทำลาย … ในเหตุการณ์คราวนั้นมิได้มีเหตุอัศจรรย์ใดเกิดขึ้น พระเป็นเจ้าทรงปล่อยให้ไฟทำลายร่างอันรู้เสื่อมนี้ของท่านไปเป็นธุลี ให้พวกคนต่างความคิดเอาไปโยนทิ้ง แต่ก็มิทรงให้เปลวไฟแห่งความเกลียดชังนี้ลบวีรกรรมตลอดชีวิตของท่านไปได้ อัศจรรย์ผ่านคำเสนอวิงวนอของท่านยังคงมี และพระศาสนจักรเองก็มิได้เพิกเฉยต่อชีวิตอันน่าพิศวงนี้

ในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1632 หรือกว่าร้อยปีหลังการจากไปของท่าน กระบวนการขอแต่งตั้งท่านจึงถูกเสนอต่อสมเด็จพระสันตะปาปาอูร์บันที่ 8 ให้ทรงพิจารณา แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงร้อยปีหลังเสนอเรื่องพระศาสนจักรอันนำโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 14 ถึงทรงบันทึกนาม ‘ฌาน แห่ง วาลัว’ ไว้ในสารบบบุญราศี ในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1742 โดยอาศัยการรับรองคารวะกิจ (cultus confirmation) และที่สุดหลัง 445 ปี แห่งมรณกรรม สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ก็ทรงรับรองอัศจรรย์สามประการที่เกิดขึ้นอาศัยคำเสนอวิงวอนของท่าน และทรงได้ประกอบพิธีสถาปนาท่านขึ้นเป็นนักบุญในวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1950 อันตรงกับวันสมโภชพระจิตเจ้าในปีนั้น ท่ามกลางประจักษ์พยานกว่า 60,000 คน 

พิธีสถาปนาบุญราศีฌานเป็นนักบุญ

เหตุว่าบนโลกนี้พระเป็นเจ้ามิได้ทรงประกันว่าทุกสิ่งบนโลกนี้จะจีรัง ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์หรือความสุข ดังที่พระบุตรทรงสอนให้เราสวดภาวนาว่า ‘โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การผจญ แต่โปรดให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ’ ไม่ใช่ ‘โปรดช่วยข้าพเจ้าให้ไม่ต้องประสบการผจญ’ บทอ่านประจำวันในมิสซาไม่กี่วันที่ผ่านมาในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ไม่เพียงกล่าวถึงการทำนายถึงการเสด็จมาของพระผู้ไถ่เท่านั้น แง่หนึ่งข้อพระคัมภีร์ในข้อนี้ยังชี้ชวนให้เราคริสตชนรำพึงถึงความสุขที่เราจะได้ในวันสุดท้ายของชีวิต เมื่อเราบรรลุถึงยอดเขาแห่งความครบครันหรือสวรรค์ ภายหลังจากการเดินทางในโลกพร้อมกับไม้กางเขน นั่นก็คือ “บนภูเขานี้ พระองค์จะทรงทำลายผ้าคลุมที่คลุมหน้าประชากรทั้งหลาย และจะทรงทำลายม่านซึ่งกางอยู่เหนือนานาชาติ” (อิสยาห์ 25:7)

ในวันนี้จึงขอให้แบบฉบับของท่านนักบุญฌาน ในการเลียนแบบพระนางมารีย์ในรหัสธรรมล้ำลึกแห่งการรับเอากายของพระวจนาตถ์ นั่นคือการ ‘ยอมรับน้ำพระทัย’ ในทุกจังหวะของชีวิต โดยไม่รีรอหรือมีข้อกังขา ไม่ว่าน้ำพระทัยนั้นจะนำไปสู่ความสุขหรือความทุกข์เพียงไหน ได้เป็นแบบอย่างในการติดตามพระคริสตเจ้าของพวกเรา ขอให้ไม่ว่าชีวิตของเราจะต้องพบกับเรื่องราวอะไร ทั้งที่นำไปสู่ความสุขหรือความทุกข์ในโลกนี้ ก็ขอให้สายตาของเรามุ่งตรงไปยังความสุขแท้ ณ บนสวรรค์อยู่เสมอ เหมือนกับท่านนักบุญปฏิบัติตลอดชีวิต ขอให้เราหมั่นระลึกเสมอว่าสิ่งไหนก็ล้วนไม่จีรังทั้งสิ้นบนโลกนี้ ผิดกับในสวรรค์ เช่นคำที่พระนางมารีย์ตรัสสอนนักบุญแบร์นาแด็ตว่า ‘ฉันไม่รับรองว่าหนูจะมีความสุขในโลกนี้ แต่โลกหน้าแน่นอน’ อาแมน

รูทราย, เทเรซีโอของพระเยซู
เผยแพร่ครั้งแรก, 7 ธันวาคม ค.ศ. 2020
แก้ไขปรับปรุง, สี่วันหลังวันสมโภชแม่พระรับสาร
ที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2024

'ฌาน แห่ง วาลัวส์' ราชธิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 3

นักบุญฌาน แห่ง วาลัวส์
St. Jeanne de Valois
ฉลองวันที่: 4 กุมภาพันธ์

เหตุการณ์ในวันนั้นคุณพ่อกาเบรียล มารี คุณพ่อวิญญาณองค์ใหม่ของท่านคือผู้ที่ได้นำข่าวนี้ไปแจ้งกับท่าน โดยคุณพ่อได้ซ่อนคำตัดสินนี้ไว้ใต้แขนเสื้อของคุณพ่อ ก่อนจะออกปากถามท่าน ด้วยน้ำเสียงเมตตาว่า “ท่านหญิงขอรับ วันนี้พ่อได้นำของบางสิ่งใต้เสื้อแขนยาวมาขาย ท่านประสงค์จะรับมันไหม มันเป็นสิ่งที่ท่านปรารถนามาโดยตลอด” ฝั่งท่านจึงตอบคุณพ่อว่า “คุณพ่อ โปรดบอกลูกเพียงว่าลูกไม่ใช่ราชินีแห่งฝรั่งเศสแล้วใช่ไหม” แล้วบัดดลนั้นความทุกข์ครั้งใหญ่ก็ถามโถมสู่ตัวท่าน ชนิดท่านมิอาจจะเก็บไว้ข้างในได้ สีหน้าของท่านซีดลง ร่างของท่านเริ่มสั่น และทำท่าจะเป็นลมไปเสียตรงนั้น แต่ไม่นานท่านก็ระงับอาการเหล่านั้นและกล่าวเตือนตนเองว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็ขอถวายพระพรแด่พระเป็นเจ้า เหตุลูกรู้ว่าพระองค์ทรงบันดาลให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเพื่อแยกตัวลูกจากเรื่องฝ่ายโลก และบันดาลให้มอบมรรคาแห่งการรับใช้ที่ดีกว่า ซึ่งลูกยังไม่เคยทำในยามนี้”

แต่ขณะที่ท่านน้อมรับน้ำพระทัยครั้งนี้ด้วยความเชื่ออย่างอาจหาญ ความตระหนกก็แผ่ไปทั่วประชาชนในเมืองที่ติดตามข่าวการพิจารณาครั้งนี้ และเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่านี่คือข่าวจริง ฝูงชนมากมายก็ต่างพากันไปยังวัดนักบุญเดนิสเพื่ออ่านสำเนาคำตัดสินครั้งนี้ที่ติดไว้หน้าวัด เพราะในขณะที่ผู้คนที่มีอำนาจต่างพร้อมกันให้หลังให้กับราชินีทุพพลภาพอย่างไม่แยแส ผู้คนที่ไร้อำนาจบาตรใหญ่กลับรักราชินีองค์นี้ ที่เปี่ยมพระเมตตาต่อพสกนิกร ดังนั้นข่าวการตัดสินครั้งนี้จึงสร้างความสะเทือนใจให้ผู้คนเป็นอันมากมิน้อย และก็ดูเหมือนว่าไม่เพียงแต่คนธรรมดาสามัญเท่านั้นที่พากันสะเทือนถึงข่าวนี้ ฟ้าดินเองก็ดูเหมือนไม่อาจรับได้ต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในวันนั้น เพราะในวันนั้นทั้ง ๆ ที่เป็นเหมันตฤดู ก็กลับปรากฏลมพายุใหญ่ เมฆฝนตั้งเค้า เสียงฟ้าร้องดังระงม และความมืดทะมึกปกคลุมไปทั่วเมือง ชนิดฝูงชนที่ไปอ่านคำตัดสินที่วัด จำต้องจุดคบไฟเพื่ออ่านคำประกาศ และต่างพากันลงความเห็นว่าแม้ฟ้าเองก็รับคำตัดสินอันอยุติธรรมนี้ไม่ได้



รุ่งขึ้นหลังมีการประกาศความเป็นโมฆะในศีลสมรสของท่านกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 พระราชหัตถเลขาปิดผนึกจากสมเด็จพระสันตะปาปาอนุญาตให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 12 กับพระนางแอนน์ แห่ง บริตานีเข้าพิธีสมรสตามกฏหมายพระศาสนจักรได้ก็เดินทางมาถึงราชสำนักฝรั่งเศส ดังถูกจัดวางไว้ พิธีอภิเษกสมรสครั้งใหม่จึงได้ถูกตระเตรียมขึ้นสำหรับพระราชาและพระราชินีองค์ใหม่ของพระองค์ และในขณะที่งานพิธีได้ถูกตระเตรียมขึ้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 12 ก็มิได้ทรงละเลยที่จะดูแล ‘อดีต’ ของพระองค์ให้สมพระเกียรติ โดยพระองค์ได้โปรดพระราชทานให้ท่านดำรงพระยศเป็น ‘ดัชเชสแห่งแบร์รี’ พร้อมให้ไปประทับที่เมืองบูร์ช มีที่ดินและทรัพย์ที่พึงได้ตามฐานนันดร และเมื่อถึงเวลาที่ท่านจะอำลาอดีตพระราชสวามีที่มิได้ไยดีหรือเห็นคุณค่าหรือความงามภายในจิตใจของท่านเลย ท่านก็ได้ทูลลา ณ เบื้องหน้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 ว่า “หม่อมฉันเป็นหนี้พระองค์ เพราะพระองค์ได้ทรงปล่อยให้หม่อมฉันเป็นอิสระจากพันธนาการแห่งศตวรรษ โปรดทรงพระราชทานอภัยสำหรับความบกพร่องของหม่อมฉัน บัดนี้ชีวิตของหม่อมฉันจะคือการสวดภาวนา เพื่อพระองค์และฝรั่งเศส”

