วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

'ฟรังซิสโกและยาซินทา' เด็กเลี้ยงแกะแห่งฟาติมา ตอน 3

นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ

สู่การพลีกรรมและผู้นำการพลีกรรม

รุ่งขึ้นข่าวสตรีปริศนาปรากฏกายที่โควาก็ลามไปทั่วดั่งเปลวไฟที่ลามไปในทุ่งหญ้าแห้งตลอดทั้งฟาติมา ผู้คนต่างพากันพูดถึงเรื่องนี้ และขณะที่ข่าวกำลังมาถึงที่บ้านของลูเซีย เวลาไล่เลี่ยกันฟรังซิสโกก็รีบวิ่งหน้าตั้งมาบอกเรื่องที่ยาซินทาเล่าอะไรไปบ้างเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งยาซินทาที่ตามมาด้วยก็รับฟังข้อความเหล่านั้นด้วยถ้อยทีสำนึกผิด

“น้องเห็นไหม นั่นแหละคือสิ่งที่พี่คิดว่าจะเกิด” ลูเซียกล่าวกับยาซินทาที่นิ่งเงียบ
“มีบางอย่างในตัวหนูที่ไม่ยอมให้หนูเก็บเรื่องนี้ไว้” ยาซินทาเอ่ยทั้งน้ำตา
“เอาเถอะ หยุดร้องเสียนะ และอย่าบอกอะไรใครอีกว่าสตรีคนนั้นพูดอะไรกับพวกเรา”
“แต่หนูบอกพวกเขาไปหมดแล้ว”
“น้องบอกอะไรไป”
“หนูบอกเขาไปว่าสตรีคนนั้นสัญญาจะพาพวกเราไปสวรรค์”
“คิดดูสิ น้องบอกอะไรพวกเขาไป”
“ยกโทษให้หนูด้วย หนูจะไม่บอกใครอีกแล้ว”


(ผู้เรียบเรียงไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อจากเหตุการณ์ข้างต้น หรือเกิดในเวลาต่อมา เพราะมาจากบันทึกความทรงจำของลูเซียที่เขียนถึงฟรังซิสโก) ฝั่งฟรังซิสโกเอง เมื่อเล่าถึงเหตุที่ตนต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้คนในครอบครัวฟัง ก็เอ่ยอย่างเศร้าสร้อยว่า “สำหรับเรา เมื่อคุณแม่ถามเราว่ามันเป็นความจริงไหม เราก็ตอบว่าเป็นความจริง เพื่อเราจะไม่โกหก” ซึ่งเหตุผลก็น่าจะปรากฏชัดในคำพุดครั้งหนึ่งของเขากับลูเซียที่ว่า “เรารักที่จะเห็นทูตสวรรค์ แต่เรารักที่จะเห็นแม่พระมากกว่า สิ่งที่เรารักมากที่สุดก็คือการได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในแสงสว่างจากแม่พระซึ่งเจาะหัวใจของพวกเรา เรารักพระมาก แต่พระองค์ทรงเป็นทุกข์มากเหลือเกินเพราะบาปมากมาย ดังนั้นพวกเราจึงต้องไม่ทำบาปอีกต่อไป”

กลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบันที่แน่นอนต่อ ว่าภายหลังจากลูเซียโดนนางมาเรียมาซักถามแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ทั้งสามจะต้องพาฝูงแกะออกไปกินหญ้าตามปกติ เสียงปรบมืออย่างเย้ยหยัน คำถากถาง คำล้อเลียนก็พุ่งเข้าหาทั้งสามจากทั้งเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน และจากชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ทั้งสามได้พบเจอ ถึงเรื่องของสตรีผู้อยู่ในแสงสว่างและคำสัญญาที่จะพาทั้งสามไปสวรรค์ ซึ่งตัวยาซินทาเอง ก็ไม่ได้สะท้านต่อคำพูดเหล่านั้นไม่ เพราะบัดนี้ใจเธอนั้นเป็นทุกข์จากเรื่องที่ผิดคำสัญญากับลูเซียเสียมากกว่า ส่วนตัวฟรังซิสโกนั้นก็แทบจะมิได้พูดอะไร ดังนั้นตลอดการเดินทางในครั้งนี้ ความเงียบจึงเกาะกุมไปทั่วทั้งสาม คงมีแต่เสียงฝูงแกะย่อม ๆ ที่เดินตามทั้งสามตามสัญชาตญาณของมันเท่านั้น

ทั้งสามพาฝูงแกะเดินจนมาถึงที่โควา ดา อิเรีย ก็หยุดปล่อยให้ฝูงแกะได้เล็มหญ้า ตัวยาซินทานั้นพอปล่อยแกะเสร็จก็มานั่งเอามือสองข้างเท้าคางบนหินก้อนหนึ่ง พร้อมใบหน้าที่ใครเห็นๆก็ต้องรู้ว่าสำนึกผิดสุด ๆ ซึ่งอากัปกิริยาเหล่านี้มิได้คาดสายตาของลูเซียไปเลย และเวลานี้อารมณ์ทุกข์เศร้าต่าง ๆ ที่เกาะกุมมาแต่เช้าในใจของเธอก็คลายไปมากแล้ว เอาตามตรงตั้งแต่เธอพบสตรีปริศนานั้นภายในของเธอก็มีพลังประหลาดที่จะเอาชนะความทุกข์ต่าง ๆ ได้ เธอค่อย ๆ ยิ้ม

“ช่างมันเถอะนะ ยาซินทา ลืม ๆ มันไปแล้วมาเล่นกันเถอะ” ลูเซียเอ่ยต่อญาติตัวน้อยที่นั่งจ๋อย
“หนูไม่อยากเล่นอะไรในวันนี้ เพราะหนูคิดเรื่องสตรีคนนั้น ทำไมกันนะ”ยาซินทาตอบ
“งั้น น้องคิดอะไรเกี่ยวกับสตรีคนนั้นอยู่น่ะ ยาซินทา” ลูเซียเดินเข้าไปใกล้ ๆ พลางพูด
“ก็มีอยู่เรื่องเดียว เรื่องวิธีที่เธอสอนให้พวกเราสวดสายประคำ มันสำคัญใช่ไหมพี่” ยาซินทาตอบ
“ใช่แล้ว พี่ก็คิดงั้น มันต้องสำคัญแน่ ๆ ” ลูเซียเห็นด้วย
“และพวกเราก็ต้องเลิกสวดสายประคำแบบลักไก่ พวกเราไม่ควรสวดแค่ข้าแต่พระบิดา วันทามารีย์ วันทามารีย์ เพราะมันคือการโกงแบบหนึ่ง พวกเราควรสวดให้จบทั้งบทไปเลยในแต่ละครั้ง ไม่ใช่มาสวดเพียงสองคำแรก และส่วนเรื่องพลีกรรมที่เธอบอก พวกเราจะทำยังไงดี” ยาซินทาเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง

“พวกเราจะเอาอาหารเที่ยงของเราให้แกะไป” เสียงหนึ่งเอ่ยขัดเสียงสนทนาของสองสาว นั่นคือเสียงของฟรังซิสโกที่เอ่ยเสนอวิธีพลีกรรมขึ้น เรียกให้ลูเซียและยาซินทาต้องหันไปมองที่ต้นเสียง จนที่สุดทั้งสามจึงเห็นพ้องกันว่าจะยึดวิธีนี้แหละเป็นการพลีกรรม ดังนั้นแต่เวลานั้นมา แม้ไม่รู้ว่าขนมปังกับเนยแข็งจะถูกปากเจ้าแกะทั้งหลายมากน้อยเพียงไร แต่ทั้งสามทราบดีว่าสิ่งที่แน่นอนแน่ ๆ คือความหิวที่จะเกิดแก่คนเลี้ยงแกะเช่นพวกเขา ถ้าพวกเขาปฏิบัติดังนี้ “วันนั้นพวกเราจึงพากันอดอาหารอย่างเคร่งครัด เท่า ๆ กับบรรดานักบวชกาธูเซียนก็ไม่ปราณ” ลูเซียเขียนในบันทึกความทรงจำของเธอ

เราอาจกล่าวได้เลยว่าผู้นำด้านการประกอบพลีกรรมเหล่านี้คือยาซินทา ผู้แม้จะมิรู้ประสีประสาในเรื่องศาสนามาก แต่พอทราบจากลูเซียว่านรกนั้นเป็นนิรันดร์ หัวใจดวงน้อยของเธอก็มีอันสงสารผู้คนมากมายที่ต้องตกไปที่นั่นดั่งคำของสตรีปริศนา และต้องทนอยู่ท่ามกลางกองเพลิงมิรู้สิ้นสุด “คนบาปผู้น่าสงสาร พวกเราต้องสวดและทำพลีกรรมให้มาก ๆ เพื่อพวกเขา” เธอเคยเอ่ยขึ้นครั้งหนึ่งระหว่างเล่นสนุก จึงแปลกที่ตัวเธอจะไม่เคยปล่อยโอกาสที่จะทำพลีกรรมเพื่อช่วยคนบาปเลย

มีครั้งหนึ่งที่มุยตา มีครอบครัวสองครอบครัวที่ต้องให้ลูก ๆ ของพวกเขาออกมาขอทานตามบ้าน วันหนึ่งระหว่างทั้งสามกำลังต้อนแกะไปที่ทุ่งตามปกติ ก็เผอิญได้พบเด็กเหล่านั้นเข้า ทันทียาซินทาที่สังเกตเห็นพวกเขาก็รีบพูดกับลูเซียและฟรังซิสโกว่า “เอาอาหารกลางวันของพวกเราไปให้เด็ก ๆ ผู้น่าสงสารตรงนั้น เพื่อการกลับใจของคนบาปกันเถอะ” ซึ่งทั้งสองก็เห็นดีด้วยและต่างมอบให้ยาซินทา ที่รับมาสมทบกับของตนแล้วก็รีบวิ่งปรู๊ดเข้าไปหาเด็ก ๆ เหล่านั้นเพื่อนำอาหารกลางวันของทั้งสามไปมอบให้

และแน่นอนการปฏิบัติเช่นนั้น เมื่อถึงเวลาบ่ายของวันเดียวกัน ยาซินทาก็บอกกับลูเซียว่าเธอหิว พอดีบริเวณนั้นมีต้นโฮล์มโอ๊คและต้นโอ๊คอยู่ใกล้ ๆ และเวลานั้นผลโอ๊คก็ยังเขียวอยู่ ลูเซียจึงบอกกับยาซินทาว่าพวกเขาสามารถกินมันได้ ดังนั้นฟรังซิสโกจึงรีบปีนขึ้นไปที่ต้นโฮล์มโอ็ค แล้วจัดการเก็บผลโอ๊คสดใส่กระเป๋า แต่อยู่ ๆ ยาซินทาก็คิดอะไรขึ้นได้ เธอจึงรีบบอกพี่ชายว่า “ไม่ ไม่ใช่ลูกโอ๊คสด เอาที่แก่ ๆ อย่างนั้นสิ มันจะช่วยเพิ่มการพลีกรรมให้มากขึ้นได้นะ” ทำให้ในวันนั้นทั้งสามจึงมีมื้ออาหารแห่งการพลีกรรมเป็นผลโอ๊คจากต้น ซึ่งคนที่จะพลีกรรมหนักสุดก็คือยาซินทาที่เลือกแต่ผลที่ขม ๆ จนวันหนึ่งลูเซียจึงห้ามเธอ แต่เธอก็ตอบกลับมาว่า “แต่ก็เพราะมันขมนี่แหละหนูจึงกิน ซึ่งก็เพื่อการกลับใจของคนบาป”

“นี่ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวที่พวกเราพากันอดอาหาร พวกเราต่างพากันเห็นด้วยที่เมื่อใดก็ตามที่พวกเราพบเด็กยากไร้เช่นพวกเขาเหล่านั้น พวกเราก็เอาอาหารกลางวันของพวกเราให้พวกเขาไป พวกเขามีความสุขมากที่ได้รับทานเช่นนี้ และก็มักมาหาเราเสมอ ซึ่งพวกเขามักรอพวกเราอยู่ระหว่างทาง พวกเราสองคนไม่เคยเห็นพวกเขาทันยาซินทาที่วิ่งเอากับข้าวสำหรับวันนั้นของพวกเราไปให้พวกเขา พร้อมความสุขเหมือนเธอไม่เคยต้องการพวกมันเลย ซึ่งในวันเช่นนี้ อาหารประทังความหิวของพวกเราก็จะเป็นเมล็ดลูกสน ผลเบอร์รี่เล็ก ๆ ขนาดประมาณผลมะกอกซึ่งงอกที่ตรงรากต้นดอกระฆังเหลือง ซึ่งมีหน้าตาคล้าย ๆ ผลแบล็คเบอร์รี่ เห็ดป่า และก็ของบางอย่างที่พวกเราพบที่รากต้นสน ดิฉันจำไม่ได้เสียแล้วว่ามันเรียกว่าอะไร นอกนี้หากมีผลไม้ออกผลที่ที่ดินของครอบครัวพวกเรา พวกเราก็จะรับประทานพวกมัน” ลูเซียเขียนเล่า

ความทุกข์ของลูเซีย

สำหรับตัวลูเซีย ความหิวกระหายเหล่านี้ก็แทบจะน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับความทุกข์นานาที่เธอต้องพบที่บ้าน เพราะตั้งแต่แรกที่ทราบ นางมาเรีย มารดาของเธอก็ไม่เคยเชื่อในเรื่องเหล่านี้ และแทนที่นางจะวางเฉยเช่นสามีของนาง ตรงข้ามนางกลับใช้วาจารุนแรงสาดใส่ลูเซียไม่ยั้ง เพื่อหวังจะให้บุตรสาวคนนี้ยอมรับว่านี่เป็นเรื่องหลอกลวง แล้วความอับอายต่าง ๆ นานาจะได้พ้นไปจากครอบครัวของนางเสียที

