วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ลำนำ ณ นั่งร้านของ 'มรณสักขีแห่งกมเปียญ' ตอนแรก

 

นักบุญมรณสักขีแห่งกมเปียญ
St. Martyrs of Compiègne
วันฉลอง: 17 กรกฎาคม

‘เลาดาเต โดมินัม โอมเนส เซนเทส’ (นานาชาติเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด) เสียงหญิงสาวผู้เป็นนวกเณรีดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบงับของฝูงชนมากมายที่มารอดูการประหาร ภายหลังจากชื่อของเธอได้ถูกเรียกให้ก้าวขึ้นสู่กิโยตินที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เธอค่อย ๆ ขับส่วนต้นของท่วงทำนองจากเพลงสดุดีที่ 117 ที่มีเนื้อหาเชิญชวนนานาชาติสรรเสริญพระเจ้าอย่างอาจหาญ ในขณะที่เธอค่อย ๆ ก้าวเท้าขึ้นไปบนนั่งร้านที่ตั้งของเครื่องประหารที่กำลังจะปลิดชีวิตของเธอให้ขาดสะบั้นลงพร้อมศีรษะอย่างไม่เกรงกลัว บรรดาหญิงสาวที่เหลืออยู่ข้างล่าง ซึ่งกำลังจะมีชะตากรรมไม่ต่างจากหญิงสาวผู้กำลังร้องบทเพลง จึงพร้อมใจกันกับร้องรับขับทำนองเพลงร่วมกับหญิงสาวว่า ‘เลาดาเต เออุม โอมเนส โปปูลี..’ (ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงเทิดทูนพระองค์เถิด เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ต่อเรานั้นช่างยิ่งใหญ่ และความซื่อสัตย์ของพระยาห์เวห์ดำรงอยู่เป็นนิตย์) เป็นจังหวะไล่เลี่ยกับที่เสียง ‘ฉับ !’ ซึ่งมอบการพักผ่อนตลอดนิรันดร์กาลในสวรรค์ให้กับร่างของหญิงสาว ผู้เป็นต้นเสียงและน้องน้อยสุดของบรรดาผู้ถูกประหารชีวิตในวันนี้นามว่า ‘กงสตังซ์’ ในพริบตา

กลุ่มของหญิงสาวที่พร้อมใจกันร้องบทเพลงสดุดีที่ 117 อย่างกล้าหาญในเวลาที่น่าประหวั่นที่สุดของชีวิตเหล่านี้เป็นใคร พวกเธอกระทำผิดอันใดถึงจะต้องถูกประหารชีวิตด้วยคมกิโยตินเช่นนี้ การจะเข้าใจและทราบเรื่องราวของพวกเธอทั้งหมดจะต้องย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วก่อนหน้าเหตุการณ์นี้ เมื่อผลของความเหลื่อมล้ำแบบสุดขั้วที่เกิดขึ้นระหว่างชนชั้นสูงและชนชั้นล่างในประเทศฝรั่งเศส ภายใต้การดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ต่อปัญหาที่สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยพระราชบิดาของพระองค์และปัญหาที่เกิดขึ้นในสมัยของพระองค์ ได้ผลักดันให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ชาวฝรั่งเศสจำนวนมากทั้งกลุ่มปัญญาชนและสามัญชน จนนำไปสู่การลุกขึ้นต่อสู้ของกลุ่มคนเหล่านี้กับระบบการปกครองที่ไม่เป็นธรรมที่เอื้อให้ชนชั้นสูงและนักบวชในพระศาสนจักรแสวงหาความเหนือกว่าชนชั้นล่าง จนกลายมาเป็น ‘เหตุการณ์การปฏิวัติฝรั่งเศส’ (5 พฤษภาคม ค.ศ. 1789 - 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1799) ที่ทำให้เกิดการยกเลิกระบบเจ้าที่ดิน (ระบบฟิวดัล) ในประเทศฝรั่งเศสในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1789 และการเข้ามามีอำนาจในสภาการปกครองของกลุ่มคนที่สนับสนุนความเสมอภาคเท่าเทียมกัน พร้อม ๆ กับการลดลงของอำนาจระบอบกษัตริย์ในฝรั่งเศส

แผนที่อารามคาร์แมล เมืองกมเปียญ ค.ศ. 1642 (สี่เหลี่ยมด้านบน)
ปัจจุบันอารามเมืองกมเปียญมิได้ตั้งอยู่ตำแหน่งเดิมแล้ว

พร้อมกันนั้นนอกเหนือจากการย้อนไปยังเหตุการณ์เมื่อ 5 ปีที่แล้ว การจะไขคำตอบของเรายังต้องเดินทางออกจากกรุงปารีสขึ้นไปทางตอนเหนือประมาณ 72 กม. ไปยัง ‘อารามแม่พระรับสาร กมเปียญ’ อารามของภคินีคณะคาร์เมไลท์ไม่สวมรองเท้าที่ตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1641 ที่เมืองกมเปียน จ. อวซ แคว้นโอดฟร็องส์ ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส อารามแห่งนี้นอกจากจะมีความเจริญขึ้นตามลำดับนับตั้งแต่ก่อตั้งอารามและมีชื่อเสียงในเรื่องความร้อนรนและความเคร่งคัด รวมถึงได้รับการอุปถัมภ์ของพระราชินีแห่งฝรั่งเศสมาโดยตลอด อารามหลังนี้ยังมีเรื่องเล่ากันในอารามว่า ใน ค.ศ. 1693 สมาชิกคนหนึ่งของอารามชื่อ มาเซอร์เอลิซาเบธ บัพติสต์ ได้ฝันเห็นสมาชิกในอารามหลังนี้เกือบทั้งหมด เว้นแต่เพียงสองสามคนสวมผ้าคลุมตัวสีขาว ในมือถือใบปาล์มสัญลักษณ์ของการเป็นมรณสักขี ได้ติดตามลูกแกะของพระเจ้าไปจนถึงสิริรุ่งโรจน์แห่งสวรรค์ เรื่องนี้อยู่ในความรับรู้ของสมาชิกในอารามมาโดยตลอด ควบคู่กับคำถามที่ว่า โอกาสไหนพวกเขาถึงจะมีโอกาสได้ถวายตนเป็นมรณสักขีตามความฝันนี้ กระทั่งวันเวลาล่วงเลยมาร่วมร้อยปีถึงปลายศตวรรษที่ 18 เค้าลางของความจริงถึงความฝันนี้จึงปรากฏขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์การปฏิรูปฝรั่งเศสในอีกร้อยปีต่อมา

ในบริบทของความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคม นอกจากการลดอำนาจของชนชั้นสูง คณะปฏิวัติที่เล็งเห็นว่าอำนาจหนึ่งในระบอบเก่า ที่จำเป็นต้องถูกลดลงในการบริหารประเทศ คือ อำนาจของพระศาสนจักรในฝรั่งเศส นี่เองทำให้ในวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1789 สมัชชาแห่งชาติซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในช่วงเวลานั้น จึงได้มีคำสั่งให้ระงับการประกอบพิธีปฏิญาณตนภายในคณะนักบวชเป็นการชั่วคราว ก่อนที่เพียงไม่กี่วันถัดมา คือ ในวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1789 สมัชชาจึงได้ยกเลิกการสนับสนุนเงินให้แก่พระศาสนจักร และมีมติให้อาคารและที่ดินอันเป็นศาสนสมบัติให้ตกเป็นของรัฐ เพื่อที่รัฐจะนำที่ดินและอาคารเหล่านี้ไปค้ำประกันหนี้สาธารณะ แต่ก็ยังคงอนุญาตให้ผู้อยู่อาศัยในที่ดินและอาคารเหล่านั้นยังคงอยู่ต่อไปได้ ท่าที่ของรัฐเช่นนี้นับเป็นความเปลี่ยนแปลงแรกที่เข้ามายังอารามคาร์แมล เมืองกมเปียญ ซึ่งแม้จะยังไม่มากเนื่องจากท่าทีของรัฐฝรั่งเศส ยังมิได้เป็นปฏิปักษ์กับศาสนาอย่างชัดแจ้ง แต่ก็ไม่อาจจะละเลยได้ว่านี่คือก้าวแรกที่ทำให้เหตุการณ์ความฝันกว่าร้อยปีเริ่มปรากฏโครงร่างชัดเจนมากขึ้น


ผลของการดำเนินนโยบายภายใต้คณะปฏิวัติใน ค.ศ. 1789 ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสมาชิกอารามทั้งหมด เนื่องจากสมาชิกของอาราม ซึ่งมีที่มาจากหลากหลายชนชั้นในประเทศฝรั่งเศส ดังที่มีการบรรยายไว้ว่า “โดยรวมแล้ว อารามไม่ได้มีที่ทางพิเศษทางสังคมใด ๆ บิดาของพวกเธอมีทั้งช่างทำกระเป๋าถือ ช่างทำรองเท้า ช่างกลึง แรงงานรับจ้าง เสมียนตรา และเจ้าหน้าที่หอดูดาว มีเพียงคนเดียวที่เป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ และคนเดียวที่เป็นขุนนางชั้นสูง จึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นเชื้อสายชนชั้นสูง ในขณะที่ส่วนใหญ่เป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา” รวมจำนวนทั้งสิ้น 21 คน ประกอบด้วยภคินีภายในเขตพรต (choir nuns) 15 คน ภคินีภายนอกเขตพรต (lay sisters) 3 คน นวกเณรีที่เตรียมบวชเป็นภคินีภายในเขตพรต 1 คน และคนงานอีก 2 คน ยังคงได้รับอนุญาตให้ยังคงพำนักในอารามได้ดังเดิม ยกเว้นแต่เพียงนวกเณรีกงสตังซ์ แห่ง พระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นโนวิสเพียงคนเดียวของอารามที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความเปลี่ยนแปลงของรัฐ เพราะเธอไม่สามารถเข้าพิธีปฏิญาณตนครั้งแรกได้ตามข้อบังคับในเดือนตุลาคมของคณะปฏิวัติ ปัญหานี้สร้างความกังวลไม่น้อยให้กับคุณแม่เทแรส แห่ง นักบุญออกัสติน ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นคุณแม่อธิการในเวลานั้น

ล่วงเข้าสู่ ค.ศ. 1790 คณะปฏิวัติที่ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างสังคมแห่งเสรีภาพและเสมอภาพ จึงได้มีมติให้ยกเลิกคณะนักบวชและให้ถือว่าการปฏิญาณตนที่กระทำมาก่อนหน้านี้เป็นโมฆะในวันที่ 13 กุมภาพันธ์  เนื่องจากเสียงส่วนใหญ่ในสภามองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ขัดกับหลักเสรีภาพที่เป็นหัวใจของการปฏิวัติฝรั่งเศส แต่ยังอรุ่มอร่วยให้นักบวชที่สมัครใจจะเป็นนักบวชยังคงพำนักในอารามที่ตกเป็นสมบัติของรัฐต่อไปได้ และอีกห้าเดือนต่อมา คือ ในวันที่ 12 กรกฎาคม คณะปฏิวัติจึงได้ผ่านกฏหมาย ‘ธรรมนูญว่าด้วยชีวิตนักบวช’ (Constitution civile du clergé) ซึ่งมีใจความประกอบด้วยการยุบสังฆมณฑลและสมณศักดิ์ของนักบวชในประเทศฝรั่งเศสให้น้อยลง การกำหนดให้นักบวชทั้งประเทศเป็นผู้รับเบี้ยเลี้ยงจากรัฐผ่านการกล่าวปฏิญาณตนว่าจะภักดีต่อประเทศและจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส การอนุญาตให้นักบวชสามารถลาออกมาเป็นฆราวาสได้ และการกำหนดให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมีอำนาจในการกำกับดูแลนักบวชในเขตของตน

ภาพล้อเลียนผลการออกธรรมนูญว่าด้วยชีวิตนักบวช ภาพแสดงภาพของบรรดานักบวชชายหญิง
ที่ต่างออกมาเพลิดเพลินไปกับอิสรภาพที่ตนได้รับการธรรมนูญดังกล่าว มุมขวาบนภาพมีข้อความว่า
 ‘วันนี้ช่างน่ายินดีเสียนี่กระไร น้องสาวของฉัน แน่ทีเดียว ชื่ออันรื่นหูว่า คุณแม่ และ คุณภรรยา 
ช่างไพเราะกว่าชื่อ ซิสเตอร์ อยู่มากโข เพราะมันทำให้เธอได้สิทธิ์ตามธรรมชาติ รวมถึงพวกเราด้วย ’