ต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1499 ท่านผู้เคยดำรงพระยศเป็นพระราชินีแห่งฝรั่งเศส ก็เสด็จมาถึงประตูเมืองบูร์กเพื่อรับตำแหน่งเป็นดัชเชส ผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือเมืองบูร์ช ท่ามกลางเสียงย่ำระฆังเสียงกังวานจากหอระฆังยามเช้าจากอาสนวิหารประจำเมือง และชาวบ้านชาวเมืองที่ต่างพากันหยิบเอาชุดเก่งประจำตัวมาสวมใส่ แล้วรีบออกมารอรับผู้ปกครองคนใหม่ของพวกเขา ที่แรกที่ขบวนเสด็จของท่านเคลื่อนไปก็คือ อาสนวิหารประจำเมืองนาม วัดนักบุญสเตเฟน ซึ่ง ณ ที่นั่นท่านได้คุกเข่าลงทูลขอ ให้พระเป็นเจ้าทรงช่วยให้กิจการนานาที่ท่านจะประกอบขึ้นสำเร็จไปเพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ หลังจากนั้นท่านจึงเสด็จไปยังบ้านหลังใหม่ของท่าน นั่นก็คือ ปราสาทหลังโตของผู้ดำรงยศเป็นดยุคแห่งแบร์รี ซึ่งดูละหม้ายคล้ายป้อมปราการอันเข้มแข็ง ด้วยกำแพงขนาดมหึมาซึ่งรายล้อมตัวปราสาทไว้ จนเป็นที่สะดุดตายิ่งนัก

 

ในฐานะ ‘ดัชเชสแห่งแบร์รี’ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ของผู้คนภายในเมือง ท่านตั้งปณิธานว่าจะอุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อความผาสุกของชาวเมืองที่อยู่ใต้การปกครองของท่าน ทำให้ในความทรงจำที่ติดแน่นของชาวเมือง ภาพของท่านจึงเป็นภาพของสตรีผู้ได้บริหารข้อราชการต่าง ๆ อย่างชาญฉลาดและมอบความยุติธรรมแก่ทุกคนที่ร้องหา และสิ่งที่เน้นถึงย้ำความทรงจำนี้ ก็คือการที่ชาวเมืองต่างพากันซ้องนามท่านว่า ‘ท่านดัชเชสผู้แสนดี’

“ความทุกข์ของชาวเมืองของพระนางก็เหมือนความทุกข์ของพระนางเอง ในหัวใจของพระนาง พระนางได้ทรงแบกปัญหาเหล่านี้ไว้ พระนางทรงเมตตาคนที่หลงผิด ทรงพยายามยิ่งที่จะช่วยพวกเขากลับตัว ทั้งพร้อมให้การสนับสนุนเขาทุกสิ่ง พระนางทรงถือว่าปัญหาของพวกเขาก็คือของพระนาง และทรงปฏิบัติทุกสิ่งเท่าที่จะทรงทำได้ พระนางช่างอ่อนหวานทั้งในวาจาและในราชกรณียกิจของพระนาง ยามพระนางทรงบรรเทาผู้ระทมทุกข์ พระนางทรงเมตตากับทุกคน และทรงน้อมรับความผิดและความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับตัวพระนางด้วยความอ่อนโยน ทั้งนี้ด้วยน้ำพระทัยอันเมตตา พระนางทรงปฏิบัติสิ่งดีสู้กับสิ่งชั่วร้าย พระนางดำรงอยู่ในสันติและความเมตตารักเป็นอาจิณ หากพระนางทรงระลึกได้ว่าทรงสร้างปัญหาไว้กับผู้ใด พระนางจะมิทรงหยุดที่จะหาทางออก จนกว่าพระนางจะได้แก้ไขขอผิดพลาดนี้ น้ำพระทัยของพระนางช่างประเสริฐนัก และไม่อาจทนทอดพระเนตรเห็นใครปรารถนาในสิ่งที่พระนางสามารถจะมอบให้ได้ พระนางเคยถอดฉลองพระองค์เพื่อประทานแก่คนยากจน ซึ่งแม้นไม่อาจช่วยได้ด้วยกิจการ พระนางก็จะทรงช่วยทางวิญญาณผ่านคำภาวนา พระนางทรงกรรแสงร่วมกับบรรดาผู้ที่ทุกข์ใจ ทรงแบกรับอันตรายและความเสียหายของผู้อื่น เป็นพิเศษกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับวิญญาณไว้ในดวงหทัยของพระนางเอง และด้วยพระกำลัง พระเมตตา และพระทัยปรารณีสงสารทั้งหมด พระนางได้คอยประทานคำแนะนำและการบรรเทาใจ” คุณพ่อกาเบรีย มารี บันทึก

 

ความรักต่อพระคริสตเจ้ารุนเร้าให้ท่านได้อุทิศชีวิตให้กับงานดูแลคนยากจนและคนป่วยยากอย่างไม่ถือพระองค์ ความรักนี้เองที่ทำให้แม้แต่ชีวิตที่หรูหราในปราสาทราชวัตรโอ่อ่าหรือยศถาบรรดาศักดิ์ไม่อาจจะฉุดรั้งตัวท่านไว้มิให้ท่านก้าวจากตัวเอง และมอบชีวิตเพื่อผู้อื่นที่ลำบากกว่าตนเองได้ ดั่งปรากฏคำบันทึกหนึ่งว่า “พระนางฌานทรงถูกนำด้วยความเมตตาต่อบรรดาสตรีหม้ายผู้ยากไร้ และเด็กกำพร้า พระนางทรงช่วยพวกเขาในทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ” และมีบันทึกอีกว่า เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ท่านใช้ในชีวิตต่างทำขึ้นอย่างเรียบง่ายและประหยัด ทั้งคราใดก็ตามที่คนรับใช้จัดอาหารที่ท่านโปรดมาให้ ท่านก็จะไม่แตะ และสั่งให้นำไปให้คนยากไร้ได้รับประทาน

ท่านยังจัดให้มีกลุ่มอาสาสมัครเล็ก ๆ ที่คอยตระเวนหาคนยากไร้ที่ไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือจากใคร เพื่อท่านจะได้ช่วยเหลือพวกเขา และทุกวันพฤหัสบดีท่านจะจัดให้คนยากไร้จำนวนสิบสองคนเข้ามากินอาหารสเลิศที่ปราสาทของท่าน โดยก่อนจะเริ่มกินนั้นท่านก็จะเลียนแบบพระคริสตเจ้าในสิ่งที่ทรงกระทำในอาหารค่ำมื้อสุดท้าย คือจะล้างเท้าพวกเขาทั้งหมดด้วยตัวท่าน และเมื่อถึงเวลารับประทานอาหารท่านก็จะคอยยกอาหารมาให้พวกเขารับประทานจนอิ่มหนำกับมื้ออาหารอันโอชะ


ในปี ค.ศ. 1499 เมื่อเกิดโรคระบาดร้ายแพร่ไปทั่วเมืองบูร์ช แทนที่ท่านจะเอาแต่หลบโรคร้ายในปราสาทดยุกแห่งแบร์รีหรือเสด็จหนีไปประทับที่อื่นเป็นการชั่วคราว ตรงกันข้ามท่านกลับเดินออกมาช่วยเหลือบรรดาผู้ป่วยเหล่านั้นอย่างไม่ถือองค์ ท่านทรงคุกเข่าลงเบื้องหน้าผู้ป่วยที่มีบาดแผลน่ารังเกียจ แล้วใช้พระหัตถ์ค่อย ๆ บรรจงทาขี้ผึ้งรักษาแผลนั้นอย่างเบาพระหัตถ์ จนเวลานั้นมีคนป่วยที่ยากไร้หลายคนต่างเชื่อว่าหากท่านนั้นได้สัมผัสใครแล้ว อาการป่วยของคนนั้นก็จะหายในเร็ววัน

นอกจากการดูแลฝ่ายร่างกายแก่ประชาชนในเมืองแล้ว ท่านยังเอาใจใส่ดูแลวิญญาณของพวกเขาให้กลับมางดงามไปพร้อมกัน เมื่อท่านดูแลร่างกายที่อ่อนล้าด้วยปัญหาต่าง ๆ ท่านก็คอยเล่าถึงความรักของพระเป็นเจ้าให้พวกเขาฟัง และคอยช่วยให้พวกเขาได้กลับมาคืนดีกับพระอีกครั้ง ทั้งนี้แล้วหากท่านพบว่าตัวท่านไม่อาจจะช่วยวิญญาณของใครได้ด้วยคำพูดหรือกิจการ ท่านก็จะปฏิบัติตามสิ่งที่แม่พระได้ทรงตรัสสอนท่านเหมือนมารดาสอนธิดาของเธอว่า “ถ้าลูกพบคนบาปบางคน ขอให้ลูกทูลต่อพระเป็นเจ้าในใจลูกว่า ‘โปรดช่วยมนุษย์ผู้น่าสงสารด้วยเถิด’” ไม่เพียงเท่านั้นเพื่อดูแลวิญญาณของผู้คนในเมืองที่ไม่ใช่คนเจ็บคนป่วยหรือคนทุกข์ยาก ท่านยังจัดให้มีการสอนหนังสือตามแบบคริสตชนให้แก่เยาวชนและการสอนคำสอนให้กับผู้ใหญ่ในเมืองอีกด้วย


นอกจากการดูแลงานภายนอกปราสาทได้อย่างดีเลิศ ในส่วนของการดูแลปกครองภายในปราสาท ท่านก็สามารถบริหารได้อย่างไม่ข้อขาดตกบกพร่อง ท่านปกครองบรรดาคนใต้บังคับบัญชาของท่านเหมือนมารดาที่คอยเฝ้าดูแลบุตร ไม่ใช่เจ้านายผู้สูงส่งกับคนรับใช้ที่ต่ำต้อย จนไม่น่าแปลกที่บรรดาคนรับใช้ของท่านจะต่างพากันมีใจยินดีที่จะสนองงานตามคำสั่ง เพราะคำสั่งและสันติที่แผ่ออกมาจากตัวท่านนั้นเปี่ยมไปด้วยน้ำพระทัยที่เมตตาต่อทุกคน และเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้

ดังนั้นเองทีละนิดจากเมืองที่ความเชื่อคริสตังถูกละเลย ด้วยทีละนิดผ่านการมาถึงของ ‘ท่านดัชเชสผู้แสนดี’ ผู้ตรากตรำทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ด้วยวรกายที่ไม่สมบูรณ์หรืองดงามตามแบบมนุษย์ชอบ แต่มีหทัยที่ล้ำค่าดั่งบุหงาเม็ดงาม เมืองบูร์ชก็พลิกโฉมกลายเป็นเมืองคริสตังที่เข็มแข็งด้านความเชื่อมากที่สุดในราชอาณาจักรฝรั่งเศสในเวลานั้น 