วันหนึ่งนางถึงขั้นเข้าไปปลุกลูเซียที่เตียงแต่เช้าเพื่อให้ลูเซียไปบอกกับทุกคนว่าเธอนั้นโกหก โดยนางใช้ทั้งวิธีอ้อนวอน ข่มขู่ และถึงกับใช้ด้ามไม้กวาดขู่ แต่กระนั้นลูเซียก็ยังคงหนักแน่น เธอเพียงเงียบไม่ก็ไม่ยืนยันถึงสิ่งที่เธอได้เล่าไปหมดแล้ว กระทั่งถึงจุดหนึ่งเมื่อเห็นว่าทำให้บุตรสาวเปิดปากพูดตามที่หวังมิได้ นางมาเรียจึงสั่งให้เธอไปพาแกะไปกินหญ้าและเก็บเอาไปคิดเสีย ว่านางนั้นไม่เคยปล่อยให้ลูกคนใดของนางพูดโกหก ไม่แม้แต่คนเดียว และเมื่อถึงเวลาเย็นนางก็จะพาเธอไปหาทุกคนเพื่อให้เธอเล่าและสารภาพเสียว่าเธอนั้นโกหกพร้อมขออภัยจากทุกคน

ฝั่งสองพี่น้องครอบครัวมาร์โตที่รอท่าลูเซียอยู่ที่ฝูงแกะ เมื่อเห็นลูเซียเดินร้องไห้มา ทั้งสองก็รีบวิ่งกรูไปถามลูเซียว่าร้องไห้ทำไม ฝั่งลูเซียจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าทั้งหมด พร้อมเสริมท้ายว่า “อะไรที่เราควรทำ คุณแม่บอกเราว่าเรากำลังโกหกอยู่ เราควรทำยังไงดี” ฝั่งฟรังซิสโกเมื่อได้ฟังเช่นนั้น ก็หันไปพูดกับน้องสาวของเขาว่า “น้องเห็นไหม ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของน้อง ทำไมน้องถึงบอกเรื่องนี้กับคนอื่น” ฝั่งยาซินทาเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าลง ดุจบรรดานักบุญมากมายได้ปฏิบัติต่อหน้าลูเซีย พร้อมยอมรับผิดว่า “หนูผิดไปแล้ว แต่หนูจะไม่มีทางเราอะไรให้ใครฟังอีก”

ลูเซียยังคงหนักแน่นว่าเรื่องทั้งหมดที่เธอได้พบในวันที่ 13 พฤษภาคมเป็นเรื่องจริง กระทั้งนางมาเรีย ผู้เป็นมารดาต้องยอมแพ้ จนนางต้องหันไปพึ่งคุณพ่อเฟร์เรยรา คุณพ่อเจ้าวัดฟาติมา โดยวันหนึ่งนางได้ตัดสินใจพาลูเซียไปที่พระแท่นที่วัด พร้อมกำชับว่า “เมื่อลูกไปถึงที่นั่นแล้ว ลูกจงไปคุกเข่าลงและยอมรับเสียเถิดว่าลูกได้โกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วลูกจงวอนขอการอภัยเสีย ลูกเข้าใจใช่ไหม ลูกจะเล่าเรื่องนี้กับคุณพ่อเฟร์เรยรา แต่ถ้าพวกเรายังไม่จัดการกับเรื่องโกหกนี้ และบอกความจริงกับทุกคนที่ลูกไปหลอกเขาไว้ แม่จะขังลูกเสียในห้องมืด ลูกได้ยินใช่ไหม”

แน่นอนลูเซียได้ยินคำพูดนี้ชัดเจน ความกลัวมากมายแผ่ไปทั่วเมื่อเธอต้องไปพบกับคุณพ่อเฟร์เรยรา เพราะคุณพ่อเป็นคนร่างใหญ่ แม้คุณพ่อจะมีน้ำเสียงที่อ่อนหวาน ท่านก็มีชื่อเสียงความเข้มงวดอยู่มาก แต่เมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ ความกลัวที่สั่งสมก็มลายหายไปสิ้น เธอยืนยันหนักแน่นว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหก เวลานี้เองคำพูดของสตรีปริศนาลอยกลับมาอีกครั้งและตราประทับแน่นในหัวใจของลูเซีย “พวกหนูจะต้องทนทุกข์เป็นอันมาก แต่พระหรรษทานของพระเจ้าจะอยู่กับพวกหนู” เธอตระหนักได้ชัดว่า พระหรรษทานของพระเจ้าที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอมีพลังยิ่งเสียกว่าความกลัวในใจของเธอ

ความศักดิ์สิทธิ์ที่ฉายแววของฟรังซิสโก

มีข้อมูลหนึ่งได้เล่าว่าเมื่อข่าวการเยี่ยมเยียนของสตรีปริศนาที่โควาในเดือนพฤษภาคมเป็นที่พูดถึงทั่วอัลยุสเตร์ล ฟรังซิสโกที่มีโอกาสได้ไปโรงเรียน ก็ถูกเพื่อน ๆ คอยแกล้ง ทั้งยังถูกครูที่ไม่เชื่อในพระเจ้าตราหน้าว่าเป็นว่า ‘ผู้เห็นนิมิตลวงโลก’ แต่ตัวฟรังซิสโกก็ไม่เคยบ่นว่าหรือตอบโต้ต่อการเบียดเบียนทั้งทางร่างกายหรือทางวาจาเลยสักครั้ง ซ้ำยังไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้บิดามารดาทราบเลย แม้สักนิด (เรื่องนี้มีคุณพ่อท่านหนึ่งซึ่ง ณ เวลาให้คำพยานท่านเป็นอธิการบ้านเณรสังฆมณฑลเลยเรีย ท่านเคยมีโอกาสร่วมชั้นกับฟรังซิสโกในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1917 เป็นพยานถึงการเบียดเบียนที่เกิดขึ้น)

นอกจากนี้หลังจากที่ฟรังซิสโกรู้ว่าสตรีปริศนาจะพาเขาไปสวรรค์ เขาก็ถึงกับเอามือมาไขว้กันที่อกพลางอุทานว่า “โอ้ แม่พระที่รักของลูก ลูกจะสวดสายประคำมากๆตามที่พระนางปรารถนา” และแต่นั้นเขาก็ชอบเดินทิ้งระยะพอสมควรจากลูเซียและยาซินทาเหมือนจะเดินชมนกชมไม้ แต่เมื่อทั้งสองเรียกและถามว่าเขาทำอะไร เขาก็จะยกมือที่ถือสายประคำขึ้นเป็นคำตอบ ทั้งนี้หากทั้งสองเรียกให้เขามาเล่นแล้วค่อยสวดสายประคำพร้อมทั้งสอง เขาก็จะตอบกลับมาว่า “เราขอสวดก่อน เธอจำไม่ได้หรอ ว่าแม่พระบอกให้เราสวดสายประคำมาก ๆ ”

