บุญราศีมารี
เซลิน แห่ง แม่พระถวายพระองค์
Bl. Marie-Céline of the Presentation
ฉลองในวันที่
: 30 พฤษภาคม
ฌาน เชอร์แม็น กาซตาง เกิดแต่ตระกูลที่ยากจนแต่เคร่งศาสนา บิดาของท่านคือนายเจอร์แม็ง
กาซตาง เป็นเจ้าของที่ดินเล็กๆ มารดาของท่านนางมารี
ลาฟาช เป็นบุตรีจากครอบครัวทนายความ ในครอบครัวท่านมีศักดิ์เป็นบุตรตรีคนที่ห้าจากสิบเอ็ดคนของครอบครัว ท่านเกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ.1878 ที่โนฌาลส์ เอต โคลท์ ทางตะวันออกของเบรเชรแรซ ในประเทศฝรั่งเศส
บิดาของท่านได้เปิดร้านกาแฟและร้านขายของชำขนาดเล็กๆในชั้นบน ส่วนมารดาของท่านก็มีหน้าที่ดูแลครัวเรือนและร้านขาของชำ ด้วยอายุ 4 ปี ท่านเป็นเด็กสาวที่สดใสร่าเริง ที่มีดวงตาสีฟ้าเขียวและผมหยิกสีบลอนด์อมน้ำตาล
ท่านมักจะไปที่วัดที่ตั้งอยู่ตรงข้ามบ้านเพื่อภาวนาต่อหน้าตู้ศีลเป็นเวลานานด้วยความสงบ
แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่ท่านอายุได้ประมาณสี่ปีครึ่ง มันเป็นช่วงเดือนมีนาคม
ในช่วงปลายๆของโรงเรียน ด้วยอากาศที่ร้อน
ท่านและเพื่อนจึงตัดสินใจไปนั่งเล่นภายใต้ดวงอาทิตย์ที่กำลังทอแสง หนึ่งในเพื่อนๆของท่านก็มีไอเดียไปนั่งแช่เท้ากันในลำธารเล็กๆ
หลังจากนั้นพวกท่านอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานพอสมควร
และเมื่อพวกท่านพากันกลับ
ท่านก็เริ่มรู้สึกเจ็บขา จนล้มหมอนนอนเสื่อเป็นระยะเวลาถึงสามวัน แต่นั้นมาพอจะเดินจะเหินทีก็เจ็บและยากเสียเหลือเกิน ท่านจึงได้เข้าการรับการรักษาและได้รับการวินิฉัยว่าติดเชื่อโรคโปลิโอ แต่อาการของท่านก็ไม่ได้ดีขึ้น ซ้ำร้ายในช่วงฤดูหนาว ขาของท่านก็บวมน้ำเหลือง
จนที่สุดขาซ้ายของท่านก็เป็นใช่การไม่ได้ไปถาวร ซึ่งส่งผลให้ท่านกลายมาเป็นคนเดินกะโผลกกะเผลกไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ แต่ปัญหานี้ก็หาเป็นปัญหาของท่านไม่ เพราะถึงแม้จะเดินเหินไม่ค่อยสะดวก ท่านก็ยังสามารถทำอะไรได้เช่นเดิม
ไม่ว่าจะเป็นการเก็บดอกไม้นานาชนิดไปตกแต่งพระแท่นของวัดหรือรูปแม่พระที่บ้าน หรือ
เป็นการช่วยงานบ้านของมารดาตอนอายุ 8
ปีหลังจากที่พี่สาวคนโตของท่านไปเข้าอารามคณะภคินีแห่งนักยอแซฟแห่งโอเบอนาต หรือ การเป็นแม่น้อยให้กับน้องสาวทั้งสาม
ท่านก็เหมือนเด็กทั่วๆ คือการศึกษาของท่านเริ่มบิดามารดา และตามด้วยโรงเรียนท้องถิ่นที่บริหารงานโดยคณะภคินีแห่งนักบุญยอแซฟที่ตั้งอยู่ถัดจากวัดไปนิดหน่อยตั้งแต่อายุ
4 ปี สถานที่แห่งนี้ท่านเริ่มเติบโตในความเชื่อและเป็นที่รู้จักดีในการอุทิศตนต่อศีลมหาสนิท