ท่าทีของรัฐใน ค.ศ. 1790 นี้มิได้ส่งผลกระทบมากต่อหมู่คณะแห่งกมเปียญเช่นเดียวกับปีที่ผ่าน    ๆ มา จากหลักฐานปรากฏเพียงว่าในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1790 เจ้าพนักงานเมืองกมเปียญที่มีมุมมองต่อบรรดาสมาชิกในอารามหลังนี้ว่าเป็น ‘หญิงพรหมจารีผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกกักขัง ที่พวกเขาจะต้องไปช่วยเปิดประตูคุกที่คุมขังพวกเธอไว้’ ได้เดินทางมายังอาราม เพื่อถามความสมัครใจของบรรดามาเซอร์ในการจะเป็นนักบวชต่อไป (แง่หนึ่งเป็นความพยายามหว่านล้อมให้พวกมาเซอร์ลาออกจากการเป็นนักบวช) ซึ่งบรรดามาเซอร์ก็พร้อมใจยืนยันว่าแต่ละคนยินดีที่จะใช้ชีวิตเป็นนักบวชต่อไป ดังนั้นเจ้าพนักงานเมืองจึงได้ให้พวกเธอพำนักและใช้ชีวิตไปตามที่เคยปฏิบัติ ภายใต้การกำกับดูแลของเมืองกมเปียญต่อ และได้ให้พวกมาเซอร์จัดการเลือกตั้งคุณแม่อธิการและเหรัญญิกประจำอารามใหม่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ดังนั้นพวกมาเซอร์จึงได้จัดการเลือกตั้งดังกล่าวในเดือนกุมภาพันธ์ ปีถัดมา โดยผลการเลือกตั้งก็เป็นไปอย่างเอกฉันท์ คือ คุณแม่เทแรส แห่ง นักบุญออกัสตินได้รับเลือกให้เป็นคุณแม่อธิการดังเดิม ส่วนเซอร์มารี อ็องเรียตต์ แห่ง พระญาณสอดส่องได้รับเลือกให้เป็นเหรัญญิก

ดังนั้นสถานการณ์ของอารามเมืองกมเปียญในภาพรวม จึงดำเนินต่อไปอย่างที่เคยเป็นมาก่อนเหตุการณ์ปฏิวัติ ยกเว้นแต่เพียงการไม่มีอำนาจในการจัดพิธีปฏิญาณตนให้สมาชิกใหม่อย่างนวกเณรีกงสตังซ์ ทำให้เธอต้องอยู่ในสภาพนวกเณรีต่อไป แม้จะถึงเวลาที่เหมาะสมจะได้เข้าพิธีปฏิญาณตนแล้วก็ตาม แต่กระนั้นก็ตามแม้ความหวังในการปฏิญาณตนของเธอจะพล่าเลือนเช่นนี้ เธอก็ยืนยันที่จะใช้ชีวิตร่วมกับหมู่คณะต่อไป แม้จะถูกครอบครัวเกลี้ยกล่อมให้กลับมาอยู่บ้าน และต้องอยู่ในสถานภาพนวกเณรีอย่างไม่รู้อนาคต เธอยังคงยืนหยัดในกระแสเรียกที่เธอเลือกต่อไป คุณแม่เทแรสได้เขียนบอกเล่าเรื่องราวนี้ให้อดีตโปสตุลันต์ของอารามฟังว่า “บัดนี้พวกเขา (ครอบครัวของกงสตังซ์) ไม่ปรารถนาจดหมายหรือฟังคำพูดจากเธออีกแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาตให้เป็นไปเช่นนี้เพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงความมั่นคงของเธอ และเธอก็มีความสุขหากพวกเขาจะปล่อยเธออยู่ในสันติเหมือนตอนนี้ เธอหวังว่าพระเจ้าผู้แสนดีจะสัมผัสหัวใจของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะมองดูความเพียรพยายามของเธอโดยไร้ซึ่งความเศร้าโศก”


ภาพบุญราศีโนเอล ปีโนต หนึ่งในพระสงฆ์ที่ไม่ยอมสาบานตนต่อรัฐถวายมิสซาอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ
ให้กับสัตบุรุษที่ยังคงยึดมั่นในพระศาสนจักร ท้ายที่สุดท่านถูกจับและถูกประหารชีวิตด้วยกิโยติน ใน ค.ศ. 1794

ภายหลังการจัดการเลือกตั้งคุณแม่อธิการอารามตามคำสั่งของเจ้าพนักงานเมืองกมเปียญ เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นต่อมา แต่มิได้มีผลกระทบทันทีต่ออารามหลังนี้ คือ ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1791 สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 6 ทรงเล็งเห็นว่าข้อกำหนดในธรรมนูญว่าด้วยชีวิตนักบวช ที่ระบุว่านักบวชจะต้องกล่าวคำสาบานแสดงความภักดีต่อประเทศชาติว่า ‘จะถือซื่อสัตย์ต่อชาติ กฏหมาย และพระมหากษัตริย์ และธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญด้วยกำลังทั้งสิ้น’ นั้นเอื้อให้รัฐบาลฝรั่งเศสมีอำนาจในการเข้ามาควบคุมและสร้างความเป็นประชาธิปไตยให้กับพระศาสนจักรในฝรั่งเศสแทนอำนาจจากกรุงโรมที่เป็นอำนาจหลักในการดูแลสมาชิกในพระศาสนจักร ความเหลื่อมซ้อนของอำนาจเช่นนี้สร้างความไม่สบายพระทัยให้พระองค์ พระองค์จึงได้ทรงออกพระราชสาส์นประนามธรรมนูญดังกล่าว และสั่งห้ามนักบวชมิให้ออกสัตย์สาบานตามธรรมนูญนี้ เป็นผลให้นักบวชในฝรั่งเศสแตกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่กล่าวคำสาบานและกลุ่มที่ปฏิเสธที่จะกล่าวคำสาบาน ซึ่งกลุ่มหลังจะถูกกดดันโดยรัฐให้ยอมกล่าวคำสาบาน ผ่านการปลดพวกเขาจากตำแหน่งแล้วแทนที่ด้วยนักบวชที่ยินดีสาบาน การเนรเทศ และการลงโทษด้วยวิธีการต่าง ๆ พวกเขาจึงต้องคอยหลบซ่อน ๆ เพื่อคอยรับใช้พระศาสนจักรที่ยังคงยึดมั่นในอำนาจของพระสันตะปาปาต่อไป

จังหวะเดียวกันกับที่พระศาสนจักรสากลมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับคณะปฏิวัติฝรั่งเศส ในช่วงปีเดียวกันราชวงศ์ออสเตรียและราชวงศ์ปรัสเซียก็เริ่มมีความกังวลต่อสถานการณ์ที่ระบอบกษัตริย์ถูกลดทอดอำนาจลงในฝรั่งเศสจะส่งผลต่อสถานภาพของระบอบกษัตริย์ในดินแดนที่ตนปกครอง ทั้งสองราชวงศ์จึงได้ร่วมมือกันส่งกองทหารเข้ามาประจำที่ชายแดนส่วนที่ติดกับฝรั่งเศส และยื่นคำขาดไม่ให้คณะปฏิวัติกระทำอันตรายใด ๆ ต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารี อองตัวเน็ต เป็นผลให้คณะปฏิวัติเกิดความไม่พอใจและเมื่อการเจรจาให้ทั้งสองอาณาจักรถอนกำลังทหารออกไปไม่สำเร็จ คณะปฏิวัติจึงใช้อำนาจที่ตนมีประกาศสงครามกับทั้งสองอาณาจักรในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1792 และเริ่มมีความหวาดระแวงว่าพระศาสนจักร โดยเฉพาะกลุ่มนักบวชที่ไม่ยอมสาบานตนจะเป็นไส้ศึกภายในประเทศ เนื่องจากในเวลานั้นกระแสความคิดหนึ่งที่ทรงอิทธิพลภายในสังคมฝรั่งเศส คือ การมีอยู่ของข้าศึภายในชาติ นี่เองทำให้สถานภาพการเป็นปฏิปักษ์ของพระศาสนจักรในฝรั่งเศสยิ่งปรากฏเด่นชัดขึ้น และเป็นตัวเร่งให้คณะปฏิวัติเกิดการตัดสินใจเปลี่ยนท่าที่ที่ลอมชอมในช่วงปีแรก ๆ หลังการสามารถยึดอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ เป็นแข็งกร้าวมากขึ้นต่อพระศาสนจักรในฝรั่งเศส

