วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556

"มารี เทแรซ เอซ" อาจารย์นักบุญ


บุญราศี มารี เทแรซ เอซ
Bl. Marie Therese Haze
ฉลองในวันที่ : 7 มกราคม

ในราชรัฐมุขนายกลีแยฌ ที่ปกครองโดยพระสังฆราช ทุกคนอาจสงสัยว่าคือที่ไหน ส่วนไหนบนโลก เอาง่ายๆมันคือประเทศเบลเยี่ยมในปัจจุบันนั้นแหละ ในครอบครัวของเลขาผู้ปกครองรัฐนี้ที่มีศรัทธา ฌานน์ เอซ ได้ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค..1782  ท่านเจริญวัยได้ 4 ขวบท่านก็สามารถอ่านออกเขียนได้ แต่อย่างไรก็ตามความสุขก็อยู่ไม่นานเท่าไรเมื่อท่านอายุได้ประมาณ 12 ปี ราชรัฐมุขนายกลีแยฌมาถูกยกเลิกเมื่อพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศส

ครอบครัวองท่านจึงจำต้องหนีไปประเทศเยอรมัน และตอนนั้นเองที่บิดาก็ได้จากครอบครัวไป ทิ้งให้มารดาของท่านเผชิญกับความยากจน แต่ในระหว่างนั้นเองที่ดวงใจน้อยๆของท่านก็ได้ค่อยๆพัฒนาการอุทิศตนอย่างเข็มแข็งต่อพระมหาทรมานของพระเยซูคริสตเจ้าผ่านไม้กางเขน



กระทั้งเมื่อเหตุการณ์ทุกย่างกลับมาเข้าที่เข้าทาง ครอบครัวท่านก็ได้หวนกลับมาสู่เมืองบ้านเกิดอีกครั้ง และจากประสพกาณ์ความยากลำบากทำให้ท่านและน้องสาว เห็นอกเห็นใจชาวบ้านที่ต่างทุกข์ทนข้นแค้นแสนสาหัสในเมือง ดังนั้นเมื่อมารดาของท่านเสียชีวิตลงในปี ค..1820 ท่านจึงตัดสินใจไล่ตามชีวิตแห่งกระแสเรียกในอาราม แต่ด้วยกฎหมายที่เป็นปรปักษ์ต่อการเข้าอารามที่ผลบังคับในสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์

ประการฉะนี้ท่านจึงตัดสินใจดำเนินชีวิตแห่งผู้ถวายตัวในบ้าน ในบ้านที่เปิดเป็นโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อส่งเสริมพวกเขาเหล่านั้นในปี ค..1824 หลังจากนั้นในปี ค..1829 ผ่านการร้องขอจากคุณพ่อท้องถิ่น คณบดีของวิทยาลัยวัดนักบุญบาร์โธโลมิว คุณพ่อฌอง กีโยม อาเบตซ์  ที่ขอให้ท่านให้ความรู้แก่บรรดาเยาวชนหญิงในเมืองที่ขาดความรู้อันเป็นผลมาจากการยึดครองอำนาจ อันเป็นความท้าทายมากแต่ท่านก็น้อมรับและได้เปิดโรงเรียนฟรีขึ้นในบ้านผู้ช่วยเจ้าอาวาทของคุณพ่อกีโยมเอง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากในการปกครองของพวกดัตช์



จนที่สุดแล้วเมื่อได้รับอิสรภาพในปี ค..1830  ที่นำไปสู่การก่อร่างสร้างตัวของประเทศเบลเยี่ยม ท่านก็ได้รับอนุญาตให้เปิดโรงเรียนอย่างเป็นทางการ  ถัดจากนั้นไม่นานก็เริ่มมีหญิงสาวมากมายเข้ามาร่วมชีวิตผู้ถวายตัวกับท่าน ความฝันของท่านและน้องสาวตอนนี้คือการตั้งคณะ แต่เมื่อปรึกษากับคุณพ่อกีโยม เขาก็มักบ่ายเบี่ยงเพราะเขายังอายๆ กระทั้งเมื่อพระคุณเจ้าคอร์เนลิอุส วาน บอมเมล พระสังราชแห่งสังฆมณฑลลีแยฌ ได้เดินทางมาเยี่ยมโรงเรียนและรับรู้ถึงโครงการนี้ ,และมีคำสั่งให้คุณพ่อกีโยมเขียนเอกสารพื้นฐานสำหรับคณะใหม่นี้