มีครั้งหนึ่งหลังการประจักษ์ครั้งได้ไม่กี่วัน เมื่อทั้งสามไปถึงทุ่งเลี้ยงสัตว์ ฟรังซิสโกก็แยกปีนขึ้นไปบนหินที่สูงชัน “ไม่ต้องขึ้นมานะ เราขออยู่คนเดียว” เขาตะโกนออกมา “ได้ ๆ ” ลูเซียตอบ แล้วเธอกับยาซินทาจึงไปเล่นไล่จับผีเสื้อด้วย จนลืมฟรังซิสโกไปเสียสนิท ซึ่งกว่าทั้งสองจะนึกได้อีกที เวลางก็ล่วงมาถึงตอนจะมาล้อมวงกันอาหารกลางวันที่พกมานั่นแหละ ลูเซียจึงตะโกนเรียกฟรังซิสโกว่า “ฟรังซิสโก นายจะไม่มากินข้าวหรือ” ฟรังซิสโกก็ตอบกลับมาว่า “ไม่ละ เธอกินไปเถอะ” ลูเซียก็ถามต่อว่า “แล้วสวดสายประคำละ”

“สวดสิ แต่ทีหลังนะ มาเรียกเราอีกครั้งด้วยละ” ฟรังซิสโกตอบ ลูเซียจึงหันกลับมาจัดการมืออาหารกลางที่เตรียมมาต่อกับยาซินทา กระทั่งอิ่มหนำแล้ว เธอจึงกลับไปเรียกฟรังซิสโกอีกครั้ง ฝั่งฟรังซิสโกเมื่อได้ยินลูเซียมาเรียกอีก จึงบอกให้ลูเซียขึ้นมาสวดที่ด้านบนด้วยกัน ลูเซียเล่าในถึงความจำนี้ว่า “พวกเราจึงปีนขึ้นไปที่ยอด บนนั้นแทบไม่มีที่ให้พวกเราทั้งสามคนคุกเข่าได้ และดิฉันได้ถามเขาไปว่า ‘นายทำอะไรตลอดเวลาที่ผ่านมา’ ‘เรากำลังคิดเรื่องพระเจ้า ผู้ทรงเศร้าใจเพราะบาปมากมาย นี่ถ้าเพียงเราสามารถทำให้พระองค์มีความสุขได้นะ’”

อีกวาระขณะทั้งสองสาวกำลังร้องเพลงพื้นบ้านที่เล่าถึงความยินดีบนที่ราบสูงแซร์รา มีเนื้อในท่อนแรกประมาณว่า “ทั้งชีวิตนี้ทุกสิ่งคือการร้องเพลง และใครกันหนอจะร้องได้ดีกว่าฉัน พวกคนเลี้ยงแกะบนเนินแซร์รา หรือพวกแม่ ๆ ที่ซักผ้าในลำธาร…” โดยมีฟรังซิสโกเป็นนักดนตรีผู้ชำนาญคอยเป่าขลุ่ยคู่ใจเป็นทำนอง ขณะที่สองสาวกำลังจะร้องซ้ำอีกรอบ ตัวฟรังซิสโกก็เอ่ยขัดจังหวะทั้งสองขึ้นว่า “อย่าร้องไปมากกว่านี้เลยนะ เพราะตั้งแต่ที่พวกเราได้เห็นท่านทูตสวรรค์และแม่พระ เรื่องร้องเพลงก็ไม่น่าสนสำหรับเราอีกต่อไปแล้ว



“ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ”

วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

'ฟรังซิสโกและยาซินทา' เด็กเลี้ยงแกะแห่งฟาติมา ตอน 2

นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ

การมาของทูตสวรรค์แห่งสันติภาพ

กาลเวลาล่วงเลยมาได้ปีหนึ่งหลังลูเซีย ฟรังซิสโก และยาซินทาได้มาพบกันจนสนิทสนมกันเป็นอย่างดี ในฤดูใบไม้ผลิ ค.. 1916 เนื่องจากวันนั้นมีฝนตกในช่วงเช้า ทั้งสามจึงต้อนแกะไปหาที่หลบฝนอยู่ที่ใต้เงื้อมหิน บริเวณสวนมะกอกของคุณพ่อทูนหัวของลูเซีย และขณะทั้งสามกำลังเอากรวดมาเล่น หลังพักรับประทานอาหารกลางวัน และสวดสายประคำได้สักพัก ก็พลันเกิดลมแรงพัดขึ้นอย่างน่าประหลาดทั้ง ๆ ที่ตลอดทั้งวันมิมีลมเช่นนั้น จนเรียกความสนใจของทั้งสามให้ต้องเงยหน้าขึ้นจากการละเล่น และบัดดลนั้นเอง ก็ปรากฏแสงสว่างรูปร่างคนสีขาวใสค่อย ๆ ลอยมาจากทางทิศตะวันออก

อย่ากลัวเลย เราคือทูตสวรรค์แห่งสันติภาพ จงสวดภาวนาพร้อมเราเถิด ร่างนั้นเอ่ยขึ้น เมื่อเข้ามาในระยะที่พอให้ลูเซียเห็นท่านได้ถนัดตา ก่อนจะหมอบลงกับพื้นเอาศีรษะจรดพื้น ฝั่งเด็ก ๆ เมื่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกเหมือนมีแรงดลใจบางอย่างให้หมอบลงกับพื้น และสวดตามท่านว่า ลูกเชื่อ ลูกนมัสการ ลูกวางใจ และลูกรักพระองค์ ลูกขอโทษแทนผู้ที่ไม่เชื่อ ไม่นมัสการ ไม่วางใจ และไม่รักพระองค์

กระทั่งสวดครบสามจบแล้ว ท่านลุกขึ้นและบอกกับพวกเด็กๆว่า “สวดอย่างนี้นะ แล้วดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าและแม่พระจะสดับฟังคำวิงวอนของหนู” แล้วจึงหายวับไป ทิ้งไว้แต่ความงุนงงให้กับทั้งสาม “ท่านจากพวกเราไปในบรรยากาศที่เหนือธรรมชาติแบบสุด ๆ จนทำให้พวกเราลืมไปเสียนานสองนาน ว่าเรายังมีชีวิตอยู่” คำอธิบายของลูเซีย และหลังจากวันนั้นมาทั้งสามก็มิได้ปริปากเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย พร้อมตั้งใจว่าจะลดเวลาเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ ให้น้อยลง พร้อมรักษาเนื้อรักษาตัวให้มากขึ้น

จนเวลาล่วงเลยสู่หน้าร้อนในปีเดียวกัน ก็เป็นธรรมเนียมที่ว่าคนเลี้ยงแกะแถบบริเวณพื้นที่ราบสูงแซร์รา ดา ไอรี จะต้อนแกะออกไปกินอาหารแค่เฉพาะตอนเช้ากับตอนเย็น เพราะในตอนกลางวันพระอาทิตย์จะสาดแสงอันร้อนระอุ ซึ่งไม่เหมาะยิ่งไม่ว่าตอนคนหรือสัตว์ไปทั่วบริเวณเนินเขา ทำให้ในฤดูนี้พวกคนเลี้ยงแกะจึงจะต้อนแกะกลับมาที่คอกก่อนเที่ยง และพักหาที่หลบแดดเพื่อรอเวลาจะต้อนแกะไปกินหญ้าในตอนเย็นเสมอ