เหตุการณ์สังหารหมู่เดือนกันยายน

ในเวลาที่คณะปฏิวัติประกาศสงครามกับสองอาณาจักรนั่นเอง เมื่อพ้นปัสกา ค.ศ. 1792 ไปได้เพียงสองสัปดาห์ ‘กิโยติน’ นวัตกรรมใหม่เพื่อการประหารที่สอดคล้องไปกับแนวคิดของรัฐในเวลานั้นจึงถูกตั้งขึ้นในกรุงปารีส สร้างความหวาดกลัวไปทั่วฝรั่งเศส ไม่เว้นแม้แต่ในอารามเมืองกมเปียญ การปรากฏขึ้นของเครื่องประหารชนิดใหม่นี้ปลุกความคิดของบรรดามาเซอร์ถึงเรื่องการเป็น ‘มรณสักขี’ ให้ปรากฏโครงร่างขึ้นมา และเพียงไม่กี่เดือนความคิดนี้ก็ยิ่งจะแจ่มชัดขึ้นในมโนสำนึกของบรรดามาเซอร์ เมื่อภายใต้บริบทของความคลางแคลงใจต่อการที่จะมีคนในชาติเองที่เป็นหนอนบ่อนไส้ให้ศึกที่กำลังเกิดขึ้นนอกประเทศ สมัชชาแห่งชาติได้ประกาศให้พลเมืองชาวฝรั่งเศสทุกคนที่รับเบี้ยเลี้ยงจากรัฐจะต้องกล่าวสาบานลีแบร์เต เอการิเต ซึ่งกำหนดให้ทุกคนจะต้องจงรักภักดีต่อชาติและธำไว้ซึ่งเสรีภาพและความเสมอภาพหรือยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องสิ่งเหล่านี้ในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1792 ก่อนที่จะตามมาด้วยการสั่งปิดอารามนักบวชทุกแห่งในฝรั่งเศสในอีกสามวันถัดมาเพื่อนำไปขายทอดตลาด และการจับกุมบุคคลต้องสงสัยว่าจะเป็น‘ศัตรูของสาธารณรัฐ’ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนักบวชที่ไม่ยอมกล่าวสาบานในระยะต่อ ๆ มา ทั้งนี้เมื่อความหวาดระแวงภายในประเทศพุ่งสู่จุดสูงสุดในเดือนกันยายน จึงทำให้เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่เดือนกันยายน (September Massacres) ที่มีการสังหารผู้ที่ถูกจำคุกเนื่องจากเหตุผลดังกล่าวไปประมาณ 1,176 – 1,614 คน หนึ่งในกลุ่มนั้นคือพระสงฆ์ นักบวช และฆราวาสชายจำนวน 192 คน ที่เป็นที่รู้จักกันในนาม ‘กลุ่มมรณสักขีเดือนกันยายน’ (Holy September Martyts)

เมื่อมีการออกคำสั่งให้ปิดอารามทุกหลังในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1792 อารามเมืองกมเปียญที่เวลานี้เหลือสมาชิก 19 คน เนื่องจากภคินี 2 คน คือ เซอร์เอลิซาเบต แห่ง พระเยซูเจ้าพระแม่มารีย์ วัย 75 ปี ได้สิ้นใจไปใน ค.ศ. 1791 และเซอร์ปีแอร์ แห่ง พระเยซูเจ้า ได้สิ้นใจไปใน ค.ศ.1792 ได้จัดแบ่งสมาชิกออกเป็น 4 กลุ่ม โดยให้มีผู้นำคือ คุณแม่อธิการ คุณแม่รองอธิการ เหรัญยิก และภคินีอีกคน และพร้อมใจกันถอดชุดนักบวช แล้วสวมชุดฆราวาสตามคำสั่งของภาครัฐ ออกเดินทางจากอารามแยกกันไปอาศัยตามบ้านเรือนของผู้ใจบุญในละแวกใกล้เคียงกันตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน เป็นต้นไป ก่อนที่เมื่อได้ปรึกษากับพระสงฆ์ที่ยังคงจงรักภักดีต่อพระสันตะปาปาและเป็นดูแลพวกเธอแล้ว บรรดามาเซอร์จากอารามเมืองกมเปียญจึงพากันไปกล่าวสาบานลีแบร์เต เอการิเต ในวันที่ 19 กันยนยน ต่อหน้าเจ้าพนักงานเมืองกมเปียญ เป็นผลให้บรรดามาเซอร์เกือบทั้งหมดยังคงได้รับสิทธิ์ในการได้รับเบี้ยเลี้ยงจากรัฐต่อไป ยกเว้นแต่เพียงนวกกงสตังซ์ที่ไม่ได้รับสิทธิ์ดังกล่าว เนื่องจากเจ้าพนักงานเมืองกมเปียญไม่ถือว่าเธอเป็นนักบวชเต็มตัว เนื่องจากยังเป็นนวกเณรีอยู่ และยังคงสามารถเจริญชีวิตแบบนักบวชต่อไปได้อย่างไม่ถูกเพ็งเล็งหรือรบกวนโดยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง

วัดนักบุญอันตน เมืองกมเปียญ ในช่วงศตวรรษที่ 18 สถานที่ที่สมาชิกอารามคาร์แมล เมืองกมเปียญ
แอบเข้าไปร่วมมิสซา