และหลังจากการหารือกันในกลุ่ม กฎของคณะก็ได้ถูกตั้งขึ้นบนรากฐานจากคณะเยซูอิต และแล้วในวันที่ 8 กันยายน ค..1833 ในวัดของอารามคาร์แมลติดกับโรงเรียนของท่าน ท่านก็ได้เข้าพิธีปฏิญาณตนตลอดชีวิตเป็นภคินีพร้อมนามใหม่ว่า คุณแม่มารี เทแรซ(เทเรซา) ส่วนน้องสาวของท่านได้รับนามใหม่ว่า คุณแม่อลอยเซีย ส่วนคนอื่นๆก็ได้เริ่มเป็นนวกะของคณะใหม่นาม คณะธิดาแห่งไม้กางเขน อย่างเป็นทางการ ยกเว้นเซอร์คลาราและเซอร์คอนสแตน ที่ได้เข้าปฏิญาณตนชั่วคราว



ก้าวต่อไปของท่านก็คือการเป็นหัวเรือในฐานะคุณแม่อธิการ ท่านนำคณะใหม่นี้จนได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากสมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรี ที่ 16 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ..1845 ซึ่งในเวลานั้นคณะมีสมาชิกอยู่ทั้งหมด 84 คน โรงเรียน 4 แห่ง มีการสมัครเข้าคณะร่วม 1000 ซึ่ง 80 % เป็นเยาวชนที่ได้เรียนฟรี หลังจากนั้นหกปีสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 9 จึงทรงอนุมัติธรรมนูญของคณะ

นอกจากนี้ภายใต้การนำท่านยังได้ขยายงานมากขึ้นคณะมีการเปิดโรงเรียนเพิ่ม เริ่มมีการอภิบาลหญิงสาวในเรือนจำ และเปิดสถานที่พักพิงแก่หญิงสาวที่เคยเป็นโสเภณี หลังจากนั้นคณะก็ได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งชายแดนไปยังประเทศเยอรมันในปี ค..1849 ก่อนลงเรือข้ามโลกไปยังอินเดียในปี ค..1861 และต่อไปยังอังกฤษในสองปีจากนั้น และด้วยวัย 93 ปี ในวันที่ 7 มกราคม ค..1876 ท่านก็ได้ถึงแก่มรณกรรมอย่าสงบ ในบ้านคณะที่ลีแยฌ ประเทศเบลเยี่ยม



กระบวนการของท่านถูกเปิดขึ้นในปี ค..1900 และที่สุดสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบุญราศีอย่าสง่า ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร โรม ในวันที่ 21 เมษายน ค..1991  ส่วนการทำงานในเมืองไทย คณะธิดาแห่งไม้กางเขน กำลังพึ่งเข้ามาได้ไม่กี่ปี ปัจจุบันคณะทำงานแพร่ธรรมอยู่ที่บ้านแม่ต้าน อ.ท่าสองยาง จ.ตาก

ข้าพเจ้าจะสอนท่านและจะชี้ทางเดินให้ท่าน ข้าพเจ้าจะคอยดูแลให้คำปรึกษาแก่ท่าน(สดุดี 32:8) แม้ชีวิตท่านไม่ได้มีพื้นฐานอะไรเลยเกี่ยวกับการเป็นครู ไม่มีใบรับรอง แต่ผ่านความวางใจในพระท่านก็ยอมเปิดโรงเรียนฟรี ทั้งๆที่ในสมัยนั้นเป็นเรื่องที่จัดว่าอันตรายมาก เพราะอะไรท่านถึงสามารถก้าวขึ้นมาเป็นอาจารย์ได้ อาจเพราะความวางใจว่าพระเจ้าจะทรงดูแล และ ชี้ทางถูกให้ เหตุพระองค์คือครูของโลก ชีวิตเราก็เช่นกันเราคือเครื่องมือของพระจ้า พระองค์ทรงตรัสผ่านเราและคอยชี้นำเราและคนอื่นให้ไปกลับเราสู่สวรรค์


ภาพสมาชิกคณะในประเทศไทย ขอบคุณภาพจากคุณพ่อ Anucha Chaowpraeknoi


ข้าแต่ท่านบุญราศี มารี เทแรซ เอซ ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

"คาร์ล" ขัตติยะผู้ศักดิ์สิทธิ์




บุญราศี คาร์ล แห่ง ออสเตรีย
Bl. Charles of Austria
ฉลองในวันที่ : 21 ตุลาคม

อนาคตกษัตริย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.. 1887 ท่ามกลางการขอบพระคุณพระเจ้า ณ ปราสาทเพอร์เซ็นบูร์ก ประเทศออสเตรีย พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตใน อาร์ชดยุกอ๊อตโต้ ฟรานซ์แห่งออสเตรีย และ เจ้าหญิงมาเรีย โจเซฟ่าแห่งแซ็กโซนี ทรงมีพระนามเดิมว่า คาร์ล ฟรานซ์ โจเซฟ ลุดวิก ฮิวเบิร์ต จอร์ช มาเรีย ท่านยังถูกทำนายจากภคินีที่มีรอยแผลศักดิ์ว่าท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานอันยิ่งใหญ่และท่านจะถูกโจมตี


ในช่วงทรงพระเยาว์ ท่านดำรงตนด้วยความเรียบง่ายและส่งเสริมสุขภาพ ท่านได้รับการศึกษาจากทั้งพระอาจารย์สอนพิเศษและจากโรงเรียนประถมที่ช็อทเท็นกีมนาชูม กรุงเวียนนา ท่านรักการสอนคำสอน และการปฏิบัติตาม จึงไม่แปลกที่ท่านจะเป็นรู้จักในความใจดีและความเห็นอกเห็นใจต่อเด็กๆ ในงานท่านพยายามจะเพิ่มเงินให้คนยากจนและนอกจากนั้นท่านยังชอบมอบของขวัญแด่คนรอบข้างอีกด้วย การเล่นเป็นทหารมากคือสิ่งที่ท่านโปรดมาก แต่ความสุขที่ยิ่งใหญ่จริงๆของท่านคือการได้รับพระทานอนุญาตให้เป็นเด็กช่วยมิสซาที่พระแท่น พระอาจารย์สอนพิเศษจำได้อย่างแม่นยำว่าตั้งแต่ทรงพระเยาว์ท่านก็อุทิศตัวเป็นพิเศษต่อศีลมหาสนิทและพระหฤทัยของพระเยซูเจ้ามาตลอด ท่านมิเคยตัดสินใจอะไรลงไปโดยที่มิได้สวดภาวนา



ต่อมาเมื่อเจริญวัยได้ 16 ชันษาท่านก็ได้เจริญรอยตามพระราชบิดาด้วยการเป็นทหาร และทรงได้ยศร้อยตรีในกองทัพของอาณาจักรออสเตรีย ที่นี่ท่านเป็นที่รู้จักดีว่าทรงเป็นคนหนุ่มที่มีปัญญาฉลาดหลักแหลมและมีน้ำใจ จนเป็นแรงบัลดาลใจให้พระสหายในกองทัพของท่าน ท่านมีคำขวัญประจำตัวที่ว่า ฉันมุ่งมั่นเสมอในทุกสิ่งที่จะให้เข้าใจอย่างชัดเจนและติดตามน้ำพระทัยของพระเจ้าและในทางที่ครบครันที่สุด

ความคิดเรื่องการอภิเษกสมรสของท่านเกิดขึ้นในปี ค..1911 และสตรีที่ท่านคิดก็คือเจ้าหญิงซีตาแห่งบูร์บอง-ปาร์มา พระสหายในวัยเยาว์ของท่าน พระนางเป็นสาวที่จัดได้ว่าสวย มีชีวิตชีวาและศรัทธา หัวใจของท่านมีไว้ให้แต่พระนางเท่านั้น แต่จะทำยังไงละเมื่อท่านรู้สึกอายในเรื่องแบบนี้ ท่านจึงทรงหันหน้าไปหาพระอัยยิกาหรือยายซึ่งทรงเป็นพระมาตุจฉาหรือป้าของเจ้าหญิงซีตาด้วย อาร์คดัชเชสมาเรีย เทเรซา พระนางก็เลยจัดให้มีการล่าสัตว์ขึ้นในคฤหาสน์ของพระนาง เพื่อให้ท่านและซีตาได้เปิดใจคุยกัน หลังจากนั้นท่านและซีตาก็ได้ใช้เวลาร่วมกันที่สักการสถานพระนางมารีย์แห่งมาเรียเซลล์ ที่นั่นท่านได้แนะนำซีตาต่อหน้าศีลมหาสนิทที่ท่านรัก ที่นี่เช่นกันท่านก็ได้หมั้นกับซีตาภายใต้การอารักษ์ของแม่พระ



พระราชพิธีเสกสมรสระหว่างท่านและซีตาถูกจัดขึ้นในวันที่ 21 ตุลาคม ค..1911 ตอนนี้ เราต้องช่วยกันและกันให้ได้รับสวรรค์แล้วนะ ท่านตรัสกับเจ้าสาวของท่านก่อนเริ่มงาน หลังจากนั้นท่านก็มีพระราชโอรส 5 พระองค์ และพระราชธิดา 3 พระองค์ รวมทั้งสิ้น 8 พระองค์ ดังนี้ ออโต , อาเดลเลด , โรเบิร์ต , เฟลิกซ์ , คาร์ล ลุดวิก , รูดอล์ฟ , ชาร์ลอต และ  เอลิซาเบธ ที่ต่างก็เจริญพระพันษามาในความเรียบง่ายและความเชื่อของท่านและเจ้าหญิงซีตา

เหตุการณ์ยังคงสงบไปเรื่อยๆกระทั้งในวันที่ 28 มิถุนายน ค..1914 อาร์ชดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ พระราชปิตุลาก็เสด็จสวรรคตจากการลอบปลงพระชนม์ที่เมืองซาราเยโว บอสเนีย จนเป็นชนวนเหตุแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยในครานั้นท่านได้นำทัพไปทางใต้และทางตะวันออก โดยใช้ความเชื่อเป็นแบบแผนการต่อสู้ ในอิตาลีท่านมีกระแสรับสั่งให้ทหารทั้งหลายให้หลีกเลี่ยงการนองเลือดถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
เพื่อให้แน่ใจได้ว่าคนที่บาดเจ็บจะได้รับการรักษาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และกองทัพต้องเตรียมการเสมอเท่าที่จะทำได้เช่นกัน ฉันขอสั่งห้ามจับเชลย ฉันขอสั่งอย่าเด็ดขาดว่าห้ามขโมย ปล้นสดมภ์ และการสังหารอย่างป่าเถือน

แต่ในขณะที่สงครามกำลังคุกกรุน ท่านก็เรียกตัวกลับไปออสเตรียเพื่อดูใจสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเชษฐาของอาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิก พระอัยกาของท่าน ที่ใกล้จะเสด็จสวรรคตเต็มที ที่นั่นท่านได้ร่วมกับซีตาในการสวดรอบเตียงพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย เหตุฉะนี้ชีวิตท่านจึงต้องพลิกผันไปตั้งแต่ในวันที่ 30 ธันวาคม ..1916 ท่านก็ได้เข้าพิธีบรมราชาภิเษกเป็นกษัตริย์แห่งจักรวรรดิออสเตรีย ซึ่งความจริงจะต้อง อาร์ชดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ ที่ถูกลอบปลงพระชนม์ไป



รับใช้ประชาชนอย่างศักดิ์สิทธิ์ คือ สิ่งที่ท่านตระหนักได้ว่าคือหน้าที่ของท่าน แต่ท่านก็มีความกังวลในเรื่องการติดตามกระแสเรียกของคริสตชนสู่ความศักดิ์สิทธิ์ แต่ที่เบื้องหน้าพระแท่นอันงดงามของวัดน้อยกษัตริย์แมทธิอัส โครวินุส ใน บูดาเปสต์ ท่านก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าทรงงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยเพื่อสันติภาพและความยุติธรรมในราชอาณาจักรของท่าน ทำทุกวิถีทางเพื่อขับไล่ความน่ากลัวและการเสียสละของสงครามและชนะกลับมาเพื่อประชาชนที่พลัดพรากจากพระพรแห่งสันติภาพของฉันในเวลาที่สั้นที่สุด ท่านขีดเส้นใต้วลีนี้เองในคำปฏิญาณครั้งแรกของท่าน เป็นการย้ำว่านี้แหละคือพันธกิจในฐานะขัตติยะ



