วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"มารีอา แบรทิลลา" ห่านที่กลายเป็นหงส์


นักบุญ มารีอา แบรทิลลา โบสการ์ดิน
St. Maria Bertilla Boscardin
ฉลองในวันที่ : 20 ตุลาคม

อันนา ฟรังเชสกา โบสการ์ดิน  คือนามเดิมของนักบุญองค์แรกของคณะภคินีครูแห่งนักบุญโดโรธี  , ธิดาแห่งพระหฤทัย มีบางคนพูดกันว่ามารีอา เบรทิลดา , นักบุญแบร์นาแด็ต ซูบิรูส์ และนักบุญเทเรซา แห่ง พระกุมารเยซู เป็นพี่น้องฝ่ายจิตกัน จะจริงหรือไม่ตามที่เขาพูดต่อๆกันมา เราก็คงต้องลองศึกษาชีวประวัติของนักบุญหญิงผู้นี้ไปพร้อมๆกัน

อันนา หรือ อันเน็ตเต เกิดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ.1888  ในครอบครัวชาวนาที่ยากจนที่มีหัวหน้าครอบครัวที่เป็นคนชอบใช้ความรุนแรง ขี้อิจฉาและเป็นพวกขี้เหล้าอย่างนายอังเจโล ในเมืองแบรนโดลา แคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี  ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรเลย ที่บางเวลาจะมีเสียงเอ็ดตะโกนของบิดาท่านดังลั่นบ้าน มันดังชนิดเพื่อนบ้านทุกคนต่างได้ยินเสียงอันชวนขวัญผยองนั้นเสมอ แต่ทุกคนก็ไม่สามารถที่จะยื่นมือของพวกเขาเข้าไปช่วยได้เลย ฝั่งลูกหลานของชาวบ้าน เมื่อได้ยินเสียงนี้ก็จะต่างรีบวิ่งไปหลบตามมุมครัว พร้อมๆกับใช้มือน้อยๆปิดหน้าไว้ พลางร้องกระจองอแงด้วยความกลัว


ไม่เพียงแต่ส่งเสียงเอ็ดตะโร ในบางครั้งบางคราวนายอังเยโลก็จับอันนาลูกน้อย โยนไปบนตักภรรยา ผู้ที่จะโอบกอดลูกน้อยไว้แนบอก เพื่อปกป้องลูกน้อยโดยใช้ตัวเองเป็นดุจโล่กันสามีจอมเจ้าอารมณ์ แต่ในบางคราวนางก็สามารถจะพาลูกน้อยหลบสามีขึ้นไปอยู่ในห้องใต้หลังคาบ้านหรือพาเดินเท้าออกจากบ้านไปทางวิเซนซา ก่อนจะไปพักอยู่ที่ซุ้มโค้งของสักการสถานแม่พระแห่งภูเขาเบริโก พลางร้องไห้ต่อหน้าแม่พระอยู่ตลอดคืน

เมื่ออายุได้พอที่จะเข้ารับการศึกษา ท่านก็ได้เข้ารับการศึกษา แต่ก็เป็นแบบบางครั้งบางคราวเพราะท่านต้องคอยช่วยงานบ้านและงานในทุ่ง แม้ในขณะมี่เข้าเรียนในโรงเรียนแล้ว ท่านก็ยังคงไปทำงานเป็นหญิงรับใช้ในบ้านบริเวณใกล้เคียง ที่โรงเรียนท่านเป็นเด็กขี้อาย งุ่มง่าม ที่มีผลการเรียนที่จัดได้ว่าแย่ขนาดมีคำแนะนำดีๆ ซึ่งตัวท่านเองก็ตระหนักดีถึงความจริงในเรื่องนี้ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ  ท่านจะตอบอย่างถ่อมตนโดยไม่มีความโกธรเคืองพวกเขาใดๆเลย ท่านจึงถูกเพื่อนๆในชั้นเรียน ผู้ใหญ่ เย้ยหยันว่า นังห่าน 


มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ครูของท่านรู้สึกไม่สบายใจที่จะเยาะเย้ยท่าน เรื่องนี้เกิดในช่วงสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ครูของท่านได้เล่าถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าและทันทีที่ท่านได้ฟัง น้ำตาแห่งความเสียใจก็พรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่นั้นของท่าน หนูร้องไห้สำหรับพระมหาทรมานขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเพื่อบรรดาชายผู้โหดร้ายค่ะ ท่านกล่าวด้วยภาษาของท่านเอง 

แม้จะไม่ได้ฉลาดอะไรมาก ท่านก็เรียนรู้จากมารดาว่าหากยามใดก็ตามบิดาของท่านเกิดโกธรขึ้นมา ท่านก็จะหลบไปอยู่ที่วัดซาน มิเกเล ใกล้บ้านๆของท่าน หรือไม่ก็ตามทางเกวียนเก่า และยังเข้าใจดีถึงสภาพของครอบครัว ท่านจึงสามารถวางตนอยู่ในสันติกับทุกคนได้ ถึงแม้ท่านว่าจะมีบิดาที่เข้าใจไม่ได้ซึ่งเอาแต่บ่นๆ


นอกจากนั้นท่านยังสนิทกับคุณพ่อเจ้าวัด ผู้มองเห็นเห็นวิญญาณแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนภายในร่างกายของท่าน คุณพ่อจึงได้อนุญาตให้ท่านรับศีลมหาสนิทครั้งแรกในขณะที่ท่านมีอายุเพียง 8 ปี ก่อนที่ท่านจะได้รับจริงๆเมื่ออายุ 11 ปี ที่ 12 ปี  และหลังจากนั้นก็เพราะคุณพ่อองค์นี้ ท่านจึงได้แหกกฎอีกครั้ง โดยเรื่องมีว่าคราวนี้ท่านปรารถนาที่จะเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มธิดาแม่พระ ซึ่งรับสมาชิกซึ่งเป็นเยาวชนหญิงอายุตั้งแต่ 14 ปี ซึ่งแน่นอนเลานั้นท่านยังอายุไม่ถึง แต่คุณพ่อเจ้าวัดผูเล็งเห็นวิญญาณอันสุกใส ก็ได้อนุญาตเป็นพิเศษให้ท่านได้เป็นสมาชิกของกลุ่มก่อนเกณฑ์

เมื่ออายุได้ 15 ปี ท่านก็ปรารถนาที่จะบวชเป็นซิสเตอร์ เพื่อจะได้อุทิศตัวเองอย่างเต็มที่แด่พระองค์ และพอนำเรื่องนี้ไปบอกกับคุณพ่อเจ้าวัด แม้คุณพ่อจะเห็นดีว่าวิญญาณของท่านงดงามแค่ไหน ก็ถึงกับประหลาดใจเพราะคุณพ่อมิได้คิดเรื่องนี้ไว้เลย ลูกทำอะไรไม่เป็นเลย พวกซิสเตอร์จะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับลูกดี เขาอุทานขึ้นเมื่อทราบ ก็จริงค่ะ คุณพ่อ”  ท่านตอบเขาไปด้วยความตรงไปตรงมา และน้อมรับคำแนะนำของคุณพ่อว่าให้อยู่บ้านและทำงานอยู่ในทุ่งนาต่อไป แต่อย่างไรก็ตามคืนนั้น เมื่อคุณพ่อลองคิดเรื่องนี้ดู เขาก็เชื่อว่าท่านมีกระแสเรียกจริงๆ ดังนั้นเขาจึงตามท่านมาพบ และถามท่านว่า ลูกยังคิดจะเข้าอารามอยู่ไหน บอกพ่อที่ว่าอย่างน้อยๆ ลูกรู้วิธีปลอกเปลือกมันฝรั่งใช่ไหม  ท่านจึงตอบไปว่า โอ้ ได้สิค่ะ คุณพ่อ ลูกสามารถทำสิ่งเล็กน้อยนั้นได้ค่ะ


แรกๆ บิดาท่านก็รำคาญที่ต้องจ่ายเงิน 100 ลีร์ เพื่อเป็นค่าสินสอดเข้าอารามคณะภคินีครูแห่งนักบุญโดโรธี  อย่างไรก็ตามเขาก็ยอม ท่านจึงได้เข้าอารามคณะภคินีครูแห่งนักบุญโดโรธี และเมื่อมาถึงนวกสถาน ท่านก็ได้กล่าวต่อนวกจารย์ว่า ดิฉันมิสามารถทำสิ่งใดได้เลย ดิฉันเป็นห่านที่น่าสงสาร โปรดสอนดิฉัน ดิฉันต้องการจะเป็นนักบุญ  ลังจากนั้นท่านก็รับมอบหมายให้ท่านทำงานเกี่ยวกับครัวและซักผ้าเป็นระยะเวลาถึง 3 ปี ซึ่งช่วงท้ายของปีแรกการเป็นนวกะ ท่านในฐานะมารีอา แบรทิลลา ซึ่งเป็นนามใหม่ ก็ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเมืองเทรวิโซ 

โรงพยาบาลเมืองเทรวิโซ เป็นโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยปัญหาด้านโครงสร้างอย่างต่อเนื่องอาทิ แผนกไม่พอบ้าง ที่นั่นท่านถูกส่งให้ไปทำงานในห้องครัวของภคินี สถานที่ที่ไม่มีโอกาสได้พบปะกับแพทย์หรือผู้ป่วย ดังนั้นทั้งปีท่านจึงคลุกอยู่แต่หน้าหม้อและอ่างล้างจานเท่านั้น ซึ่งแทนที่ท่านจะเสียใจ ในทางกลับกันท่านกลับมีความสุขกับมัน ดังปรากฏในบันทึกของท่าน ท่านได้เขียนคำภาวนาต่อไปนี้ ข้าแต่พระเยซูเจ้าข้า ลูกวิงวอนพระองค์เดชะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ โปรดให้ลูกตายเสียพันๆครั้ง  ดีเสียกว่าที่จะให้ลูกทำงานที่คนมอเห็น


ในความจริงแล้วท่านมีความปรารถนาที่จะดูแลผู้ป่วยอยู่ลึกๆ แต่ถามว่าท่านได้ทำอย่างนั้นไหม คำตอบคือ ไม่ท่านยังคงรับหน้าที่อยู่ในห้องครัวเพื่อเตรียมอาหาร แต่ขณะล้างจานไป ท่านก็เรียนรู้ที่จะภาวนาว่า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงชำระวิญญาณลูกและเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ด้วยเทอญ 

หลังจากนั้นท่านก็ได้ย้ายจากโรงพยาบาลเมืองเทรวิโซไปที่อื่น ก่อนจะได้กลับมาอีกครั้งหลังจากท่านได้เป็นภคินีเต็มตัว พระเจ้า เธอยังอยู่ที่นี่ คุณแม่อธิการกล่าวขึ้นเมื่อได้พบท่าน เช่นเดิมท่านถูกส่งให้กลับมาทำหน้าที่เดิมต่อ ก่อนที่ไม่นานขณะอายุ 20 ปี ท่านก็ได้ย้ายไปทำงานในแผนกเด็กติดเชื้อ ซึ่งเกือบทั้งหมดป่วยด้วยโรคคอตีบ ที่ในสมัยก่อนจะต้องถูกแยกจากครอบครัวมาและส่วนมากก็จะสภาพเกเรและหมดหวัง มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้พวกเขาสงบ บางทีมันก็อาจต้องใช้เวลาถึงสองสามวันเลยทีเดียว ด้วยพวกเขาช่างเหมือนสัตว์ประหลาดตัวน้อย ที่ทั้งเตะ ทั้งต่อย ทั้งกลิ้งอยู่ใต้เตียงบ้าง ทั้งไม่ยอมกินอาหารบ้าง แต่สำหรับท่านแล้ว เพียงแค่สองสามชั่วโมง เจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อยก็จะมายืนจับชายกระโปรงของท่านดังจับชายกระโปงมารดาด้วยความสงบ


และหากมีบิดามารดาของเด็กมารับทราบถึงการตายของบุตรน้อย ท่านก็สามารถที่จะสรรหาคำมาปลอบโยนพวกเขาได้เสมอ บางครั้งเมื่อเด็กๆต้องกลับบ้าน เจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อยก็จะเริ่มงอแงที่ต้องจากท่านเสมอ แพทย์บางคนยังจำได้เสมอว่าทุกครั้งที่พบท่าน พวกเขาจะไม่เคยพบความกังวล ความเมื่อยล้าและความไม่สบายใจใดในตัวท่านเลย ท่านทำงานเหล่านี้ด้วยความอ่อนโยน ดุจเดียวกับที่งานในห้องครัวและห้องซักล้าง คุณแม่อธิการค่ะ มันเหมือนว่าลูกรับใช้พระเจ้าค่ะ ท่านกล่าวต่อคุณแม่อธิการที่ขอให้ท่านทำงานให้นิดหน่อย

ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งกำลังระบาดในปี ค..1915 ระเบิดถูกปล่อยยังเมืองมากมายดุจสายฝน ท่ามกลางผู้คนในโรงพยาบาลกำลังวิ่งหนีไปหลบด้วยความกลัว ท่านเลือกที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยการช่วยย้ายพวกเขา ป้อนไวน์มาร์ซารากับผู้ที่เป็นลมเพราะความกลัว เธอไม่กลัวบ้างเลยหรือ ซิสเตอร์เบรทิลลา คุณแม่อธิการถามท่าน ไม่เคยเลยค่ะคุณแม่ เพราะพระเจ้าทรงทำให้ลูกมีกำลังพอที่จะไม่กลัวมัน ท่านกล่าวตอบ



ดังนั้นด้วยความที่ท่านไม่กลัวอะไรนี่เอง ท่านจึงถูกย้ายไปเมืองลาซาเรตโตเพื่อไปแทนภคินีคนหนึ่ง เพราะเหตุว่าสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ๆกับจุดโจมตีทางอากาศนั่นเอง จนต่อมาในปี ค..1917 หลังจากการบุกฟริวลีโรงพยาบาลจึงต้องทำการอพยพ ด้วยการแบ่งเป็นสามกลุ่ม ท่านจึงได้รับหมอบหมายให้อยู่กับผู้ป่วยนับสองร้อยคนที่ไม่สามารถจะย้ายไปไหนได้ นอกจากนี้แล้วท่านยังคอยดูแลบรรดาทหารที่ป่วยด้วยวัณโรคซึ่งนอนพักอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม ที่ถูกดัดแปลงสภาพเป็นโรงพยาบาล จนวันๆหนึ่งท่านต้องคอยเดินขึ้นๆลงๆบันไดมากกว่าร้อยขั้นเสมอเพื่อคอยดูแลผู้ป่วยเลยทีเดียว

ปีต่อมาไข้หวัดสเปนก็ได้ถาโถมเข้ามายังโรงพยาบาลท่าน ผู้คนมากมายล้มป่วยและเสียชีวิตลง และในสภาพที่กลางคืนมีอากาศหนาว กระติกน้ำร้อนจึงกลายมาเป็นสิ่งจำเป็นมากในเวลานั้น แต่แล้วในเย็นหนึ่งในเดือนตุลาคม หม้อไอน้ำเจ้ากรรมก็เกิดพัง ทำให้เกิดการจลาจลขึ้น แต่ภายนั้นคืนนั้นเอง ทุกคนก็ต้องแปลกใจในภาพที่พวกเขาเห็น นั่นคือภาพของซิสเตอร์ตัวน้อยวิ่งส่งกระติกน้ำร้อนที่ต้มขึ้นจากหม้อใบเล็กๆที่กลางลานไปตามเตียงต่างๆ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ก็คือตัวท่านนั่นเอง นอกนี้แม้จะต้องเหนื่อยแค่ไหนตลอดคืน เช้าวันถัดมาท่านก็กลับมาทำงานเช่นเดิมโดยที่มิได้หยุดพัก



และเหมือนการดูแลของท่านต่อผู้ป่วยจะมากเกินไป  ทางผู้ใหญ่จึงเกิดความระแวงในตัวท่าน และได้ตัดสินใจส่งท่านกลับไปทำงานซักรีดในโรงพยาบาลเช่นเดิม หลังจากนั้นท่านจึงถูกส่งตัวไปยังบ้านที่อยู่ใกล้ๆภูเขาเบริโกเพื่อดูแลนวกะที่ป่วย ท่านอยู่ที่นั่นเป็นเวลาห้าเดือนซึ่งตลอดระยะเวลานั้นบันทึกของท่านก็เต็มไปด้วยความรักต่อแม่พระ ราวกับว่าท่านยังคงอยู่ในช่วงเวลาแห่งการหลบภัยกับมารดาที่ใต้ซุ้มโค้งนี้ เมื่อพ้นห้าเดือนแล้ว ท่านจึงได้กลับมาดูแลบรรดาเด็กๆอีกครั้งที่เมืองเทรวิโซ 

 เพื่อที่จะอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ ลูกต้องการจะร่วมกับพระองค์ในความขมขื่นของหุบเขาแห่งน้ำตา ลูกต้องการที่จะรักพระองค์มากๆ  ด้วยการเสียสละตนและโดยกางเขนแห่งพระมหาทรมาน ขณะที่ถูกย้ายไปย้ายมานี้เอง ท่านก็เริ่มล้มป่วยลงด้วยอาการเนื้องอก จนในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ.1922 ภายหลังตรวจท่านในตอนเที่ยง แพทย์ก็ลงมติว่าจะผ่าตัดท่านในวันถัดไป แต่อนิจจาการผ่าตัดครั้งนี้ ก็กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำให้อีกสามวันต่อมา คือในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ.1922 ด้วยวัย 34 ปี ห่านตัวน้อยก็ได้กลายเป็นหงส์ก่อนโบยบินไปสู่สวรรค์ พร้อมๆกับการเปลี่ยนแปลงของดวงใจน้อยๆของด็อกเตอร์ซูกการดิ เมรลิ นักคิดฟรีเมอซัน


ไม่นานหลังจากนั้นหลุมศพของท่านก็กลายเป็นที่แสวงบุญของผู้คนมากมาย จนก่อเกิดเป็นอัศจรรย์อาศัยคำเสนอวิงวอนของท่านมากมาย จนนำไปสู่การบันทึกนามของท่านในสารบบบุญราศีในวันที่ 8 มิถุนายน ค..1952 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 และในสารบบนักบุญ ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค..1961 โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ท่ามกลางสักขีพยานคือผู้ป่วยในคณะและผู้ป่วยของท่านเอง

แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้นในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้รับใช้ของพวกท่าน(มัทธิว 20:26 - 27) ในช่วงชีวิตแรกของท่านท่านเป็นเพียงเด็กที่งุ่มง่ามจนๆ ที่ใครก็ต่างล้อว่า ห่าน เสมอ แต่ท่านก็ได้พิสูจน์ว่ามันไม่จริงด้วยการบริการผู้ป่วยของท่าน ท่านรับใช้พวกเขาด้วยใจเสมอ จนกระท่านท่านจากไปจากโลกนี้ จนถึงวันที่ท่านได้รับการบันทึกนามในฐานะนักบุญ ห่านที่ทุกคนเห็นก็ผงาดขึ้นมาในฐานะหงส์ผู้ยิ่งใหญ่ ตามพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ได้กล่าวไว้เบื้องต้น พี่น้องที่รักพระวาจากวันนี้พระเยซูเจ้าทรงได้บอกให้เรารู้ว่าการจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสวรรค์นั้น ต้องมีใจบริการทุกคนเหมือนท่านนักบุญมารีอาที่บริการผู้ป่วยของเธอ


  นักบุญ มารีอา เบรทิลลา โบสการ์ดิน ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"เบรนาร์โด ฟรานซิสโก" นักสร้างสะพานและธรรมทูตพระหฤทัย


บุญราศีเบรนาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยซ เด เซญา
Bl. Bernardo Francisco de Hoyos
ฉลองวันที่ : 29 พฤษจิกายน

ณ เมืองโตรเรโลบาตอน จังหวัดบายาโดลิด สังฆมณฑลปาเลนเซีย มีครอบครัวหนึ่ง มีสามีชื่อดอนมานูเอล เด โอโยซ  กับ ภรรยาชื่อดอญา ฟรานซิสกา เด เซญา ทั้งสองมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค..1711 หนูน้อยได้รับศีลล้างบาปในวันที่ 16 กันยายน ในชื่อ  เบรนาร์โด’ ตามนามของนักบุญเบอร์นาร์ด แห่ง แคลร์แว็กซ์ตามที่บิดามารดาของทารกน้อยประสงค์ และ  ฟรานซิสโก’ ตามนามของนักบุญฟรานซิส เซเวียร์
ตามที่พระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีล้างในวัดซานตา มารีอา เด โตรเรโลบาตอนประสงค์ เพื่อว่าหนูน้อยจะอยู่ภายใต้การอารักษ์ของท่านนักบุญองค์นี้ ดังนั้นเองหนูน้อจึงได้รับศีลล้างบาปในนาม  เบรนาร์โด ฟรานซิสโก’ 

เบรนาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยซ เด เซญา  เติบโตขึ้นมาในครอบครัวคริสตชนที่ศรัทธา ที่หล่อเลี้ยงบำรุงท่านทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิต จนท่านมีอายุ 9 ปี ท่านจึงได้รับศีลกำลังจากมือของ ฯพณฯท่านพระสังฆราชฟรานซิสโก เด โอชัวในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.. 1720  ก่อนในปีต่อมาเพื่อเข้ารับการศึกษาต่อในโรงเรียนและวิทยาลัยของคณะเยซูอิตในเมืองเมดินา เดล กัมโป และ วีลลาการ์เซีย เด กัมโปซตามลำดับ ท่านจึงจำต้องจากครอบครัวที่รัก ย้ายไปอยู่กับคุณป้าของท่านที่เมืองเมดินา เดล กัมโป ด้วยวัยเพียง 10 ปี


ในวัยเยาว์ ท่านเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะตัวเล็ก และดูท่าทางเป็นเด็กขี้โรค แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้ท่านมีชีวิตที่อับเฉา เพราะในเวลาเดียวกันกับที่มีสภาพร่างกายเป็นเช่นนั้น จิตใจของท่านกลับเข้มแข็งและสดใส มันอ่อนโยนและเมตตาโดยธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ ดังนั้นท่านจึงเป็นที่มีเอกลักษณ์เด่นอีกแง่คือการเป็นเด็กร่าเริง ชอบคิดวางแผนการละเล่นต่างๆ อีกมีน้ำใจนักกีฬากับเพื่อนๆ และมีความศรัทธาต่อพระเป็นเจ้าอย่างร้อนรน นอกนี้แล้วท่านยังเป็นเด็กมีปัญญาที่เฉียบแหลมและมีความจำที่น่าทึ่ง ซึ่งช่วยให้เมื่อถึงเวลาท่านจบชั้นมัธยม ท่านก็สามารถอ่านเขียนภาษาละตินได้อย่างง่ายดายอีกด้ว

ท่านเล่าเรียนอยู่ในโรงเรียนของคณะเยซูอิตจนอายุล่วงได้ 14 ปี ภายหลังจากจบการศึกษาท่านก็ตัดสินใจสมัครเข้าบ้านเณรของคณะเยซูอิตที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของท่าน แต่ก็ต้องถูกให้รอไปก่อนจากทางคณะ เพราะท่านยังอายุน้อยเกินไป แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นด้วยเหตุกลใด หรือชะลอยจะเป็นการช่วยเหลือจากสวรรค์ ท้ายที่สุดในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ.1726 ด้วยวัยเพียง 14 ปี ท่านก็ได้รับการยกเว้นให้เข้านวกะสถานในวีลลาการ์เซีย เด กัมโปสก่อนกำหนด 


ที่นั่นท่านได้รับการศึกษาทั้งด้านเทวศาสตร์และปรัชญาตามแบบเณรทั่วไปที่เตรียมเป็นพระสงฆ์ ท่านเป็นเณรที่จัดได้ว่าอยู่แถวหน้าของรุ่น เพราะท่านสามารถแบ่งเวลาการภาวนาและการเรียนอย่างมีระบบ ซึ่งน่ายึดเป็นแบบฉบับ เพราะขณะที่เป็นเณรเยซูอิตที่ตรงต่อเวลาเรียน ท่านเป็นเณรที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ทางวิญญาณตามแบบฉบับของเยซูอิต นอกนี้คุณพ่อวิญญาณณารักษ์ของท่านยังยกย่องท่าน ว่าท่านเป็นคนที่มีความรู้ที่มากกว่าในหนังสือ จากการที่ท่านสามารถที่จะรับรู้และอธิบายชีวิตของท่านได้อย่างชัดเจน เช่นในคำสารภาพของท่านในเดือนตุลามคม ค..1732 ใจความว่า ผมเห็นว่าทุกสิ่งอย่างในหัวใจของผมเคลื่อนไปหาพระเจ้า เช่นเหล็กที่ถูกดูดไปหาแม่เหล็ก มันประสงค์เพียงพระเจ้า เพียงการค้นหาพระองค์และโหยหาเพียงพระองค์

และก็เป็นที่แห่งนั้น ที่ขณะชีวิตฝ่ายโลกของท่านกำลังเติบโตขึ้นในทางแห่งสงฆ์(ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยพิธีกรรม ซึ่งเป็นก้าวอีกก้าวในหนทางของการเป็นพระสงฆ์ผู้แทนพระคริสตเจ้าในระหว่างที่ท่านกำลังศึกษาปรัชญาอยู่นั้น ในปี ค..1727 ) ชีวิตแห่งการเข้าฌานของท่านก็ได้เริ่มเปิดบันทึกหน้าแรกขึ้น ชีวิตนี้เริ่มด้วปีแห่งการชำระ ซึ่งกินเวลาตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ.1728 ถึงวันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน ค.ศ.1729 ซึ่งตรงกับวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ ท่านนิยามช่วงเวลานี้ ว่าเป็น  คืนมืดของวิญญาณ


ในช่วงเวลาที่มืดมิดนี้ ท่านถูกโจมตีอย่างหนักจากกองทัพของพวกปีศาจ ที่รู้ดีว่าหากมันปล่อยให้ท่านอยู่ในหนทางนี้ต่อไป มันจะต้องสูญเสียวิญญาณที่มันจะดักจับได้ไปเป็นจำนวนมาก พวกมันต่างพากันยั่วยุท่านด้วยสารพัดวิธีการ ไม่ว่าจะเป็นการพยายามยุยงให้ท่านดูหมิ่นพระเจ้า แม่พระ เทพนิกรทั้งหลาย อีกนักบุญที่ท่านรักมากที่สุด  การทำให้ท่านตกเป็นเป้าของการเยาะเย้ยจากพระพรพิเศษที่ท่านได้รับ การเปลี่ยนช่วงเวลาหย่อนใจหลังอาหารของท่านเป็นเวลาแห่งความทุกข์ หรือแม้แต่พยายามทำให้ท่านโกธรด้วยการเอาหัวท่านโขลกกับผนังบ้าง ดึงหรือกัดผมของท่านบ้าง นอกนี้แล้วเมื่อท่านหันไปวิงวอนทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า มันก็จะพูดถากถางว่าท่านกลายเป็นผู้ที่ไม่คู่ควรกับพระหรรษทาใดๆ จากพฤติกรรมที่ถดถอยของท่าน จนเป็นเหตุทำให้ช่วงนั้นท่านตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังและเศร้าหมอ

แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ทำให้ท่านหวั่น เท่ากับการที่มันพยายามคุกคามพรหมจรรย์ของท่าน ด้วยความคิดอนาจารต่างๆ ความทุกข์จากสู้กับการประจญนี้ ทำให้ท่านถึงขั้นต้องต้องร้องไห้และกัดฟันกระนั้นก็ตามถึงจะต้องพบสิ่งเหล่านี้อย่างหนักหน่วงต่อเนื่องทุกวัน ทุกคืนไม่ว่างเว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ท่านภาวนาหรือไปรับศีลมหาสนิท ท่านก็เชื่อมั่นเสมอว่าสิ่งที่ผ่านเข้ามาทั้งหมดนั้น เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาและหลุมพรางเฉพาะของพวกปีศาจที่ทำขึ้นเพื่อที่จะลากท่านไปสู่นรก  และท่านก็ไม่เคยพูดหรือมีกริยาเพียงน้อยนิดที่ทำให้บรรดาเพื่อนของท่านแปลกใจหรือตกใจเลย

และที่สุดเมื่อท่านสามารถผ่านการทดลองเหล่านี้ พระเป็นเจ้าก็ทรงประทานของของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในการเข้าฌานสำหรับท่าน ในวันสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติเข้าสรรค์ทั้งกายและวิญญาณ ซึ่งในครานั้นตรงกับวันที่ 15 สิงหาคม ..1730 พระพรในครั้งนั้นคือ  พิธีมงคลสมรสฝ่ายจิต ท่านได้บันทึกถึงเหตุการณ์นั้นว่า
ทรงจับมือขวาของผม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำผมให้นั่งลงในบัลลังก์อันว่างเปล่า แล้วพระองค์จึงทรงสวมแหวนสีทองที่นิ้วของผม … ‘ขอให้แหวนนี้เป็นเครื่องเตือนถึงความจริงใจในรักของสองเรา ลูกเป็นของเรา และเราเป็นของลูก ลูกสามารถเรียกตัวลูกและใช้นามว่าเบรนาร์โดแห่งพระเยซูเจ้า เช่นเดียวกับที่เราเคยบอกกับเทเรซา เจ้าสาวของเรา ลูกคือเบรนาร์โดของเยซู และเราคือเยซูของเบรนาร์โด เกียรติมงคลของเราก็คือของลูกฉันใด เกียรติของลูกก็คือของเราฉันนั้น จงพินิจสิริมงคลของเราในฐานะคู่วิวาห์ของลูกเถิด แล้วเราจะพินิจถึงสิริมงคลของลูก ในฐานะคู่วิวาห์ของเราเช่นกัน สิ่งใดที่เรามีล้วนเป็นลูก และสิ่งใดที่ลูกมีก็ล้วนเป็นของเรา เราเชื่อมกับลูกด้วยพระหรรษทาน เราและลูกเป็นหนึ่งเดียวกัน’”

แต่ถึงกระนั้นท่านก็มิได้เปิดเผยต่อใครว่า ท่านได้รับพระพรพิเศษ ด้วท่านดำรงชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายตามกฎของคณะอย่างเคร่งครัด ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นพระพรมากมายที่ท่านได้รับ แต่กระนั้นเพื่อนเณรบางคนก็สังเกตเห็นความผิดปกติเล็กน้อยๆ จากตัวท่าน นั่นก็คือในบางวาระโอกาศ เพื่อนบางคนก็เห็นประกายปราฏกขึ้นบนใบหน้าของท่าน หรือบางคนก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากความรักของท่านได้อย่างน่าประหลาด หรือบางคนก็สังเกตว่าท่านชอบปลีกตัวไปอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่มีใครเอะใจสงสัยเลย ว่าตนกำลังอยู่ใกล้ ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพื่อพันธกิจบางประการของพระองค์เพื่อประเทศสเปน

เมื่อจบการศึกษาเบื้องต้นแล้วจากนวกสถานของคณะ ในเดือนกันยายน ค.. 1731 ท่านก็ถูกส่งตัวไปยังวิทยาลัยนักบุญอัมโบรส์ ในจังหวัดบายาโดลิด เพื่อศึกษาเริ่มศึกษาเทววิทยาเป็นลำดับต่อไป และเช่นเดียวกับที่วีลลาการ์เซีย เด กัมโปส ท่านยังคงเป็นเณรผู้ร้อนรนทั้งเรื่องการเรียน และเรื่องการพัฒนาชีวิตฝ่ายจิต เป็นพิเศษกับเรื่องอย่างหลัง เพราะนอกเหนือการภาวนารับศีลแล้ว ท่านพัฒนาชีวิตในส่วนนี้จากการหมั่นอ่านหนังสือมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับเรื่องฝ่ายจิตหรือชีวประวัตินักบุญชายหญิงของพระเจ้า หนังสือเหล่านี้ช่วยเพิ่มความความรู้ของท่านในรหัสธรรมของพระเจ้า ซึ่งล้วนแสดงออกมาผ่านงานเขียนของท่าน แต่หนังสือเหล่านี้ท่านก็ไม่ได้อ่านทุกวัน เหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ภายในเวลาหนึ่งวันท่านจะไม่ลืมที่จะคุกเข่าและอ่านมันสักครั้ง หนังสือเล่มนั้นจะวางอยู่ที่โต๊ะทำงานของท่านเสมอ และถูกท่านหยิบมาใช้ในงานเขียนของท่านหลายต่อหลายครั้ง หนังสือเล่มนั้นก็คือ พระคัมภีร์’ 


นอกนี้เมื่อว่างเว้นจากภาระต่างๆ ท่านก็ไม่ลืมที่จะปฏิบัติกิจการเมตตากับคนอื่นๆ อาทิการแวะจะไปเยี่ยมผู้ป่วยและช่วยเหลือผู้ยากไร้เมื่อมีโอกาส และไม่ลืมที่จะปฏิบัติตามกฏของคณะให้เป็นไปอย่างไม่มีที่ติ ซึ่งเมื่อพินิจดูแล้ว มันก็ช่างสมกับที่ท่านยึดเอา นักบุญจอห์น เบอร์ชมานซ์ (John Berchmans : 1599 - 1621)  เป็นทั้งแบบฉบับและผู้ช่วงวิงวอนของท่าน (ที่บนโต๊ะของท่าน ท่านได้ขอภาพของท่านนักบุญจากนวกจารย์มาตั้งไว้)  และสมกับอนาคตศักดิ์สงฆ์ที่ท่านจะได้รับ แต่เพียงการเป็นสงฆ์นี้ ก็ไม่ใช่สิ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงจัดเตรียมท่านไว้ เพระแท้จริงพระองค์ทรงเลือกสรรค์ท่านไว้เพื่องานชิ้นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น งานชิ้นนี้เองที่จะทำให้ท่านเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป


เป็นเวลาล่วงมากว่าสองปีหลังจากย้ายมายังเมืองบายาโดลิด ที่สุดพระเป็นเจ้าก็ทรงไขแสดงพันธกิจของท่าน ผ่านวิธีการที่น่าอัศจรรย์นั่นคือ จดหมาย’ จากมิตรสหาย โดเรื่องมีอยู่ดังนี้ ในวันที่ 3 พฤษภาคม ค..1733 ท่านได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากสหายของท่านคือ คุณพ่ออกุสติน กาดาเวร์ราซ จากเมืองบิลเบา ซึ่งเมื่อท่านเปิดอ่านท่านก็ทราบว่าคุณพ่อปรารถนาให้ท่านช่วยแปลหนังสือ ความศรัทธาพิเศษต่อพระหฤทัย ของคุณพ่อโยเซฟ เด กาลลิเฟท ซึ่งเขียนเป็นภาษาลาติน ในบทที่เกี่ยวกับการฉลองสมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสต์เจ้าเป็นภาษาสเปนให้คุณพ่อ

ดังนั้นในเวลาต่อมาท่านจึงได้ไปค้นหนังสือเล่มนั้น และได้นำหนังสือเล่มนั้นจากห้องสมุดของบ้านแม่คณะมาอ่านที่ห้องของท่าน แต่ก็ไม่รู้ว่าท่านไม่ทำอีท่าไหนเหมือนกัน เพราะจู่ๆหนังสือเล่มนั้นก็เกิดตกลงมาบนพื้น แล้วเปิดไปหน้าประวัติของพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าที่ท่านไม่เคยรู้จักหรือได้ยินมาก่อนอย่างพอดิบพอดี ท่านจึงหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาอ่านตรงหัวข้อนี้อย่างสนใจ และทันทีที่ท่านอ่านจบ ท่านก็ตระหนึกได้ถึงพระหฤทัยอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาของพระเจ้า ท่านรู้สึกถึงแรงดลใจบางประการ ที่ขับเคลื่อนให้ท่านไม่อาจจะทนเมินเฉยต่อเรื่องนี้ได้ แม้จะเป็นเพียงการช่วยสวดก็ตาม

ท่านเฝ้าคิดถึงเรื่องนี้ตลอดคืน จนกระทั้งรุ่งสางของอีกวัน ท่านก็ไม่อาจสลัดความคิดนี้ หรือหาคำตอบที่ชัดเจนได้ ว่าท่านจะทำอย่างไรต่อ จนล่วงไปถึงเวลาไปเฝ้าศีลนั่นเอง ความกระจ่างก็เกิดขึ้นกับท่าน เมื่อพระเยซูเจ้าทรงประจักษ์มาหาท่าน พร้อมกับพระฤทัยของพระองค์ และทรงตรัสกับท่านว่า เราปรารถนาให้ลูกเผยแพร่ความศรัทธาพิเศษต่อพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธ์ของเราไปทั่วทั้งประเทศสเปน สิ้นพระสุรเสียงอันไพเราะ บันดลนั้นท่านก็มอบชีวิตทั้งครบเพื่องานประกาศนี้อย่างไม่มีข้อสงสัย ดังที่ท่านเขียนลงท้ายไว้ว่า ลูกปรารถนาจะเผยแพร่ความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัยของพระองค์นี้ เพื่อนำของขวัญนี้ไปให้กับคนจำนวนมาก

หลังจากนั้นในวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ที่ 14 พฤษภาคมปีเดียวกัน ขณะท่านและบรรดาเณรได้ร่วมพิธีมิสซาในบริเวณข้างๆพระแท่นในสักการสถานแห่งชาติแห่งคำสัญญาอันยิ่งใหญ่ ที่วิทยาลัยของท่านตั้งอยู่ เมื่อพิธีจบลงพระเยซูเจ้าก็ทรงประจักษ์มาแก่ท่านในลักษณะของพระหฤทัย และทรงไขแสดงถึง พระสัญาอันยิ่งใหญ่’ ต่อสเปนกับท่านว่านี่จะเป็นสถานที่พำนักของเรา เราจะสร้างบ้านของเราที่นี่  ที่นี่คือที่ๆเราปรารถนาและเลือกที่จะอยู่ เราจะขึ้นปกครองเป็นกษัตริย์ในสเปนท่ามกลางเกียรติมากกว่าสถานอื่นใด 


ผ่านพระดำรัสเหล่านี้ ความร้อนรนในใจของท่านในการที่จะประกาศถึงกิจศรัทธาพิเศษนี้ยิ่งเพิ่มทวี  ท่านตัดสินใจถวายตัวของท่านทั้งครบแด่พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ในวันที่ 12 มิถุนายน ค..1733 ตามวิธีการเดียวกันกับในหนังสือที่เขียนโดยนักบุญโคล้ด เดอ ลา โกลอมบีแอร์ เมื่อกว่าห้าสิบกว่าปีแล้ว และเริ่มต้นแผนงานที่จะเห็นความศรัทธาเช่นนี้เติบโตไปเช่นเดียวกับประเทศฝรั่งเศส ทั้งในสเปนและประเทศแถบละตินอเมริกาในเร็ววัน 

ท่านมิต้องรอให้ได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์เพื่อที่จะเริ่มพันธกิจของท่าน ความเชื่อที่ท่านมีมาจากชีวิตการภาวนาและความชิดสนิทสัมพันธ์ของท่านกับพระเจ้า ท่านรู้ดีว่ามันคืองานระดับยักษ์ ดังนั้นในเวลานี้ที่ท่านยังคงมีสถานะภาพเป็นเณร สิ่งที่ท่านจะทำได้ดีก็คือการศึกษาอย่างจริงจังเพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมกับงานในวันนั้น และเพื่อการนี้เช่นกัน ท่านก็ตระหนักได้ว่าเพียงพระหรรษทานของพระเจ้าที่ท่านได้รับนั้นยังไม่เพียงพอ ท่านยังต้องการความร่วมมือจากมนุษย์อีกด้วย ดังนั้นท่านจึงใช้ทักษะการเป็นผู้นำของท่านจัดตั้งกลุ่มเครือข่ายนิกายเยซูอิตที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ซึ่งภายหลังเป็นที่รู้จักกันว่า กลุ่มห้า ซึ่งประกอบไปด้วยจิตตาธิการของท่านคุณพ่อฆวน เดอ โลโยลา อายุ 47 ปี , ธรรมทูตไปโปรตุเกตคุณพ่อเปโดร เดอ กาลาตายูด อายุ 44 ปี , คุณพ่อที่มาพร้อมกับคุณพ่อกาลาตายุตก็คือคุณพ่ออากุซติน การดาเวราซ อายุ 32 ปี และอีกคนหนึ่งก็คือสหายของท่านฆวน โลเรนโซ ฟิเมเนส อายุ 23 ปี สุดท้ายคือน้องคนสุดท้องของกลุ่มคือท่านเอง เบรนาร์โด อายุ 22 ปี


การทำงานของกลุ่มนี้ใช้การติดต่อหากันด้วยจดหมายในลักษณะของจดหมายลูกโซ่ , การประชุม และที่สุดหลังจากใช้เวลาระยะหนึ่ง กลุ่มของท่านก็สามารถวางแผนปฏิบัติงานไว้โดยสรุปคร่าวๆได้ดังนี้
1.ร่วมกันสนับสนุนคณะเยซูอิต โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจในเขตปกครอง ให้หันมาสนใจความศรัทธาใหม่นี้
2.ตีพิมพ์หนังสือ แก่นแท้และความสมบูรณ์ของความศรัทธาพิเศษนี้ (ต่อพระหฤทัย)
3.แจกจ่าย ภาพศักดิ์สิทธิ์ ไปกระตุ้นชาวบ้านจำนวนมากที่ไม่สามารถเป็นหนังสือได้
4.จัดทำนพวารอย่างง่ายต่อพระหฤทัย เนื่องด้วยการนพวารเป็นรูปแบบที่นิยมมากของกิจศรัทธาพิเศษในเวลานี้
5.รณรงค์ให้บรรดาธรรมทูตที่ออกเดินทางไปตามหัวเมืองในประเทศสเปน ให้ป่าวประกาศถึงความศรัทธาพิเศษ และคารวกิจต่อพระหฤทัย
6.กระตุ้นให้พระสังฆราชในสเปนยื่นอนุมัติต่อพระสันตะปาปา ให้มีบทร่ำวิงวอนต่อพระหฤทัยในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณและสำนักงานเพื่อดำเนินงานเรื่องพระหฤทัย เหมือนในบางประเทศ
7.ยื่นฎีกาไปยังบรรดาพระราชวงค์สเปน เป็นพิเศษกับพระเจ้าฟิลิป ที่ 5 , ต่อสมเด็จพระสันตะปาปาที่จะทรงจัดให้มีการดำเนินงานเหล่านี้ โดยผ่านทางพระสังฆราช ให้ไม่เพียงแต่ในสเปน แต่รวมถึงอาณานิคมในลาตินอเมริกาและฟิลิปปินส์

จากนั้นในเวลาสั้นๆคุณพ่อฆวน เดอ โลโยลา ก็ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับพระหฤทัยขึ้นมา และโดยมีท่านเป็นผู้ตรวจทานต้นฉบับอีกชั้น นั่นคือ หนังสือขุมทรัพย์อันซ่อนเล้นในพระหฤทัย ที่ถูกตีพิมพ์ขึ้นในวันที่ 21 ตุลาคม ค..1734 และในไม่ช้าหนังสือเล่มนี้ก็กลายเป็นหนังสือขายดี ถึงขนาดที่ได้รับการตีพิมพ์ไปทั่วทั้งสเปนในเวลานั้นที่การเดินทางยังยากลำบาก ผลของหนังสือเล่มนี้ทำให้เกิดกระแสความร้อนรนในความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัยในหมู่คริสตชนชาวสเปน ดังที่ปรากฏว่าประชาชนชาวสเปนมากมายไม่ว่าจะระดับไหนในเวลานั้นต่างมีรูปภาพของพระหฤทัยที่ท่านจัดพิมพ์ขึ้นนับพันใบติดตัวติดบ้านไว้ 


กลับมาที่เรื่องการศึกษา ในตอนท้ายของการศึกษาเทววิทยาของท่าน ปรากฏว่ายังมีอายุเพียง 24 ปี  ซึ่งหมายความว่าท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับศีลอนุกรมพร้อมกับเพื่อนๆคนอื่น เพราะอายุยังน้อยเกิน ดังนั้นทุกคนจึงขอให้กรณีของท่านได้รับการยกเว้นเสีย แต่กลับกันท่านที่เป็นคนจะได้บวช กลับไม่ยอมให้มีการประนีประนอมเช่นนี้ เหตุการณ์นี้สร้างความประทับใจเป็นอย่างมากแก่ผู้ใหญ่ในคณะเป็นอันมา พวกเขาจึงอนุมัติให้รับศีลบวชได้พร้อมกับเพื่อนๆของท่าน ทำให้ในวันที่ 2 มกราคม ค..1735 ท่านในวัย 24 ปีจึงได้รับศีลอนุกรมและเริ่มการเป็นสมาชิกขั้นสามของคณะ ที่บ้านเณรนักบุญอิกนาซิโอ ใน บายาโดลิด และหลังจากนั้นอีกหกเดือนถัดมา คุณพ่อฆวนก็ได้จัดทำเรื่องนพวารเสร็จ และได้มีการจัดการนพวารขึ้นครั้งแรกที่วิทยาลัยเซนต์อัมโบรส์ ในจังหวัดบายาโดลิด

แต่อนิจจาขณะงานกำลังดำเนินไป ขณะความศรัทธากำลังก่อรูปร่างชัดขึ้น ภายในปีเดียวกันนั้นท่านก็ล้มป่วยด้วยโรคไข้รากสาดใหญ่ และที่สุดพระเป็นเจ้าก็ทรงยกท่านไปจากโลกนี้ด้วยวัยเพียง 24 ปี ภาหลังจากได้รับศีลเจิมคนไข้ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค..1735 โดยก่อนที่ท่านจะจากไปท่านก็ได้กล่าวขึ้นว่า โอ้ ช่างดีอะไรอย่างนี้  การพักพิงในพระหฤทัยของพระองค์  และอีกสองร้อปีต่อมาในวันที่ 18 เมษายน ค..2010 ผู้แทนองค์พระสันตะปาปาพระอัครสังฆราชอันเจโล อามาโตก็ได้อ่านสาส์น จากสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ประกาศบันทึกนามคาระวียะเบรนาร์โด ฟรานซิสโค เด โอโยซ เด เซญา ในสารบบบุญศี ณ ปรำพิธีชั่วคราว ในประเทศสเปน 


เขาคือหนุ่มน้อยนักสร้างสะพานแห่งพระหรรษทานไปยังคนรอบข้าง ผ่านความรับผิดชอบที่เขาถือ นี่คือวลีที่เพื่อน ครู และผู้ใหญ่ที่ได้รู้จักท่านต่างพูดไปในทำนองเดียวกันเสมอหลังจากการจากไปอย่างสงบของท่าน พี่น้องที่รักขอให้เรายึดเอาแบบอย่างของท่านในการดำเนินชีวิตของเรา ขอให้เราเป็นนักสร้างสะพานแห่งพระหรรษทานไปยังคนรอบข้างเราของเราไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือมิตรสหาย ผ่านคำภาวนาเล็กน้อยๆ ในทุกวัน หรือ การปฏิบัติกิจเมตตาทั้งหลายในวันอาทิตย์ โดยที่ไม่ให้กิจเหล่านั้นมาขัดขวางการทำงานของพี่น้องจนมากเกินไป ทั้งนี้ขอพี่น้องอย่าลืมว่าทุกสิ่งเป็นไปได้ในพระองค์


พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ทรงพระเมตตาเทอญ


บุญราศีเบรนาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยซ เด เซญา ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

คือปัสกาของ 'การ์โลส มานูเอล' ตอนจบ

บุญราศีการ์โลส มานูเอล เซซิลิโอ โรดริเกซ ซันติอาโก Bl. Carlos Manuel Cecilio Rodríguez Santiago วันฉลอง: 13 กรกฎาคม และ 4 พฤษภาคม (ในปวยร์โต...