เมื่อไม่มีพันธะของการเป็นราชินีหรือศรีภรรยา ท่านก็ยังมีเวลามากขึ้นที่จะยกจิตใจขึ้นหาพระเป็นเจ้าอย่างที่ท่านชอบทำ ท่านเริ่มใช้เวลาสวดภาวนาเป็นเวลานาน ๆ บางครั้งก็ทั้งคืน ทั้งยังอดอาหาร และทวีการพลีกรรมด้วยการทรมานร่างกายบ่อย ๆ นอกนี้ในส่วนลึกที่สุดของสวนในปราสาท ภายใต้ร่มใหญ่ที่ให้ความร่มเย็น ท่านก็มีเขากัลวาลีโอจำลอง ที่ท่านใช้เวลารำพึงภาวนาถึงพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้าพลางขอร้องให้พระองค์ทรงอภัยโทษคนบาปทั้งหลายอยู่ที่ตีนกางเขนนั้นอยู่บ่อย ๆ

และหลาย ๆ ครั้งในเวลาที่ท่านสวดภาวนา แม่พระก็ทรงสอนท่านถึงเรื่องต่าง ๆ ดุจมารดาสอนธิดาน้อยที่ไม่รู้ประสา ดั่งเช่นเรื่องความศรัทธาต่อศีลมหาสนิท ที่ปรากฏในพงศาวดารของคณะแม่พระรับสาร ว่าท่านนั้นมีความศรัทธายิ่งต่อศีลศักดิ์สิทธิ์ ต้องขอบคุณงานเขียนเรื่องพระสัญญต่อความศรัทธาพิเศษ ที่คุณพ่อกาเบรียล มารีได้เขียนให้กับชมรมพระนางมารีย์ เพราะมันได้ช่วยเผยว่าความศรัทธานี้ของท่าน ก็มีส่วนมาจาการนำของแม่พระ โดยพระนางได้ทรงตรัสสอนท่านว่า “มีสามสิ่งที่แม่รักยิ่งกว่าสิ่งใด สามสิ่งนั้นคือ หนึ่งการฟังพระบุตรของแม่ ทั้งพระวาจาและคำเทศน์สอนของพระองค์ (…) สองการรำพึงถึงบาดแผล ไม้กางเขน และพระมหาทรมานของพระองค์ และสาม ศีลมหาสนิทบนบนพระแท่นหรือในมิสซา ซึ่งแม่ให้ความเคารพและศรัทธาเป็นพิเศษสูงสุด” ทั้งนี้คุณพ่อได้อรรถธิบายต่อว่า “กิจศรัทธาพิเศษทั้งสามประการของพระนางมารีย์ก็คือศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งพระแท่นนั่นเอง”

 

พระนางยังสอนให้ท่านมีความเคารพศีลมหาสนิทว่า “ในระหว่างมิสซาหรือเบื้องหน้าศีลมหาสนิท จงพยายามแสดงถึงความเคารพของลูกโดยการหาโอกาสมาร่วมมิสซาอย่างน้อยหนึ่งครั้งในระหว่างวันหากลูกทำได้ และเมื่อใดก็ตามที่พระวรกายของพระคริสตเจ้าถูกเชิญแห่หรือนำไปให้คนป่วย จงร่วมขบวนแห่นั้นไปด้วยความเคารพ (…) พระบุตรของแม่และตัวแม่เองจะมีความยินดียิ่ง เมื่อคริสตชนเข้ามาหาศีลมหาสนิทด้วยความเคารพ” และวิถีที่ท่านแสดงถึงความเคารพต่อศีลมหาสนิท ก็คือการที่ท่านมอบความรักหมดหัวใจของท่านให้กับองค์พระเยซู ผู้เร้นพระองค์ในศีลมหาสนิท ดังปรากฏเหตุการณ์หนึ่งดังนี้

วันหนึ่งองค์พระเยซูเจ้าและแม่พระทรงประจักษ์มา และเชื้อเชิญให้ท่านร่วมงานเลี้ยงของพระองค์ ท่านเล่าว่า “องค์พระผู้ไถ่และพระมารดาของพระองค์ได้ทรงตระเตรียมงานเลี้ยงไว้สำหรับลูก … มีหัวใจสองดวงวางอยู่บนจานและแม่พระทรงตรัสสั่งให้ลูกรับประทานมันเข้าไป” ในนิมิตนั้นหัวใจของท่านรวมเป็นหนึ่งเดียวกับดวงพระหฤทัยขององค์พระเยซู และหลังจากท่านได้รับหัวใจนั้นไปแล้ว “องค์พระเยซูก็ทรงขอหัวใจของลูกให้แด่พระองค์ ดังนั้นลูกจึงเอื้อมมือที่หน้าอกของลูกเพื่อจะเอามันออกมา แต่ลูกก็ต้องประหลาดใจเพราะลูกไม่พบมันอยู่ที่นั่น” เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจึงหันกลับมาหาองค์พระเยซู ผู้ทอดพระเนตรมายังท่านด้วยสายพระเนตรอันอ่อนหวานอีกครั้ง ผู้เขียนประวัติคณะแม่พระรับสารได้สรุปภาพนิมิตนี้ว่า “ฌานไม่อาจจะหาหัวใจของเธอที่อกของเธอได้ ก็เพราะมันอยู่กับองค์พระเยซูมากกว่าอยู่ที่ตัวของเธอ ซึ่งมีชีวิต ” และมีบทพรรณนาที่งดงามอีกบทเขียนโดยมงซิญอร์ อังเดร ยีราร์ด ในหนังสือ ‘มงคลสมรสฝ่ายจิตของนักบุญฌานแห่งฝรั่งเศส’ ว่า “เดชะการรำพึงถึงพระมหาทรมานของพระเยซูคริสตเจ้าและรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ท่านฌานได้พบสมบัติอันล้ำค่าที่สุดจะหยั่งถึงของความรักของดวงหทัยขององค์พระเยซูเจ้าและแม่พระ”


“ลูกก็จะก่อตั้งคณะที่ใฝ่หาแต่บทเพลงสรรเสริญพระเจ้า และสัตย์ซื่อต่อการเดินตามรอยเท้าของแม่” พระดำรัสของแม่พระยังคงดังก้องอยู่ภายในใจของท่านเสมอ และในเวลานี้ท่านก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่ท่านจะต้องทำเป็นอันดับต่อไป นั่นก็คือ ‘การตั้งอารามนักพรต’ สักหลังขึ้นเพื่อถวายเกียรติต่อแม่พระ ดังนั้นเองท่านจึงไม่ลังเลใจ หรือรีรอที่จะนำความปรารถนานี้ไปเผยแก่คุณพ่อวิญญาณของท่าน แต่แม้ตัวคุณพ่อกาเบรียลเองจะมีความศรัทธาพิเศษต่อแม่พระ คุณพ่อก็มิเห็นด้วยกับโครงการนี้และได้ขอให้ท่านเลิกคิดเรื่องนี้เสีย ฝั่งท่านจึงตอบคุณพ่ออย่างสุภาพว่า “คุณพ่อคะ หากแม้นเป็นน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าและองค์พระมารดาแล้วไซร้ ทั้งสองพระองค์ก็ทรงช่วยลูกเอง”

คณะนักบวชที่แม่พระทรงประสงค์ให้ท่านตั้งขึ้นมาจะสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างไร เมื่อเพียงท่านเอ่ยปากกับพระสงฆ์วิญญาณณารักษ์ของท่าน ท่านก็กลับถูกปฏิเสธ อุปสรรคอีกมากมายเพียงใดที่ท่านจะต้องเผชิญต่อไปเพื่อให้การก่อตั้งคณะนักบวชนี้ บททดสอบอีกเท่าไรที่ท่านจะต้องประสบ และท้ายที่สุดท่านจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคนี้ไปได้อย่างไร พระเป็นเจ้าจะทรงใช้วิธีการใดที่จะทรงทำให้ราชธิดา ผู้บัดนี้พระองค์ได้ทรงปลดปล่อยเธอจากพันธการของการสมรสบนโลก กลายมาเป็นเจ้าสาวของพระองค์ ผู้จะก่อตั้งคณะนักพรตที่ปัจจุบันยังคงเป็นเครื่องมือแห่งสันติของพระองค์ และเป็นเกลือดองแผ่นดินในพระศาสนจักรตราบถึงเวลานี้


"ข้าแต่ท่านนักบุญฌาน แห่ง วาลัวส์ ช่วยวิงวอนเทอญ"

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2563

'ฌาน แห่ง วาลัวส์' ราชธิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 2

นักบุญฌาน แห่ง วาลัวส์
St. Jeanne de Valois
ฉลองวันที่: 4 กุมภาพันธ์

วันรุ่งขึ้นหลังพิธีมงคลสมรสหลุยส์ก็ได้นำท่านไปยังเมืองบลัวเพื่อพบแนะนำท่านกับบรรดาชาวเมือง แล้วเขาจึงส่งท่านกลับไปลินแยร์ในเร็ววัน แล้วออกเที่ยวเตร่ใช้ชีวิตสนุกสนานอยู่ที่เมืองบลัว โดยไม่เคยคิดจะเหลียวแลท่านผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นศรีภรรยา ชนิดแม้เขาจะต้องการเงินมาใช้สอยบำเรอตัวเท่าไร เขาก็ไม่คิดจะแตะต้องสินสอดจำนวนมหาศาลของท่านเลย ในทุก ๆ วันความคิดเดียวสำหรับเขาที่มีต่อท่าน ก็คือการผลักไสท่านออกไปจากชีวิตอันแสนสุขของเขา

ฝั่งท่านเองเมื่อถูกสั่งให้กลับไปที่ลินแยร์ท่านก็ไม่ได้รั้งรออันใด ท่านเดินทางกลับมายังเมืองที่เป็นเหมือนบ้านของท่านด้วยหัวใจที่โทมนัส แต่เวลาเดียวกันแม้จะถูกปฏิเสธอีกครั้ง ท่านก็ไม่ได้โกธรหรือเกลียดหลุยส์ ตรงกันข้ามท่านพยายามยิ่งที่จะรักและซื่อสัตย์ต่อเขาในฐานะภรรยาที่ดี ไม่ว่าเขาจะทิ้งขว้างน้ำใจอันดีของท่านไปก็ตาม เพราะท่านเชื่อมั่นว่าศีลสมรสคือศีลศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจจะลบล้างได้ แต่น่าเศร้านักที่หลุยส์มองไม่เห็นหัวใจอันงดงามที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้รูปร่างอันอัปลักษณ์นี้เช่นคนอื่น ๆ เพราะไม่งั้นเขาคงต้องรู้สึกโชคดีแน่ที่ได้คนแบบท่านมาเป็นสตรีคู่ชีวิต