แต่แล้วเนื่องจากบิดาของท่านไม่ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจร้านค้าด้วยมีหนี้สินจำนวนมาก
ซ้ำยังส่งผลให้บิดาท่านกลายเป็นคนใจร้อนขึ้น จนบ่อยครั้งท่านจึงเห็นมารดาของท่านต้องเสียน้ำตาเพราะบิดาท่านเสมอ
นอกนี้ความล้มเหลวงครั้งนั้นยังส่งผลให้ครอบครัวของท่านต้องอยู่ในบ้านโทรมๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในทุ่งหญ้าที่ชื้นในสถานที่ที่เรียกว่าซาลาเบอท์ บ้านหลังนนี้ไม่น่าอภิรมณ์เลย มันไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยเสียด้วยซ้ำ กล่าวคือผนังบ้านชั้นล้างก่อแบบหยาบๆ
มีหลังคากระเบื้องมุง พื้นด้านล่างมีสภาพเปื่อย รวมๆคือโทรมเกินจะบรรยายนั่นเอง ซึ่งด้วยสภาพบ้านอย่างนี้ก็ทำให้ท่านห่างวัดและไม่สามารถรับศีลมหาสนิทครั้งแรกตามกำหนดได้ ท่ามกลางเวลแห่งความทุกข์ยากของครอบครัวนี้เอง ท่านที่เท้ามีแต่หนอง ก็จำต้องเดินขออาหารตามฟาร์มต่างๆเพื่อประทังชีวิตครอบครัว
ครอบครัวท่านทนอยู่สภาพที่เลวร้ายนี้ได้สักพัก วันหนึ่งบิดาของท่านก็กลับมาพร้อมข่าวอันแสนน่ายินดี นั่นคือเขาได้งานทำแล้ว
มันช่างเป็นความยินดีสำหรับครอบครัวนักที่จะได้ย้ายออกจากนรกนี้เสียที ดังนั้นเองครอบครัวจึงย้ายและมาถึงโบรโดซ ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ.1890 โดยที่นั่นบิดาของท่านได้งานเป็นคนทำขนมปัง ที่นี่ด้วยวัยย่าง 13 ปี ท่านได้เตรียมพร้อมสำหรับการรับศีลมหาสนิทครั้งแรก แต่บางครั้งท่านก็ต้องอยู่บ้านเพื่อช่วยงานมารดา
ช่วงต้นปี ค.ศ.1891 ท่านก็ถูกสุนัขกัดที่แขน
ทำให้ท่านถูกรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงเพื่อรักษา เมื่อแพทย์ได้ตรวจท่าน
เขาก็แนะนำให้ท่านรักษาขาด้วย ดังนั้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1891 ท่านจึงได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ในบ้านผู้ป่วยเด็กถนนบายอง โดยได้รับการดูแลจากภคินีคณะธิดาเมตตาธรรมแห่งนักบุญวินเซนต์ เดอ ปอล
การรักษาประสบผลสำเร็จดี
แต่กระนั้นท่านก็ยังคงเดินกะโผลกกะเผลกเช่นเดิม
เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านต้องการจะทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง
ท่านจึงขอภคินีที่ดูแลเด็กคนอื่นๆ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าได้
ดังนั้นท่านจึงคอยนำรอยยิ้มเสียงหัวเราะไปมอบให้คนที่ต้องเสียน้ำตา สอนพวกเขาภาวนา จนกระทั้งท่านได้ออกจากโรงพยาบาล
แต่เหมือนความโชคร้ายจะยังไม่สิ้นสำหรับครอบครัวท่าน
เพราะไม่นานหลังจากนั้นเมื่อเอดมันด์และน้องชายสองคนของท่านก็ได้เสียชีวิต ยังมาซึ่งความเสียใจแก่บิดามานดาของท่านเป็นอย่างยิ่ง
ท่านเข้าใจความรู้สึกดี ท่านจึงพยายามปลอบประโลมบิดามารดา
แต่บิดาท่านก็ได้แต่ทรุดตัวลงพลางร้องไห้ด้วยความสิ้นหวังพร้อมๆปฏิเสธที่จะได้รับการปลอบ
30 กรกฏาคม
ปีเดียวกันพี่หลุยส์
พี่ชายของท่านก็ได้กลับมาจากเป็นทหารในสภาพป่วยด้วยวัณโรคที่พัฒนามาจากโรคหลอดลมอักเสบจากการนอนในฟางที่ชื้อแฉะระหว่างการซ่อมรบ ท่านจึงไปที่บ้านพี่ชายและช่วยดูแลเขา ในตอนนั้นมารดาของท่านรู้สึกเป็นห่วงเกี่ยวกับอนาคตของท่านมาก
เธอจึงแนะนำให้ท่านไปเป็นนักเรียนประจำในโรงเรียนของคณะภคินีแห่งนาซาเร็ธ
ที่เปิดบ้านต้อนรับเด็กสาวยากจนที่ถูกปล่อยปะละเลยทั้งหลาย ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆนี้
12 กันยายน
ค.ศ.1819 ท่านจึงได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนของคณะภคินีแห่งนาซาเร็ธ
ท่านชอบที่จะไปเรียนและชอบการเรียนรู้
ที่นี่ท่านสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและที่นี่อีกที่ท่านได้พบความสุขอีกอย่างคือ ที่นี้มีวัดให้ท่านได้สวดภาวนาต่อศีลมหาสนิทที่ท่านรัก
แต่เนื่องจากท่านเป็นคนเดินกะโผลกกะเผลกเลยทำให้ท่านได้ที่นั่งอยู่ข้างๆห่างจากลุ่มเพื่อน
ท่านทรมานจากเรื่องนี้มากเพราะมุมๆนี้มองไม่เห็นตู้ศีลเลย
แต่กระนั้นยามใดก็ตามที่ว่าง
ท่านก็จะรีบวิ่งมาที่วัดเพื่อใช้เวลาส่วนใหญ่กับพระองค์และก่อนที่จะโดนเรียกไปทำงานบ้าน
ท่านก็จะลุกขึ้นจากกลุ่มเพื่อนแล้วไปอยู่ที่ประตูวัดเพื่อรำพึงต่อตู้ศีล ทุกๆวันอาทิตย์ของแต่ละสัปดาห์ของโรงเรียนจะต้องมีการพูดบันทึกของแต่ละคน ท่านก็ได้ทำเช่นนั้น
วันนั้นด้วยความชื่นชมท่านลุกขึ้นท่ามกลางความเงียบพลางพูดว่า “คุณแม่ บอกดิฉันว่าเป็นรางวัลให้ดิฉันได้ย้ายจากข้างวัดและนำดิฉันไปนั่งด้านหน้าตู้ศีล
ที่ดิฉัน ดิฉันไม่เห็นพระองค์ พระองค์ พระเยซูเจ้า…….. ข้างบน
เสด็จไปด้วยความรุ่งโรจน์ มันช่างมากเกินไปแล้ว” กลุ่มธิดาแม่พระ เป็นกลุ่มที่ท่านอยากเข้ามาก
ท่านมักอิจฉาเพื่อนๆที่ได้เข้ากลุ่มนี้ แต่ผู้จะเข้าได้นั้นต้องมีอายุ 16 ปี แต่หลังจากการเป็นสมาชิกสนับสนุนได้
ท่านก็ได้รับข้อยกเว้นให้เข้าเป็นสมาชิกได้
ที่สุดวันแห่งการรอคอยการรับพระวรกายก็จบลง
เมื่อมีการกำหนดให้ท่านรับศีลมหาสนิทครั้งแรกในวันฉลองพระคริสต์วรกายที่ 16 มิถุนายน ค.ศ.1892 เมื่อถึงวันจริงวันนั้นช่างเป็นวันที่ท่านแสนยินดี
จนถึงขั้นหลั่งรินน้ำตาลงมาหน้าพระแท่นในขณะที่เดินไปยังพระแท่น
และเมื่อได้พบฌัวเนสเพื่อนสนิทของท่าน ท่านก็ได้กล่าวกับเธอว่า “ฉันมีความสุข มีความสุขจัง” จากนั้นมาท่านก็ไปร่วมพิธีทุกวันอาทิตย์และปรารถนาที่จะรับพระองค์ทุกๆวัน
แต่มันก็ไม่ได้ในเวลานั้น และเมื่อท่านเดินออกวัดท่านขอบคุณพระเจ้าที่มองท่านจากสวรรค์
ไม่นานหลังจากนั้นท่านก็ได้รับศีลกำลังจากพระสังฆราช
ซึ่งให้นามท่านว่า “แคลร์”
ความจริงแล้วในวันรับศีลมหาสนิทครั้งแรกท่านก็ทูลขอต่อพระเยซูเจ้าที่จะเป็นภคินี ดูเหมือนพระเยซูเจ้าทรงจะตอบหลับคำวิงวอนนี้เพราะท่านเริ่มรู้สึกถึงกระแสเรียกการเป็นภคินีคณะกลาริส
แต่ท่านก็ต้องลังเลใจจากความพิการของท่านที่มีคนบอกว่ามันเป็นอุปสรรค์ ในทางตรงกันข้ามท่านก็รักภคินีคณะนาซาเร็ธนี้
และในระหว่างการสารภาพบาปท่านก็ได้รู้ว่าท่านต้องมีอายุได้ 21 ปีก่อนถึงจะได้เข้าอาราม ก็ตั้ง 7 ปีแนะ!
ที่ท่านต้องรอ
แต่ดูเหมือนมันจะเป็นไปไม่ได้
เพราะหลังจากการยื่นเรื่องของท่านต่อผู้ใหญ่ในคณะของคุณแม่อธิการมารี แซง ปีแอร์ ก็ปรากฏว่าสุดท้ายท่านกูถูกปฏิเสธจากคณะภคินีแห่งนาซาเร็ทนี้เนื่องจากความพิการของท่าน
แต่กระนั้นท่านก็ยังคงไม่ท้อแท้และพร้อมที่จะไปร่วมกับคณะอื่นๆ
ซึ่งในระหว่างที่รอนั้นเองในปีเดียวกับที่ท่านรับศีลมหาสนิทคือปี
ค.ศ.1892
มารดาของท่านก็ได้มาแจ้งว่าทั้งครอบครัวจะย้ายไปที่ทำงานใหม่ของบิดาท่านในปราสาทที่ลา
รีโอล 60 กิโลเมตร จากเมืองที่ท่านศึกษา
มันเป็นความเศร้าอย่างยิ่งสำหรับท่านที่ต้องแยกห่างจากครอบครัวอันเป็นที่รักของท่าน
นี่ท่านต้องอยู่คนเดียวโดยที่ไม่ได้พบบิดามารดาที่มาเยี่ยมแล้วหรือ
เหมือนเคราะห์ซ้ำกำซัดเพราะภายในวันที่ 30
ธันวาคมโทรเลขฉบับหนึ่งก็มาถึงท่านเพื่อประกาศว่ามารดาที่รักขอท่านได้จากโลกใบนี้ไปแล้วด้วยอาการไส้เลื่อน
บนชานชาลารถไฟด้วยวัย 41 ปี อันจะเป็นเพราะไม่ได้รับการรักษาหรือความใจดำของนายจ้างที่ส่งเธอไปรักษาที่โบรโดซเราก็ไม่ทราบ
ในทันทีที่ทราบข่าวท่านตกอยู่ในความเศร้า
น้ำตามากมายหลั่งรินออกมาจากดวงตาคู่นั้น ท่านทรุดตัวลงแทบเท้าแม่พระ
ก่อนจะรีบโดยสารเรือกลับมาร่วมพิธีศพมารดาของท่าน
ที่นั่นท่านพบพี่หลุยส์ที่อยู่ในสภาพป่วยหนัก
ทั้งสองร้องไห้ออกมาพร้อมๆกันอีกครั้ง ในสภาพที่บิดาของท่านเต็มไปด้วยความว้าวุ้นใจและความเศร้า
ท่านก็อาสาที่จะอยู่ดูแลน้องทั้งสองของท่านคือรูแบ็งอายุ 7 ปี และลูเซียอายุ 6 ปี แต่ที่นี่ไม่มีเตียงพอสำหรับท่าน
ดังนั้นท่านจึงตองนอนที่พื้นโดยมีผ้าห่มรองท่ามกลางฤดูหนาว
เพียงสัปดาห์หลังการจากไปของมารดา
ในวันที่ 6 มกราคม พี่หลุยส์ก็ได้สิ้นใจอย่าสงบในอ้อมแขนของท่านน้องสาวของเขา
ดังนั้นในต้นปีค.ศ.1893 ท่านจึงกลับมาโรงเรียนพร้อมๆกับน้องน้อยสองคนในอ้อมแขน
ท่านชอบที่จะดูทั้งสองมากๆ แต่ท่านก็ได้รับมอบหมายให้ทำงานต่างๆ
มันจึงยากสำหรับท่านแต่ท่านก็ไม่เคยปริปากบ่น แต่ต่อมาไม่นานพี่สาวขอ’ท่านที่เป็นภคินีอยู่ที่โนฌาลส์
ก็ได้ขอนำน้องทั้งสองไปเลี้ยงในในปลายเดือนกันยายน ค.ศ.1893 ดังนั้นจึงมีคุณพ่อจากโนฌาลส์มารับทั้งสองไป ซึ่งท่านก็ยอมและมาส่งพวกเขาถึงสถานี
ความเข้าใจของท่านสำหรับความพิการในตอนนี้คืออุปสรรค์ต่อการอุทิศชีวิตเป็นภคินี
ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจที่จะภาวนาขออัศจรรย์พร้อมกับเดินทางไปที่ลูร์ด
แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น
ในเวลานั้นเองที่ท่านเริ่มหันเหความสนใจสู่อารามกลาริสของตาลองซ์ ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับโรงเรียนของท่าน
ท่านจึงได้เขียนจดหมายไปหาคุณพ่อฟีร์แม็ง อธิการอารามคณะฟรังซิสที่ตั้งอยู่ใกล้ๆโรงเรียนของท่านเช่นกันในฤดูร้อน
ปี ค.ศ.1893 เพื่อขอให้คุณพ่อช่วยเป็นคนกลางให้ท่านในการเข้าอารามกลาริส แต่สุดท้ายคำตอบก็คือไม่
พร้อมกับเหตุผลเดิมๆคืออายุและความพิการของท่าน
แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อ
ท่านจึงเริ่มเขียนจดหมายถึงพี่สาวของท่านที่เป็นซิสเตอร์เพื่อขอเข้าคณะเดียวกับพี่คือคณะภคินีแห่งนักบุญโยเซฟ
แต่คำตอบที่ได้ก็คือไม่เช่นเดิม ด้วยเหตุผลก็เดิมๆคือความพิการเป็นอุปสรรค
พี่สาวคนหนึ่งของท่านในนามซิสเตอร์มารีแห่งนักบุญเชอร์แม็น ก็ดูเหมือนน่าจะมีปัญหากลับทางอารามเพราะเธอไม่ตอบจดหมายของท่านเลยตลอด 6 เดือน ในจดหมายถึงพี่สาวลงวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ.1894 ท่านได้เขียนว่า “ถ้าพี่รู้ว่าน้องเศร้าจากสถานที่ไกลๆ……ดูเหมือนน้องคือขยะ”
แม้ท่านจะต้องเจอคำปฏิเสธมากมายแต่ท่านก็ยังไม่ท้อและยังคงมั่นใจว่าท่านมีกระแสเรียก
เหมือนเป็นการยืนยันว่าท่านมีกระแสเรียกจริงเพราะในวันขณะที่ท่านและเพื่อนสนิทของท่านไปที่วัดแม่พระแห่งเวอรเดอเลส ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับโรงเรียนของท่านเช่นกัน
ที่นั่นท่านสวดภาวนาอย่างร้อนรนด้วยความรักที่ท่านมีต่อแม่พระ
จนในตอนท้ายเพื่อของท่านถามท่านว่า “เกิดอะไรขึ้น แม่พระบอกอะไรเธอหรือ” ท่านจึงตอบไปว่า “ใช่
พระนางให้ฉันเข้าใจกระแสเรียกของฉัน แต่ไม่นานเท่าไร”
จากนั้นมาดวงใจของท่านก็พบแต่สันติ
ตอนนี้ท่านมั่นใจมากขึ้นแล้วว่าท่านมีกระแสเรียก
ตอนนี้ความปรารถนาของท่านคือรอการชี้นำจากแม่พระ จนกระทั้งวันฉลองพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนม์ชีพที่ 6 เมษายน ค.ศ.1896 ในโรงเรียนก็ได้มีการจัดปาร์ตี้กัน
แต่ท่านมิสามารถมาร่วมงานนี้ได้ ท่านจึงถูกทิ้งไว้คนเดียว
แต่อย่างไรก็ตามท่านก็ตัดสินใจไปแสวงบุญที่วัดแม่พระตาลองซ์กับผู้ดูแลคนหนึ่งที่ถามท่านว่าจะแวะไปเยี่ยมซิสเตอร์มารี
ฟรังเชสกาที่อารามกลาริด้วยไหม
เหมือนมีอะไรดลใจให้ซิสเตอร์ผู้นั้นขอให้ท่านไปลองพบคุณแม่อธิการดูเพื่อกรณีของท่าน เมื่อท่านพูดขึ้นว่า “ถ้าหนูสามารถกลับไป”
ท่านจึงถูกพามาอยู่ที่ห้องรับแขกที่มีภคินีสี่ท่านรอท่าอยู่แล้ว
การสัมภาษณ์ดำเนินไป ก่อนที่จะจบด้วยคำพูดของคุณแม่อธิการที่ว่า “ภาวนาและมีความหวังนะ” สิ้นเสียงนี้น้ำตาแห่งปิติยินดีหลั่งไหลอีกครั้งจากสองสหาย
ในไม่ช้าจดหมายจากอารามกลาริสก็ส่งมาถึงคุณแม่อธิการมารี แซง ปีแอร์
ประจำบ้านของท่านในวันพุธ
ในจดหมายระบุว่าท่านสามารถเข้าอารามกลาริสได้ตามประสงค์และเมื่อท่านทราบข่าวท่านก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี
ท่านจูบคุณแม่อธิการด้วยความสุข ในตอนนี้ทุกคนต่างแสดงความยินดีกลับท่าน
แม้ว่าจะเศร้าก็ตามที่ต้องจากท่าน
หลังจากการไปเยี่ยมอารามในวันอาทิตย์ท่านก็ได้กำหนดการเข้าอารามในวันฉลองพระหฤทัยที่ 12 มิถุนายน
วันแห่งความสุขสันติสำหรับท่านก็มาถึงในวันที่ 12 มิถุนายน ท่านมาที่อารามพร้อมกับกลุ่มเพื่อนเล็กๆที่ตามมาส่งถึงประตูอาราม
ที่มีคุณแม่แคลร์ อิซาเบล ยิ้มรอจูบท่าน ก่อนที่จะให้คุณแม่เซราฟิม
นวกจารย์นำท่านไปยังที่นั่งของท่านใกล้ๆตู้ศีลที่ท่านรัก
จากนั้นจึงนำท่านไปยังห้องพักสำหรับโปสตุลันต์และห้องพักโนวิสตามลำดับ
หลังจากนั้นในตอนเย็นประตูตู้ศีลจึงถูกเปิดไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง
แน่นอนท่านต้องไม่พลาดโอกาสนี้แน่ ซึ่งมันทำให้เวลานี้ของทุกๆวัน ท่านเต็มไปด้วยความสุข
ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นท่านก็มีความก้าวหน้าทางวิญญาณตลอด
เช่นเดิมตู้ศีลยังคงดึงดูดท่านเช่นแม่เหล็ก จากนั้นในวันที่ 21 พฤษจิกายน ท่านก็ได้รับชุดศักดิ์ของคณะพร้อมนาใหม่ว่า
“ภคินีมารี เซลิน แห่ง แม่พระถวายพระองค์” ซึ่งตรงกับวันฉลองแม่พระถวายพระองค์ในพระวิหาร ท่านพยายามที่จะเขียนบรรยายความรู้นี้ แต่มันก็มากเกินกว่าที่ท่านจะเขียนได้ว่าในตอนนั้นท่านมีความสุขแค่ไหน
“ดวงใจของดิฉันถูกมอมเมาไปด้วยความรัก…..ปากกามิสามารถเคลื่อนไหวได้ผ่านมือของดิฉัน” ท่านจึงพยายามเขียนอีกครั้งหนึ่งในวันถัดไป “วันนี้ก็ยังเหมือนเมื่อวานดิฉันรู้สึกว่าไม่สามารถแสดงสิ่งที่ดิฉันรู้สึกได้ถึงความสุขและความสุข
ผู้ที่สามารถบอกได้ว่าท่านได้ถึงเรื่องดวงใจนี้ ดวงใจที่น่าสงสารของดิฉัน
พระเยซูเจ้าคนเดียวที่รู้ความลับนี้….”
