บุญราศีเทเรซา
บรากโก
Bl. Teresa
Bracco
ฉลองในวันที่ : 29 สิงหาคม
อีกครั้งที่นิทานบทใหม่
ต้องเริ่มด้วยคำเดิมๆ ที่พวกเราทุกคนคุ้นหูกันดี
คำที่แสดงถึงการเริ่มต้นของการผจญภัย การจากลา และการพบปะ คำๆนั้นคือ “กาลครั้งหนึ่ง” มีดรุณีนางหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น ในครอบครัวของนายยาโกโม และ
นางอังเยลา บรากโก คู่สามีภรรยาเกษตรกรใน ซานตา จูเลีย
หมู่บ้านเล็กๆในเขตเมืองเดโก ของจังหวัดซาโวนา ประเทศอิตาลี
ทั้งสองมีลูกด้วยกันแล้วห้าคน และกำลังเฝ้ารอคนที่หก กระทั้งที่สุดในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1924 พวกเขาก็ได้ลูกคนที่หก
ทารกที่พึ่งเกิดเป็นทารกเพศหญิง พวกเขาต่างให้นามดรุณีนี้ว่า “เทเรซา” ตามนามของนักบุญน้อยแห่งลิซิเออร์
ทั้งยาโกโมและอันเยลาต่างเป็นคนใจศรัทธา
ทั้งสองช่วยกันอบรมลูกๆทุกคนรวมถึงท่าน ให้เติบโตขึ้นมาอย่างถูกต้อง
โดยทุกๆวันอันเยลาจะสอนลูกๆสวดและไปวัดในวันอาทิตย์ ส่วนยาโกโมจะคอยนำสวด
และคอยตั้งคำถามหลังกลับจากวัดจากพระวรสารและบทเทศน์ในแต่ละอาทิตย์
แต่แล้วทั้งสองก็ต้องพบกับการทดลองครั้งยิ่งใหญ่ ในปี ค.ศ.1927 ไข้รากสาดใหญ่ก็ได้พรากบุตรชายสองคนของทั้งสองไป
คือ โยวันนีวัยเก้าปี และลุยจี วัย 15
ปี นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา
แต่เวลานั้นด้วยอายุยังน้อย
คือ 3 ขวบ ท่านก็ไม่เข้าใจว่าพี่ชายสองคนท่านไปไหน
ท่านจึงตรงไปถามอย่างใสซื่อว่า พี่ชายสองคนของท่านไปไหน และก็ได้รับคำตอบสั้นๆว่า “ไปสวรรค์” คำตอบนี้จุดประกายความหวังในใจน้อยๆ
ในบัดดลว่าสักวันท่านจะต้องไปรวมกับพวกเขา ณ ที่ “สวรรค์” ให้ได้ มันไม่ใช่ความหวังในบัดดลหรือชั่วครู่
แต่เป็นความคิดที่จะคงอยู่จวบจนท่านเติบโตมาเป็นเด็กหญิงนิสัยอ่อนโยน
ในวัย 6 ขวบ ความศรัทธาของท่านก็เป็นที่ประจักษ์ชัด
แก่คุณพ่อเจ้าวัดที่พึ่งมา คุณพ่อนาตาเล โอลีวีเอรี จากการเข้าเรียนคำสอน
ที่ท่านไม่เคยขาด ท่านปรารถนาอย่างยิ่งที่จะรับพระองค์มาประทับในตัว และที่สุดความปรารถนาท่านก็ได้การเติมเต็ม
ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ.1931 ท่านก็ได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก ก่อนที่จะได้รับศีลกำลังในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ.1933
และปีเดียวกันนั้น
ท่านก็ได้พบกับสหายท่านจะเป็นแบบอย่างชีวิตของท่านไปตลอด การพบกันครั้งนี้มากจาก
ในทุกๆปี ครอบครัวของท่านจะได้รับนิตยสารของคณะซาเลเซียนที่มีชื่อว่า “บอลเล็ตตีโน” และในฉบับปีนั้นเอง
นิตยสารก็ได้นำรูปเล็กๆของคารวียะเด็กชายนาม “ดอมินิก
ซาวีโอ” ขึ้นปก พร้อมคำบรรยายใต้ภาพว่า “ยอมตายแต่ไม่ยอมทำบาป” ที่ทำให้ท่านถึงกับอุทานขึ้นว่า “นี่แหละชัดเจนสำหรับฉัน”