ทุกปีหลุยส์จะเดินทางมาพบท่านเพียงสองสามครั้งตามคำสั่งของพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 และวันนั้นก็ไม่ใช่วันที่ท่านจะมีความสุขที่สุดอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะตรงกันข้ามวันดังกล่าวจะเป็นวันแห่งความทุกข์ครั้งหลวงสำหรับท่าน เพราะตลอดเวลาที่หลุยส์มาหาท่านที่ลินแยร์ เขาจะไม่เอ่ยวาจาอะไรหรือแม้แต่แค่จะยิ้มให้ท่านเลยสักครั้ง ยิ่งในเวลาร่วมโต๊ะอาหาร เขาก็จะหาวิธีนั่งยังไงก็ได้ไม่ให้ต้องเห็นหน้าท่าน ครั้งหนึ่งบารอนฟรังซัวส์ได้แนะนำท่านว่า “คุณหญิง ลองพูดกับคุณผู้ชายและแสดงให้เขารู้ว่าท่านรักเขามากกว่าแต่ก่อนดูสิครับ” ฝั่งท่านก็ตอบกลับมาว่า “เราไม่กล้าพูดกับเขาหรอก ท่านกับคนอื่นก็เห็น ว่าเขาไม่เคยมีเราอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ”

แต่กระนั้นทุกครั้งที่ต้องเจ็บช้ำเพราะการกระทำของหลุยส์ ท่านก็ไม่เคยถือโทษโกธรเขา ซ้ำยังคอยสวดภาวนาให้เขาตลอด มีครั้งหนึ่งในเมษายน ค.ศ. 1483 ที่หลุยส์เกิดล้มป่วยลงด้วยอาการไข้ทรพิษ ท่านที่ทราบก็รีบรุดไปดูแลเขาถึงข้างเตียง โดยไม่เคยคิดสนว่าชายเบื้องหน้าคนนี้จะเอาแต่ใส่ร้ายท่าน ต่อหน้าหญิงคนอื่นที่เขาไปติดพัน หรือเอาเวลาที่ควรจะใช้กับท่านไปใช้กับการล่าสัตว์ก็ตาม นักเขียนคนหนึ่งได้เขียนถึงท่านว่า “ชายาของอนาคตกษัตริย์ ทรงยอมรับ นบนอบ ถ่อมตนลง และดำรงพระเกียรติไว้ เป็นเวลานานถึงยี่สิบปี พระนางทรงยอม และทรงมอบชีวิตให้พระสวามีเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจ”

พระนางอานน์แห่งฝรั่งเศส และพระธิดา

ชีวิตคู่แบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ ของท่านดำเนินมาได้เจ็ดปี พ่ออยู่หัวหลุยส์ที่ 11 พระชนกของท่านก็สวรรคตลง ซึ่งทันทีที่ท่านทราบ ท่านเร่งสวดภาวนาให้พระชนกของท่านเป็นการใหญ่ โดยไม่คิดติดใจต่อสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อท่านตลอดชีวิต แต่ระลึกเพียงพระคุณที่พระองค์ทรงมีต่อแผ่นดินฝรั่งเศสที่ท่านได้อาศัย เวลาไล่เลี่ยกันก็เร่งออกเดินทางมายังเมืองอัมบัวส์ซึ่งพระชนนีและพระเชฐภคินีของท่านคอยท่าอยู่ ทำให้เป็นครั้งหนึ่งที่ท่านได้สัมผัสกับความอบอุ่นที่ท่านเฝ้าหามานาน แต่อนิจจาไม่ทันได้มีความสุขนานเท่าไร ความทุกข์ที่ดูจะเป็นส่วนหลักในชีวิตของท่าน ก็กลับมาหาท่านอีก เมื่อยังไม่ทันจะพ้นปีแห่งความวิปโยค พระนางชาร์ล็อตต์ก็สิ้นพระชนม์ตามพระราชสวามีไป ไม่พอนางอานน์ก็มาจากไปอีกคน ซ้ำภรรยาคนใหม่ของท่านบารอนลินแยร์ก็ไม่ได้รักท่านนัก ดังนั้นชีวิตของท่านในยามนี้ จึงเหมือนกลับมาถูกทอดทิ้งอีกครั้ง แต่นี่ยังไม่ได้เศษเสี้ยวของความวุ่นวาย และความโทมนัสครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาเยือนท่านในไม่ช้า…

ผู้ขึ้นสืบสันตติวงศ์ต่อจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 ก็คือ ‘พระเจ้าชาร์ลที่ 8’ พระอนุชาของท่าน แต่เนื่องจากพระองค์ยังทรงพระเยาว์อยู่ พระนางอานน์แห่งฝรั่งเศส พระเชษฐภคินีของท่านพร้อมพระสวามีจึงเข้ามาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนตามพระประสงค์เดิมของพระราชบิดา หากแต่หลุยส์ พระสวามีของท่านไม่เห็นด้วยต่อการให้พระนางอานน์ดำรงตำแหน่งนี้ และพยายามจะยึดอำนาจนี้ให้ตกมาเป็นของตน ด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูง เขาพยายามนำเรื่องนี้ขึ้นพิจารณาในการประชุมรัฐสภาที่จัดขึ้น ณ เมืองตูร์ในวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1484 แต่ก็ไร้ผล เพราะรัฐสภายังคงยืนตามพระประสงค์เดิมของพ่ออยู่หัวที่ล่วงลับไป

พระเจ้าชาร์ลที่ 8 พระอนุชาของท่าน

ดังนั้นในเดือนเมษายน ปีเดียวกัน หลุยส์จึงเดินทางไปสมทบกับท่านดยุคฟร็องซัวส์ที่ 2 แห่ง บริตานี พระบิดาของพระนางแอนน์ แห่ง บริตานี พร้อมได้มีจดหมายทูลขอให้สมเด็จพระสันตะปาปาทรงประกาศว่าการสมรสระหว่างเขากับท่านเป็นโมฆะ เพื่อว่าเขาจะได้สามารถเข้าพิธีสมรสกับพระนางแอนน์ ทายาทของดยุคฟร็องซัวส์ได้ นอกนี้เขายังได้เริ่มก่อกบฏต่อต้านอำนาจของพระนางอานน์ กระทั่งเกิดเป็น ‘สงครามวิปลาส’ ซึ่งคือสงครามระหว่างกองทัพหลวงฝรั่งเศส และกองทัพฝ่ายปฏิวัติที่นำโดยหลุยส์ และดยุคฟร็องซัวส์ที่ 2 แห่ง บริตานีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามความตั้งใจของหลุยส์ก็ไม่ได้เป็นจริงสักประการ เพราะที่สุดกองทัพฝ่ายปฏิวัติก็ต้องปราชัยลงในการปะทะกันในยุทธการแซงต์ โอแบง ดู โคมิเยร์ ในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1488 ทำให้หลุยส์ในฐานะผู้นำการปฏิวัติ จึงถูกจำคุกในเมืองลูสิญอง และระหว่างที่เขาถูกจำคุกอยู่นั้น อีกสามปีต่อมาพระนางแอนน์ แห่ง บริตานีก็ได้เข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับพระเจ้าชาร์ลที่ 8 แล้วได้รับการเถลิงขึ้นเป็นพระราชินีแห่งฝรั่งเศส ด้วยความเห็นชอบจากทางสันตะสำนัก

ย้อนกลับมาที่ท่านที่ตลอดเวลาที่พระสวามีประพฤติตนเป็นกบฏไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไร เมื่อทราบว่าพระสวามีถูกจำคุก ท่านก็เดินทางไปยังเมืองลูสิญองในทันที และเพื่อช่วยเขา ท่านได้จัดการขายเครื่องเงิน และอัญมณีของท่าน แล้วจัดเตรียมเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินในครั้งนี้ไปเป็นค่าประกันตัวเขาออกมาในทันที แต่ก็ไร้ผลเพราะไม่นานหลุยส์ก็ถูกคุมตัวไปคุมขัง ณ หอคอยเมืองบูร์ช ณ ที่แห่งนั้นในเรือนจำที่ทั้งมืด อับชื้น และไม่น่าอภิรมย์ หลุยส์ถูกเฝ้าจับตามองอย่างคุ้มเข้ม เพื่อป้องกันเหตุการณ์จะซ้ำรอยเหมือนในครั้งก่อน ๆ

"...คือสิ่งที่เบื้องบนบันดาล..."

และขณะหลุยส์ถูกจำคุกครั้งนี้เอง บทบาทในฐานะ ‘ปดิวรดา’ ของท่านก็ปรากฏชัดขึ้นอีก เมื่อท่านได้ตัดสินใจเดินทางมาอยู่ที่ห้องขังร่วมกับชาย ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระสวามีของท่าน เพื่อคอยเฝ้าปรนิบัติเขาตามฐานะของภรรยาเสมือนหนึ่งเขาได้อยู่บ้าน พร้อมคอยเขียนจดหมายทูลถวายทั้งพระนางอานน์ พระเชษฐภคินี และพระเจ้าชาร์ล ที่ 8 พระอนุชา ขอพระราชทานอภัยโทษให้กับเขาอยู่หลายฉบับ จนเวลาล่วงไปได้สามปีพระเจ้าชาร์ล ที่ 8 จึงทรงโปรดอภัยโทษหลุยส์ พร้อมได้ทรงกำชับเขาว่า “การที่เจ้าได้สยุมพรกับพระเชษฐภิคนีของเรา คือสิ่งที่เบื้องบนบันดาล หาใช้เพราะความโชคร้ายของเจ้าไม่”

