วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ชีวิตของเด็กสาวขาเป๋ " เซลิน แห่ง แม่พระถวายพระองค์"


บุญราศีมารี เซลิน แห่ง แม่พระถวายพระองค์
Bl. Marie-Céline of the Presentation
ฉลองในวันที่ : 30 พฤษภาคม

ฌาน เชอร์แม็น กาซตาง เกิดแต่ตระกูลที่ยากจนแต่เคร่งศาสนา บิดาของท่านคือนายเจอร์แม็ง กาซตาง เป็นเจ้าของที่ดินเล็กๆ มารดาของท่านนางมารี ลาฟาช เป็นบุตรีจากครอบครัวทนายความ ในครอบครัวท่านมีศักดิ์เป็นบุตรตรีคนที่ห้าจากสิบเอ็ดคนของครอบครัว ท่านเกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ..1878 ที่โนฌาลส์ เอต โคลท์ ทางตะวันออกของเบรเชรแรซ ในประเทศฝรั่งเศส


บิดาของท่านได้เปิดร้านกาแฟและร้านขายของชำขนาดเล็กๆในชั้นบน ส่วนมารดาของท่านก็มีหน้าที่ดูแลครัวเรือนและร้านขาของชำ ด้วยอายุ 4 ปี ท่านเป็นเด็กสาวที่สดใสร่าเริง ที่มีดวงตาสีฟ้าเขียวและผมหยิกสีบลอนด์อมน้ำตาล ท่านมักจะไปที่วัดที่ตั้งอยู่ตรงข้ามบ้านเพื่อภาวนาต่อหน้าตู้ศีลเป็นเวลานานด้วยความสงบ แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่ท่านอายุได้ประมาณสี่ปีครึ่ง มันเป็นช่วงเดือนมีนาคม ในช่วงปลายๆของโรงเรียน ด้วยอากาศที่ร้อน ท่านและเพื่อนจึงตัดสินใจไปนั่งเล่นภายใต้ดวงอาทิตย์ที่กำลังทอแสง หนึ่งในเพื่อนๆของท่านก็มีไอเดียไปนั่งแช่เท้ากันในลำธารเล็กๆ หลังจากนั้นพวกท่านอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานพอสมควร


และเมื่อพวกท่านพากันกลับ ท่านก็เริ่มรู้สึกเจ็บขา จนล้มหมอนนอนเสื่อเป็นระยะเวลาถึงสามวัน  แต่นั้นมาพอจะเดินจะเหินทีก็เจ็บและยากเสียเหลือเกิน  ท่านจึงได้เข้าการรับการรักษาและได้รับการวินิฉัยว่าติดเชื่อโรคโปลิโอ แต่อาการของท่านก็ไม่ได้ดีขึ้น ซ้ำร้ายในช่วงฤดูหนาว ขาของท่านก็บวมน้ำเหลือง จนที่สุดขาซ้ายของท่านก็เป็นใช่การไม่ได้ไปถาวร ซึ่งส่งผลให้ท่านกลายมาเป็นคนเดินกะโผลกกะเผลกไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ แต่ปัญหานี้ก็หาเป็นปัญหาของท่านไม่ เพราะถึงแม้จะเดินเหินไม่ค่อยสะดวก ท่านก็ยังสามารถทำอะไรได้เช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเก็บดอกไม้นานาชนิดไปตกแต่งพระแท่นของวัดหรือรูปแม่พระที่บ้าน หรือ เป็นการช่วยงานบ้านของมารดาตอนอายุ 8 ปีหลังจากที่พี่สาวคนโตของท่านไปเข้าอารามคณะภคินีแห่งนักยอแซฟแห่งโอเบอนาต หรือ การเป็นแม่น้อยให้กับน้องสาวทั้งสาม


ท่านก็เหมือนเด็กทั่วๆ คือการศึกษาของท่านเริ่มบิดามารดา และตามด้วยโรงเรียนท้องถิ่นที่บริหารงานโดยคณะภคินีแห่งนักบุญยอแซฟที่ตั้งอยู่ถัดจากวัดไปนิดหน่อยตั้งแต่อายุ 4 ปี สถานที่แห่งนี้ท่านเริ่มเติบโตในความเชื่อและเป็นที่รู้จักดีในการอุทิศตนต่อศีลมหาสนิท แต่แล้วเนื่องจากบิดาของท่านไม่ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจร้านค้าด้วยมีหนี้สินจำนวนมาก ซ้ำยังส่งผลให้บิดาท่านกลายเป็นคนใจร้อนขึ้น จนบ่อยครั้งท่านจึงเห็นมารดาของท่านต้องเสียน้ำตาเพราะบิดาท่านเสมอ


นอกนี้ความล้มเหลวงครั้งนั้นยังส่งผลให้ครอบครัวของท่านต้องอยู่ในบ้านโทรมๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในทุ่งหญ้าที่ชื้นในสถานที่ที่เรียกว่าซาลาเบอท์ บ้านหลังนนี้ไม่น่าอภิรมณ์เลย มันไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยเสียด้วยซ้ำ กล่าวคือผนังบ้านชั้นล้างก่อแบบหยาบๆ มีหลังคากระเบื้องมุง พื้นด้านล่างมีสภาพเปื่อย รวมๆคือโทรมเกินจะบรรยายนั่นเอง ซึ่งด้วยสภาพบ้านอย่างนี้ก็ทำให้ท่านห่างวัดและไม่สามารถรับศีลมหาสนิทครั้งแรกตามกำหนดได้ ท่ามกลางเวลแห่งความทุกข์ยากของครอบครัวนี้เอง ท่านที่เท้ามีแต่หนอง ก็จำต้องเดินขออาหารตามฟาร์มต่างๆเพื่อประทังชีวิตครอบครัว


ครอบครัวท่านทนอยู่สภาพที่เลวร้ายนี้ได้สักพัก วันหนึ่งบิดาของท่านก็กลับมาพร้อมข่าวอันแสนน่ายินดี นั่นคือเขาได้งานทำแล้ว มันช่างเป็นความยินดีสำหรับครอบครัวนักที่จะได้ย้ายออกจากนรกนี้เสียที ดังนั้นเองครอบครัวจึงย้ายและมาถึงโบรโดซ ในฤดูใบไม้ผลิ ค..1890 โดยที่นั่นบิดาของท่านได้งานเป็นคนทำขนมปัง ที่นี่ด้วยวัยย่าง 13 ปี ท่านได้เตรียมพร้อมสำหรับการรับศีลมหาสนิทครั้งแรก แต่บางครั้งท่านก็ต้องอยู่บ้านเพื่อช่วยงานมารดา 


ช่วงต้นปี ค..1891 ท่านก็ถูกสุนัขกัดที่แขน ทำให้ท่านถูกรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงเพื่อรักษา เมื่อแพทย์ได้ตรวจท่าน เขาก็แนะนำให้ท่านรักษาขาด้วย ดังนั้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ..1891  ท่านจึงได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในบ้านผู้ป่วยเด็กถนนบายอง โดยได้รับการดูแลจากภคินีคณะธิดาเมตตาธรรมแห่งนักบุญวินเซนต์ เดอ ปอล

การรักษาประสบผลสำเร็จดี แต่กระนั้นท่านก็ยังคงเดินกะโผลกกะเผลกเช่นเดิม เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านต้องการจะทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง ท่านจึงขอภคินีที่ดูแลเด็กคนอื่นๆ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าได้ ดังนั้นท่านจึงคอยนำรอยยิ้มเสียงหัวเราะไปมอบให้คนที่ต้องเสียน้ำตา สอนพวกเขาภาวนา  จนกระทั้งท่านได้ออกจากโรงพยาบาล



แต่เหมือนความโชคร้ายจะยังไม่สิ้นสำหรับครอบครัวท่าน เพราะไม่นานหลังจากนั้นเมื่อเอดมันด์และน้องชายสองคนของท่านก็ได้เสียชีวิต ยังมาซึ่งความเสียใจแก่บิดามานดาของท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านเข้าใจความรู้สึกดี ท่านจึงพยายามปลอบประโลมบิดามารดา แต่บิดาท่านก็ได้แต่ทรุดตัวลงพลางร้องไห้ด้วยความสิ้นหวังพร้อมๆปฏิเสธที่จะได้รับการปลอบ

30 กรกฏาคม ปีเดียวกันพี่หลุยส์ พี่ชายของท่านก็ได้กลับมาจากเป็นทหารในสภาพป่วยด้วยวัณโรคที่พัฒนามาจากโรคหลอดลมอักเสบจากการนอนในฟางที่ชื้อแฉะระหว่างการซ่อมรบ ท่านจึงไปที่บ้านพี่ชายและช่วยดูแลเขา ในตอนนั้นมารดาของท่านรู้สึกเป็นห่วงเกี่ยวกับอนาคตของท่านมาก เธอจึงแนะนำให้ท่านไปเป็นนักเรียนประจำในโรงเรียนของคณะภคินีแห่งนาซาเร็ธ ที่เปิดบ้านต้อนรับเด็กสาวยากจนที่ถูกปล่อยปะละเลยทั้งหลาย ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆนี้



12 กันยายน ค..1819 ท่านจึงได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนของคณะภคินีแห่งนาซาเร็ธ ท่านชอบที่จะไปเรียนและชอบการเรียนรู้ ที่นี่ท่านสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและที่นี่อีกที่ท่านได้พบความสุขอีกอย่างคือ ที่นี้มีวัดให้ท่านได้สวดภาวนาต่อศีลมหาสนิทที่ท่านรัก แต่เนื่องจากท่านเป็นคนเดินกะโผลกกะเผลกเลยทำให้ท่านได้ที่นั่งอยู่ข้างๆห่างจากลุ่มเพื่อน ท่านทรมานจากเรื่องนี้มากเพราะมุมๆนี้มองไม่เห็นตู้ศีลเลย


แต่กระนั้นยามใดก็ตามที่ว่าง ท่านก็จะรีบวิ่งมาที่วัดเพื่อใช้เวลาส่วนใหญ่กับพระองค์และก่อนที่จะโดนเรียกไปทำงานบ้าน ท่านก็จะลุกขึ้นจากกลุ่มเพื่อนแล้วไปอยู่ที่ประตูวัดเพื่อรำพึงต่อตู้ศีล ทุกๆวันอาทิตย์ของแต่ละสัปดาห์ของโรงเรียนจะต้องมีการพูดบันทึกของแต่ละคน  ท่านก็ได้ทำเช่นนั้น วันนั้นด้วยความชื่นชมท่านลุกขึ้นท่ามกลางความเงียบพลางพูดว่า คุณแม่ บอกดิฉันว่าเป็นรางวัลให้ดิฉันได้ย้ายจากข้างวัดและนำดิฉันไปนั่งด้านหน้าตู้ศีล ที่ดิฉัน ดิฉันไม่เห็นพระองค์ พระองค์ พระเยซูเจ้า…….. ข้างบน เสด็จไปด้วยความรุ่งโรจน์ มันช่างมากเกินไปแล้ว กลุ่มธิดาแม่พระ เป็นกลุ่มที่ท่านอยากเข้ามาก ท่านมักอิจฉาเพื่อนๆที่ได้เข้ากลุ่มนี้ แต่ผู้จะเข้าได้นั้นต้องมีอายุ 16 ปี แต่หลังจากการเป็นสมาชิกสนับสนุนได้ ท่านก็ได้รับข้อยกเว้นให้เข้าเป็นสมาชิกได้


ที่สุดวันแห่งการรอคอยการรับพระวรกายก็จบลง เมื่อมีการกำหนดให้ท่านรับศีลมหาสนิทครั้งแรกในวันฉลองพระคริสต์วรกายที่ 16 มิถุนายน ค..1892 เมื่อถึงวันจริงวันนั้นช่างเป็นวันที่ท่านแสนยินดี จนถึงขั้นหลั่งรินน้ำตาลงมาหน้าพระแท่นในขณะที่เดินไปยังพระแท่น และเมื่อได้พบฌัวเนสเพื่อนสนิทของท่าน ท่านก็ได้กล่าวกับเธอว่า ฉันมีความสุข มีความสุขจัง จากนั้นมาท่านก็ไปร่วมพิธีทุกวันอาทิตย์และปรารถนาที่จะรับพระองค์ทุกๆวัน แต่มันก็ไม่ได้ในเวลานั้น และเมื่อท่านเดินออกวัดท่านขอบคุณพระเจ้าที่มองท่านจากสวรรค์


ไม่นานหลังจากนั้นท่านก็ได้รับศีลกำลังจากพระสังฆราช ซึ่งให้นามท่านว่า แคลร์  ความจริงแล้วในวันรับศีลมหาสนิทครั้งแรกท่านก็ทูลขอต่อพระเยซูเจ้าที่จะเป็นภคินี ดูเหมือนพระเยซูเจ้าทรงจะตอบหลับคำวิงวอนนี้เพราะท่านเริ่มรู้สึกถึงกระแสเรียกการเป็นภคินีคณะกลาริส แต่ท่านก็ต้องลังเลใจจากความพิการของท่านที่มีคนบอกว่ามันเป็นอุปสรรค์ ในทางตรงกันข้ามท่านก็รักภคินีคณะนาซาเร็ธนี้ และในระหว่างการสารภาพบาปท่านก็ได้รู้ว่าท่านต้องมีอายุได้ 21 ปีก่อนถึงจะได้เข้าอาราม ก็ตั้ง 7 ปีแนะ! ที่ท่านต้องรอ  แต่ดูเหมือนมันจะเป็นไปไม่ได้ เพราะหลังจากการยื่นเรื่องของท่านต่อผู้ใหญ่ในคณะของคุณแม่อธิการมารี แซง ปีแอร์ ก็ปรากฏว่าสุดท้ายท่านกูถูกปฏิเสธจากคณะภคินีแห่งนาซาเร็ทนี้เนื่องจากความพิการของท่าน แต่กระนั้นท่านก็ยังคงไม่ท้อแท้และพร้อมที่จะไปร่วมกับคณะอื่นๆ



ซึ่งในระหว่างที่รอนั้นเองในปีเดียวกับที่ท่านรับศีลมหาสนิทคือปี ค..1892 มารดาของท่านก็ได้มาแจ้งว่าทั้งครอบครัวจะย้ายไปที่ทำงานใหม่ของบิดาท่านในปราสาทที่ลา รีโอล 60 กิโลเมตร จากเมืองที่ท่านศึกษา มันเป็นความเศร้าอย่างยิ่งสำหรับท่านที่ต้องแยกห่างจากครอบครัวอันเป็นที่รักของท่าน  นี่ท่านต้องอยู่คนเดียวโดยที่ไม่ได้พบบิดามารดาที่มาเยี่ยมแล้วหรือ เหมือนเคราะห์ซ้ำกำซัดเพราะภายในวันที่ 30 ธันวาคมโทรเลขฉบับหนึ่งก็มาถึงท่านเพื่อประกาศว่ามารดาที่รักขอท่านได้จากโลกใบนี้ไปแล้วด้วยอาการไส้เลื่อน บนชานชาลารถไฟด้วยวัย 41 ปี อันจะเป็นเพราะไม่ได้รับการรักษาหรือความใจดำของนายจ้างที่ส่งเธอไปรักษาที่โบรโดซเราก็ไม่ทราบ


ในทันทีที่ทราบข่าวท่านตกอยู่ในความเศร้า น้ำตามากมายหลั่งรินออกมาจากดวงตาคู่นั้น ท่านทรุดตัวลงแทบเท้าแม่พระ ก่อนจะรีบโดยสารเรือกลับมาร่วมพิธีศพมารดาของท่าน ที่นั่นท่านพบพี่หลุยส์ที่อยู่ในสภาพป่วยหนัก ทั้งสองร้องไห้ออกมาพร้อมๆกันอีกครั้ง ในสภาพที่บิดาของท่านเต็มไปด้วยความว้าวุ้นใจและความเศร้า ท่านก็อาสาที่จะอยู่ดูแลน้องทั้งสองของท่านคือรูแบ็งอายุ 7 ปี และลูเซียอายุ 6 ปี แต่ที่นี่ไม่มีเตียงพอสำหรับท่าน ดังนั้นท่านจึงตองนอนที่พื้นโดยมีผ้าห่มรองท่ามกลางฤดูหนาว


เพียงสัปดาห์หลังการจากไปของมารดา ในวันที่ 6 มกราคม พี่หลุยส์ก็ได้สิ้นใจอย่าสงบในอ้อมแขนของท่านน้องสาวของเขา ดังนั้นในต้นปีค..1893 ท่านจึงกลับมาโรงเรียนพร้อมๆกับน้องน้อยสองคนในอ้อมแขน ท่านชอบที่จะดูทั้งสองมากๆ แต่ท่านก็ได้รับมอบหมายให้ทำงานต่างๆ มันจึงยากสำหรับท่านแต่ท่านก็ไม่เคยปริปากบ่น แต่ต่อมาไม่นานพี่สาวขอท่านที่เป็นภคินีอยู่ที่โนฌาลส์ ก็ได้ขอนำน้องทั้งสองไปเลี้ยงในในปลายเดือนกันยายน ค..1893 ดังนั้นจึงมีคุณพ่อจากโนฌาลส์มารับทั้งสองไป ซึ่งท่านก็ยอมและมาส่งพวกเขาถึงสถานี


ความเข้าใจของท่านสำหรับความพิการในตอนนี้คืออุปสรรค์ต่อการอุทิศชีวิตเป็นภคินี ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจที่จะภาวนาขออัศจรรย์พร้อมกับเดินทางไปที่ลูร์ด แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น ในเวลานั้นเองที่ท่านเริ่มหันเหความสนใจสู่อารามกลาริสของตาลองซ์ ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับโรงเรียนของท่าน ท่านจึงได้เขียนจดหมายไปหาคุณพ่อฟีร์แม็ง อธิการอารามคณะฟรังซิสที่ตั้งอยู่ใกล้ๆโรงเรียนของท่านเช่นกันในฤดูร้อน ปี ค..1893 เพื่อขอให้คุณพ่อช่วยเป็นคนกลางให้ท่านในการเข้าอารามกลาริส แต่สุดท้ายคำตอบก็คือไม่ พร้อมกับเหตุผลเดิมๆคืออายุและความพิการของท่าน


แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อ ท่านจึงเริ่มเขียนจดหมายถึงพี่สาวของท่านที่เป็นซิสเตอร์เพื่อขอเข้าคณะเดียวกับพี่คือคณะภคินีแห่งนักบุญโยเซฟ แต่คำตอบที่ได้ก็คือไม่เช่นเดิม ด้วยเหตุผลก็เดิมๆคือความพิการเป็นอุปสรรค พี่สาวคนหนึ่งของท่านในนามซิสเตอร์มารีแห่งนักบุญเชอร์แม็น ก็ดูเหมือนน่าจะมีปัญหากลับทางอารามเพราะเธอไม่ตอบจดหมายของท่านเลยตลอด 6 เดือน ในจดหมายถึงพี่สาวลงวันที่ 3 มิถุนายน ค..1894 ท่านได้เขียนว่า ถ้าพี่รู้ว่าน้องเศร้าจากสถานที่ไกลๆ……ดูเหมือนน้องคือขยะ


แม้ท่านจะต้องเจอคำปฏิเสธมากมายแต่ท่านก็ยังไม่ท้อและยังคงมั่นใจว่าท่านมีกระแสเรียก เหมือนเป็นการยืนยันว่าท่านมีกระแสเรียกจริงเพราะในวันขณะที่ท่านและเพื่อนสนิทของท่านไปที่วัดแม่พระแห่งเวอรเดอเลส ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับโรงเรียนของท่านเช่นกัน ที่นั่นท่านสวดภาวนาอย่างร้อนรนด้วยความรักที่ท่านมีต่อแม่พระ จนในตอนท้ายเพื่อของท่านถามท่านว่า เกิดอะไรขึ้น แม่พระบอกอะไรเธอหรือ ท่านจึงตอบไปว่า “ใช่ พระนางให้ฉันเข้าใจกระแสเรียกของฉัน แต่ไม่นานเท่าไร


จากนั้นมาดวงใจของท่านก็พบแต่สันติ ตอนนี้ท่านมั่นใจมากขึ้นแล้วว่าท่านมีกระแสเรียก ตอนนี้ความปรารถนาของท่านคือรอการชี้นำจากแม่พระ จนกระทั้งวันฉลองพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนม์ชีพที่ 6 เมษายน ค..1896 ในโรงเรียนก็ได้มีการจัดปาร์ตี้กัน แต่ท่านมิสามารถมาร่วมงานนี้ได้ ท่านจึงถูกทิ้งไว้คนเดียว แต่อย่างไรก็ตามท่านก็ตัดสินใจไปแสวงบุญที่วัดแม่พระตาลองซ์กับผู้ดูแลคนหนึ่งที่ถามท่านว่าจะแวะไปเยี่ยมซิสเตอร์มารี ฟรังเชสกาที่อารามกลาริด้วยไหม เหมือนมีอะไรดลใจให้ซิสเตอร์ผู้นั้นขอให้ท่านไปลองพบคุณแม่อธิการดูเพื่อกรณีของท่าน เมื่อท่านพูดขึ้นว่า ถ้าหนูสามารถกลับไป

ท่านจึงถูกพามาอยู่ที่ห้องรับแขกที่มีภคินีสี่ท่านรอท่าอยู่แล้ว การสัมภาษณ์ดำเนินไป ก่อนที่จะจบด้วยคำพูดของคุณแม่อธิการที่ว่า ภาวนาและมีความหวังนะ สิ้นเสียงนี้น้ำตาแห่งปิติยินดีหลั่งไหลอีกครั้งจากสองสหาย ในไม่ช้าจดหมายจากอารามกลาริสก็ส่งมาถึงคุณแม่อธิการมารี แซง ปีแอร์ ประจำบ้านของท่านในวันพุธ ในจดหมายระบุว่าท่านสามารถเข้าอารามกลาริสได้ตามประสงค์และเมื่อท่านทราบข่าวท่านก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี ท่านจูบคุณแม่อธิการด้วยความสุข ในตอนนี้ทุกคนต่างแสดงความยินดีกลับท่าน แม้ว่าจะเศร้าก็ตามที่ต้องจากท่าน หลังจากการไปเยี่ยมอารามในวันอาทิตย์ท่านก็ได้กำหนดการเข้าอารามในวันฉลองพระหฤทัยที่ 12 มิถุนายน


ขณะนี้ท่านมีอายุ 18 ปีแล้ว และกำลังจะได้เข้าอาราม แต่มีปัญหานิดหน่อยคือท่านยังไม่ได้รับคำอนุญาตบิดาท่านเลย คงได้แต่เพียงภาวนา ฝ่ายบิดาท่านเมื่อทราบข่าวก็มีความคิดที่อยากจะปรึกษากับบุตรีคนโตของเขาที่เป็นซิสเตอร์ ส่วนท่านก็เขียนจดหมายไปขอให้พี่สาวที่เป็นซิสเตอร์ของท่าน ช่วยอธิบายให้บิดาฟังที และเมื่อได้รับจดหมายซิสเตอร์ลูเซียก็รีบเขียนจดหมายไปหาบิดาต่อในทันที จากนั้นท่านจึงกลับไปใช้เวลาอยู่ที่บ้าน เพื่อพูดกับบิดา อำลาครอบครัว สถานที่ในวัยเด็กของท่านตลอดสัปดาห์ แต่กระนั้นบิดาของท่านก็ยังคงต้องการรูปภาพของท่านอยู่ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้ส่งภาพของท่านในชุดของธิดาแม่พระไปให้บิดาท่าน

วันแห่งความสุขสันติสำหรับท่านก็มาถึงในวันที่ 12 มิถุนายน ท่านมาที่อารามพร้อมกับกลุ่มเพื่อนเล็กๆที่ตามมาส่งถึงประตูอาราม ที่มีคุณแม่แคลร์ อิซาเบล ยิ้มรอจูบท่าน ก่อนที่จะให้คุณแม่เซราฟิม นวกจารย์นำท่านไปยังที่นั่งของท่านใกล้ๆตู้ศีลที่ท่านรัก จากนั้นจึงนำท่านไปยังห้องพักสำหรับโปสตุลันต์และห้องพักโนวิสตามลำดับ หลังจากนั้นในตอนเย็นประตูตู้ศีลจึงถูกเปิดไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง แน่นอนท่านต้องไม่พลาดโอกาสนี้แน่ ซึ่งมันทำให้เวลานี้ของทุกๆวัน ท่านเต็มไปด้วยความสุข


ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นท่านก็มีความก้าวหน้าทางวิญญาณตลอด เช่นเดิมตู้ศีลยังคงดึงดูดท่านเช่นแม่เหล็ก จากนั้นในวันที่ 21 พฤษจิกายน ท่านก็ได้รับชุดศักดิ์ของคณะพร้อมนาใหม่ว่า ภคินีมารี เซลิน แห่ง แม่พระถวายพระองค์ ซึ่งตรงกับวันฉลองแม่พระถวายพระองค์ในพระวิหาร ท่านพยายามที่จะเขียนบรรยายความรู้นี้ แต่มันก็มากเกินกว่าที่ท่านจะเขียนได้ว่าในตอนนั้นท่านมีความสุขแค่ไหน ดวงใจของดิฉันถูกมอมเมาไปด้วยความรัก…..ปากกามิสามารถเคลื่อนไหวได้ผ่านมือของดิฉัน  ท่านจึงพยายามเขียนอีกครั้งหนึ่งในวันถัดไป วันนี้ก็ยังเหมือนเมื่อวานดิฉันรู้สึกว่าไม่สามารถแสดงสิ่งที่ดิฉันรู้สึกได้ถึงความสุขและความสุข ผู้ที่สามารถบอกได้ว่าท่านได้ถึงเรื่องดวงใจนี้ ดวงใจที่น่าสงสารของดิฉัน พระเยซูเจ้าคนเดียวที่รู้ความลับนี้….”


แต่แล้วในวันหนึ่งระหว่างที่มีการฉลองในอาราม ท่านก็รู้สึกไม่สบาย ไม่นานจากนั้นท่านก็เริ่มรู้อ่อนเพลียและหลังจากการวินิจฉัยจากแพทย์พบว่าท่านป่วย แต่มันก็สายเกินไปที่จะเยียวยาเสียแล้ว  ดังนั้นในประมาณช่วงปลายปี ค..1896 ท่านจึงต้องย้ายไปอยู่ในห้องพยาบาล  ทุกคนพยายามทำให้ท่านมีความสุข พวกเขาเอาสรตอเบอร์รี่ให้ท่านและต้องขอบคุณคำแนะนำวิญญาณที่ดีของคุณแม่เซราฟีม ที่ทำให้ท่านสู้และอดทนยอมรับความจริงที่โหดร้ายนี้

ช่วงเวลานี้พระคาดินัลพระสังฆราชประจำโบรโดซ คุณพ่อเลอคอท  ได้แวะมาท่าน 2 ครั้งและอนุญาตให้ท่านเข้าพิธีปฏิญาณตนตลอดชีพได้ ในภาวะขับขันเมื่ออธิการเห็นว่าสมควร ไม่ต้องบอกเลยว่าท่านสุขแค่ไหนเพราะสำหรับท่านแล้วความปรารถนาของท่านคือการตายในฐานะภคินี ดังนั้นท่านจึงเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ กระทั้งคืนวันที่ 20 มีนาคม อาการของท่านก็ทรุดลงจึงมีการอนุมัติให้ท่านได้เข้าพิธีปฏิญาณตนครั้งสุดท้ายได้ ความสุขมากมายมาสู่ท่านอีกครั้ง ดังนั้นห้องจึงถูกประดับด้วยมาลากุหลาบขาว แท่นพระกุมารเยซูเต็มไปด้วยดอกไม้นานาๆชนิด เพื่อเตรียมรับศีลมหาสนิท ชุด ผ้าคลุม ไม้กางเขนและแหวนถูกจัดวางไว้ ก่อนที่ทุกคนในอารามจะมาร่วมงานฉลองน้อยๆง่ายๆของท่านกัน สวรรค์ฟากฟ้าเป็นความสุขเสียจริงทำให้ความปรารถนาของฉันให้สำเร็จ

หลังจากนั้นประมาณสิบนาทีก่อนเสียชีวิต ท่านได้หันสายตาไปทางขวาและยิ้มพลางกล่าวว่า ซิสเตอร์เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ที่นั่นไหม โอ้เธอช่างงดงาม! ” ถึงสามครั้งราวกับท่านตกอยู่ในภวังค์ของความยินดี ดวงตาของท่านยังคงจับจ้องอยู่ที่เดิม ทันใดนั้นท่านก็อุทานขึ้นว่า ฉันได้ยินเสียงระฆังดังกังวาน…..”  จากนั้นท่านก็หันไปมองด้านหน้าของท่านคือด้านหลังของห้องพลางพูดว่า “ฉันเห็นเด็กสาวน้อยสวมชุดขาวมากมาย จากนั้นทูตสวรรค์ก็ปรากฏ ท่านจึงค่อยๆยืดตัวช้าๆบนหมอนในขณะที่กวาดสายตาไปในอากาศ หากคุณมองดีแล้วๆ คุณจะเห็นว่าดวงตาคู่นั่นเปี่ยมไปด้วยความสุขขนาดไหนที่ได้เห็นแม่พระที่รักมากรับตัวไปเข้าพิธีวิวาห์กับพระบุตรของพระนางเฉกเช่นเดียวกับที่พระนางทรงเคยทำกับนักบุญคลาราก่อนจากไป ท่านมองดูเช่นนั้นเป็นระยะเวลานาน ก่อนที่ท่านจะค่อยเองศีรษะไปทางขวาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับความสุขเป็นครั้งสุดท้ายของท่าน


ท่านสิ้นใจอย่าสงบในอ้อมแขนมารดาทั้งสอง ในตอนเช้าของวันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม ค..1897 ด้วยอายุ 19 ปี 6 วัน จากวัณโรคกระดูก ร่างน้อยๆของท่านถูกฝังในอาราม ไม่นานมันก็กลายเป็นที่แสวงบุญ แต่ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค..2006 ร่างของท่านก็ได้รับการย้ายไปอยู่ที่วัดของโนฌาลส์ เอต โคลท์ ในระหว่างนั้นมีผู้คนได้สัมผัสกลิ่นหอมประหลาดจากหลุมของท่าน จึงมีการขนานนามท่านว่า “นักบุญน้ำหอม” ปัจจุบันหากทุกคนไปเยี่ยมชนหลุมศพของท่านในสถานที่ปัจจุบันทุกคนจะพบคำจารจารึกจากคำเขียนของภคินีนางหนึ่งว่า
ดิฉันตัดสินใจว่าดิฉัน
จะเป็นไวโอเล็ตแห่งความนบนอบ
กุหลาบแห่งกิจเมตตาธรรม
ลิลลี่แห่งความบริสุทธิ์
สำหรับพระเยซูเจ้า

และภายหลังจากเกิดอัศจรรย์ผ่านคำเสนอวิงวอนของท่านนักบุญน้ำหอม สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ก็ได้บันทึกนามท่านลงในสารบบบุญราศีในวันที่ 16 กันยายน ค..2007 โดยมีการจัดการฉลองขึ้น ณ อาสนวิหารของโบรโดซ โดยมี ฯพณฯ ท่านพระคาร์ดินัลโจเซ ซาเรวา มาร์แต็งส์  เป็นประธานในพิธีมิสซาบูชาครอบพระคุณ


ใจของท่านทั้งหลาย จงอย่าหวั่นไหวเลย จงเชื่อในพระเจ้าและเชื่อในเราด้วย (ยอห์น 14:1)  แม้ท่านจะมีขาที่พิการ ท่านก็ไม่ย่อท้อที่จะติดตามกระแสเรียกของท่าน แม้ว่าจะต้องถูกปฏิเสธจากหตุผลเดิมๆก็ตาม แต่กระนั้นท่านก็ยังเชื่อในพระองค์และยังคงสู้ต่อไปจนกระทั้งท่านได้เข้าเป็นซิสเตอร์คณะกลาริสสมใจหวัง พี่น้องที่รักถ้าเรามีกระแสเรียกจริงๆ อย่ากลัวที่จะติดตามมันไปเพราะพระเจ้าจะทรงเคลียทางให้เราเอง จงอย่ากลัวที่จะเดินตามเสียงนั้น ตามแบบอย่างของเด็กหญิงขาเป๋คนนี้ นักบุญน้ำหอมน้อยของพระเจ้า


น้องจากไปโดยไม่ต้องเสียใจ น้องจะได้พบพี่ในสวรรค์…….. บนนั้นน้องจะไม่ลืมทุกคน
จากจดหมายฉบับสุดท้ายถึงพี่สาว
บุญราศีมารี เซลิน แห่ง แม่พระถวายพระองค์ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

คือปัสกาของ 'การ์โลส มานูเอล' ตอนจบ

บุญราศีการ์โลส มานูเอล เซซิลิโอ โรดริเกซ ซันติอาโก Bl. Carlos Manuel Cecilio Rodríguez Santiago วันฉลอง: 13 กรกฎาคม และ 4 พฤษภาคม (ในปวยร์โต...