หลังจากนั้นท่านก็ลงมือตัดรูปพร้อมคำขวัญของเขา แล้วเอาไปแปะไว้กับการ์ด
ก่อนจะเอาไปแขวนไว้ที่หัวเตียง และนับจากนั้นข้อตั้งใจของดอมินิก ก็กลายมาคำขวัญสำหรับชีวิตของท่าน
สืบจากโรงเรียนที่หมู่บ้านซานตา
จูเลีย มีแค่ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ดังนั้นเมื่อจบชั้น ป.4 ในวัย 12 ปี ท่านจึงออกมาช่วยบิดาและพี่ๆทำงานในไร่
จวบจนอายุได้ 16 ปี ท่านก็ได้รับหน้าที่ให้ทำงานหนักที่เหลือในฟาร์ม
เพราะไม่มีใครทำ เว้นบิดาของท่าน งานนี้มีทั้งการนำวัวไถนา การหว่านเมล็ดพันธุ์
การเก็บเกี่ยว และการคัดแยกผลผลิต กระนั้นท่านก็ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย
หรือปฏิเสธงานใดๆ หรือไม่เต็มใจที่จะไปทำงานแทนคนอื่น จนบิดาท่านถึงกับต้องออกปากว่า
“พ่อกลัวว่าที่ลูกๆทำกับเธอนั้นไม่ถูกต้องเลย
เพราะเธอเป็นคนดีเหลือเกิน”
แต่แม้ภาระในแต่ละวันจะต่างกัน
กิจวัตรของท่านทุกๆเช้าก็คือการไปมิสซาและรับศีล
อันเป็นสิ่งจำเป็นที่ท่านขาดไม่ได้ แล้วจึงค่อยไปทำงานต่างๆ อาทิ การเลี้ยงสัตว์
ก่อนจะจบวันอันแสนเหน็ดเหนื่อยในแต่ละวันด้วยการคุกเข่าสวดภาวนาที่เตียง ซึ่งภายหลังจากสวดบทภาวนาต่ออารักขเทวดาเสร็จแล้ว
ท่านก็มักจะจบด้วยการสวดภาวนาต่อนักบุญองค์อุปถัมภ์ของท่านว่า “ข้าแต่ท่านนักบุญเทเรซา แห่ง
พระกุมารเยซู โปรดสอนทางไปสวรรค์แก่ลูกด้วย”
ท่านรักการสวดสายประคำมากๆ
ท่านมักพบมันติดตัวไปทุกที่และเก็บมันไว้ที่ข้างเตียงเสมอ
วันหนึ่งระหว่างสวดสายประคำ จู่ๆท่านก็ร้องไห้ เพื่อนของท่านจึงถามว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า” ท่านก็ตอบว่า “ไม่ไม่มีอะไร …กับแม่พระ”
เราไม่อาจรู้ว่าท่านเคยเห็นแม่พระจริงๆหรือไม่ แต่ก็มีข้อมูลที่ทำให้เชื่อได้ว่าท่านเห็นจริงๆ
คือ คำยืนยันจากน้องสาวคนเดียวของท่าน อันนา ที่จำได้ว่า วันหนึ่งหลังสวดภาวนาแล้ว
ขณะคุยกันถึงเรื่องการประจักษ์ จู่ๆท่านก็เอ่ยขึ้นมาว่า “โอ้ถ้าน้องได้เห็นเหมือนพี่นะ ขอแม่พระจงทรงพระเจริญเทอญ”
นอกจากการสวดสายประคำระหว่างเลี้ยงสัตว์ที่ทุ่งแล้ว
ท่านยังอ่านหนังสือด้วย ส่วนเรื่องความฝัน ท่านฝันจะเข้าคณะธิดามารีย์ แต่บิดาท่านก็ไม่อนุญาต
เพราะสมาชิกกลุ่มต้องออกไปทำงานในเขตวัด ทราบเช่นนั้น ท่านจึงไม่เคยขออีก แต่กระนั้นท่านก็ดำเนินชีวิตภายในตามจิตตารมณ์ของคณะ
อาทิ การไปร่วมมิสซาทุกเช้านี้แหละ จนถึงขั้นทำให้พี่สาวของท่าน
ถึงกับพูดกับท่านในตอนเช้าวันหนึ่งว่า “แต่เธอไม่ได้เกี่ยวอะไรนิ เธอไม่ใช่สมาชิกของธิดามารีย์นะ”
หนังสือที่ท่านชอบช้ำรำพึงที่สุด
ก็คือ ข้อเขียนของนักบุญวินเซนต์ สตรัมบี พระสงฆ์คณะพระมหาทรมานในศตวรรษที่ 18 และผ่านการำพึงเรื่องความจริงนิรันดรโดยนักบุญอัลฟอนโซ
มันก็ทำให้ท่านหมั่นในการหลักหนีโอกาสบาปต่างๆ นอกจากนั้น