สามปีในคุกไม่ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เสียทีเดียว เพราะชีวิตคู่ที่เคยลุ่ม ๆ ดอน ๆ พอได้ผ่านชีวิตสามปีในคุก มันก็กลับมาเป็นชีวิตคู่ที่ดูจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อน สังเกตได้จากเมื่อหลุยส์ต้องออกเดินทางไปร่วมรบกับพระเจ้าชาร์ลที่ 8 ที่อิตาลี เขาก็ได้ยกทรัพยส์สินทั้งหมดให้ท่านดูแล ส่วนในจดหมายที่ส่งหากันของทั้งสอง เขาก็เรียกท่านว่า ‘ภรรยาของฉัน’ และเมื่อเขากลับมา แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใกล้กัน ชีวิตของท่านก็มีอิสระที่จะเดินทางไปไหนมาไหน ไม่จำต้องอยู่ที่ลินแยร์ตลอดเวลา ทั้งสองเลยมีโอกาสได้อยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาในต่างเมือง ไม่ว่าจะเป็นบลัว อัมบลัวส์ เมสนิล และมงติลส์ แต่... ความสุขนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป จนเกินกว่าที่ท่านจะคาดถึง เมื่อเหตุการณ์ใหญ่ได้เกิดขึ้นกับฝรั่งเศสอีกครั้ง

พิธีบรมราชาภิเษกของหลุยส์

ในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1498 พ่ออยู่หัวชาร์ล ที่ 8 ทรงเสด็จสวรรคตลงอย่างกะทันหันจากอุบัติเหตุระหว่างเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรกีฬาเทนนิส ทั้ง ๆ ที่ยังมิทรงมีพระราชโอรสหรือพระราชธิดากับพระนางเจ้าแอนน์แห่งบริตานีเลยสักองค์ และตามกฎมณเฑียรบาลก็ห้ามชัดมิให้สตรีขึ้นนั่งบัลลังก์ฝรั่งเศสเป็นกษัตริย์ หลุยส์ พระภัสดาของท่านซึ่งมีศักดิ์เป็นพระราชปนัดดา (เหลน) ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5 และมีอายุมากสุดในผู้ที่อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ จึงได้รับการเถลิงราชขึ้นเป็นกษัตริย์ลำดับที่ 35 ของฝรั่งเศส และลำดับที่ 8 ของราชวงศ์วาลัวส์ ด้วยพระนามว่า ‘หลุยส์ ที่ 12’

แต่แทนที่เมื่อได้รับครองราชย์แล้ว พระองค์จะทรงสถาปนาท่านขึ้นเป็นพระราชินีเคียงคู่บนบัลลังก์แห่งฝรั่งเศสที่เขาเคยหมายตาไว้ ตรงข้ามท่านกลับไม่เคยได้ดำรงพระยศเป็นพระราชินีแห่งฝรั่งเศสเลย เพราะพระองค์ยังคงตรัสเรียกท่านว่า มาดามฌานแห่งฝรั่งเศส ทั้งยังกันท่านออกจากทุก ๆ อย่างที่ท่านสมควรจะได้รับตามพระเกียรติ แม้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ 27 พฤษภาคม ปีเดียวกัน พระองค์ก็ยังทรงห้ามท่านมิให้มาร่วมในพระราชพิธีครั้งนี้ด้วย และที่หนักกว่าก็คือ ทรงดำเนินแผนขั้นต่อไปของพระองค์ นั่นก็คือการเขี่ยท่านออกจากชีวิตคู่ เพื่อพระองค์จะไปเข้าพระราชพิธีอภิเษกกับพระราชินีหม้ายอย่าง พระนางแอนน์ แห่ง บริตานี ซึ่งเขาเคยมุ่งหมายจะแต่งงานด้วยมาตั้งแต่ในคราวก่อการปฏิวัติ

พระนางแอนน์ แห่ง บริตานี

แผนการนี้ใช้ข้ออ้างจากสนธิสัญญาแห่งล็องเจ็สซึ่งมีความตอนหนึ่งว่าผู้ที่สืบราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าชาร์ล ที่ 8 จะต้องเข้าพิธีวิวาห์กับพระนางแอนน์ แห่ง บริตานี ดังนั้นพระเจ้าหลุยส์ ที่ 12 จึงมีพระราชหัตถเลขา (จดหมาย) ขอหย่าไปหาท่าน ซึ่งมีเนื้อหากล่าวหาว่าท่านไม่สามารถมีพระราชโอรสให้พระองค์ได้และพระองค์ถูกบังคับให้สมรสกับท่าน ดั่งนั้นจึงเป็นการดียิ่งที่จะทรงมีพระอัครมเหสีองค์ใหม่เพื่อสืบต่อพระราชวงศ์ต่อไป ฝั่งท่านเมื่อได้รับพระราชหัตถเลขานี้แล้ว ก็มีลายพระหัตถ์ตอบกลับไปว่า ท่านได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระองค์อย่างถูกต้องตามกฎหมายและไม่อาจที่จะหย่าได้ อันเป็นการยืนยันในจุดยืนของท่านที่จะไม่ปฏิบัติตามความประสงค์ของพระเจ้าหลุยส์ ที่ 12 เป็นแน่นอน

ส่วนทางฝั่งโรม สมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ ที่ 6 ก็ทรงส่งสำนวนคดีไปยังศาลฝรั่งเศสซึ่งว่าด้วยคดีความที่ได้รับอนุญาตให้รับการหย่าตามกฎหมายพระศาสนจักร และทางฝั่งพระนางแอนน์เองก็ทรงร้อนพระทัยต่อเรื่องนี้เป็นยิ่งนัก พระนางประสงค์ยิ่งให้พระเจ้าหลุยส์ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระนาง และพวกขุนนางของพระองค์ให้การรับรอบการวิวาห์ครานี้ เพราะตามสนธิสัญญาแล้วหากครบหนึ่งปีแล้วพระนางมิได้เข้าพิธีอภิเษกกับผู้ที่สืบราชบัลลังก์ต่อ พระนางก็จะต้องถูกพาตัวกลับบ้าน

ฌาน ราชินีผู้อาภัพ

เมื่อเหตุการณ์เป็นไปตามที่กล่าวมาข้างต้น ในวันที่ 10 สิงหาคมปีเดียวกัน หลุยส์ หรือบัดนี้คือพ่ออยู่หัวหลุยส์ ที่ 12 จึงทรงฟ้องท่านโดยได้รับความสนับสนุนจากทุกฝ่าย ต่างกับท่านผู้ถูกกล่าวหาที่บัดนี้ไร้ซึ่งแรงหนุนใด ๆ แต่กระนั้นแม้สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ ท่านก็ยังคงต่อสู้คดีอย่างอาจหาญ แม้ในชั้นศาลท่านจะไม่ได้รับความเป็นธรรมใด ๆ เลย กล่าวคือตลอดการพิจารณาคดี ผู้พิพากษาไม่เคยคิดที่จะสอบไต่ถามพ่ออยู่หัวหลุยส์ ที่ 12 พวกเขาเอาแต่กล่าวโจมตี กล่าวหา สอบปากคำท่านที่ไม่มีแม้แต่ทนายคอยแก้คำครหาต่าง ๆ ที่สาดเทเข้ามาจากพวกเขา นอกนี้พวกเขายังพยายามขู่จะลงโทษท่าน แต่พอเห็นว่าไร้ผลพวกเขาจึงเปลี่ยนมาเป็นการยื่นขอเสนอว่าหลังการหย่าท่านจะได้รับการดูแลแทน

ในคดีความครั้งนี้ ทนายความของหลุยส์ยื่นข้อกล่าวหาแรกที่หลุยส์ใช้เป็นข้ออ้างในการหย่าก็คือ ‘ทรงไม่ได้ปลงใจต่อการแต่งครั้งนี้ และ ทรงยังไม่เคยหลับนอนกับท่านเลยสักครั้ง’ ซึ่งในข้ออ้างแรกที่ว่า ‘ทรงไม่ได้ปลงใจต่อการแต่งครั้งนี้’ ก็ฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไรนัก เพราะทั้งคู่สมรสกันมาถึง 22 ปีแล้ว ซึ่งก็เป็นเวลามากพอที่จะให้หลุยส์หย่ากับท่านได้ จึงทำให้เหลือแต่ข้ออ้างที่ว่า ‘ทรงยังไม่เคยหลับนอนกับท่านเลยสักครั้ง’ ซึ่งในรายงานได้กล่าวถึงอาการผิดปกติของท่านว่า “ไม่สมบูรณ์ บกพร่อง ใช้คาถาอาคมประพรมตามเรือนร่าง ไม่อาจตอบสนองต่อชายใดได้เลย” ซึ่งในวันที่ 13 กันยายน ระหว่างการสอบสวน ท่านก็ได้ตอบและได้รับการบันทึกไว้ดังนี้ “ไม่มีข้อบกพร่องทางร่างกายใดๆจะกันเธอจากอารมณ์ฝ่ายเนื้อหนังได้ และการแต่งงานของเธอก็เป็นไปอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ทั้งนี้แม้เธอเองจะรู้ตนดีว่าไม่ได้สวยเช่นสตรีหลายคน แต่สิ่งนี้ก็ไม่อาจจะกันเธอจากการแต่งงานและการมีบุตรสืบสกุลได้” นอกนี้ท่านยังงัดพยานคนหนึ่งที่เคยได้ยินพระเจ้าหลุยส์ทรงคุยโวว่า “เราเคยมีอะไรกับชายาเราตั้งสามสี่ครั้งในคืนเดียว”


จากนั้นมาก็เริ่มมีพยานหลายคนที่ไม่พอใจพระบิดาของพระเจ้าหลุยส์เป็นทุนเดิมออกมายืนข้างท่าน เพื่อหมายจะใช้โอกาสนี้ชำระแค้นที่มีมา แม้มันจะเป็นการมุสา แต่พวกเขาได้ให้การว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าหลุยส์คือ ชายที่ไม่กล้าพูด หรือกล้าทำอะไรทั้งสิ้น ไม่เหมาะสมยิ่งกับการเป็นกษัตริย์ ทั้งเป็นคนขี้ขลาดและอ่อนแอ… ส่วนฝั่งประชาชนที่ได้ทราบการพิจารณาคดีนี้ ก็เริ่มพากันอดสงสารพระราชินีของพวกเขาไม่ได้ และฝั่งทนายของท่านเองในการพิจารณคดีรอบต่อมา ก็ได้ทำการโต้แย้งเรื่อง ‘อาการไม่สมประกอบของท่าน’ แม้ว่าจะถือเป็น ข้อที่ ‘ทำให้เสื่อมสรรมถภาพทางเพศ’ (ซึ่งเป็นเท็จเพราะคำ ๆ นี้ใช้ได้กับผู้ชายเท่านั้น) และได้ทำการพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าพระเจ้าหลุยส์ทรงปฏิบัติหน้าที่สามีได้ครบถ้วน โดยระบุเป็นฉาก ๆ เลยทีเดียว

และขณะที่ทางทนายของท่านได้ทำการแก้ต่างเรื่องที่เล่าไป ท่านก็ได้ร้องขอต่อศาลให้มีการ ‘การตัดสินอย่างเด็จขาด’ กล่าวคือท่านได้ร้องขอให้ ‘ผู้มีความรู้’ ให้ทำการเทียบกรณีของท่านกับกฎหมาย โดยไม่นำเอาเรื่องข้อบกพร่องของร่างกายของท่านมาพิจารณาประกอบ แต่ให้เทียบตามเหตุผลที่พระเจ้าหลุยส์ทรงยกมาสู้… แต่กระนั้นท่านก็มิอาจจะสบายใจได้ เพราะท่านยังเกรงว่าการพิจารณานี้อาจมีอำนาจมืดเข้ามาเอี่ยวก็เป็นได้ เวลานี้ในใจของท่านต้องเลือกเส้นทางที่จะก้าวต่ออีกครั้ง นั่นก็คือ การยอมรับว่าท่านยังเป็นพรหมจรรย์แล้วถูกมองว่าเป็นคนหลอกลวง หรือการปฏิเสธเพื่อดำรงไว้ซึ่งสถานะแห่งพระราชินีแห่งฝรั่งเศสในอนาคตและสถานะของภรรยาที่ถูกต้อง… แต่หนทางหลังนี้สำหรับท่าน มันชักไม่แน่ใจแล้วสิ ว่าถ้าเป็นจริง ท่านก็ต้องเป็นแค่ราชินีที่น่าสงสารที่ไม่มีใครปรารถนาจะพูดหรือรับฟัง


ฝั่งพระเจ้าหลุยส์เอง ที่ดูจะทรงกำชัยชนะไว้ตลอด เวลานี้ก็ตกอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะพระองค์ต้องเลือกระหว่างสิ่งที่ล้วนต่อมีผลต่อบัลลังก์แห่งฝรั่งเศส นั่นคือ หนึ่งทรงเป็นคนอ่อนแอขี้ขลาด หรือ สองรับว่าท่านคือชายาตามกฎหมาย แต่ที่สุดแล้วในปลายเดือนตุลาคม ค.ศ. 1498 พระองค์ก็ทรงยอมรับว่าทรงได้อยู่กันฉันสามีภรรยากับท่านจริง ๆ… แล้วละครที่ดูกำลังจะจบได้สวยก็หักมุมอีกครั้ง เมื่อพระเจ้าหลุยส์ทรงงัดหลักฐานอีกชิ้นนั่นก็คือพระราชหัตถเลขาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 ที่มีใจความแสดงชัดว่า “หลุยส์ ดอร์เลออ็อง ไม่อาจจะปฏิเสธการสมรสในครั้งนี้โดยไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และฌานเองก็เป็นหมัน ไม่เหมาะยิ่งที่จะสมรส” ก่อนจะทรงตรัสสาบานต่อพระวรสารว่า “ทรงมิเคยบรรทมในสภาพเปลือยเปล่ากับพระนางเลยสักครั้ง”

มาถึงตรงนี้ หลักฐานของทางฝั่งท่านค่อนข้างจะมีน้ำหนักมากกว่าฝั่งของพระเจ้าหลุยส์จนดูเหมือนท่านจะกำชัยไว้ แต่อนิจจาเพราะเหตุผลทางการเมืองที่มาเหนือเหตุผลแห่งความเป็นจริง ที่สุดแล้วในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1498 ศาลพิจารณาคดีของท่าน ณ เมืองตูร์ ด้วยอำนาจของพระสันตะปาปาผู้มีสิทธิ์ผูกและแก้ทุกสิ่งในโลกและสวรรค์ ก็ประกาศให้พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างพระเจ้าหลุยส์ ที่ 12 และท่านเป็นโมฆะ เป็นอันปิดฉากชีวิตคู่ที่แสนทุกข์ทนของสองชายหญิงด้วยวิธีการอันน่าโสมม แต่ก็เป็นการเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ของราชธิดาแห่งฝรั่งเศส และเป็นเรื่องราวบทต่อไปของเจ้าหญิงผู้เกิดมาโดนชายในชีวิตถึงสองคน คือ พ่อและสามี รังเกียจเดียจฉันท์ แต่เป็นที่รักยิ่งของชายผู้อยู่เหนือชายทั้งปวงอย่างองค์พระคริสตเจ้า ชีวิตหลังการหย่าครั้งนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป พระเจ้าจะทรงทำอย่างไรต่อไปกับเจ้าหญิงผู้อาภัพ


"ข้าแต่ท่านนักบุญฌาน แห่ง วาลัวส์ ช่วยวิงวอนเทอญ"

'ฌาน แห่ง วาลัวส์' ราชธิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 1

นักบุญฌาน แห่ง วาลัวส์
St. Jeanne de Valois
ฉลองวันที่: 4 กุมภาพันธ์

ท่ามกลางความหวังที่เต็มเปี่ยมในพระราชหฤทัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 หลังเสด็จกลับจากการแสวงบุญที่เมืองชาร์ตพร้อมคำภาวนาวอนขอให้พระหน่อในครรภ์พระนางชาร์ล็อตต์เป็นพระโอรสต่อแม่พระ เพราะพระองค์ต้องสูญเสียพระราชโอรสไปถึงสามพระองค์ติดต่อกัน และพระหน่อองค์ล่าสุดที่มีประสูติกาลที่รอดก็ซ้ำเป็นพระธิดาเสียนี่ ดังนั้นการประสูติกาลพระหน่อครั้งนี้จึงเป็นที่คาดหวังยิ่งในพระราชหฤทัยของพระราชาจอมวางแผน ว่าพระองค์จะต้องได้พระโอรสไว้สืบราชบัลลังก์ฝรั่งเศสเสียที แต่ก็ประดุจอัสนีผ่าลงกลางพระราชหฤทัย เมื่อแรกได้ทอดพระเนตรเห็นพระหน่อที่มีประสูติกาลในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1464 ขณะประทับพักแรมที่เมืองโนก็องต์ เลอ คอย แต่พระนางชาร์ล็อตต์ แห่ง ซาวอย พระอัครมเหสีองค์ที่สอง เพราะแทนที่พระหน่อจะเป็นชายดั่งความตั้งพระทัยไว้ตลอด พระหน่อที่พึ่งได้แลเห็นโลกใบนี้นั้น กลับเป็นพระธิดาตัวน้อย ๆ ที่มีลักษณะคนขี้โรคปรากฏชัดแทน

พระหน่อองค์น้อยผู้เกิดมาท่ามกลางความผิดหวังของพระชนกได้รับศีลล้างบาปตามพิธี แต่ไม่มีความยินดีใดปรากฏเลยในพิธีนั้น พิธีวันนั้นคงเป็นแค่พิธีที่ถูกจัดขึ้นไปอย่างเสียไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นพระหน่อองค์น้อยก็ได้รับการเถลิงนามให้ว่า ‘ฌาน’ และเพียงยี่สิบหกวันหลังกำเนิด พระเจ้าหลุยส์ที่ 11 ก็ทรงจับพระธิดาของพระองค์หมั้นไว้กับหลุยส์ ดยุกแห่งออร์เลอ็อง ซึ่งมีอายุมากกว่ากันสองปี เพื่อใช่พระธิดาองค์น้อยเป็นหมากหนึ่งในเกมส์การเมืองต่อไป


แม้จะไม่เป็นที่ต้องพระราชหฤทัยของพระชนก ท่านก็ได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักความเอ็นดูจากพระนางชาร์ล็อตต์ พระมารดาในพระราชวัง ณ เมืองอ็องบวซ จนเจริญพระชันษาได้ 5 ปี พระเจ้าหลุยส์ที่ 11 ก็ทรงตัดสินพระทัยส่งพระธิดาองค์นี้ที่มีหลังคดโก่งจากการที่มีกระดูกสันหลังคดผิดไปจากปกติ และอาการเดินเหินกระโผลกกระเผลก ไปอยู่ในความดูแลของสองสามีภรรยาบารอนฟร็องซัวส์ เดอ ลินแยร์ และบารอนเนสอานน์ เดอ กูล็อง ขุนนางสองสามีภรรยาใจศรัทธา ผู้ไม่มีทายาทสืบสกุล

สองสามีภรรยาอ้าแขนต้อนรับเจ้าหญิงองค์น้อยด้วยความรักใคร่ประหนึ่งเป็นบุตรีแท้ ๆ ของตน และได้สอนเจ้าหญิงองค์น้อยในการศาสตร์ศิลป์แขนงต่าง ๆ ทั้งการเขียนกวี คณิตศาสตร์ วาดรูป เย็บปัก และเล่นเครื่องดนตรีลูต (พิณประเภทหนึ่ง) ฝั่งเจ้าหญิงองค์น้อยที่นับวันจะเจริญชันษาขึ้นในปราสาทแห่งลีแยร์ ก็ตระหนักดีเสมอว่าตัวเองนั้นไม่ได้เหมือนกับเด็กหญิงคนอื่น ๆ ที่วิ่งเล่นตามทุ่งหญ้าจากหมู่บ้านรอบ ๆ ปราสาท แต่ตัวท่านก็ไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจต่อชะตาอันอาภัพ ทั้งยอมรับร่างกายอันอ่อนแอ การดูถูก ความอัปยศไว้อย่างเงียบ ๆ

ปราสาทลีแยร์

จนเมื่อท่านเจริญชันษาได้ 6 ชันษาบ้างว่า 7 ชันษา พระชนกของท่านที่ดูไม่เหลียวแลท่านก็ทรงอนุญาตให้ท่านเลือกคุณพ่อวิญญาณของท่าน และทุกคนก็ต้องประหลาดใจในปรีชาญาณของเจ้าหญิงผู้พิกลพิการองค์นี้นัก เมื่อแทนที่ท่านจะทูลตอบทันที ตรงข้ามท่านขอพระบรมราชานุญาตสวดภาวนาเสียก่อน ซึ่งฝั่งพ่ออยู่หัวหลุยส์เองก็ทรงมีพระบรมราชานุญาต ท่านจึงได้ทูลเรื่องนี้ต่อพระเป็นเจ้าในระหว่างมิสซา และก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “เดชะรอยแผลของพระบุตรของแม่ ลูกจะมีแม่” ท่านจึงเข้าใจทันทีว่าคุณพ่อวิญญาณของท่านจะต้องเป็นฟรังซิสกัน เพราะท่านนักบุญฟรังซิสได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ และคณะฟรังซิสเองก็เจริญชีวิตเพื่อเกียรติมงคลของแม่พระ ‘คุณพ่อฌอง เดอ ฟ็องเตน’ อธิการอารามฟรังซิสกันประจำเมืองอองบัวส์ ซึ่งอยู่ไกลออกไป คือคุณพ่อฟรังซิสกันองค์เดียวที่ท่านรู้จัก ท่านจึงเอ่ยนามของคุณพ่อองค์นี้ต่อพระชนก ซึ่งพระองค์ก็ไม่ทรงขัดค้อง และได้ทรงจัดรถม้าให้ไปรับคุณพ่อฌองมาฟังแก้บาปของท่านมิได้ขาด จนเวลาต่อมาท่านจึงได้สมัครเป็นฟรังซิสกันขั้นสาม นี่เองจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่รากแห่งจิตตารมณ์ฟรังซิสกันค่อย ๆ หยั่งลึกลงไปในชีวิตฝ่ายจิตของท่าน

ทุกวันขณะท่านเติบโตผ่านความทุกข์จากต้องห่างจากอ้อมอกพระชนนี และการปฏิเสธจากคนที่ได้ชื่อว่าพระชนกแท้ ๆ ท่านก็ยังคงแสดงออกถึงน้ำพระทัยที่อ่อนโยนและอดทนไม่เคยขาด ท่านยกถวายทุกความทุกข์และพลีกรรมทั้งหมดที่ท่านได้รับหรือกระทำต่อพระเจ้า ผู้ที่เชื้อเชิญท่านด้วยหนทางอันน่าพิศวง นอกนี้ท่านยังค้นพบบุคคลที่จะนำความปลอบประโลมมาสู่หัวใจที่เจ็บช้ำของท่าน คนที่พร้อมจะรับฟังท่านเสมอไม่ว่าเวลาไหน คนที่จะเป็นเสมือนมารดาอีกคน ซึ่งไม่มีวันจะปฏิเสธท่าน คนคนนั้นก็คือ ‘พระนางมารีย์ พระชนนีพระเจ้า’


ปราสาทลีแยร์เป็นปราสาทที่มีหอสังเกตการณ์หอใหญ่เป็นสง่า รายล้อมด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวตัดกับแม่น้ำที่ไหลผ่าน ซึ่งกันให้ท่านห่างจากเหตุการณ์ในเมืองหลวง ที่บริเวณปราสาทแห่งนี้มีวัดน้อยหลังหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่งสร้างขึ้นถวายเกียรติแด่พระนางมารีย์ อยู่บริเวณปีกซ้ายของตัววัดประจำปราสาท ที่นี่เป็นสถานที่แคบ ๆ ซึ่งควรจะเรียกว่าห้องมากกว่าวัด แต่เป็นสถานที่ที่ท่านเลือกใช้สวดภาวนายกจิตใจขึ้นหาพระเป็นเจ้าเป็นเวลานานสองนานอยู่เป็นประจำ จนเวลาต่อมาเมื่อบารอนฟร็องซัวส์ แต่บ้างก็ว่าพระชนกของท่านทราบเรื่อง จึงสั่งให้ข้ารับใช้ไปสร้างเตาผิงไว้ให้ในวัดน้อยนั้น เพื่อให้ความอบอุ่นกับท่านในช่วงฤดูหนาว จนปรากฏเป็นประจักษ์พยานมาถึงปัจจุบัน

ท่านรักที่จะสวดภาวนามาก ทุกวันท่านจะร่วมสวดภาวนากับสหายสนิท และยิ่งท่านเติบโตขึ้นเท่าไร ท่านก็ยิ่งค้นพบว่าการสวดภาวนาคือความสุขสำหรับตัวท่านมากเท่านั้น แม้ในทีแรกท่านจะทราบดีว่าพระชนกทรงรับสั่งมิให้ท่านสวดภาวนามาก แต่ท่านก็ไม่กลัว เช่นคราวหนึ่งท่านก็บอกกับนางอานน์
ท่านบารอนเนสที่รักของเรา ให้พวกเราไปและสวดภาวนาต่อองค์พระราชินีศรีสวรรค์ในวัดของพระนางกันเถิด
ไม่ ไม่พะยะค่ะ พระองค์เสด็จไปที่นั่นไม่ได้  เพราะทรงเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว และมันจะเป็นอันตรายแก่พระองค์เองนะพะยะค่ะ  นางอานน์ทูลค้าน
อา เรามั่นใจว่าต้องตรงกันข้ามแน่ ๆ เราจะรู้สึกดีขึ้นเยอะ เพราะไม่มีสุขใดสำหรับเราจะมากยิ่งไปกว่าการได้อยู่กับพระชนนีพระเจ้า ท่านตอบ
ช้าก่อนพระองค์ พระองค์มิทราบดอกหรือว่าพ่ออยู่หัวทรงห้ามพระองค์ไม่ให้ทำคารวะกิจศรัทธาพิเศษต่าง ๆ ไว้  นางอานน์ค้านอีกครั้ง

"...พระเป็นเจ้านั้นเหนือพระองค์"

“การที่พ่ออยู่หัวจะทรงปกป้องเรานั้นเป็นสิ่งดี แต่มันมากเกินไป และถึงแม้พระองค์ก็ทรงมีพระราชประสงค์จะให้เป็นเช่นนั้น เราก็ไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงทำสิ่งนี้ได้ เพราะพระเป็นเจ้าเป็นเจ้าเหนือพระองค์” ท่านตอบอย่างไม่ลดละ ฝ่ายนางอานน์เมื่อเห็นว่าไม่อาจรั้งท่านได้ นางจึงตัดสินใจพาท่านไปวัดน้อยที่ท่านชอบมา ที่นั่นบนหัวเข่าน้อย ๆ ท่านคุกเข่าลงพร้อมสายประคำในมือคู่น้อย แล้วเริ่มสวดภาวนาด้วยอากัปกริยาดุจเดียวกับบรรดาทูตสวรรค์ ก่อนเงียบเพื่อคอยฟังคำตอบของคำถามบางประการจากสวรรค์… ท่านเฝ้ารอคำตอบนี้จนถึงล่วงถึงปี ค.ศ.1471 ที่พระชนกของท่านก็มีพระบรมราชโองการให้มีการสวดบทวันทามารีย์เพื่อสันติภาพตลอดทั่วพระราชอาณาจักร ซึ่งแน่นอนตัวท่านมีความศรัทธาเป็นพิเศษต่อแม่พระ เมื่อทราบก็เร่งปฏิบัติตามด้วยความร้อนรนระคนยินดี

วันหนึ่งในปีนั้นเอง ขณะท่านมาสวดภาวนาอยู่ที่ประจำของท่าน ด้วยคำถามซ้ำ ๆ ที่ว่า “โอ้พระมารดาของหนู โปรดสอนหนูเถิดว่าหนูต้องทำเช่นไรท่านถึงจะพอพระทัย” คราวนี้ท่ามกลางความเงียบ พลันก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นภายในตัวท่าน เสียงที่จะกำหนดชะตาชีวิตทั้งหมดของท่าน ซึ่งเป็นชะตาที่สวนทางอย่างชัดเจนกับชะตาที่พระราชบิดาของท่านทรงกำหนดไว้ตั้งแต่ท่านยังไม่รู้ความ แต่แท้จริงกลับเป็นชะตาที่ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ท่านได้ปฏิสนธิในครรภ์โดยพระเจ้า นั่นคือการถวายชีวิตรับใช้พระเจ้าทั้งครบในฐานันดรของนักบวช มิใช่เจ้าหญิงผู้เป็นชายาของเจ้าชายองค์ใดองค์หนึ่งบนโลกนี้ หากแต่เป็นพระราชาแห่งสวรรค์ เสียงนั้นดังว่า “ลูกน้อยของแม่ อย่าร้องไห้ไป วันหนึ่งลูกจะได้ไปจากโลกที่มีแต่อันตรายน่าหวาดกลัว และลูกก็จะก่อตั้งคณะที่ใฝ่หาแต่บทเพลงสรรเสริญพระเจ้า และสัตย์ซื่อต่อการเดินตามรอยเท้าของแม่”


ท่านน้อมรับโชคชะตานี้และเก็บมันไว้ภายในใจ ในขณะที่เวลาแห่งชีวิตหมุนผ่านไป ดุจเดียวพระนางมารีย์ทรงน้อมรับการเป็นมารดาของพระวจนาถต์ไว้ แม้ในกาลต่อมาเมื่อพระราชินีมาร์กาเร็ต แห่ง อองฌู พระราชินีแห่งอังกฤษ ซึ่งมาประทับลี้ภัยที่ราชสำนักฝรั่งเศสพร้อมพระโอรส ผู้ทรงแลเห็นจิตใจที่งดงามของท่าน จะทรงอยากได้ท่านมาเป็นลูกสะใภ้สักคน จนถึงขั้นออกปากชวนท่านว่า
“เจ้าหญิงน้อยที่รักของฉัน เธออยากเป็นลูกสาวของฉันไหม”
“โอ้ อยากสิคะ ท่านผู้หญิงคะ หนูต้องการให้ท่านเป็นมาก ๆ เลยค่ะ และหนูก็จะได้ช่วยบรรเทาความทุกข์ของท่านได้เล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง แต่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้สำหรับหนู…” ท่านทูลตอบ
“ทำไมละ ก็ฉันจะยกลูกของฉันให้แต่งงานกับเธอไงละ” พระนางมาร์กาเร็ตตรัส
“โอ้ ก็เพราะหนูไม่ต้องการแบบนั้นไงคะ … เจ้าชายไม่อาจจะเทียบเคียงพระเป็นเจ้าผู้แสนดีได้ค่ะ” ท่านทูลตอบตามความเป็นจริง (ในเวลาต่อมาพระนางมาร์กาเร็ตได้เล่าเรื่องนี้ให้พระชนกของท่านฟังด้วยความโทมนัส ผิดกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 ที่ทรงรับฟังด้วยท่าทีไม่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก)

ท่านดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายในลินแยร์ กระทั่งมีวัย 9 ชันษา ชีวิตของท่านมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ โดยมันเริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคม ค.. 1473 เมื่อเจ้าชายฟรังซัวส์ พระอนุชาของท่านสิ้นพระชนม์ลงด้วยพระชันษาไม่ถึงขวบปี ทำให้พ่ออยู่หลุยส์ที่ 11 เหลือรัชทายาทสืบสันตติวงศ์เพียงองค์เดียวนั่นคือ เจ้าชายชาร์ล พระองค์จึงตัดสินพระทัยดำเนินนโยบายสร้างพันธมิตรทางการเมืองของพระองค์ต่อ (บ้างว่าทรงต้องการตัดการสืบสกุลของตระกูลออร์เลอ็อง ซึ่งเป็นตระกูลคู่แข่งของตระกูลวาลัว ซึ่งพระองค์สืบสกุล) ผ่านการสยุมพรของพระราชธิดาทั้งสองพระองค์ นั่นคือของท่านและของพระเชษฐภคินีของท่าน โดยพระองค์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในสัญญาวิวาห์ระหว่างท่านและหลุยส์ แห่ง ออร์เลอ็อง ขณะทรงประทับ ณ เมืองฌาร์ชู ในวันที่ 8 ตุลาคม ปีเดียวกัน พร้อมมอบสินสอดทองหมั้นเป็นจำนวนเงินถึงหนึ่งแสนเอซู (เงินเหรียญฝรั่งเศส) พร้อมกันนี้ทรงประกาศก้าวว่าใครก็ตามที่บังอาจจะขัดขวางแผนการครั้งนี้ ก็อย่าหวังจะได้มีชีวิตต่อไปใต้อาณาจักรของพระองค์


ฝั่งนางมารี เดอ คลีฟส์ มารดาของหลุยส์เมื่อทราบ นางก็เป็นทุกข์แทนบุตรของตนยิ่ง นางทั้งไม่พอใจต่อการตัดสินใจคราวนี้ นางอยากจะประท้วง อยากจะปล่อยโฮออกมา แต่ก็ต้องสะกดกลั้นอารมณ์ต่าง ๆ ไว้ภายในเพราะความกลัวตายจากอาญาแผ่นดิน เพราะอีกฝั่งหาใช่คนธรรมดาแต่เป็นถึงกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส เจ้าชีวิตของทุกชีวิตในแผ่นดินนี้ ฝั่งหลุยส์ ดยุกหนุ่มก็ไม่ได้มีสภาพต่างกัน เขาถูกขู่เช่นกันว่าหากเขาไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของกษัตริย์ เขาก็จะถูกจับยัดใส่ถุง แล้วเอาไปทิ้งลงแม่น้ำ สถานที่ที่ใครจะไม่ได้ยินเสียงของเขาอีกต่อไป

เมื่อจัดการเรื่องเจ้าบ่าวได้แล้ว พ่ออยู่หัวหลุยส์ที่ 11 ก็ทรงมีรับสั่งให้บารอนแห่งฟร็องซัวส์นำตัวท่านมาเข้าเฝ้าที่เมืองเปลสซี มีบันทึกถึงเวลานั้นว่าขณะท่านกำลังเสด็จข้ามลานเพื่อมาเข้าเฝ้าพระราชบิดา พระเจ้าหลุยส์ที่ 11 ทรงทอดพระเนตรเห็นท่านจากทางหน้าต่างบานหนึ่ง พระองค์ก็ทรงอุทานออกมาว่า “เราไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ” ตัวท่านในวัย 9 ชันษาสั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่ออยู่เบื้องหน้าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพระชนก กระทั่งทราบว่าพระชนกจะให้ท่านเข้าพิธีวิวาห์กับหลุยส์ แห่ง ออร์เลอ็อง ท่านก็หักความกลัวในใจแล้วทูลต่อพระชนกว่าท่านปรารถนาเพียงจะได้ถวายชีวิตทั้งครบแด่พระเจ้า แต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 11 ก็ทรงตัดบทขึ้นโดยเร็วว่า เจ้าต้องเข้าพิธีเสกสมรสกับเจ้าชายที่เราเลือกไว้ให้เจ้า เราต้องการให้เป็นไปเช่นนี้ เจ้าได้ยินชัดไหม อย่าเอ่ยอะไรออกมาอีก เหตุนี้ท่านจึงต้องสะกดความปรารถนาไว้แต่ในใจเงียบ การเข้าเฝ้าคราวนั้นเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และเต็มไปด้วยความเย็นชา ก่อนพระองค์จะส่งท่านกลับไปลินแยร์เพื่อเตรียมเข้าพิธีต่อไป

 

งานมงคลสมรสของทั้งสองมิได้มีขึ้นในทันที เหมือนเช่นกรณีของพระเชษฐภคินีของท่านที่แม้จะหมั้นหลังท่าน แต่ก็ได้เข้าพิธีมงคลสมรสไปก่อน เพราะหากลองไล่ตามลำดับเครือญาติของคู่บ่าวสาวคู่ใหม่ จะพบว่าทั้งสองคนมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน และตัวพ่ออยู่หัวหลุยส์ที่ 11 เองก็มีฐานะเป็นพ่อทูนหัวของหลุยส์ จึงต้องมีการเดินเรื่องขออนุมัติจากองค์สมเด็จพระสันตะปาปาเสียก่อน มีเรื่องเล่ากันว่าก่อนจะมีพิธีสมรส นางมารี เดอ คลีฟส์ก็ตัดสินใจพาหลุยส์เดินทางไปยังปราสาทลินแยร์ เพื่อพบอนาคตลูกสะใภ้ของตน ฝั่งท่านบารอนฟรังซัวส์เมื่อทราบ ก็พยายามช่วยท่านเท่าที่ทำได้ เขาพยายามจัดให้ท่านสวมชุดที่ดีที่สุด แม้มันจะไม่ใช่อาภรณ์ที่สมพระเกียรติซึ่งตัดเย็บจากผ้ากำมะหยี่หรือไหมชั้นเลิศ เพื่อพบกับว่าที่แม่สามี แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเลย เพราะเพียงแค่นางมารีได้แลเห็นลักษณะการเดินกระเผลก ๆ หลังที่ค่อมลงและร่างกายขี้โรคของท่าน นางก็แทบจะสิ้นสติลงด้วยความโทมนัส “อนิจจา นี่ลูกของฉันต้องมาแต่งกับหญิงพิการหรือนี่” นางรำพันออก ส่วนหลุยส์ อนาคตเจ้าบ่าวเอง ตั้งแต่วันที่พบท่านอีกครั้งก็ทุกข์ใจไม่แพ้กัน ทุกครั้งที่มีใครก็ตามพูดถึงเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ เขาจะอดตระหนก และหลบออกไปร่ำไห้พลางบ่นออกมาอย่างอัดอั้นไม่ได้ ว่า “ให้ข้าตาย ๆ ไปเสียจะดีกว่า”

ที่สุดหลังจากเฝ้ารอมาอย่างยาวนานในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1476 สมเด็จพระสันตะปาปาซิกตุสที่ 4 ก็ทรงอนุมัติพิธีมงคลสมรสระหว่างหลุยส์และฌาน ดังนั้นในวันที่ 8 กันยายน ปีเดียวกัน หลุยส์ในวัย 14 ปี และท่านในวัย 12 ปี จึงได้เข้าพิธีเสกสมรส ณ วัดน้อยปราสาทมองตริชาร์ด พิธีในวันนั้นดำเนินไปโดยไร้เงาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 และนางมารี เดอ คลีฟส์ เพราะนางตัดสินใจไปร่วมงานแต่งงานของลูกสาวตนในวันเดียวกันแทน ส่วนคู่บ่าวสาวเจ้าของพิธีเองก็ไม่ได้มีสีหน้าแช่มชื่นเหมือนคู่บ่าวสาวอื่นโดยทั่วไป เพราะทั้งต่างซ่อนความทุกข์ไว้ในตัวของทั้งคู่ แต่เป็นความทุกข์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งเป็นความทุกข์จากการต้องมีภรรยาสภาพทุพลภาพ แต่อีกคนเป็นความทุกข์จากการที่ตนไม่อาจได้ติดตามรับใช้พระเจ้าในฐานะนักบวช นี่จึงเป็นวิวาห์ที่แสนเศร้าโดยแท้

งานวิวาห์ที่แสนเศร้า

ในงานเลี้ยงฉลองการเริ่มต้นครั้งใหม่ของชีวิตคู่ หลุยส์ไม่แตะต้องอาหาร เขาเอาแต่เหม่อลอยพร้อมร้องไห้ให้กับชะตาชีวิตที่เขาคิดว่าบัดซบอยู่เนือง ๆ ส่วนตัวของฌานเองก็ไม่ต่างกันเท่าไร เพราะตลอดเวลาท่านก็ไม่ได้มีความสุขที่จะต้องแต่งงานกับหลุยส์ แต่ท่านไม่ได้ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาตามใจ ตรงข้ามท่านเลือกที่จะสะกดมันไว้ สมกับที่มีสายเลือดขัตติยะ พร้อมเปิดหัวใจที่จะรักชายคนนี้ตามพระประสงค์ของพระชนก จนยากที่คนภายนอกจะเข้าใจได้ถึงความเศร้าที่ซ่อนอยู่ในความเงียบงันนั้น และนี่เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของกางเขนอีกประการที่ท่านต้องแบก เพราะในเวลาที่ท่านเลือกจะเปิดหัวใจที่มีไว้เพื่อชายเพียงผู้เดียว คือ โอรสของพระนางมารีย์ เพื่อรักชายหนุ่มที่ถูกบังคับให้แต่งงานด้วย คู่ครองของท่านกลับที่เลือกที่จะปิดหัวใจของเขาไว้อย่างสนิท 

กางเขนต่อไปที่ชีวิตของราชธิดาผู้นี้จะต้องเผชิญจากชายผู้ที่บัดนี้ได้ชื่อว่าเป็นสามีจะเป็นอย่างไรต่อไป หยาดน้ำตาเท่าไรที่ต้องสูญเสีย เพื่อพบแสงสว่างเบื้องหลังกางเขน พระเจ้าจะทรงทำเช่นไรเพื่อให้เจ้าสาวของพระองค์จากโลกที่แสนโหดร้ายนี้ไป จะเป็นความตายของท่าน หรือของสามีของท่าน หรือเป็นการกลับใจของสามีผู้มีใจด้านชา เหมือนเรื่องราวของนักบุญหลายองค์ที่ได้มีโอกาสสมรสอย่างไม่เต็มใจ วิธีการใดที่พระเจ้าจะทรงพาเจ้าสาวของพระองค์ไปตามพระสัญญาที่พระมารดาของพระองค์ได้ตรัสกับเจ้าสาวคนนี้ของพระองค์ 


"ข้าแต่ท่านนักบุญฌาน แห่ง วาลัวส์ ช่วยวิงวอนเทอญ"

ลำนำ ณ นั่งร้านของ 'มรณสักขีแห่งกมเปียญ' ตอนแรก

  นักบุญมรณสักขีแห่งกมเปียญ St. Martyrs of Compiègne วันฉลอง: 17 กรกฎาคม ‘เลาดาเต โดมินัม โอมเนส เซนเทส’ (นานาชาติเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์...