สันติภาพ คือ ความมุ่งมั่นของท่าน ท่านสนับสนุนความคิดเรื่องสันติภาพของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 15 ที่มีว่า สันติภาพโดยไม่ต้องมีผู้ชนะ แต่ก็เหมือนพูดให้หมู่ก้อนหินฟัง แต่ท่ามกลางก้อนหินนั้นในเวียนนามีเพียงท่านคนเดียวที่เห็นด้วย ท่ามกลางหมู่รัฐบุรุษยุโรป

พระราชกรณียกิจแรกของท่านคือการติดต่อเจรจาสันติภาพกับประเทศฝรั่งเศสอย่างลับๆ และนอกจากนั้นท่านยังส่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของพระองค์ เคานท์อ๊อตโตการ์ เซอร์นิน ไปเจรจาเพื่อเจริญความสัมพันธไมตรีกับประเทศเยอรมนี แต่เนื่องข่าวเรื่องการเจรจาลับรั่วไหล ทำให้การเจรจาล้มไปไม่เป็นท่า ยังทำให้ชื่อเสียงของท่านเสียหายไปเลย



ด้านการทหาร ท่านห้ามทหารดวลกัน ห้ามเฆี่ยนตีและมัดมือ ท่านชิงชังและสั่งห้ามการใช้ก๊าซมัสตาร์ดกับศัตรู ท่านยังรับสั่งให้ทหาร เชลยและผู้บาดเจ็บต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมและนอกจากนั้นท่านยังริเริ่มโครงการหนังสือดีเพื่อทหารอีกด้วย



ด้านกิจเมตตา ท่านได้มีกระแสรับสั่งให้เปิดโรงทานเพื่อคนยากไร้ ไม่พอท่านยังนำม้าและรถของพระราชวังไปใช้ในการแจกจ่ายถ่านแก่ชาวเวียนนาอีกด้วย ท่านมิได้ไปต่อสู้กับชาติอื่นแต่การต่อสู้ของท่านคือการต่อสู้กับการเรียกดอกเบี้ยอย่างขูดเลือดขูดเนื้อ การทุจริต ซึ่งท่านมิเคยทำเช่นนั้นเลยตรงข้ามท่านกลับสละพระราชทรัพย์ส่วนตัวเพื่อแจกจ่ายมากกว่ารายรับของท่านเสียอีก บางทีเรายังกล่าวได้อีกว่าท่านเป็นผู้นำระดับโลกคนแรกๆที่ริเริ่มกระทรวงประชาสงเคราะห์ ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดการเรื่องสวัสดิการของเยาวชน ผู้พิการจากสงคราม แม่หม้าย เด็กกำพร้า การประกันสังคม การคุ้มครองสิทธิแรงงาน จัดหางาน บรรเทาการว่างงาน การคุ้มครองผู้อพยพและการเคหะ ท่านร่วมในความอดยากเช่นเดียวกับประชาชนของท่าน ท่านรับสั่งให้พระราชวังสังเกตการปันส่วนอาหารและส่วนเล็กๆ

ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 คือฝ่ายพันธมิตรซึ่งได้แก่จักรวรรดิอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี และสหรัฐอเมริกาได้รับชัยชนะ ทำให้จักรวรรดิออสเตรียค่อยๆล่มสลายไปทีละนิด ทีละนิด  บรรดาแคว้นน้อยใหญ่ๆค่อยแยกไป ที่สุดรัฐบาลของออสเตรียและฮังการีขับท่านออกจากราชสมบัติพร้อมเนรเทศท่านไป โดยที่ท่านมิได้สละราชสมบัติเพราะท่านเชื่อว่านี้คือน้ำพระทัยของพระเจ้าและแน่นอนท่านจะไม่ทรยศต่อพระเจ้า ต่อประชาชนของท่าน และต่อราชวงค์ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค..1918



ในครั้งแรกท่านและครอบครัวได้ปพำนักอยู่ที่พระราชวังล่าสัตว์ที่เอกคาร์ทโช แต่เนื่องจากรัฐบาลสังคมนิยมใหม่เล็งเห็นว่าท่านยังมิได้ประกาศสละราชสมบัติจึงยังคงเป็นภัยคุกคามต่อรัฐาบาลอยู่ ดังนั้นในวันที่  3 เมษายน ค..1919  ผ่านกฎหมายฮับส์บูร์ก พวกเขาจึงเนรเทศท่านและครอบครัวไปที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ พร้อมยื่นคำขาดว่าถ้าอยากกลับมาต้องกลับมาในฐานะประชาชนคนหนึ่งภายใต้กฎหมาย ไม่งั้นก็อย่าหวังจะได้กลับมา ซึ่งรวมทั้งราชนิกูลคนอื่นด้วย ด้วยกฎหมายนี้เองที่ทำให้ระบบขุนนางของออสเตรียมาถึงจุดจบลง

และเนื่องจากองค์สันตะบิดรทรงกลัวการระบาดของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุโรปกลาง พระองค์จึงประสงค์ให้ท่านคืนสู่บัลลังก์แห่งฮังการี แต่ท้ายที่สุดท่านก็ถูกหักหลัง และด้วยท่านไม่อยากเป็นชนวนของสงครามกลางเมืองท่านจึงยอมแพ้ หลังจากนั้นท่านและซีตาที่กำลังทรงพระครรภ์อ่อนๆก็ทรงถูกกักตัวอยู่ที่อารามคณะเบเนดิกติน ที่ ติฮานี ประเทศฮังการี ก่อนในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค..1921 ท่านและครอบครัวจะถูกส่งไปลงเรือเพื่อไปยังแดนเนรเทศใหม่นาม มาเดรา



มาเดรา เป็นเกาะในอาณาเขตของประเทศโปรตุเกส ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งง่ายต่อการอารักขา เพื่อกันการกลับมาอีกอำนาจของกษัตริย์  ท่านมาถึงที่ในวันที่  19 พฤศจิกายน ค..1921  ก่อนที่พระราชโอรถพระราชธิดาจะถูกส่งมาถึงในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค..1922 โดยครั้งแรกท่านพักที่ฟุงชาล ที่ วีลลา วิตโตเรีย ถัดจากโรงแรงสีแดงชื่อดัง ก่อนย้ายไปที่คินตา ดู มอนเท พวกท่านอาศัยอยู่อย่างยากจนพอสมควร

หลังจากเสด็จไปซื้อของเล่นให้กับอาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิก พระโอรสในวันที่อากาศเย็นจัดในเมืองฟุงชาล ท่านก็ล้มป่วยลงด้วยโรคหลอดพระวาโยหรือหลอดลมอักเสบ ซึ่งพัฒนาเป็นโรคปอดบวมอย่างรวดเร็ว ฉันจะต้องรับทรมานเช่นนี้เพื่อให้ประชาชนของฉันสามารถรวมกันได้อีกครั้ง ท่านต้องทกทุกข์ทรมานอยู่หลายวันแต่ในทุกๆวันท่านก็ไม่เคยบ่น เพื่อจุดหมายประชาชนของท่านได้อยู่อย่างมีความสุข



จนถึงเช้าวันที่ 1 เมษายน ค..1922 ภายในอ้อมแขนของพระชายาที่รักท่านได้รับศีลเจิมคนไข้  ท่านพยายามจะถือไม้กางเขน ไม่นานในเวลาเที่ยงท่านพยายามจะจูบไม้กางเขนพร้อมกระซิบว่า พระประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์สำเร็จแล้ว พระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้า โปรดเสด็จมาเถิด ใช่แล้ว ใช่แล้ว พระเยซูเจ้าของลูก พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จแล้ว และด้วยชื่อสุดท้าย พระเยซูเจ้าข้า ท่านก็ได้คืนวิญญาณไปสู่พระเจ้าอย่างสงบ ท่ามกลางความเศร้าสลดโดยเฉพาะกับซีตาที่ได้ยินคำพูดสุดท้ายกับพระนางว่า ฉันรักเธอมากๆเลยนะ ขณะนั้นท่านได้ให้อภัยทุกคนที่เคยคิดไม่ดีกลับท่านก่อนจากไปในพระชนมายุรวม  34 พรรษา ระยะครองราชย์รวม 6 ปี

จักรพรรดิคาร์ลทรงเป็นบุคคลที่มีคุณค่าคนเดียวที่สำแดงออกมาจากสงครามในฐานะของผู้นำ ซ้ำพระองค์ยังทรงเป็นนักบุญและไม่มีใครเคยฟังพระองค์ พระองค์ปรารถนาสันติภาพอย่างซื่อๆ จึงทรงถูกดูหมิ่นจากทั่วโลก มันเป็นโอกาสอันแสนวิเศษที่หายไป
อานาตอล ฟร็องส์ นักเขียนนวนิยาย กวี และนักหนังสือพิมพ์คนสำคัญชาวฝรั่งเศส ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี ค.ศ. 1921
คาร์ลทรงเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าชายแห่งสันติภาพ ผู้อยากช่วยโลกจากปีแห่งสงคราม เป็นรัฐบุรุษที่มีความคิดที่จะช่วยประชาชนของพระองค์จากปัญหาที่ซับซ้อนของจักรวรรดิของพระองค์ เป็นกษัตริย์ที่รักประชาชนของพระองค์ เป็นบุคคลผู้กล้าหาญ เป็นจิตวิญญาณผู้มีสกุลอันแตกต่าง เป็นนักบุญจากสุสานที่มีพระพร
เฮอร์เบิร์ต วิเวียน นักเขียนชาวอังกฤษ


พระศพของท่านถูกฝังไว้ในที่วัดพระนางมารีย์แห่งมอนเท กลายเป็นขัตติยะเพียงองค์เดียวของออสเตรียที่มิได้ถูกฝังที่ห้องใต้ดินฮับส์บูร์ก ในกรุงเวียนนา เช่นพระชายาและพระโอรส หลังจากนั้นก็เริ่มมีการเปิดกระบวนการของท่าน กระทั้งเกิดอัศจรรย์ในบราซิลผ่านคำเสนอวิงวอนของคารวียะ ในวันที่ 3 ตุลาคม ค..2004 สมเด็จพระสันตะปาปาก็ได้ทรงสถาปนาท่านขึ้นเป็นบุญราศีอย่าสง่า อันเป็นมิสซาสถาปนาบุญราศีครั้งสุดท้ายในรัชสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงเลือกให้วันอภิเษกสมรสของท่านเป็นวันฉลองของท่าน

มือของเจ้าจับทำการงานอะไร จงกระทำการนั้นด้วยเต็มกำลังของเจ้า เพราะว่าในแดนคนตายที่เจ้าจะไปนั้นไม่มีการงานหรือแนวความคิด หรือความรู้ หรือสติปัญญา(ปัญญาจารย์ 9:10) มือของท่านนั้นคือการรับใช้ประชาชนในฐานะกษัตริย์ ท่านก็ทำมันอย่างสุดความสามารถแม้ในขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังครุกรุ่น ท่านทำมันไปด้วยความเชื่อแม้หลายๆคนจะเมินเฉย ท่านตระหนักดีสิ่งท่านได้มาคือพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่ทำไปเพื่อเอาความชอบธรรมจากมนุษย์ แม้ในยามที่ต้องอยู่ในสภาพที่ป่วยหนักท่านก็ยังใช้พลังที่มีทั้งหมดในการเป็นดังยัญบูชาเพื่อประชาชนของท่านเอง เช่นกันสิ่งที่ทุกคนทำอยู่นั่นล้วนไม่ได้มาจากความบังเอิญ แต่มันคือน้ำพระทัยของพระเจ้าแม้งานที่ต่ำต้อยที่สุด ดังนั้นขอให้เราสู้ต่อไปต่อกางเขนนี้ เพื่อผลสุดท้ายเราจะได้บอกพระเจ้าได้ว่า ในโลกข้าพเจ้าได้ทำความสะอาดทางของพระองค์ ได้ทำงานให้พระองค์ในวิชาต่างๆร่วมกับพระองค์ แต่อย่างไรถ้าไม่ได้ทำด้วยความตั้งใจจริงสิ่งเหล่านั้นก็แทบไม่มีค่าอะไร


ข้าแต่ท่านบุญราศีคาร์ล แห่ง ออสเตรีย ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

คือปัสกาของ 'การ์โลส มานูเอล' ตอนจบ

บุญราศีการ์โลส มานูเอล เซซิลิโอ โรดริเกซ ซันติอาโก Bl. Carlos Manuel Cecilio Rodríguez Santiago วันฉลอง: 13 กรกฎาคม และ 4 พฤษภาคม (ในปวยร์โต...