ท่านไม่เพียงแค่ชื่นชอบนักบุญดอมินิก ซาวีโอ ท่านยังชื่นชอบนักบุญพรหมจารี
มรณสักขีอีกหลายองค์เป็นพิเศษ อาทิ นักบุญลูซีอา นักบุญเซซีลีอา นักบุญอักแนส
และนักบุญจูเลีย องค์อุปถัมภ์เขตวัดของท่าน
ที่ยอมถูกตรึงกางเขนตายเสียดีกว่าละทิ้งความเชื่อด้วย
คนที่รู้จักท่านต่างกล่าวกันว่าท่านเป็นคนรักนวลสงวนตัว
พอประมาณ อ่อนโยน และพร้อมเสมอที่จะช่วยงานทุกคน ซึ่งมาพร้อมกับความงาที่ไม่ธรรมดา
ดวงตาคู่ใหญ่สีดำ ผิวที่เนียนละเอียด และผมเปียสีน้ำตาล ซึ่งท่านไม่ชอบตัด
อันโดดเด่นออกมาโดยปราศจากการปรุงแต่งใดๆ เพราะท่านไม่ชอบแต่งหน้าแต่งตา
ท่านนับเป็นหญิงสาวที่แตกต่างจากทุกคน ผู้ไม่เคยต้องการสร้างความประทับใจให้ใคร
ผู้ที่ทำให้เพื่อนบ้านกล่าวได้ว่า “ผู้หญิงแบบนี้ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนและไม่เคยเห็นอีกเลยนับจากเธอ”
กันยายน ค.ศ.1943 สองเดือนหลังจากการลงจากตำแหน่งของมุสโสลินี
ก็เกิดการลงนามระหว่างประเทศอิตาลีกับฝ่ายสัมพันธมิตร(ฝ่ายที่ต่อสู้กับเยอรมัน) ดังนั้นเพื่อเป็นการโต้ตอบ และป้องกันอาณาเขต
นาซีจึงตัดสินใจจะยึดคาบสมุทรอิตาลีทั้งหมด ฝั่งชาวอิตาลีที่ไม่พอใจก็ได้รวมกลุ่มต่อต้านพวกเยอรมัน
โดยเรียกกลุ่มว่า กลุ่มผู้ถือข้าง
ฉันใดฉันนั้นเยอรมันก็ได้โต้กลับการรบแบบกองโจรของกลุ่มนี้ด้วยการปราบปรามกลุ่มกบฏนี่อย่างกวดขัน
เวลาเดียวกันในครอบครัวบรากโก
ก็ต้องเผชิญกับการสูญเสียช้างเท้าหน้าของครอบครัวไปอย่างไม่มีวันกลับ ในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ.1944
ภายหลังจากป่วยมานาน
ทิ้งให้ตระกูลบรากโกต้องยืนหยัดก้าวต่อไปโดยมีแต่ผู้หญิงที่ต้องช่วยกันเอง
เวลานี้ท่านในวัย 20 ปี วิญญาณของท่านไร้ซึ้งความอ่อนแอหรือความหวาดเกรงจากการจากไปของบิดา
ตรงกันข้ามวิญญาณของท่านกลับไปด้วยพลังและความกล้าหาญเหมือนบิดาที่จากไปของท่าน
24 กรกฎาคม
ก็เกิดการนองเลือดไม่ไกลจากหมู่บ้านของท่าน
เมื่อกองทัพเยอรมันทำการกวาดล้างกลุ่มผู้ถือข้างที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านนั้น
ก่อนในวันรุ่งขึ้นกองทัพเยอรมันจะกลับมาพร้อมกองกำลังอีกจำนวนหนึ่ง
และเริ่มทำลายศพเหล่านั้น มีห้าฟาร์มในพื้นนั้นถูกทำลาย มีการปล้น
ทั้งเกิดข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่า มีผู้หญิงและเด็กหญิงถูกทหารเยอรมันบางคนข่มขืน
หลังจากนั้นในวันที่ 27 กรกฎาคม ก็เกิดการปะทะกันอีก คราวนี้กลุ่มผู้ถือข้างต่างพากันหลบหนี
ลุถึงเช้าของวันที่
28 กรกฎาคม
ภายหลังจากร่วมมิสซาในเวลาเจ็ดนาฬิกา ท่านพร้อมพี่สาวคืออาเดเล
กับน้องสาวของท่านอันนาที่เกิดปีถัดมาที่ครอบครัวสูญเสียบุตรชายทั้งสอง
ก็ไปทำงานในทุ่งนาของครอบครัวตามปกติ
และได้ยินเสียงปืนหลายครั้ง กระทั้งราวๆเก้านาฬิกา