ซึ่งทั้งลูเซีย ฟรังซิสโก และยาซินทาก็ปฏิบัติดังนี้ ทั้งสามชอบใช้เวลาพักเหล่านี้ที่สวนของครอบครัวลูเซีย โดยพวกเขาชอบขึ้นไปนั่งและเล่นที่บนหินก้อนโต ๆ ที่มีแอ่งน้ำขัง โดยมีร่มเงาของกิ่งมะเดื่อ อัลมอนต์ และมะกอกคอยกันแสงแดดให้ตลอดเวลา จนวันหนึ่งเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นกับทั้งสามอีกครั้ง เพื่อหมายจะเตรียมทางไปสู่ พันธกิจ ของเด็กน้อยทั้งสามแห่งฟาติมา อันใกล้จะมาถึงในอีกไม่ช้า

วันหนึ่งขณะทั้งสามมาอยู่ที่นี่ดังปกติ ในเวลาที่ปกติแล้วคือเวลานอนกลางวัน ร่างปริศนาร่างเดิมที่เคยปรากฏมาหาทั้งสาม ก็ปรากฏมาอีกครั้งที่ใกล้ ๆ กับทั้งสาม พวกหนูกำลังทำอะไรอยู่จ๊ะ ร่างนั้นถาม แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสามจะตอบ ร่างนั้นก็กล่าวต่อว่า จงสวดภาวนา สวดให้มาก ๆ ดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าและแม่พระมีแผนงานแห่งความเมตตาสำหรับพวกหนู จงถวายคำภาวนาและพลีกรรมอย่างไม่หยุดหย่อนต่อพระผู้สูงสุดเถิด

ลูเซียเมื่อได้ยินดังนี้ก็เกิดความสงสัย เธอจึงถามร่างนั้นว่า แต่พวกหนูจะถวายพลีกรรมได้อย่างไรคะ ร่างนั้นจึงตอบ จงถวายทุกสิ่งที่พวกหนูทำได้ให้เป็นเสมือนหนึ่งเครื่องบูชาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นการชดเชยบาปผิดซึ่งเป็นที่เคืองพระทัยของพระองค์ และเพื่อเป็นการวิงวอนให้คนบาปได้กลับใจ ด้วยการนี้เองจะนำมาซึ่งสันติแก่ประเทศของพวกหนู เราคืออารักขเทวดาของเธอ (โปรตุเกส) ทูตสวรรค์แห่งโปรตุเกส สำคัญที่สุดเลยนะ จงน้อมรับและแบกด้วยความอ่อนน้อมต่อความทุกข์ยากนานาที่พระเป็นเจ้าจะทรงส่งมาให้พวกหนูเถิด แล้วอันตรธานหายไป

แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ฟรังซิสโกมีบุญได้เห็นทูตสวรรค์ ทูตของพระเป็นเจ้า แต่เขาก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงอันใด เขาจึงใคร่รู้นักว่าทูตสวรรค์ได้พูดอะไรบ้าง ลูเซีย ทูตสวรรค์ท่านพูดว่าอะไรน่ะ เขาเอ่ยถาม แต่ลูเซียอยู่ในสภาพที่ตกตะลึกกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดไปเมื่อครู่ เธอจึงบอกให้เขารอวันหลัง ไม่ก็ให้ถามตัวยาซินทาเอา แต่ยาซินทาเองก็ไม่ได้ทำใจที่จะทวนสิ่งที่ทูตสวรรค์ได้บอกเมื่อครู่ เธอจึงบอกไม่ได้ ดังนั้นลูเซียจึงอาสาจะบอกเองว่า พรุ่งนี้ เราจะบอกนายเอง ฟรังซิสโก แต่เราไม่อาจพูดเรื่องนี้ได้ในคืนนี้

รุ่งเช้าทันที่พบหน้าลูเซีย ฟรังซิสโกก็รีบเอ่ยขึ้นว่า เมื่อคืนเธอนอนหลับหรือเปล่า เราคิดถึงเรื่องทูตสวรรค์กับสิ่งท่านพูดตลอดเลยอ่า ลูเซียจึงเริ่มเล่าถึงสิ่งที่ท่านทูตสวรรค์ได้บอกในการประจักษ์ครั้งนี้ แต่ฟรังซิสโกก็ไม่ได้เข้าใจคำพูดทั้งหมด “…‘อะไรคือพระผู้สูงสุด เขาถาม แล้วดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าและแม่พระจะสดับฟังคำวิงวอนของหนูแปลว่าอะไรและเมื่อดิฉันตอบ เขาก็หยุดคิดสักพัก แล้วจึงเริ่มตั้งคำถามอื่น ๆ แต่วิญญาณของดิฉันยังไม่อาจจะเล่าถึงสิ่งเหล่านั้นได้อย่างอิสระ ดิฉันจึงขอให้เขาให้รอไปวันอื่นก่อน เขาดูราวจะจับใจความอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่วายถามอีกครั้ง จนทำให้ยาซินทาพูดขึ้นอย่างตระหนกว่าระวังหน่อยซิ พวกเราไม่ควรพูดเรื่องพวกนี้อีก’”

เป็นเรื่องน่าแปลก แต่เมื่อพวกเราพูดถึงเรื่องทูตสวรรค์ ดิฉันไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าพวกเรารู้สึกเช่นไร   ยาซินทาเคยพูดว่า หนูไม่รู้ว่าหนูรู้สึกยังไง หนูไม่สามารถพูดหรือเล่นหรือร้องเพลงหรือทำอะไรอย่างอื่นได้เลย’  ฟรังซิสก็บอกว่า เราก็เหมือนกัน แต่มันไม่สำคัญหรอก ทูตสวรรค์ย่อมดีกว่าอะไรอยู่แล้ว ลองคิดถึงท่านดูซิ’”

ลูเซียยังเขียนอีกว่า คำพูดของท่านทูตสวรรค์เหมือนแสงสว่าง ซึ่งทำให้พวกเราเข้าใจถึงภาพลักษณ์และสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงเป็นอยู่ตามจริง นั่นคือพระองค์ทรงรักเรามากและทรงปรารถนายิ่งที่จะได้รับความรัก ความหมายของการพลีกรรมชัดเจนเป็นครั้งแรก ซึ่งทันใดนั้นเองพวกเราก็รับรู้ได้ถึงการวิงวอนต่อพระเจ้าและพลังในการทำให้คนบาปกลับใจ แต่นั้นมาพวกเราจึงเริ่มถวายพลีกรรมที่พวกเราทำแด่พระองค์ ไม่ว่าจะเรื่องที่ยากลำบากหรือเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์ แต่พวกเราก็ยังมิได้มองหากิจพลีกรรมและใช้โทษบาปแบบพิเศษซึ่งพวกเราได้เรียนรู้ในเวลาต่อมา กระนั้นก็ตามพวกเราก็ใช้เวลาหลายต่อหลายชั่วโมงกราบสวดตามที่ทูตสวรรค์สอนพวกเรา

เวลานี้ถึงแม้ทั้งสามจะรู้สึกว่าคำพูดของทูตสวรรค์นั้นยากนักที่เด็ก ๆอย่างทั้งสามจะแบกไหว ทั้งสามก็น้อมรับมันไว้ ด้วยการทำพลีกรรมตามที่ได้เขียนไปแล้ว กระทั่งฤดูร้อนผ่านพ้นไป และเข้าสู่ฤดูใหม่อันเป็นเวลาที่เด็กๆต้องอยู่เฝ้าแกะตลอดทั้งวันเช่นเดิม วันหนึ่งขณะทั้งสามต้อนฝูงแกะไปแถว ๆ เนิน ‘กาเบโซ’ ทั้งสามก็ได้ขึ้นไปสวดสายประคำ แล้วสวดตามอย่างที่ทูตสวรรค์สอนต่อบนก้อนหินใหญ่แถวนั้น และขณะพักอยู่ที่นั่นเอง ทูตสวรรค์องค์เดิมก็ได้ประจักษ์มาหาทั้งสามอีกครั้ง แต่คราวนี้ท่านได้มาพร้อมกาลิกส์และปังซึ่งมีโลหิตหยดลงมาที่กาลิกส์สองสามหยด ก่อนท่านจะปล่อยมือจะทั้งสองสิ่งและก้มกราบลงที่พื้นพร้อมสวดว่า “ข้าแต่พระตรีเอกภาพ พระบิดา พระบุตรและพระจิต ลูกขอนมัสการพระองค์อย่างสุดซึ้ง และขอถวายพระกาย พระโลหิต พระวิญญาณ และพระเทวภาพของพระเยซูคริสต์เจ้าผู้สถิตอยู่ในตู้ศีลทั่วสกลโลก เพื่อชดเชยการสบประมาท การทุราจารและความเฉยเมยของผู้ทำผิดแสลงพระทัยพระองค์ เดชะพระบารมีหาขอบเขตมิได้แห่งดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง และดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ ขอให้คนบาปได้กลับใจด้วยเถิด”

แล้วท่านจึงลุกขึ้น แล้วรับเอาศีลมหาสนิทมา ก่อนจะส่งแผ่นปังให้ลูเซียรับ และส่งกาลิกส์ให้ฟรังซิสโกและยาซินทารับ พร้อมบอกกับสองพี่น้องมาร์โตว่า จงรับพระโลหิตของพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นทุกข์ยิ่งเพราะมนุษย์ใจอกตัญญู จงชดเชยบาปผิดของพวกเขาและปลอบประโลมพระเป็นเจ้าของพวกหนูเถิด จากนั้นท่านทูตสวรรค์จึงก้มกราบลงและสวดพร้อมกับพวกเด็ก ๆสามครั้งว่า  ข้าแต่พระตรีเอกภาพ พระบิดา พระบุตรและพระจิต…”  แล้วก็หายลับไปจากสายตาของทั้งสามเหมือนเดิม

ลูเซีย เรารู้ทูตสวรรค์ได้ส่งศีลมหาสนิทให้เธอ แต่ท่านส่งอะไรให้เรากับยาซินทา ฟรังซิสโกผู้ได้เห็นแต่ไม่เคยได้ยินเสียงทูตสวรรค์ถามขึ้น หลังเหตุการณ์ทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติ นั่นก็เป็นศีลมหาสนิทเช่นกัน ฟรังซิสโก นายไม่เห็นเลือดหยดจากแผ่นปังลงกาลิกส์หรือ ฝั่งฟรังซิสโกเมื่อได้ยินดังนี้ ก็เกิดปิติในใจเป็นยิ่งนัก เขาเอ่ยขึ้นว่า เรารู้แล้วว่าพระเป็นเจ้าทรงสถิตกับเรา แต่เราไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้ยังไง ก่อนจะคุกเข่าลงโมทนาคุณพระเป็นเจ้า และสวดตามบทภาวนาที่ทูตสวรรค์สอนซ้ำไปซ้ำมาด้วยใจเปรมปรีดิ์



การมาของราชินีสวรรค์ .. 1917

การประจักษ์ครั้งที่ 1 วันที่ 13 พฤษภาคม

ลูเซีย ฟรังซิสโก และยาซินทาไม่เคยลืมเรื่องราวการมาเยือนของทูตสวรรค์ และทั้งสามก็มิได้ปริปากบอกใคร จนเวลาล่วงเข้าสู่ฤดูหนาว ความร้อนรนที่จะปฏิบัติตามคำขอของทูตสวรรค์ของทั้งสามก็ลดน้อยลงไปบ้าง จากเกมส์ต่างๆและความสนใจพิเศษส่วนตัวที่ทั้งสามพบตลอดหลายเดือนแห่งความหนาวเหน็บ ดุจนักบุญเปโตร นักบุญยากอบ และนักบุญยอห์น ที่หลับใหลขณะพระอาจารย์ละจากพวกเขาไปสวดภาวนาตามลำพังในสวนเกทเสมนี

ทั้งสามดำเนินชีวิตเช่นเด็กปกติมาเรื่อย ๆ จนฤดูกาลผันเข้าสู่ช่วงมหาพรตและปัสกาตามลำดับ ในวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม ค.. 1917 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ก่อนสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ หลังร่วมมิสซาประจำวันอาทิตย์ที่วัดฟาติมา ลูเซีย ฟรังซิสโก และยาซินทาจึงออกเดินทางต้อนแกะไปกินหญ้า ในบริเวณที่ดินของครอบครัวลูเซีย ซึ่งเต็มไปด้วยหินชื่อ โควา ดา อิเรีย ตามที่ลูเซียได้เลือกไว้พร้อมถุงอาหารกลางวันเช่นปกติ

ทั้งสามค่อย ๆ เดินไปอย่างไม่รีบร้อน เพื่อว่าแกะในฝูงจะได้หยุดแวะกินหญ้าตามข้างทางได้ วันนั้นนับเป็นวันที่จัดได้สวยทีเดียว  ท้องฟ้ากระจ่างใสไร้เมฆ เวลาเดียวกันทุ่งหญ้าใกล้ ๆ ฟาติมาก็เต็มไปด้วยหมู่บุพผาที่พากันแย้มบานตามฤดูกาล จนประดับท้องทุ่งแห่งฟาติมาให้ละลานตาดูคล้ายหมวกอีสเตอร์ที่ประดับด้วยดอกไม้นานาชนิด และขณะทั้งสามต้อนแกะเข้าไปในทุ่งหญ้า เสียงระฆังประจำวัดก็ตีดังขึ้นเป็นสัญญาณแห่งการสวดเทวทูตถือสาส์นประจำเวลาเที่ยง

ดังนั้นหลังปล่อยให้แกะได้เล็มหญ้าแล้ว ทั้งสามจึงหันมาจัดการกับอาหารเที่ยงที่วันนี้ดีกว่าปกติ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าอีกไม่นานวันที่แสนจะงดงามนี้จะกลายเป็นวันที่โลกจารึกและจดจำ ทั้งสามแบ่งอาหารบางส่วนไว้กินต่อตอนบ่าย และหลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ทั้งสามจึงโมทนาคุณพระเป็นเจ้า และสวดสายประคำเหมือนทีทำเป็นปกติ แล้วทั้งสามจึงพาฝูงแกะขึ้นไปบนเนินเขาของโควา ดา อิเรียต่อไป

เมื่อถึงที่หมายแล้วทั้งสามก็เริ่มเล่นกัน วันนี้ทั้งสามได้ช่วยกันสร้างบ้านจากหินที่หาได้ตามทุ่งแห่งนี้ โดยมีฟรังซิสโกเป็นแม่งานคอยจัดวางหิน ส่วนยาซินทาและลูเซียคอยหาหินมาให้ฟรังซิสโกก่อ แต่ขณะทั้งสามกำลังเพลิดเพลินกับการสร้างบ้านหินหลังน้อยอยู่นั้น พลันทั้งสามก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นฟ้าแลบ ทั้งสามจึงรีบทิ้งหินในมือแล้วมองไปรอบ ๆ ทั้งสามไม่ได้คิดเลยว่าวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสเช่นนี้จะมีฟ้าแลบเกิดขึ้น แต่เมื่อมองไปรอบ ๆ ทั้งสามก็กลับยังคงเห็นต้นไม้ยังคงสงัดนิ่ง ไม่มีลมใดพลัดแรง และท้องฟ้าก็ยังเป็นสีฟ้าดังเดิม

แต่มันอาจหมายถึงพายุก็ได้นะ พี่คิดว่าพวกเราไปเตรียมของกลับบ้านกันเถอะ ลูเซียเอ่ยเพราะเชื่อว่ามีฟ้าแลบยังไงก็ต้องมีฝนแน่นอน แต่ขณะทั้งสามกำลังเก็บของ แล้วต้อนฝูงแกะลงเนินเขาไปตามทาง พอมาได้สักครึ่งทาง ขณะผ่านต้นโอ๊ตใหญ่ที่ล้อมรั่วเหล็ก พลันทั้งสามก็ต้องสะดุ้งโหยงอีก เมื่อเกิดฟ้าแลบที่อธิบายไม่ได้อีกครั้ง คราวนี้ทั้งสามเดินหน้าต่อไปได้อีกไม่กี่ก้าว ก็เหมือนมีใครมาบังคับให้ทั้งสามต้องหันหน้าไปทางขวามือ

ทันทีทั้งสามก็ได้แลเห็นสตรีนางหนึ่งมีสิริโฉมงดงามเกินกว่าจะพรรณนาได้ สวมใส่อาภรณ์สีขาวและสว่างเสียยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ ผ้าคลุมศีรษะซึ่งยาวถึงเท้าของเธอเป็นสีขาวเช่นเดียวกัน แต่มีการขลิบทองที่ชายผ้า สตรีนั้นฉายแสงสว่างจร้าคล้ายแก้วคริสตัลที่บรรจุน้ำแล้วน้ำนั้นกระทับกับแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านเป็นประการะยิบระยับ เธออยู่ในท่าพนมมืออไว้ระดับอกมีสายประคำสีขาวซึ่งมีเม็ดประคำสุกใสดุจดารา และมีกางเขนเป็นประกายระยิบระยับกว่าอัญมณีใดๆอยู่ที่มือขวา เธอยืนอยู่บนต้นโอ๊คต้นเล็ก ๆ และมองมาที่ทั้งสามอย่างสนใจ

อย่ากลัวเลย ฉันไม่ทำร้ายพวกหนูหรอก สตรีปริศนาเอ่ย พร้อมมองไปยังทั้งสามด้วยสายตาที่ฉายแววเศร้านิด ๆ คล้ายหนึ่งจะตำหนิความไม่ไว้ใจของทั้งสาม
ท่านมาจากไหนคะ ลูเซียเอ่ยถามสตรีปริศนา
ฉันมาจากสวรรค์ สตรีปริศนาตอบ
และท่านประสงค์สิ่งใดจากหนูหรือคะ ลูเซียถามต่อ
ฉันอยากให้หนูกลับมาที่นี่ในวันที่ 13 ของแต่ละเดือน เป็นระยะเวลาหกเดือนติดต่อกัน และในเวลาเดียวกันด้วย หลังจากนั้นฉันจะบอกพวกหนูว่าฉันเป็นใคร และประสงค์สิ่งใดมากที่สุด และฉันกลับมาที่นี่อีกเจ็ดครั้ง สตรีปริศนาตอบ
แล้วหนูจะได้ไปสวรรค์ไหมคะ ลูเซียถาม
จ๊ะ หนูจะได้ไป สตรีปริศนาตอบ
และยาซินทาละคะ ลูเซียถาม
เธอจะได้ไปเช่นกัน สตรีปริศนาตอบ
และฟรังซิสโกละคะ ลูเซียถามต่อ
ฟรังซิสโกก็ด้วยจ๊ะ แต่เขาต้องสวดสายประคำให้มาก ๆ สตรีปริศนาตอบ ก่อนจะเหลือบมองฟรังซิสโกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจากนั้นลูเซียจึงนึกได้ถึงเพื่อนสองคนที่พึ่งสิ้นใจไป เธอจึงถามถึงเพื่อนทั้งสอง
มาเรีย เนเวสได้อยู่ในสวรรค์หรือยังคะ ลูเซียถาม
จ๊ะ เธออยู่แล้ว สตรีปริศนาตอบ
และอาเมเลียละคะ ลูเซียถาม
เธอจะอยู่ในไฟชำระไปจนกว่าจะถึงวันสิ้นพิภพ สตรีปริศนาตอบ
คำตอบนี้สร้างความทุกข์ใจเป็นอันมากแก่ลูเซีย จนถึงกับน้ำตาคลอเบ้า เธอมองไปที่สตรีปริศนาดั่งจะถามว่าเธอจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเพื่อนคนนี้ และสตรีปริศนาจะได้ไขวิธีที่จะช่วยไม่เพียงแต่เพื่อนของเธอ แต่มนุษย์ชายหญิงทุกคนบนโลกใบนี้
พวกหนูจะถวายตนต่อพระเป็นเจ้า และน้อมรับความทุกข์ยากนานาที่พระองค์ทรงส่งมาให้จะได้ไหม เพื่อชดเชยบาปผิดนานาที่เป็นที่ขัดเคืองพระทัยของพระองค์จะได้ไหม และเพื่อการกลับใจของคนบาปจะได้ไหม สตรีนั้นถาม
ค่ะ พวกเรายินดี ลูเซียตอบแทน
จากนี้ไปพวกหนูจะต้องทนทุกข์เป็นอันมาก แต่พระหรรษทานของพระเจ้าจะอยู่กับหนู และเป็นความบรรเทาใจของหนู สตรีปริศนาเอ่ยทำนายและบรรเทาใจ

ลูเซียเล่าว่าขณะสตรีปริศนากล่าวเช่นนี้ เธอก็กางมือออกและก็ปรากฏมีแสงสว่างออกมาจากมือของเธอ พวกเราถูกอาบด้วยแสงสว่างสวรรค์ซึ่งเหมือนจะมาจากพระหัตถ์ของพระนางทั้งสองข้าง แท้จริงแล้วแสงนั้นพุ่งเข้าไปในหัวใจและวิญญาณของพวกเรา และพวกเราก็ทราบได้ว่าแสงนี้คือพระเป็นเจ้า และพวกเราก็สามารถเห็นตัวของพวกเราในแสงนั้นได้ และด้วยแรงกระตุ้นภายในจากพระหรรษทาน พวกเราจึงคุกเข่าลง พลางสวดซ้ำ ๆ ในใจว่า ข้าแต่พระตรีเอกภาพ พวกลูกขอนมัสการพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ข้าแต่พระเจ้า ลูกรักพระองค์ในศีลมหาสนิท’”

ทั้งสามถูกห้อมล้อมด้วงแสงสว่างนี้ กระทั่งสตรีปริศนาเอ่ยขึ้นว่า จงสวดสายประคำทุกวันเพื่อนำสันติมาสู่โลกและเพื่อยุติสงครามเถิด แล้วเธอจึงค่อย ๆ ลอยขึ้นไป แล้วไปทางทิศตะวันออกอย่างช้า ๆ กระทั่งลับสายตาของทั้งสามไปด้วยแสงพระอาทิตย์ที่สาดออกมา แต่ทั้งสามก็ยังคงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าต้นโอ๊คเล็ก ๆ นั้น ดวงตายังคงจ้องไปทางที่สตรีปริศนาหายไปจากสายตา และทีละนิด ๆ ทั้งสามจึงค่อยคลายจากภวังค์

แรกสุดสองพี่น้องรีบเขย่าตัวลูเซีย แล้วฟรังซิสโกจึงคะยั้นคะยอให้ลูเซียเล่าว่าสตรีปริศนาพูดอะไร เพราะแม้ทั้งสามจะเห็นสตรีผู้งดงาม แต่มีเพียงฟรังซิสโกเท่านั้นที่ไม่ได้ยินเสียงของสตรีผู้นี้ ดังนั้นลูเซียจึงเริ่มเล่าสิ่งที่เธอสนทนากับสตรีปริศนานั้นให้เขาฟัง ระหว่างนั้นยาซินทาที่เงียบตลอดการประจักษ์ ขณะนึกทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ดวงใจของเธอก็เต้นรัวและเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่เธอน่ารักมาก ๆ มาก ๆ เลยนะ เธอน่ารักไม่ใช่หรือ พี่ลูเซีย ยาซินทาอุทาน ใช่ เธอน่ารัก มากกว่าน่ารักอีก ลูเซียตอบ

เฮ้ย แกะละ ฟรังซิสโกอุทานขึ้นหลังทราบรายละเอียดต่าง ๆ ก่อนเขาจะรีบออกไปตามหาแกะ และก็พบว่าฝูงแกะของพวกเขายังคงอยู่แถวนั้น ทำให้ทั้งสามโล่งอกและตัดสินใจจะย้ายจากที่นี่ในทันที ซึ่งขณะต้อนแกะไปที่อื่น ทั้งสามก็มิได้ปริปากพูดคุยกันเพราะยังคงตะลึงกับเหตุการณ์ทีโควาอยู่ ทั้งสามตะลึงกับชนิดที่ว่าลืมเรื่องเล่นที่เป็นกิจวัตรของทั้งสามไปเลย แต่เมื่อลูเซียเห็นอาการของยาซินทาว่าต้องนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังแน่ ลูเซียจึงสั่งยาซินทาว่า อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนะ ยาซินทาจึงสัญญาว่า หนูจะไม่เล่าให้ใครฟัง อย่ากลัวไปเลย

กระทั่งถึงเวลาเย็น เมื่อทั้งสามต้อนแกะกับมาถึงบ้านและถึงเวลาต้องแยกย้ายกันเข้าบ้าน ลูเซียก็ไม่วายกำชับกับสองพี่น้องมาร์โตว่า น้องจะไม่เล่าให้ฟังใช่ไหม ฝั่งยาซินทาก็รับอย่างแข็งขันว่า ไม่แม้แต่แม่ของหนู แน่นอน ส่วนฟรังซิสโกมิได้ตอบอะไร เขาเพียงแต่เดินเอามือล้วงกระเป๋า และคิดอย่างเงียบ ๆ อยู่คนเดียว กระทั่งถึงบ้าน ลูเซียก็มิได้ปริปากเล่าเรื่องงนี้ใครฟัง แต่กลับยาซินทานั้น…..ไม่

เพราะทันทีที่เธอพบนางโอลิมเปียกำลังกลับจากไปซื้อหมูที่ตลาดต่างหมู่บ้าน เธอก็รีบวิ่งไปบอกอย่างลิงโลดกับผู้เป็นมารดา ทั้ง ๆ ที่นางยังไม่ทันได้เข้าบ้านว่า แม่คะ วันนี้หนูเห็นแม่พระที่โควา ดา อิเรีย (ตัวยาซินทาเชื่อว่าสตรีปริศนานั้นคือแม่พระจริง ๆ แม้สตรีนั้นจะยังมิเอ่ยแถลงนามใด ๆ ) ฝั่งนางโอลิมเปียก็ถามย้อนบุตรสาวตัวน้อยว่า นั่นมันเป็นไม่ได้หรอกนะ ลูกคิดว่าลูกเป็นนักบุญที่เห็นแม่พระหรือ จนทำให้ยาซินทาที่เริงร่าต้องหงอยไป แต่กระนั้นเมื่อนางโอลิมเปียเข้าบ้านแล้ว ยาซินทาก็ไม่วายจะบอกกับมารดาอีกครั้งว่า แต่หนูเห็นพระนางจริง ๆ นะ ก่อนจะสาธยายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่นางโอลิมเปียก็ไม่ได้สนใจฟังเท่าไร ซ้ำบอกธิดาตัวน้อยให้เลิก ๆ ความคิดที่ตัวได้เห็นแม่พระเสีย

กระทั่งล่วงถึงเวลารับประทานอาหารค่ำ นางก็สั่งให้ยาซินทาเล่าเรื่องอีกครั้ง ซึ่งตัวยาซินทาก็ดูท่าจะหลงลืมคำสัญญากับลูเซียไปเสียสนิท เพราะเธอมิได้ปฏิเสธคำสั่งนี้ และได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นพร้อมทำท่าทางของสตรีนั้นให้ทั้งครอบครัวได้ฟังได้เห็น ส่วนตัวฟรังซิสโกเองเมื่อถูกถาม ก็เพียงยืนยันว่าไม่มีสิ่งใดจะเกินเลยคำบอกเล่าของน้องสาวคนนี้ของเขา


ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ

คือปัสกาของ 'การ์โลส มานูเอล' ตอนจบ

บุญราศีการ์โลส มานูเอล เซซิลิโอ โรดริเกซ ซันติอาโก Bl. Carlos Manuel Cecilio Rodríguez Santiago วันฉลอง: 13 กรกฎาคม และ 4 พฤษภาคม (ในปวยร์โต...