เมื่อต้องแยกย้ายกันไปอยู่ตามบ้านแทนอารามที่มีเขตพรตอย่างชัดเจนเหมือนเก่าก่อน บรรดาธิดาของนักบุญเทเรซา เมืองกมเปียญทั้ง 19 คน ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะสัตย์ซื่อต่อธรรมนูญคณะที่พวกเธอยึดถือ ทุกคนต่างยึดมั่นในความเป็นนักบวชประเภทนักพรต แม้ในเวลานั้นพวกเธอจะมิได้สวมชุดนักบวช และการหาพระสงฆ์มาประกอบพิธีมิสซาให้จะเป็นเรื่องยากจนยังความทุกข์ใจบรรดาสมาชิกอารามเมืองกมเปียญ (พวกเธอสามารถร่วมมิสซาอย่างลับ ๆ ที่วัดนักบุญอันตนที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักได้เพียงไม่กี่เดือน โดยจะต้องแอบเข้าทางประตูเล็ก ๆ ทางตะวันออกของอาคาร) แต่มาเซอร์แต่ละคนก็มิได้ย่อท้อที่จะสวดทำวัตรตามเวลาที่กำหนด โดยในขณะที่บรรดาภคินีภายในเขตพรตเจริญชีวิตเพ่งพิศภาวนาอย่างร้อนรน บรรดาภคินีภายนอกเขตพรตก็ทำหน้าที่คอยจัดซื้ออาหารจัดสรรไปตามอารามชั่วคราวแต่ละหลัง และเนื่องจากที่พักของแต่ละกลุ่มไม่ห่างกันมากนัก สมาชิกทุกคนจึงยังคงมีการติดต่อกันอยู่ตลอด ไม่เพียงเท่านั้นพวกเธอทั้งหมดยังคอยให้การช่วยเหลือบรรดาสมาชิกขั้นสาม (ฆราวาส) และยังคงเปิดรับสมาชิกใหม่อยู่ตลอด และเป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ว่าภายใต้สภาวะการณ์เช่นนี้ ซึ่งกินเวลาถึงสองปี ความห่วงใยของคุณแม่เทแรส ที่รวมเข้ากับความร้อนรนของบรรดาสมาชิกทุกคนในการปฏิบัติตนได้ทำให้ชีวิตนักพรตแห่งกมเปียญยังคงดำเนินต่อไปอย่างมีชีวิตชีวา เหมือนเมื่อครั้งพวกเธอยังพำนักอยู่ในอาราม

วันเวลาล่วงมาถึงวันอาทิตย์ปัสกา ค.ศ. 1793 จะด้วยการดลใจของพระจิตเจ้าหรือมโนสำนึกที่ตกผลึกจากข่าวที่คุณแม่เทแรสได้ยิน คุณแม่ก็ระลึกได้ถึงคำทำนายของเซอร์เอลิซาเบธ บัพติสต์และได้ตระหนักว่า เวลานี้พระเป็นเจ้าได้ทรงเชิญชวนให้พวกเธอทุกคนได้ถวายตนเป็นมรณสักขีร่วมกัน และพร้อมกันได้ทรงเชื้อเชิญให้พวกเธอถวายตนเป็นยัญบูชา ‘เพื่อว่าสันติแท้ซึ่งพระคริสตเจ้าได้ทรงนำมาสู่โลกจะคืนสู่พระศาสนจักรและรัฐ’ คุณแม่จึงได้แจ้งเรื่องนี้กับสมาชิกทั้งหมด ผลปรากฏว่าสมาชิกส่วนใหญ่เห็นด้วยกับความคิดนี้และมีความยินดีที่จะปฏิบัติ มีเพียง เซอร์เดอ เยซุส ครูซิฟีเอ อายุ 76 ปี และเซอร์ชาร์ลอตต์ แห่ง การกลับคืนพระชนม์ชีพ อายุ 76 ปี ที่เกิดหวาดกลัวตัวสั่นต่อการจะทำเช่นนี้ เพราะระลึกว่าหากทำเช่นนี้แล้ว ชีวิตอันแสนสงบสุขกว่าห้าสิบปีของพวกเธอจะต้องจบลงด้วยความตายอันน่าสยดสยอง ทั้งสองจึงไม่เห็นด้วยต่อการตัดสินใจนี้และปฏิเสธเสียงแข็ง นอกจากสมาชิก 2 คนนี้ เราทราบว่าแท้จริงนอกจากทั้งสอง ยังมีสมาชิกบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยเท่าไรกับความคิดนี้แต่มิได้แสดงออกว่าปฏิเสธอย่างโจ่งแจ้ง ได้แก่เซอร์มารี แห่ง การรับเอากาย ที่ยอมรับทีหลังว่าตนรู้สึกกลัวที่จะต้องเป็นมรณสักขี นางสาวเทแรส ซอยรง ที่ร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว เซอร์ฌูลี หลุยส์ แห่ง พระเยซูเจ้าที่ยอมรับตามตรงว่า เธอมิได้รู้สึกยินดีกับคำเชิญชวนนี้เท่าไร แต่ด้วยความนบนอบเธอจึงไม่ได้ปฏิเสธ และนวกเณรีกงสตังซ์ ที่สารภาพกับคุณพ่อท่านหนึ่งว่า ครั้งหนึ่งเมื่อเธอได้เห็นกิโยติน เธอก็ทำให้เธอหวาดกลัวจนแทบจะคุมไม่อยู่ทีเดียว


อาคารที่บรรดามรณสักขีแห่งกมเปียญอาศัยหลบภัยก่อนถูกจับกุม

เมื่อคุณแม่เทแรสเห็นสถานการณ์เป็นไปดังนี้ คุณแม่จึงตัดสินใจที่จะล้มเลิกความคิดนี้เสีย แต่เพียงในเย็นวันนั้นสมาชิกทั้งสองที่ปฏิเสธอย่างเสียงแข็งก็ได้กลับกราบลงที่เบื้องหน้าคุณแม่เทแรสด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา เพื่อขออภัยต่อความอ่อนแอชั่ววูบที่พวกตนได้แสดงออกไป นี่เองทำให้ที่สุดสมาชิกในอารามเมืองกมเปียญทุกคนจึงได้ร่วมใจกันถวายตนเป็นยัญบูชาด้วยความเชื่อและความกล้าหาญ และได้หมั่นรื้อฟื้นการถวายตนนี้อยู่ทุกวันตลอดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต สิ่งนี้เองได้ช่วยทำให้ชีวิตนักพรตที่ต้องอยู่กันอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ของพวกเธอยิ่งได้รับการหล่อเลี้ยงให้มีชีวิตชีวา ไม่ต่างจากเมื่อครั้งพวกเธอยังอยู่ร่วมกันหลังกำแพงอารามเมืองกมเปียญ และเป็นการเตรียมจิตใจของพวกเธอ ‘บางคน’ ให้พร้อมที่จะตอบรับเสียงเรียกของมโนธรรม ที่ยืนยันถึงความจริงแท้ของสิ่งที่พวกเธอเชื่อ ซึ่งไม่ใช่มนุษย์ รัฐ กษัตริย์ หากแต่คือพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ที่พวกเธอได้ตัดสินใจเลือกเป็นสามีด้วยความสมัครใจ ในเวลาอันไม่ช้านี้

บนเส้นเวลาที่เคลื่อนไปพร้อม ๆ กับชีวิตในอารามชั่วคราวของบรรดาธิดาของนักบุญเทเรซา เมืองกมเปียญ ผลของการประกาศสงครามกับออสเตรียและปรัสเซีย และความพยายามเสด็จหนีออกจากฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในสมัชชาแห่งชาติ นั่นคือการขึ้นมามีอำนาจของคณะปฏิวัติ ‘ฝ่ายลามงตาญ’ (La Montagne) ซึ่งมีเป้าประสงค์ชัดเจนว่าต้องการล้มเลิกระบอบกษัตริย์อย่างราบคาบ แทน ‘ฝ่ายณีรงแด็ง’ (Girondin) ซึ่งมีเป้าประสงค์ให้ใช้ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และมีอำนาจในการบริหารประเทศในช่วงหลังการปฏิวัติ ในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1793 ผ่านการสนับสนุนของประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับทิศทางการบริหารของฝ่ายณีรงแด็ง และผ่านการขึ้นมามีอำนาจของคณะปฏิวัติสายลามงตาญนี้เอง ทำให้หน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยเป้าหมายเพื่อป้องกันประเทศจากศัตรูภายในและภายนอกอย่าง ‘คณะกรรมาธิการความปลอดภัยสาธารณะ’ (Comité de salut public , ก่อตั้งเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1793) ได้เข้ามามีบทบาทในการปราบปรามภัยต่อความมั่นคงของฝรั่งเศสอย่างรุนแรง จนทำให้ฝรั่งเศสก้าวเข้าสู่ ‘สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว’ (la Terreur, 10 กันยายน ค.ศ. 1793 – 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1794) ซึ่งมีการจับกุมผู้ต้องสงสัยมากกว่า 300,000 คน และถูกสังหารด้วยอาวุธปืน กิโยติน และวิธีการอื่น ๆ ถึง 50,000 คน

ภาพกบฏว็องเดที่ต่างมีสัญลักษณ์ดวงพระหฤทัยสีแดงติดไว้ที่อก

การเข้าสู่สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัวของฝรั่งเศส ไม่เพียงเกิดการกวาดล้างผู้ที่มีความเห็นต่างต่อการบริหารประเทศ แต่ยังเกิดการเบียนเบียนคริสต์ศาสนาอย่างหนักข้อมากยิ่งขึ้น ผ่านมโนทัศน์ที่มองว่าคริสต์ศาสนาเป็นภัยต่อความมั่นคงของสาธารณรัฐ จากการเป็นหนึ่งใน ‘อำนาจเก่า’ ภายใต้ระบอบกษัตริย์ ซึ่งมิติหนึ่งที่ไม่อาจละเลยที่จะพิจารณาได้ว่า ปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นและเร่งเร้าความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ของรัฐและพระศาสนจักรในช่วงเวลานี้ คือ การลุกฮือของชาวบ้านเมืองว็องเดที่เริ่มขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม ค.ศ. 1793 จากความไม่พอใจต่อการดำเนินงานของคณะปฏิวัติในเรื่องการเบียดเบียนศาสนาผ่านธรรมนูญว่าด้วยชีวิตนักบวช การประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และการเรียกเกณฑ์ทหารเพิ่มเติมเพื่อทำสงครามกับออสเตรียและปรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1793 จนเกิดเป็นสงครามภายในระหว่างรัฐและประชาชนในนาม ‘สงครามว็องเด’ (Wars of the Vendée) เพราะการลุกฮือของประชาชนที่แสดงตนอย่างชัดเจนว่าต้องการนับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ที่ขึ้นตรงต่อพระสันตะปาปา มีการใช้สัญลักษณ์แสดงการต่อต้าน คือ การปักรูปพระหฤทัยพระเยซูเจ้าสีแดงไว้ที่อกเสื้อ และการสวมหมวกที่ปักอักษรย่อของวลีที่ว่า ‘พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นกษัตริย์’ นั้นน่าจะสร้างความรู้สึกไม่ไว้วางใจในอิทธิพลของพระศาสนจักรที่มีต่อชาวฝรั่งเศสให้กับรัฐอยู่ไม่น้อย นี่เองน่าจะทำให้ในช่วงเวลานี้รัฐจึงตั้งตนเป็นอริอย่างแข็งกร้าวต่อพระศาสนจักรในฝรั่งเศสแทนที่การประนีประนอมเหมือนในอดีต

รัฐที่ดำเนินงานโดยคณะปฏิวัติได้แสดงตนอย่างชัดเจนที่จะล้มล้างพระศาสนจักรในฝรั่งเศสที่พวกเขามองว่าเป็นรากเหง้าของปัญหาความเหลื่อมล้ำในฝรั่งเศส และแทนที่ด้วย ‘ลัทธิเหตุผล’ (Culte de la Raison) พวกเขาได้เปลี่ยนปฏิทินจากแบบจูเลียนซึ่งมีต้นกำเนิดจากพระศาสนาจักรเป็นปฏิทินของสาธารณรัฐ เปลี่ยนจำนวนวันต่อสัปดาห์จากเจ็ดวันเป็นสิบวันเพื่อไม่ให้มีวันอาทิตย์ ยกเลิกวันฉลองนักบุญ เปลี่ยนชื่อถนนที่เกี่ยวข้องกับศาสนา กำหนดวันฉลองที่สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแทนที่วันฉลองตามศาสนา จับกุมพระสงฆ์นักบวชทั้งชายหญิงที่ไม่ยอมสาบานตน รวมถึงฆราวาสที่ให้การสนับสนุนนักบวชกลุ่มนี้ และสังหารพวกเขา ทั้งด้วยวิธีการยิงด้วยกระสุนปืน และตัดศีรษะด้วยกิโยติน โดยมีตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงคนแก่ รวมถึงมีการเนรเทศนักบวชที่ไม่ยอมสาบานตนไปอยู่ที่เฟรนช์เกียนา เมืองโพ้นทะเลในทวีปแอฟริกาของฝรั่งเศส โดยจับพวกเขาขังไว้ในเรือบรรทุกสินค้าเก่า ซึ่งจอดเทียบท่าไว้ที่เมืองโคชฟอร์ต (Rochefort) จ. ชาร็องต์-มารีตีม แคว้นนูแวลากีแตน ทางตะวันตกของประเทศฝรั่งเศส แล้วปล่อยพวกเขาให้อยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ จนบางส่วนถึงแก่ชีวิตระหว่างการถูกจองจำ (505 คน จาก 829 คน เสียชีวิตจากการถูกจองจำเช่นนี้)

การสังหารหมู่ชาวบ้านในสังฆมณฑลอ็องเยรส์ด้วยการยิงที่ทุ่งนอกเมือง ใน ค.ศ. 1794

ตัวอย่างของกรณีที่พระศาสนจักรได้ประกาศยอมรับความศักดิ์สิทธิ์ในฐานะ ‘มรณสักขี’ อาจช่วยให้เราได้จินตภาพความรุนแรงของสถานการณ์ในเวลานั้นได้บ้าง บรรดาข้ารับใช้พระเจ้าที่ถวายตนเป็นมรณสักขีในช่วงเวลาเหล่านี้ ได้แก่ บุญราศีมรณสักขีแห่งอ็องเยรส์ (Martyrs of Angers) ประกอบด้วยพระสงฆ์ นักบวช และฆราวาสรวมทั้งสิ้น 100 ราย ที่ได้ถูกสังหารในสังฆมณฑลอ็องเยรส์ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1793 เป็นต้นมา (1 รายประกาศเป็นบุญราศี ใน ค.ศ. 1926 ส่วนอีก 99 รายประกาศเป็นบุญราศี ใน ค.ศ. 1984) บุญราศีมรณสักขีแห่งลาวาล (Martyrs of Laval) ประกอบด้วยพระสงฆ์ นักบวชหญิง และฆราวาสชายจำนวน 17 ราย ที่ได้ถูกสังหารในเมืองลาวาลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1794 เป็นต้นมา (ประกาศเป็นบุญราศีใน ค.ศ. 1955) บุญราศีมรณสักขีแห่งกัมไบร์ (Martyrs of Cambrai) ประกอบด้วบนักบวชหญิง 4 รายที่ถูกสังหารในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1794 (ประกาศเป็นบุญราศีใน ค.ศ. 1920) บุญราศีมรณสักขีแห่งโอค็อง (Martyrs of Orange) ประกอบด้วยนักบวชหญิง 29 ราย ที่ได้ถูกสังหารในเมืองโอค็องตั้งแต่วันที่ 6 - 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1794 (ประกาศเป็นบุญราศี ค.ศ. 1925) และบุญราศีมรณสักขีแห่งโคชฟอร์ต (Martyrs of Rochefort) ประกอบด้วยกลุ่มพระสงฆ์และนักบวชชาย 64 รายที่ได้เสียชีวิตระหว่างรอเนรเทศไปเฟรนช์เกียนา ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1794 (ประกาศเป็นบุญราศี ค.ศ. 1995)

ในภาวะของความรุนแรงเช่นนี้ ในระยะแรกของสถานการณ์หมู่คณะแห่งเมืองกมเปียญยังไม่ได้รับผลกระทบในทันที แม้เมื่อล่วงเข้าสู่ช่วงต้นปี ค.ศ. 1794 ที่การเบียดเบียนคริสตชนได้ทวีความรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่ในประเทศฝรั่งเศส จากบันทึกของเซอร์มารี แห่ง การรับเอากาย ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่คณะแห่งกมเปียญในเวลานั้นได้แสดงให้เห็นว่าในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1794 เธอยังสามารเดินทางเข้ามายังกรุงปารีสเพื่อแก้ไขปัญหาภายในครอบครัวของเธอ และให้หลังอีก 3 เดือนถัดมาคือในวันที่ 13 มิถุนายน คุณแม่เทแรสก็เดินทางมาที่กรุงปารีสเพื่ออำลามารดาผู้ชราและเป็นม่ายของคุณแม่ ซึ่งกำลังจะย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเกิด สมาชิกทั้งสองจึงได้พบกันและได้อยู่ร่วมกันที่ปารีสระยะหนึ่ง เซอร์มารีได้บันทึกว่าในช่วงเวลานี้เอง วันหนึ่งเมื่อพวกเธอทั้งสองเดินอยู่บนถนน ทั้งสองได้พบกับเกวียนที่กำลังบรรทุกผู้ต้องโทษประหารไปที่กิโยติน เซอร์มารีจึงชวนให้คุณแม่เทแรสอย่าไปมองพวกเขา แต่คุณแม่เทแรสก็ได้ตอบกลับมาว่า “เซอร์ที่แสนดีของฉัน ขอให้ฉันได้รับความบรรเทาใจที่น่าเศร้าจากการได้เห็นวิธีที่บรรดามรณสักขีก้าวไปสู่ความตายด้วยเถิด” เซอร์มารีเขียนต่อไปว่า นักโทษประหารบนนั้นสองคนได้มองมายังพวกเธอทั้งสองอย่างมีนัยยะบางอย่าง ดังพวกเขากำลังบอกพวกเธอว่า “ในไม่ช้า เธอก็ตามเราไป”

การสังหารบุญราศีแห่งลาวาล ใน ค.ศ. 1794

เวลาไล่เลี่ยกับที่คุณแม่เทแรสจะเดินทางเข้ามาที่กรุงปารีส ในราวเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1794 เมืองกมเปียญก็ถูกสงสัยว่ามีใจออกห่างจากฝ่ายลามงตาญ ไปทางฝ่าย ‘เด โมเดเคส์’ (des modérés , ฝ่ายตรงกันข้ามกับลามงตาญในสภา ประกอบด้วยฝ่ายณีรงแด็งและฝ่ายด็องตง ที่ถูกฝ่ายลามงตาญมองว่า ‘วางตัวเป็นกลาง’) ดังนั้นเพื่อแก้ข้อครหาเจ้าพนักงานเมืองกมเปียญจึงพยายามทำผลงานเพื่อแสดงว่า พวกตนยังคงภักดีต่อฝ่ายลามงตาญอยู่ จึงได้คิดแผน ‘การสมรู้ร่วมคิดของผู้คลั่งไคล้’ (complot fanatique) ซึ่งร่างโดยบรรดาชีลับขึ้น (อนึ่งความคิดเช่นนี้อาจมาจากสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่นระหว่างราชสำนักและอารามเมืองกมเปียญที่ชาวเมืองน่าจะต่างทราบดี) เพื่อจัดฉากแสดงความน่าเชื่อถือให้คณะปฏิวัติเห็น แต่เนื่องจากในเวลาที่ฝ่ายบ้านเมืองกมเปียญได้ดำเนินการตามแผนนี้ เป็นเวลาเดียวกันกับที่คณะปฏิวัติตัดสินใจประกาศใช้ ‘มาตรา 22 เดือนเปร์รีแยล’ (22 Prairial , กฏหมายแห่งความน่าสะพรึงกลัว - loi de la Grande Terreur) ขึ้นในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1794 ที่มีข้อบังคับใหม่ให้อำนาจในการพิจารณคดีที่เป็นอาชญกรรมทางการเมืองขึ้นอยู่กับศาลคณะปฏิวัติแห่งกรุงปารีสเท่านั้นจากที่อดีตเคยขึ้นอยู่กับศาลคณะปฏิวัติในท้องถิ่นต่าง ๆ ทำให้คดีของบรรดาภคินีอารามเมืองกมเปียญไม่จบลงที่ในท้องถิ่น แต่กลับถูกส่งไปที่กรุงปารีส เป็นผลให้วันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1794 จึงได้มีการออกคำสั่งให้มีการเข้าค้นบ้านพักของบรรดาภคินีคาร์เมไลท์แห่งเมืองกมเปียญ

เย็นวันเดียวกันที่เกิดการออกคำสั่งและการเข้าค้นบ้านพักของบรรดาภคินี คุณแม่เทแรสที่ทราบเรื่องก็เร่งนั่งรถม้ากลับจากกรุงปารีสเพียงลำพังในทันที เนื่องจากเซอร์มารี แห่ง การรับเอากายปฏิเสธที่จะร่วมเดินทางกลับมาด้วย วันนั้นเจ้าพนักงานฝ่ายบ้านเมืองได้ยึดเอกสารทั้งหมดที่พบในบ้านพักทั้งสี่หลังไป และในวันรุ่งขึ้นพวกเขาจึงได้กลับมาค้นบ้านทั้งสี่หลังอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาพบรูปพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 สำเนาพินัยกรรมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จดหมายจากคุณพ่อจิตาภิบาลอาราม ผู้เป็นพระสงฆ์ที่ไม่ยอมสาบานตนซึ่งถูกเนรเทศ และสายจำพวกรูปพระหฤทัย ซึ่งกลายเป็นหลักฐานเชื่อมโยงบรรดาภคินีคาร์เมไลท์เมืองกมเปียญเข้ากับกลุ่มกบฏว็องเด (ทั้งที่เอาเข้าจริงหลักฐานชิ้นนี้สัมพันธ์ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยที่มีมาก่อนกบฏว็องเด) นอกจากนี้พวกเขายังอ้างว่าพบจดหมายวิพากษ์วิจารย์การดำเนินงานของคณะปฏิวัติจำนวน 2 ฉบับ เขียนโดยนายโกล้ด หลุยส์ เดอนิส มูโลต เดอ ลา เมนาร์ดิแอร์ ซึ่งถูกเจ้าพนักงานเมืองกมเปียญกล่าวหาว่า เขาเป็นพระสงฆ์จิตตาภิบาลของบรรดามาเซอร์ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงเขาเป็นเพียงชาวบ้านเมืองกมเปียญธรรมดา ๆ ที่แต่งงานมีครอบครัว ซ้ำยังเป็นคนไม่ได้ศรัทธาร้อนรนอะไร เพียงแต่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเซอร์อูเฟรซี แห่ง การปฏิสนธินิรมล หนึ่งในสมาชิกอารามเมืองกมเปียญ เขาจึงคอยให้การช่วยเหลือบรรดามาเซอร์อยู่เป็นระยะ ๆ

ข้าวของเครื่องใช้ของบรรดามรณสักขีแห่งกมเปียญ

ดังนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐพบหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าบรรดาชีลับแห่งกมเปียญเข้าข่ายเป็น ‘ศัตรูของสาธารณรัฐ’ การจับกุมสมาชิกอารามเมืองกมเปียญ 16 ราย จาก 19 ราย (เซอร์อีก 3 รายมิได้อยู่ในเมืองกมเปียญในเวลานั้น) จึงเกิดขึ้นในวันที่ 23 มิถุนายน วันนั้นเจ้าพนักงานเมืองกมเปียญได้คุมตัวสมาชิกทั้ง 16 คน ที่ยังไม่ได้รับประทานอะไรตั้งแต่หลังการเข้าค้นเมื่อวาน เพราะนอกจากหลักฐากแล้ว เจ้าหน้าที่ยังได้ยึดเสบียงของบรรดามาเซอร์ไปทั้งหมด ไปยังอาคารที่เดิมเคยเป็นอารามของคณะภคินีแม่พระเสด็จเยี่ยม แต่บัดนี้ได้กลายเป็นสถานที่จองจำผู้กระทำผิดของเมืองในนาม ‘เมซ็อง เดอ เรอคลูซิญอง’ เพื่อกักตัวพวกเธอไว้จนกว่าจะมีคำสั่งต่อไปจากคณะกรรมาธิการความปลอดภัยสาธารณะที่กรุงปารีส รุ่งขึ้นบรรดาสมาชิกทั้ง 16 คน ที่ยังไม่รู้ชะตากรรมของตนว่าจะเป็นไปอย่างไรต่อ ได้พร้อมใจถอนคำสาบานลีแบร์เต เอการิเต ที่พวกเธอได้เคยให้ไว้ต่อหน้าผู้ใหญ่ฝ่ายบ้านเมืองเมืองกมเปียญ หลังจากนั้นพวกเธอจึงถูกจำคุกต่อไปอีก 3 สัปดาห์ ซึ่งตลอด 3 สัปดาห์นั้น พวกเธอไม่ได้รับอนุญาตให้คุยกับภคินีเบเนดิกตินชาวอังกฤษจากเมืองกัมไบร์ที่ถูกคุมตัวร่วมกัน (แต่กระนั้นคุณแม่แมรี่ ไบล์ด คุณแม่อธิการคณะเบเนดิกติน ก็มีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเธอถึงสองครั้ง) พวกเธอได้รับแต่อาหารชั้นเลว ไม่เว้นแม้แต่สมาชิกที่ป่วยกระเสาะแสะ พวกเธอมีเพียงฟางไม่กี่เส้นปูเป็นที่นอนบนพื้นเปล่า พวกเธอไม่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนเสื้อผ้า และก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ซักเสื้อผ้าเช่นกัน แม้ในเวลาต่อมาหลังจากร้องขอผู้คุมหลายต่อหลายครั้ง พวกเธอจะได้รับอนุญาตให้ซักเสื้อผ้าได้ พวกเธอก็ไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งนี้จนสำเร็จ

ลำนำของบรรดาธิดาของนักบุญเทเรซาจะดำเนินต่อไปอย่างไร ที่มาของแต่ละเสียงที่ประสานกันในลำนำนี้จะมีที่มาจากไหนบ้าง และท้ายที่สุดลำนำบทนี้มอบอะไรให้แก่เราผู้กำลังจาริกไปในโลกตามพวกท่าน  ติดตามต่อใน “ลำนำ ณ นั่งร้านของ ‘มรณสักขีแห่งกมเปียญ’ ตอนจบ” ซึ่งจะพาผู้อ่านได้ติดตามท่วงทำนองสุดท้ายของลำนำ และชีวประวัติของมรณสักขีทั้ง 16 คน (คลิกที่นี่)

ลำนำ ณ นั่งร้านของ 'มรณสักขีแห่งกมเปียญ' ตอนแรก

  นักบุญมรณสักขีแห่งกมเปียญ St. Martyrs of Compiègne วันฉลอง: 17 กรกฎาคม ‘เลาดาเต โดมินัม โอมเนส เซนเทส’ (นานาชาติเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์...