กลุ่มผู้ถือข้างบางคนก็ได้วิ่งมา และเตือนพวกท่านว่าอย่ากลับไปยังหมู่บ้าน
เพราะตอนนี้พวกเยอรมันกำลังอยู่ที่นั่น
แม้จะยังหวาดกลัว
ท่านก็ไม่ฟังคำเตือนนี้ “มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้มากกว่าจะฆ่าฉันละ” ท่านเพื่อนบ้าน เวลานี้ท่านปรารถนาจะไปช่วยและดูแลมารดาของท่านในระหว่างหลบภัย
ในที่ๆมีรูปของบิดาท่าน
ดังนั้นท่านพร้อมพี่สาวและน้องสาวจึงรีบตรงกลับไปยังหมู่บ้าน
กระทั้งถึงป่าเกาลัดที่มารดาของท่านพร้อมชาวบ้านคนอื่นๆซ่อนตัวอยู่ ณ ที่นั่นเพื่อนของท่านได้เล่าถึงความโหดร้ายของพวกทหารเยอรมัน
และการที่พวกเขาปฏิบัติต่อผู้หญิง ฟังดังนั้น ท่านก็ประกาศความตั้งใจแน่วแน่ว่า “ฉันยอมตายเสียมากกว่าต้องมามัวหมอง”
ท่ามกลางเวลาแห่งความหวาดหวั่น
มารดาท่านกระตุ้นให้ทุกคนร่วมกันสวดสายประคำ เพื่อวอนขอการคุ้มครองจากพระมารดาพระเจ้า
กระทั้งเวลาสิบห้านาฬิกา
ทหารเยอรมันก็ยกกองทัพพร้อมพวกกลุ่มผู้ถือข้างที่ถูกจับมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ท่านและอันเยลาซ่อนตัวอยู่ในโพรงหิน
แต่ก็ไม่รอดท่านและเธอถูกพบ พร้อมถูกจับ
หลังจากนั้นเยอรมันก็จับผู้หญิงมาอีกคนพร้อมลูกน้อย คือ นางเอนริเกตตา เฟรเรรา
ญาติห่างๆของท่าน
แต่ขณะถูกพาตัวมารวมกับนักทานั้น
เธอก็อุทานขึ้นว่า “ลูกๆคนอื่นของฉันยังอยู่ในป่า” ทหารเยอรมันจึงอนุญาตให้เธอกลับไปได้
ดังนั้นเธอจึงฝากลูกน้อยของเธอไว้กับท่านก่อน แต่เด็กก็เริ่มร้องไห้หาแม่
ดังนั้นทหารจึงสั่งให้ท่านไปพร้อมเธอ ดังนั้นท่านจึงไปหาสามีของเธอพร้อมเธอ
เมื่อไปถึงท่านก็บอกกับสามีเธอว่า “พวกเขาให้ฉันมาช่วยส่งเด็ก”
หลังจากนั้นนายทหารสี่คนจึงสั่งให้ครอบครัวเฟรเรรากลับบ้านไป
แต่กักตัวท่านและเพื่อนอีกสองคนไว้
ก่อนจะที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจะออกคำสั่งให้ทหารสองนายคุมเพื่อนทั้งสองของท่านไป
ส่วนท่านก็ไปกับเขา
ไม่กี่นาทีต่อมา
หญิงสาวทั้งสองก็ถูกข่มขืน ก่อนจะถูกปล่อยตัวให้กลับไปหาครอบครัวของตนในเย็นวันเดียวกัน
โดยไร้ซึ่งวี้แววของท่าน ทั้งสองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาให้มารดาของท่านฟัง
“ลูกสาวของแม่จะไม่กลับมาบ้านอีกแล้ว
ถ้าบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ”
มารดาท่านคิด และตามคำบอกเล่าของชาวบ้านคนหนึ่งได้เล่าว่า “ขณะที่กลุ่มผู้หญิงและเด็กหญิงถูกพาไปตามทางมู่งสู่ซันวาเรซโซ
พวกเขาถูกขังไว้ในห้องรับแขกบ้านของฉัน กลุ่มของผู้หญิงรวมไปถึงเทเรซา
ถูกทหารบังคับให้ตามพวกเขาไปที่ต่างๆ
ฉันได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงร้องขอความช่วยเหลือซ้ำไปซ้ำมา
หนึ่งในเพื่อนบ้านของฉัน ชื่อ โยวันนี บัลโด บอกว่า พบทหารที่ลักพาตัวเทเรซากำลังจับคอยเธอและลากเธอ”
สองวันถัดมาเมื่อกองทัพเยอรมันได้ออกจากหมู่บ้านไปแล้ว
ครอบครัวและเพื่อนของท่านก็ได้ออกตามหาท่าน ที่สุดคุณพ่อนาตาเล พร้อมเวนันซีโอ
เฟรราริ มารดาของท่าน และพี่สาวของท่าน ก็พบร่างของท่านในสถานที่ที่เรียกกันว่า “ที่ราบต้นเชอรรี่”ลักษณะที่พบคือ ท่านนอนหงาย มือไขว้อยู่บนหน้าอก ในท่าทางป้องกันตัว
มีรอยกระสุนทะลุผ่านมือของท่านและฝังอยู่ที่หน้าอก ลำคอมีรอยซีด
ส่วนที่ใบหน้ามีรอยฟกช้ำ นอกจากนั้นยังมีร่องรอยของสัตว์กัดที่บริเวณแขนและหน้าอก และรอยยุบขนาดแปดเซนติเมตรที่บริเวณศีรษะ
เกิดอะไรขึ้นกับท่าน
จากการสันนิฐานคาดได้ว่า หลังจากท่านถูกแยกมาที่ป่าแล้ว
ท่านก็พยายามที่จะหนีจากนายทหารผู้นั้นเพื่อมาขอความช่วยเหลือ แต่โชคไม่ดีทหารคว้าคอท่านทัน
ก่อนจะเหวี่ยงท่านลงไปที่พื้น
ท่านพยายามป้องกันตัวจากการกระทำอันต่ำช้าของเขาอย่างสุดกำลัง ด้วยความโกธรทหารผู้นั้นจึงใช้มือบีบคอท่านจนท่านสำลัก
ที่สุดเขาจึงชักปืน ออกมาประทับยิงท่านสองนัด จนท่านสิ้นใจ แต่ยังดูเหมือนไม่สาแก่ใจพอ
เขาจึงเตะไปที่ศีรษะของท่าน อีกทีก่อนทิ้งร่างของท่านไป
บัดนี้ข้ารับพระเจ้าแห่งซานตา
จูเลีย ได้บรรลุถึงเป้าหมายแล้วนั่นก็คือ การยอมตายดีกว่าทำบาป เป็นมรณสักขี ด้วยวัย
20 ปี ในวันที่ 28 กรกฎาคม
ค.ศ.1944 ร่างของท่านถูกฝังในวันถัดมาที่พบศพ
และเพียงไม่กี่เดือนถัดมาก็มีรายงานอัศจรรย์มากมายผ่านคำเสนอวิงวอนของท่าน
ทำให้หลุมฝังศพเล็กๆของท่านกลายเป็นจุดหมายหนึ่งของการแสวงบุญ
มีการเรียกร้องสำหรับนักบุญมารีอา โกเรตตีองค์ใหม่ มีการเปิดกระบวนการ
พระธาตุของท่านถูกย้ายไปยังพระแท่นในวัดน้อยของวัดประจำหมู่บ้าน
เพื่อต้อนรับการบันทึกนามข้ารับใช้พระเจ้าไว้ในสถานบุญราศี ในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ.1998 ณ กรุงตูริน โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่
2
“พี่น้องบ้านเมืองของเรานั้นอยู่ในสวรรค์”(ฟีลิปปี 3:20)
บุญราศีเทเรซาตระหนักดีว่าซักวันท่านจะต้องไปสวรรค์ เหมือนพี่ชายทั้งสองของท่าน ดังนั้นท่านจึงระมัดระวังในการที่จะหลีกเลี่ยงการทำบาปเสมอ
เพราะบาปเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เราไม่อาจเข้าสวรรค์ได้ในทันที
และเมื่อจะถูกขืนใจ ท่านก็เลือกที่จะยอมตายดีกว่า
ต้องทำบาปที่แม้จะทำให้ท่านมีชีวิตรอด แต่ก็เป็นเพียงฝ่ายโลก ไม่ใช่ฝ่ายวิญญาณ ท่านย้ำเตือนให้เราทราบว่า
สำหรับสวรรค์แล้ว ไม่มีอะไรจะคุ้มไปกว่านี้ แม้จะในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต
ก็ไม่มีอะไรเทียบเท่าสวรรค์ เพราะที่นั่นคือ บ้านแท้ที่บิดาผู้ทรงรักเรารอเราอยู่ เราต้องระลึกไว้เสมอว่าเวลานี้ เราแค่แวะผ่านมาที่โลกเท่านั้น
“ข้าแต่ท่านบุญราศีเทเรซา บรากโก ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง