วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

"เจลตรูเด" ศีลมหาสนิทคือศูนย์กลางของชีวิต


นักบุญเจลตรูเด โกเมนโซลี
St. Geltrude Comensoli
ฉลองในวันที่ : 18 กุมภาพันธ์

หมู่บ้านเบียนโน  เมืองเบรชชา แคว้นลอมบาร์เดีย ประเทศอิตาลี วันที่ 18 มกราคม ค..1847  ในครอบครัวของนายการ์โล ช่างเหล็ก กับ นางงอันนา มารีอา มิเลซี  เด็กสาวตัวน้อยได้ถือกำเนิดและได้รับศีลล้างบาปในวันเดียวกันด้วยนาม กาเตรีนา  เป็นลูกคนที่ห้าจากสิบคนของครอบครัว

ท่านเจริญวัยขึ้นมาท่ามกลางครอบครัวที่เงียบสงบ พอประมาณและศรัทธา มารดาท่านพาลูกๆไปมิสซาทุกวัน  ตั้งแต่เยาว์วัยพระเจ้าได้ทรงปลูกฝังความจำเป็นของการเป็นชิดสนิทสัมพันธ์กับพระองค์ในดวงใจน้อยๆอันบริสุทธิ์ บ่อยครั้งท่านถูกดึงจากความต้องการเพื่อสวดภาวนาและรำพึงอย่างล้ำลึก จนมีคนถามท่านว่าทำอะไร ท่านตอบเพียงตอบสั้นๆว่า หนูกำลังคิดค่ะ

กระทั้งอายุได้ 7 ปี ท่านก็ไม่สามารถต้านทานคำเชื้อเชิญของพระเยซูเจ้าได้อีกต่อไป ดังนั้นในวันหนึ่งในช่วงเช้ามืด ท่านได้ออกจากบ้านไปพร้อมผ้าคลุมไหล่สีดำของมารดา มุ่งหน้าสู่วัดเซนต์ แมรี่ และหยุดยืนอยู่ที่ราวบันได ก่อนได้รับ
ศีลมหาสนิทครั้งแรกอย่างลับๆ หลังจากนั้นในวัดตอนเช้าเบื้องหน้าศีลมหาสนิท ท่านได้เผยสำแดงความปรารถนาของท่าน พระองค์จะทรงเป็นเจ้าบ่าวของหนู หนูสาบานกับพระองค์ล้านครั้งหนูจะเป็นของพระองค์ตลอดไป

ท่านชอบที่จะใช้เวลากับพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท ท่านต้องการนำพระองค์บนภูเขาสูงเพื่อให้ทุกคนสามารถมองเห็นและรักพระองค์ คติที่เป็นแบบแผนการดำเนินชีวิตของท่านคือ พระเยซูเจ้า ลูกรักพระองค์และทำให้คนอื่นรักพระองค์เช่นกัน

ต่อมาในปี ค..1862 ด้วยอายุราวๆ 15 ปี ท่านได้เข้าอารามคณะคณะเมตตาธรรมแห่งมิลานและกุมารีมารีอา ของนักบุญบาร์โทโลเมอา คาร์ปิตาเนียวและนักบุญวินเซนซา เจโรซาร์ ที่โลเวเร เมืองเบรชชา ณ จุดนี้ทุกคนต่างคิดว่าท่านจะต้องได้บวชแน่ๆ แต่พระเจ้าทรงมีแผนการเตรียมไว้สำหรับท่านแล้ว เพราะในขณะเป็นโปสตุลันต์ ท่านก็ล้มป่วยหนักและถูกให้ออกจากคณะ

ท่านจำต้องหอบข้าวของกลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน กระทั้งท่านหายดีแล้ว ค..1867 ในวัย 20 ปี ท่านก็ได้เข้าคณะอุร์สุลิน คณะฆราวาทของเบรชชาที่ก่อตั้งโดยนักบุญอัญจลา เมริชี เพื่อช่วยหญิงสาวหลายๆคน  และได้รับชุด
คณะในวันที่ 29 สิงหาคม ก่อนปฏิญาณตนในวันที่ 23 ธันวาคม ปีเดียวกัน หลังจากนั้นท่านก็ได้รับตำแหน่งเป็นรองนวกจารย์ของกลุ่มเบียนโน  ทำให้ท่านได้มีโอกาสทำงานด้านการศึกษาของเยาวชน ซึ่งกลายเป็นประสบการณ์สำคัญที่จะเป็นประโยชน์ในอนาคต

เพราะปัญหาด้านการเงินของครอบครัวท่านในอายุ 22 ปีก็ออกจากบ้านเพื่อไปทำงานเป็นแม่บ้านที่บ้านของคุณพ่อจูวานี บัตติสตา โรตา และหลังจากนั้นก็กับคุณหญิงเฟ วิตาลี ต่อจากนั้นในช่วงเทศกาลพระคริสคตสมภพ ปี ค..1876 ท่านก็ได้ยืนยันถึงการอุทิศตนของท่านต่อพระเยซูเจ้าอีกครั้งและได้เขียนความต้องการในการดำเนินชีวิต ซึ่งท่านยังคงยึดมั่นเสมอมิได้ขาด ท่านเริ่มงานแพร่ธรรมเรื่องศีลมหาสนิทของท่านกับกลุ่มเยาวชนหญิง และส่งเสริมขบวนแห่ศีลมหาสนิท เหตุนี้กลุ่มเพื่อส่งเสริมความเคารพต่อพระหฤทัยจึงถือกำเนิดขึ้น ซึ่งการอุทิศตนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชีวิตฝ่ายจิตของท่าน

จนกระทั้งวันสมโภชพระคริสต์วรกาย ค..1878 คุณพ่อวิญญาณก็อนุญาตให้ท่านปฏิญาณตนถือพรหมจรรย์ได้ ดังนั้นท่านจึงได้ทำมันในตอนเช้าเบื้องหน้าศีลมหาสนิท และโดยไม่ต้องละเลยหน้าที่ในฐานะคนรับใช้ ท่านก็ตัดสินใจที่จะสอนบรรดาเด็กๆในซาน เจรวาซีโอ แบร์กาโม เพื่อนำทางพวกเขาไปสู่ชีวิตสัตย์ซื่อของคริสตชนและการอยู่ร่วมกัน

และผ่านการสวดภาวนา การพลีกรรมอย่างขยันขันแข็ง การปฏิบัติกิจเมตตาและชีวิตภายในที่เข้มข้น ท่านก็พร้อมที่จะเดินตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งเมื่อไม่ต้องห่วงเรื่องทางบ้านอีกต่อไป เพราะบิดามารดาท่านได้สิ้นใจไปแล้ว ท่านก็เริ่มหนทางที่จะบรรลุถึงอุดมคติเรื่องศีลมหาสนิทของท่าน  ท่านเปิดใจของท่านต่อพระคุณเจ้าสเปรันซา พระสังฆราช
แห่งแบร์กาโม ซึ่งในเวลานั้นมาเป็นแขกของคุณหญิงเฟ วิตาลี เมื่อทันทีที่คุณพ่อได้ฟัง คุณพ่อก็ได้สนับสนุนท่านและยืนยันว่ามันคือน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าจริงๆ

หลังจากนั้นในฤดูหนาวปี ค..1880 ในฐานะแม่บ้านท่านก็ได้มีโอกาสติดตามคุณหญิงเฟ วิตาลี ไปกรุงโรม และมีโอกาสได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 13 ท่านจึงได้เล่าถึงความตั้งใจของท่านให้พระองค์ฟัง เรื่องคณะที่จะถูกตั้งขึ้นเพื่ออุทิศตนต่อความเคารพแด่ศีลมหาสนิท เมื่อสดับดังนั้นพระองค์ก็ทรงแนะให้ท่านทำงานด้านกาอบรมของเยาวชนหญิงของคนงานด้วยซึ่งเป็นการชี้ทางให้ท่าน

แน่นอนว่ามันคือน้ำพระทัยของพระแน่นอน เพราะ หลังจากนั้นไม่นานเมื่อท่านได้มีโอกาสไปที่วัดนักบุญอเล็กซานโด ที่ โคโลนนา ท่านก็พบกับบุญราศีคุณพ่อฟรานเชสโก สปีเนลลี ผู้เต็มไปด้วยความร้อนรน และกำลังมองหาหญิงสาวที่จะร่วมกับเขาในบ้านแห่งพระญาณสอดส่อง โดยบังเอิญ  ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจร่วมงานกับคุณพ่อที่เล่าให้ท่านฟัง และหลังจากตกลงกันอย่างลงตัวแล้วว่าคณะใหม่จะเป็นอย่างไร เรื่องคณะใหม่จึงถูกเสนอให้พระคุณเจ้ากามิลโล กวินดานิ พระสังฆราชแห่งแบร์กาโม ซึ่งได้อนุมัติและสนับสนุนคณะอย่างเต็มที่ให้ท่านและคุณพ่อทำงานร่วมกัน

ดังนั้นในวันที่ 15 ธันวาคม ค..1882 ท่านและสตรีอีกสองคนจึงได้เริ่ม คณะภคินีแห่งศีลมหาสนิทแห่งแบร์กาโม อย่างเป็นทางการ ด้วยการอวยพรศีลมหาสนิท สองปีจากนั้นในวันเดียวกันท่านจึงได้รับผ้าคลุม พร้อมนามใหม่ว่า ซิสเตอร์มารีอา เจล์ตรูเด แห่ง ศีลมหาสนิท  พร้อมดำเนินงานด้านการอบรมเยาวชนหญิง แต่แล้วก็ในปี ค..1889 พายุใหญ่ก็ซาซัดเข้ามายังคณะท่านอีกครั้งเมื่อคณะประสพปัญหาด้านเศรษฐกิจอย่างรุนแรงชนิดที่ว่าคณะอาจต้องยุบกันเลยทีเดียว

ท่านต้องออกจากแบร์กาโม แต่จากคำแนะนำของพระคุณเจ้ากามิลโล ท่านก็ได้ย้ายไปหลบภัยบ้านที่โลดี ในแคว้นลอม
บาร์ดี ซึ่งที่นั่นพระคุณเจ้าโรตา พระสังฆราชแห่งโลดีก็ให้การต้อนรับท่านเป็นยังดี และมอบบ้านคณะให้ในลาวัจนา ดิ โกมาซโซ วึ่งกลายเป็นบ้านแม่ของคณะชั่วคราว กระทั้งพระสังฆราชแห่งโลดีได้อนุมัติคณะของท่านให้เป็นที่ยอมรับในวันที่ กันยายน ค..1891  เหตุนี้ในวันที่  28 มีนาคม ค..1892 ท่านจึงกลับสู่แบร์กาโม

หลังจากผ่านการทดลองนี้ แม้จะมีสุขภาพที่ไม่ดีนัก ท่านก็ไม่หยุดที่จะฝึกบรรดาซิสเตอร์เพื่อนำสู่จิตวิญญาณแห่งศีลมหาสนิท และทำทุกสิ่งที่ท่านทำได้เพื่อให้คณะเติบโตและพัฒนา ท่านเป็นวิญญาณแห่งการสวดภาวนา การพลีกรรม การเสียสละ การนบนอบ การถ่อมตน และกิจการเมตตาต่อผู้ยากไร้ คำกำฉับสุดท้ายของท่านคือ จงรักษากฎความเงียบ การเสียสละ ความยากจน ความนบนอบไว้ หลังจากนั้นท่านจึงมองตู้ศีลผ่านทางหน้าต่างบานเล็กๆในห้องของท่าน เพื่อให้ได้เห็นพระแท่น ความเคารพจะคงอยู่อีกต่อไหมหนอ ท่านถามและหลังจากได้รับคำตอบแล้ว ท่านจึงกล่าวขอบคุณ พลางคลี่ยิ้มและปิดตาลง พร้อมคืนวิญญาณแด่พระเป็นเจ้าด้วยอายุ 56 ปี

ท่านสิ้นใจอย่างสงบในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค..1903 ก่อนจะได้เห็นคณะได้รับการอนุมัติจากสมเด็จพระสันตะปาปาเพียงสามปี แน่นอนต้องมีการดำเนินเรื่องท่านเพื่อการเป็นนักบุญ จนในรัชสมัยพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 พระองค์ทรงสถาปนาท่านเป็นบุญราศี ในวันที่ 1 ตุลาคม ค..1989 และหลังจากนั้นอีก 20 ปี นามท่านก็จึงได้รับการบันทึกไว้ในสารบบนักบุญอย่างสง่าในฐานะซิสเตอร์ผู้ก่อตั้งคณะที่มีศูนย์กลางชีวิตคือศีลมหาสนิทและมีพันธกิจในการให้การอบรมเยาวชน ณ ที่ลานมหาวิหารนักบุญเปโตร กรุงโรม เมื่อวันที่ 26 เมษายน ค..2009 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16

จงดำเนินชีวิตในความจริงด้วยความรัก เจริญเติบโตขึ้นจงบรรลุความสมบูรณ์ในพระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นพระเศียร(เอเฟซัส 4:15) ชีวิตของท่านเป็นแบบอย่างของการมีพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทเป็นศูนย์กลางชีวิต ซึ่งเป็นชี
วิตของคริสตชน ถูกแล้วเราต้องมีศีลมหาสนิทเป็นศูนย์กลางของชีวิต เพราะศีลมหาสนิทคือพระเยซูเจ้า เราคริสตชนต้องดำเนินชีวิตด้วยความรักทั้งในพระผู้สถิตในศีลมหาสถิต รักในเพื่อนพี่น้อง เราต้องท่องเสมอว่า เราต้องครบครัน เราครบครันครบครันด้วยการรักทุกคน รักพระ ขอให้ทุกคนสำเร็จในความครบครันตามสไตล์ของทุกคน พระอวยพร




ข้าแต่ท่านนักบุญเจลตรูเด โกเมนโซลีง ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

"ภารดานูโน" นักรบนักบุญ


นักบุญนูโน อัลวาเรซ เปเรรา
St. Nuno Álvares Pereira
ฉลองในวันที่ : 1 เมษายน ,  6 พฤศจิกายน (โปรตุเกส)

ในปี ค..2009 เป็นปีที่ความยินดีเวียนมาหาชาวคาร์เมไลท์และชาวโปรตุเกสอีกครั้งเมื่อหนึ่งในสมาชิกคาร์เมไลท์ชายผู้หนึ่งชาวโปรตุเกสได้รับเกียรติยกขึ้นไว้ในฐานะนักบุญของพระศาสนจักร ด้วยนาม นักบุญนูโน แห่ง พระนางมารีย์ชายชาติทหารผู้มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ โฟลร์ ดา ฮอซา ทางตอนกลางของประเทศโปรตุเกส เป็นบุตรนอกสมรสของภารดาอัลวาโร กงซาลเวซ เปเรรา อัศวินพยาบาลแห่งนักบุญยอห์น แห่ง เยรูซาเล็ม และ รองอธิการที่คราโต กับ ดอนนา อิเรีย กงซาลเวซ ดู การะวาเลียล

ดังนั้นทารกผู้มีวันกำเนิดคือวันที่ 24 มิถุนายน ค..1360 นี้จึงสืบเชื้อสายเก่าแก่ของโปรตุเกสและขุนนางกาลิเซีย อย่างไรก็เป็นระยะเวลากว่าหนึ่งปีกว่าทารกผู้นี้จะกลายเป็นบุตรตามกฎหมาย ซึ่งทำให้ท่านสามารถได้รับการศึกษาอัศวินแบบเดียวกับบรรดาบุตรหลานของชนชั้นสูงในสมัยนั้นได้ หลังจากนั้นเมื่อเจริญวัยได้ 13 ปี ท่านก็ได้รับตำแหน่งเป็นนายมหาเล็กให้สมเด็จพระราชินีลีโอโนร์



ดั่งที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าท่านรับราชการทหาตั้งแต่มีอายุได้ 13 ปี ท่านจัดได้ว่าเป็นชายหนุ่มที่ใจร้อน กล้าหาญและมีความเป็นผู้นำที่ดีเยี่ยมดั่งคำกลอนที่ว่า  
                                 หนักแน่นมั่นคงดุจดั่งภูผา   เคร่งขรึมดั่งพญาราชสีห์
                                ยึดถืออุดมการณ์ยิ่งชีวี       สมเป็นชายชาตรีศรีนคร
 ต่อมาเมื่อกษัตริย์เฟอร์นันโด ที่ 1 ทรงเสด็จสวรรคตลงในปี ค..1383 ด้วยพระองค์มีพระธิดาเพียงพระองค์เดียวคือเจ้าหญิงเบียตรีซี ซึ่งอภิเษกสมรสกับกษัตริย์ฆวน ที่ 1 แห่ง คาสตีล ทำให้โปรตุเกสอาจถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรคาสตีล(กลุ่มชาติพันธุ์ในสเปน)  ดังนั้นเพื่อรักษาเอกราชของโปรตุเกส บรรดาขุนนางจึงสนับสนุนให้อนาคตกษัตริย์จอห์น ที่ 1 แห่ง โปรตุเกส ขึ้นครองราชย์ต่อ จึงเกิดสงครามที่อาโตเลรูสขึ้น ในเดือนเมษายน ค..1834  ซึ่งแน่นอนท่านอยู่ฝั่งโปรตุเกส ดังนั้นท่านในวัยเพียง 24 ปี จึงได้เป็นผู้คุมทหารขับไล่พวกคาสตีล และได้รับชัยชนะ

ส่งให้ในเดือนเมษายน ปีถัดมากษัตริย์จอห์น ที่ 1 แห่ง โปรตุเกส จึงได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งโปรตุเกสอย่างเป็นทางการ แต่แน่นอนว่าฆวน ที่ 1 แห่ง คาสตีล ทรงไม่พอพระทัยยิ่งนัก เพราะพระองค์ทรงสนับสนุนให้พระชายาของพระองค์ขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงทรงกรีฑาทัพมาอีกครั้ง ดังนั้นในวันที่  14 สิงหาคม ค..1385 ท่านจึงได้นำบรรดาอาสาสมัครจำนวนหกพันห้าร้อยคน เข้าปะทะกับกองทัพของพวกคาสตีลที่มีราวสามแสนนาย ใน สนามรบที่อัลจูบาร์ฮอตา ซึ่งจะเป็นจุดชี้ชะตาของทุกเรื่อง ซึ่งแม้จะมีเพียงหยิบมือ ท่านก็สามารถนำโปรตุเกสไปสู่ชัยชนะ และเป็นการยุติเรื่องนี้ไป



หลังจากนั้นระหว่างปี ค..1385 ถึง ค..1390 ท่านในฐานะจอมพลและเคาท์แห่งโอเร็มก็นำกองทัพไปยังชายแดนของคาสตีลโดยมีจุดหมายเพื่อรักษาสถานการณ์และยับยั้งการโจมตีจากประเทศเพื่อนบ้าน จนเกิดเหตุการณ์ครั้งสำคัญอีกครั้งคือสงครามที่วัลเวรเด ในวันที่ 14 ตุลาคม ..1385 เมื่อกองทัพคาสตีลพยายามตีกองทัพท่าน ทันทีสถานการณ์ดูเหมือนว่าโปรตุเกสจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเมื่อขาดท่านนำ  แต่ขณะที่ดวงใจกำลังห่อเหี่ยวนั้นพวกเขาก็พบท่านกำลังสวดภาวนาเหมือนเข้าฌานอยู่ระหว่างหินสองก้อน พวกเขาจึงเรียกท่านแต่ท่านหันไปทำสัญลักษณ์ให้เงียบๆ

ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกท่านอีกครั้ง ไม่มีอะไรในการสวดภาวนา พวกเขาทั้งหมดจะตาย สหายเอ๋ย มันยังไม่ถึงเวลา รอซักครู่ สวดให้เสร็จก่อน ท่านตอบเขาด้วยเสียงเบาๆ และทันที่ท่านสวดเสร็จท่านจึงยืนขึ้น ด้วยใบหน้าที่สว่างไสวและออกคำสั่งผลปรากฏว่าครั้งนั้นกองทัพโปรตุเกสโดยการนำของท่านก็ได้รับชัยชนะจริงๆ ซึ่งถือว่าเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ทำให้นับจากนั้นนามของท่านก็เป็นเกรมขามยิ่งนัก



เราอาจบอกได้เลยว่าท่านมีสองรากฐานสำคัญในชีวิตจิตคือศีลมหาสนิทและแม่พระกันเลย ชัยชนะของท่านมีไว้เพื่อคนเดียวคือแม่พระ ท่านชนะเพื่อพระนาง บนดาบของท่านมีคำว่า มารีอาอันคือชื่อแม่พระจารึกอยู่ เพราะท่านอุทิศตนแด่พระนาง ท่านถวายเกียรติพระนางด้วยการสวดภาวนา การอดอาหารในวันพุธ วันศุกร์และวันเสาร์ และด้วยการตื่นเฝ้าในวันฉลองของพระนาง ธงที่ท่านเลือกแบบส่วนตัวของท่านคือรูปไม้กางเขน รูปแม่พระ และรูปของอัศวินนักบุญสององค์คือนักบุญยากอบและนักบุญจอร์จ นอกจากนั้นท่านยังใช้ทรัพย์ของท่านสร้างวัดและอารามมากมาย ทั้งอารามคาร์แมลชายที่ลิสบอลและวัดแม่พระมหาชัยที่บาตาลยา ทั้งในระหว่างสงครามเพื่อเอกราชท่านยังได้แจกจ่ายอาหารแก่ผู้หิวโหยด้วยเงินของท่านเองอีกด้วย

ชีวิตสมรสของท่าน ท่านนั้นสมรสกับเลโอโนร์ เด อัลวิม ม่ายผู้ร่ำรวย เมื่อท่านมีวัย 16 ปี พวกท่านมีบุตรและธิดารวมกันสามคน แต่บุตรสองคนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้เหลือแต่เบียตรีซี จนต่อมาในปี ค..1387 ภรรยาท่านก็จากไป ท่านจึงตัดสินใจอยู่เป็นโสด หลังจากนั้นในปี ค..1401 ลูกสาวคนเดียวของท่านก็ได้เข้าพิธีเสกสมรสกับพระราชโอรสของกษัตริย์จอห์น ที่ 1 แห่ง โปรตุเกส ถัดจากนั้นท่านก็ดำเนินชีวิตด้วยความเรียบง่าย แม้จะถูกชักชวนให้ร่วมคุมทัพในการพิชิตเซวตา ในปี ค..1415 จากกษัตริย์ก็ตาม ท่านก็ปฏิเสธเพราะท่านต้องการเลิกเป็นทหารและเข้าไปสู่ชีวิตผู้ถวายมากกว่า



ดังนั้นในปี ค..1423 ด้วยวัย 63 ปี ท่านจึงได้ละทิ้งทุกอย่างทั้งชื่อเสียง เงินทอง แล้วเข้าสู่ชีวิตที่ยากไร้และต่ำต้อยในคณะคาร์เมไลท์ในอารามที่ลิสบอนที่ท่านก่อตั้งขึ้น พร้อมใช้นามใหม่ว่า ภารดานูโน แห่ง พระนางมารีย์ ความจริงท่านปรารถนาไปอยู่อารามไกลๆ แต่บุตรเขยท่านป้องกันสิ่งเหล่านั้นไว้ แต่อย่างไรเขาก็ไม่มีอำนาจใดๆที่จะขัดขวางท่านจากการอุทิศตนให้อาราม และเหนือสิ่งอื่นใดความยากไร้ แต่อย่างไรเขาก็ยังคงคอยให้ความช่วยเหลือท่านเท่าที่เป็นไปได้

ท่านยังคอยแจกจ่ายอาหารของท่านเสมอ และไม่เคยลังเลซักครั้งที่จะรับใช้บรรดาพี่น้อง ณ ที่ธรณีประตูอารามท่านได้ทิ้งตำแหน่งต่างๆไว้ทั้งหมด แม้กระทั้งผู้มีพระคุณต่ออารามนี้ ท่านไม่ปรารถนาสิทธิพิเศษใดๆ แต่ท่านต้องการมีหน้าที่ที่ต่ำต้อย เป็นข้ารับใช้ของพระเจ้า ของแม่พระ และของผู้ยากไร้ ที่สุดแล้วหลังจากทุกข์ทรมาจากโรคไขข้ออักเสบด้วยอายุ 71 ปี ในวันสมโภชพระเยซูเจ้าทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพที่ 1 เมษายน ค..1431 ท่านก็ได้ถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบ



ซึ่งในปีสุดท้ายนั้นกษัตริย์จอห์น ที่ 1 แห่ง โปรตุเกส ได้มีโอกาสพบท่านและกอดเป็นครั้งสุดท้าย ภาพวันนั้นคือพระองค์ทรงพระกรรณแสงเพราะพระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นเสมือนสหายสนิทที่สุดของพระองค์  ผู้ทำให้พระองค์ได้ครองบัลลังก์ ทั้งยังป้องกันเอกราชของประเทศของพระองค์ ชื่อเสียงของท่านเป็นที่กล่าวขานด้านความศักดิ์สิทธิ์อย่างยาวนาน มีการเปิดกระบวนการของท่านจนที่สุดแล้วในวันที่ 23 มกราคม ค..1918 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 15 ก็ทรงได้บันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี และหลังจากอัศจรรย์ในวันที่ 26 เมษายน ค..2009 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ก็ทรงได้สถาปนาท่านเป็นนักบุญ

อาวุธที่เราใช้ต่อสู้มิอาวุธตามธรรมชาติ แต่เป็นอาวุธที่มีอานุภาพจากพระเจ้า….”(2โครินธ์ 10:4) ทำไมนักรบเช่นท่านจึงละทิ้งอาวุธฝ่ายโลกและมุ่งสู่อาวุธฝ่ายจิตละ ก็เพราะอาวุธฝ่ายโลกนั้นช่างไม่ถาวร และนำมาซึ่งความโศกเศร้า ช่างแตกต่างกับอาวุธฝ่ายจิตที่ถาวรตลอดนิรันดร์และนำมาซึ่งความสุขเสมอ อาวุธนั้นคืออะไร บางทีมันอาจคือความรัก ความรักเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุด รักในพระและพี่น้อง ถูกไหมความรักพาแต่สันติมาเสมอ ไม่จริงหรือที่ความรักพระทำให้เราก้าวผ่านการทดลอง ความรักในพี่น้องทำให้เกิดสันติในจิตใจ จริงไหม


ข้าแต่ท่านนักบุญนูโน อัลวาเรซ เปเรรา ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

คือปัสกาของ 'การ์โลส มานูเอล' ตอนจบ

บุญราศีการ์โลส มานูเอล เซซิลิโอ โรดริเกซ ซันติอาโก Bl. Carlos Manuel Cecilio Rodríguez Santiago วันฉลอง: 13 กรกฎาคม และ 4 พฤษภาคม (ในปวยร์โต...