แต่แล้วในวันหนึ่งระหว่างที่มีการฉลองในอาราม
ท่านก็รู้สึกไม่สบาย ไม่นานจากนั้นท่านก็เริ่มรู้อ่อนเพลียและหลังจากการวินิจฉัยจากแพทย์พบว่าท่านป่วย
แต่มันก็สายเกินไปที่จะเยียวยาเสียแล้ว ดังนั้นในประมาณช่วงปลายปี
ค.ศ.1896 ท่านจึงต้องย้ายไปอยู่ในห้องพยาบาล
ทุกคนพยายามทำให้ท่านมีความสุข พวกเขาเอาสรตอเบอร์รี่ให้ท่านและต้องขอบคุณคำแนะนำวิญญาณที่ดีของคุณแม่เซราฟีม
ที่ทำให้ท่านสู้และอดทนยอมรับความจริงที่โหดร้ายนี้
ช่วงเวลานี้พระคาดินัลพระสังฆราชประจำโบรโดซ
คุณพ่อเลอคอท ได้แวะมาท่าน 2 ครั้งและอนุญาตให้ท่านเข้าพิธีปฏิญาณตนตลอดชีพได้ ในภาวะขับขันเมื่ออธิการเห็นว่าสมควร
ไม่ต้องบอกเลยว่าท่านสุขแค่ไหนเพราะสำหรับท่านแล้วความปรารถนาของท่านคือการตายในฐานะภคินี
ดังนั้นท่านจึงเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ กระทั้งคืนวันที่ 20 มีนาคม
อาการของท่านก็ทรุดลงจึงมีการอนุมัติให้ท่านได้เข้าพิธีปฏิญาณตนครั้งสุดท้ายได้
ความสุขมากมายมาสู่ท่านอีกครั้ง ดังนั้นห้องจึงถูกประดับด้วยมาลากุหลาบขาว แท่นพระกุมารเยซูเต็มไปด้วยดอกไม้นานาๆชนิด
เพื่อเตรียมรับศีลมหาสนิท ชุด ผ้าคลุม ไม้กางเขนและแหวนถูกจัดวางไว้ ก่อนที่ทุกคนในอารามจะมาร่วมงานฉลองน้อยๆง่ายๆของท่านกัน “สวรรค์! ฟากฟ้า! เป็นความสุขเสียจริง! ทำให้ความปรารถนาของฉันให้สำเร็จ”
หลังจากนั้นประมาณสิบนาทีก่อนเสียชีวิต
ท่านได้หันสายตาไปทางขวาและยิ้มพลางกล่าวว่า “ซิสเตอร์เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ที่นั่นไหม โอ้! เธอช่างงดงาม! ” ถึงสามครั้งราวกับท่านตกอยู่ในภวังค์ของความยินดี
ดวงตาของท่านยังคงจับจ้องอยู่ที่เดิม ทันใดนั้นท่านก็อุทานขึ้นว่า “ฉันได้ยินเสียงระฆังดังกังวาน…..” จากนั้นท่านก็หันไปมองด้านหน้าของท่านคือด้านหลังของห้องพลางพูดว่า “ฉันเห็นเด็กสาวน้อยสวมชุดขาวมากมาย” จากนั้นทูตสวรรค์ก็ปรากฏ ท่านจึงค่อยๆยืดตัวช้าๆบนหมอนในขณะที่กวาดสายตาไปในอากาศ
หากคุณมองดีแล้วๆ
คุณจะเห็นว่าดวงตาคู่นั่นเปี่ยมไปด้วยความสุขขนาดไหนที่ได้เห็นแม่พระที่รักมากรับตัวไปเข้าพิธีวิวาห์กับพระบุตรของพระนางเฉกเช่นเดียวกับที่พระนางทรงเคยทำกับนักบุญคลาราก่อนจากไป
ท่านมองดูเช่นนั้นเป็นระยะเวลานาน ก่อนที่ท่านจะค่อยเองศีรษะไปทางขวาด้วยรอยยิ้ม
พร้อมกับความสุขเป็นครั้งสุดท้ายของท่าน
ท่านสิ้นใจอย่าสงบในอ้อมแขนมารดาทั้งสอง
ในตอนเช้าของวันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ.1897 ด้วยอายุ 19 ปี 6 วัน จากวัณโรคกระดูก ร่างน้อยๆของท่านถูกฝังในอาราม
ไม่นานมันก็กลายเป็นที่แสวงบุญ แต่ตั้งแต่เดือนมิถุนายน
ค.ศ.2006 ร่างของท่านก็ได้รับการย้ายไปอยู่ที่วัดของโนฌาลส์ เอต โคลท์
ในระหว่างนั้นมีผู้คนได้สัมผัสกลิ่นหอมประหลาดจากหลุมของท่าน
จึงมีการขนานนามท่านว่า “นักบุญน้ำหอม” ปัจจุบันหากทุกคนไปเยี่ยมชนหลุมศพของท่านในสถานที่ปัจจุบันทุกคนจะพบคำจารจารึกจากคำเขียนของภคินีนางหนึ่งว่า
“ดิฉันตัดสินใจว่าดิฉัน
จะเป็นไวโอเล็ตแห่งความนบนอบ
กุหลาบแห่งกิจเมตตาธรรม
ลิลลี่แห่งความบริสุทธิ์
สำหรับพระเยซูเจ้า”
และภายหลังจากเกิดอัศจรรย์ผ่านคำเสนอวิงวอนของท่านนักบุญน้ำหอม
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ก็ได้บันทึกนามท่านลงในสารบบบุญราศีในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ.2007 โดยมีการจัดการฉลองขึ้น ณ อาสนวิหารของโบรโดซ
โดยมี ฯพณฯ ท่านพระคาร์ดินัลโจเซ ซาเรวา มาร์แต็งส์ เป็นประธานในพิธีมิสซาบูชาครอบพระคุณ
“ใจของท่านทั้งหลาย จงอย่าหวั่นไหวเลย
จงเชื่อในพระเจ้าและเชื่อในเราด้วย” (ยอห์น 14:1) แม้ท่านจะมีขาที่พิการ ท่านก็ไม่ย่อท้อที่จะติดตามกระแสเรียกของท่าน
แม้ว่าจะต้องถูกปฏิเสธจากหตุผลเดิมๆก็ตาม
แต่กระนั้นท่านก็ยังเชื่อในพระองค์และยังคงสู้ต่อไปจนกระทั้งท่านได้เข้าเป็นซิสเตอร์คณะกลาริสสมใจหวัง
พี่น้องที่รักถ้าเรามีกระแสเรียกจริงๆ
อย่ากลัวที่จะติดตามมันไปเพราะพระเจ้าจะทรงเคลียทางให้เราเอง
จงอย่ากลัวที่จะเดินตามเสียงนั้น ตามแบบอย่างของเด็กหญิงขาเป๋คนนี้
นักบุญน้ำหอมน้อยของพระเจ้า
“น้องจากไปโดยไม่ต้องเสียใจ น้องจะได้พบพี่ในสวรรค์…….. บนนั้นน้องจะไม่ลืมทุกคน”
จากจดหมายฉบับสุดท้ายถึงพี่สาว
“บุญราศีมารี เซลิน แห่ง
แม่พระถวายพระองค์ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง