วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ทานตะวันแห่งเทือกเขาคาร์แมล "นักบุญเทเรซา เบเนดิกตา"



นักบุญเทเรซา เบเนดิกตา แห่ง ไม้กางเขน
Saint Teresia Benedicta of the Cross
ฉลองในวันที่ : 9 สิงหาคม
องค์อุปถัมภ์ : มรณะสักขี , การตายของบิดามารดา , ทวีปยุโรป , วันเยาวชนโลก , ชาวยิวผู้กลับใจ


ทุกๆปีชาวยิวทั่วโลกจะพร้อมใจกันปฏิบัติวันลบมลทินบาป(Day of Atonement) ซึ่งพวกเขาถือถือว่าวันนี้เป็นวันปีใหม่ เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้น เรียกว่า รอชฮาชานา แต่ในปี ค..1891 วันนี้ในปีนั่นจะเป็นวันที่โลกต้องจารึกว่า นักปราชญ์แห่งศตวรรษที่ 20 ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในครอบครัวชาวยิวของนายซีกริด สไตน์ ผู้ทำธุรกิจการค้าไม้ กับ นางเอากุสเต สไตน์ สองสามีภรรยาชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเมืองเบรสเลา ในจักรวรรดิเยอรมันอันเกรียงไกร (ปัจจุบันคือเมืองวรอตสวัฟ จังหวัดโลว์เออร์ ไซลีเชีย ประเทศโปแลนด์)  ผู้มีบุตรธิดาด้วยกันแล้วถึงสิบคน

12 ตุลามคม ค..1891 เป็นวันแห่งความปริติยินดีของครัวสไตน์ยิ่งนัก เมื่อทารกน้อยเพศหญิงได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกในฐานะบุตรคนสุดท้องจากสิบเอ็ดคนขอครอบครัว พวกเขาต่างเฉลิงฉลองให้กลับการเริ่มต้นใหม่ของปีและการเกิดของหนูน้อยที่ตอนนี้ได้ชื่อใหม่ว่า เอดิธ สไตน์ไปพร้อมๆกัน แต่อนิจจาความสุขของครอบครัวก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะขณะที่ท่านอายุได้ประมาณ 2 ปี บิดาของท่านก็ได้มาด่วนจากครอบครัวของท่านไป 



ดังนั้นมารดาของท่านจึงเข้ามาสานต่อธุรกิจค้าไม้ของบิดาท่าน ในขณะเดียวกันก็คอยดูแลลูกๆของเธออีกเจ็ดคน (สี่คนเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก) ด้วยความรัก ความอบอุ่นและความศรัทธาตามพระบัญญัติของพระเจ้า ที่ทรงประทานแด่โมเสส  ซึ่งในเรื่องนี้ท่านได้ยกย่องมารดาของท่านว่าคือตัวอย่างที่มีชีวิตของสตรีแกร่งในพระธรรมสุภาษิต กระนั้นก็เถอะแม้บ้านของท่านจะอบอวลไปด้วยศรัทธาเพียงใดสุดแล้ว ที่สุดท่านก็ได้ละทิ้งจากความเชื่อดั้งเดิมที่บรรพชนของท่านสั่งสมมานานนับพันปี บัดนั้ท่านเชื่อว่าไม่มีพระเจ้าจอมฟ้าสวรรค์และแผ่นดิโนลกอีกต่อไปแล้ว

หลังจากจบชั้นมัธยมในปี ค.ศ.1913 แล้ว ท่านก็ได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเมืองเบรสเลา ในสาขาวิชาภาษาเยอรมันและประวัติศาสตร์ แม้วันจะเป็นเรื่องแบบ ขนมปังกะเนย” (วลีนี้ความหมายประมาณว่าเรื่องพื้นฐาน) โดยผลประโยชน์ที่แท้จริงของท่านคือเรื่องปรัชญาและสิทธิ์ของสตรี นอกจากนั้นท่านยังได้เข้าร่วมสมาคมปรัสเซียนเพื่อสิทธิของสตรี (the Prussian Society for Women's Franchise.) ท่านเขียนถึงช่วงนั้นว่า เมื่อดิฉันอยู่ที่โรงเรียนและปีแรกของดิฉันในมหาวิทยาลัย ดิฉันเป็นผู้หญิงที่สนับสนุนเพศของตัวให้มีสิทธิออกเสียงแบบหัวรุนแรง จนจากนั้นดิฉันก็ได้สูญเสียความสนใจปัญหาทั้งสิ้น ตอนนี้ดิฉันกำลังมองหา วจนปฏิบัติศาสตรการแก้ปัญหาอย่างหมดจด

ต่อมาในปี ค..1913 ท่านก็ได้ย้ายไปอยู่เมืองเกิร์ทธิงเก้น เพื่อเข้ารับการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ภายใต้คำแนะนำจากเอ็ดมันด์ ฮุสเซิร์ล  ที่นั่นท่านเป็นทั้งนักเรียน ผู้ช่วยสอนของเขาและเขาก็ยังได้กลายมาเป็นครูสอนพิเศษของท่านในภายหลังสำหรับปริญญาเอกและที่นั่นท่านก็ได้พบกับนักปรัชญาอีกท่านหนึ่ง เขาผู้นั่นคือผู้ที่จุดประกายเรื่องคริสตังให้วิญญาณของท่าน เขาคือแม็กซ์ เชเลอร์  อย่างไรก็ตามท่านก็ไม่เคยลืมเรื่องขนมปังกะเนยและจบการศึกษาด้วยความโดดเด่นในเดือนมกราคม ค..1915 

ดิฉันไม่มีชีวิตของตัวเองเลย ท่านเขียนเมื่อท่านไปเป็นอาสาสมัครกาชาดที่โรงพยาบาลทหาร ในคราวที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้น มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากสำหรับท่าน เพราะท่านมองเห็นผู้คนมากมายล้มตาย ขณะเดียวกันก็มีผู้ป่วยเข้ามาแทนเสมอมิได้ขาด จนกระทั้งในปี ค..1916 ขณะที่โรงพยาบาลกำลังจะล้มละลาย ท่านก็ได้ตัดสินใจติดตามฮุสเซิร์ลในฐานะผู้ช่วยของเขา ไปยังเมืองไฟรบวร์ก อิมไบรส์ ประเทศเยอรมันนี ที่นั่นท่านเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยประจำเมืองและจบมาด้วยปริญญาเอกเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในสาขาปรัชญาในปี ค..1917 จากวิทยานิพนธ์เรื่อง ปัญหาของการเอาใจใส่ ที่ท่านเขียนขึ้นเอง


ในช่วงเวลานี้เอง ท่านก็ได้เดินทางไปที่อาสนวิหารของเมืองแฟรงค์เฟิร์ต ณ ที่นั่น ท่านได้เห็นสตรีผู้หนึ่ง หอบหิ้วตระกร้าสินค้าในมือ เดินเข้าในอาสนวิหารและคุกเข่าเพื่อภาวนาสั้นๆ ท่านอธิบายถึงเรื่องนี้ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งใหม่สำหรับดิฉัน ทั้งในธรรมศาลาและคริสตจักรโปเตสแตนส์ที่ดิฉันเคยไปเยือนผู้คนก็แค่เข้าไปทำพิธี แต่ ณ ที่นี่ ดิฉันได้เห็นคนตรงออกมาจากตลาดที่วุ่นวายเข้าไปในโบสถ์อันว่างเปล่า ราวกับว่าเธอกำลังจะไปพูดคุยอย่างสนิทสนมกับใครสักคน มันเป็นสิ่งที่ดิฉันไม่เคยลืมเลย และในช่วงท้ายวิทยานิพนธ์ว่า มีผู้คนที่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่ฉับพลันที่เกิดขึ้นภายในพวกเขาและตัวพวกเขาเป็นผลมาจากพระหรรษทานของพระเจ้า

ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค..1917 ท่านได้แวะกลับไปยังเมืองเกิร์ทธิงเก้น เพื่อเยี่ยมภรรยาเพื่อนท่านที่ตอนนี้การเป็นหม้ายเพราะเพื่อนท่านได้สิ้นใจลง ในครั้งแรกท่านรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องพูดคุยกับภรรยาหม้ายของเพื่อน  แต่ท่านก็ต้องแปลกใจ เมื่อท่านพบความจริงว่าเธอคือสตรีใจศรัทธา นี่คือการเผชิญหน้ากันครั้งแรกของดิฉันกับไม้กางเขนและพระฤทธานุภาพอันได้มอบไว้แด่ผู้ที่น้อมรับมัน ….. มันเป็นช่วงที่ความไม่เชื่อของดิฉันได้พังทลายลงและพระคริสตเจ้าทรงเริ่มทอแสงมายังดิฉันพระคริสตเจ้าในธรรมล้ำลึกแห่งไม้กางเขน ใช่แล้ว ในตอนนี้พระเจ้าได้ทรงสาดแสงแห่งพระเมตตาลงที่ดวงใจของท่านแล้ว ด้วยพระเมตตาขององค์ พระองค์ทรงเปลี่ยนดวงใจที่เคยทิ้งและเฉยฉาพระองค์ไปให้กลับมาแนบชิดกับพระองค์อีกครั้งหนึ่งแล้ว จงดูเถิดพี่น้องว่าพระเมตตาของพระเจ้าทรงกระทำได้ทุกสิ่ง


ฤดูใบไม้ร่วง ..1918 ท่านได้ไปงานเป็นผู้ช่วยสอนฮุสเซิร์ล ทั้งที่ในความจริงท่าต้องการทำงานอิสสระ มันไม่เป็นความจริงจนกระทั้งปี ค..1930 ท่านจึงได้พบเขาภายหลังจากที่ท่านรับศีลล้างบาปแล้ว ทุกคนย่อมมีความฝันใช่ไหมละ ไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็มีเหมือนกัน ท่านก็ด้วย ท่านใฝ่ฝันที่จะเป็นศาสตราจารย์ อันเป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้หญิงสมัยนั้น ฮุสเซิร์ลได้เขียนถึงเรื่องนี้ในเอกสารอ้าอิงว่า หากอาชีพนักวิชาการเปิดโอกาสให้สตรี ข้าพเจ้าก็จะเสนอชื่อเธออย่างเต็มใจและทำนองเดียวกันเธอคือตัวเลือกแรกของข้าพเจ้าสำหรับตำแหน่งศาสตราจารย์ แต่ท้ายที่สุดท่านก็ถูกปฏิเสธเพียงเพราะท่านเป็นชาวยิว

หลังจากนั้นท่านก็ได้กลับบ้านเกิดของท่าน และที่นั่นท่านได้อ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่  , เคียร์เคอกอร์ และหนังสือที่เขียนโดยนักบุญอิกญาซิโอ ซึ่งท่านตระหนักดีว่าท่านในขณะที่อ่าน ท่านมิได้อ่านเพียงเพราะชอบ แต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องทำอย่างนั้นจริงๆ  


ท่านใช้เวลาหลายอาทิตย์ในฤดูร้อนปี ค..1921 ในเบิร์กซาเบิร์น (Bergzabern) บนที่ดินของสุภาพสตรีนามเฮ็ดวิก คอนราด-มาร์ทิอัส (Hedwig Conrad-Martius) เธอเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของฮุสเซิร์ลเช่นกัน ภายหลังเธอตัดสินใจหันไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปเตสแตนส์ตามสามีของเธอ ณ ที่นั่นในเย็นวันหนึ่งท่านได้หยิบหนังสือประวัตินักบุญเทเรซาแห่งอาวิลลาขึ้นมาอ่านและอ่านมันต่อตลอดทั้งคืน เมื่ออ่านจบท่านถึงพูดกับตัวเองขึ้นว่า นี่สิความจริง  และต่อมาเมื่อท่านมองชีวิตของท่านย้อนไปท่านก็เขียนว่า ความปรารถนาของดิฉันสำหรับความจริงก็คือการีสวดภาวนาเพียงอย่างเดีย

 ดังนั้นด้วยเหตุนี้ ด้วยหนังสือเล่มนั้น หนังสือที่มีชื่อว่า ชีวิตที่นักบุญเทเรซาแห่งอาวิลลาเป็นผู้เขียนขึ้น ก็ทำให้นักปรัชญาหญิงกลับใจรับศีลล้างบาป เป็นสมาชิกของพระศาสนจักรคาทอลิกหลังจากที่ได้ดำเนินชีวิตตามลัทธิอเทวนิยมมาเป็นเวลานาน ในวันที่ 1 มกราคม ค..1922 ณ วัดนักบุญมาร์ติน ในชุดแต่งงานสีขาวของเอ็ดวิก ท่านได้รับศีลล้างบาป โดยมีเฮ็ดวิก คอนราด เป็นแม่ทูนหัว  ณ ตอนนี้ท่านทราบแล้วว่าพระเยซูเจ้าตอนนี้มิเพียงแทรกพระวรกายอยู่ที่จิตวิญญาณท่าน แต่คือทรงแทรกพระวรกายของพระองค์เช่นกันในโลหิตของท่านด้วย วันฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหารปีเดียวกันองค์พระจิตเจ้าก็ได้ส่องสว่างลงมายังตัวท่านโดยผ่านการปรกมือของพระสังฆราชแห่งชไปเออร์ ณ โบสถ์ส่วนตัวของพระคุณเจ้า



หลังจากนั้นท่านก็ได้กลับเมืองเบรสเลาบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน ที่นั่นท่านได้ทักทายมารดาของท่านว่า คุณแม่ค่ะ หนูเป็นคาทอลิกแล้วค่ะก่อนท่านและมารดาจะร้องไห้ออกมาพร้อมๆกัน เป็นดังพระวาจาทีว่า นี่แหละ ชาวอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย (ยอห์น 1:47)    พี่น้องที่รัก ในพระวาจานี้พระเยซูเจ้าทรงได้ตรัสสอนเราว่าการที่เราจะเป็นประชากรของพรเป็นเจ้าได้นั้นเราต้องเป็นเฉกเช่นแก้วที่ใสสะอาด ที่แม้จะมองมุมไหนก็ยังใสเช่นเดิม หากพี่น้องที่รักทำได้เช่นนี้แล้ว พี่น้องทั้งหลายจึงจะสามารถเป็นชาวอิสราเอลที่พระเจ้าทรงเรียกว่าประชากรของพระเจ้าได้อย่างแน่แท้

ทันทีหลังจากที่ได้กลับมาแนบสนิทกับพระเจ้าแล้ว ท่านก็มีความปรารถนาที่จะไปเป็นลูกสาวน้อยๆของนักบุญเทเรซาในอารามคาร์แมล ท่านจึงนำเรื่องนี้ไปกล่าวแก่คุณพ่อจิตตราธิการ แต่ก็ถูกสั่งให้รอไปก่อน จนถึงวันสมโภชปัสกาปี ค..1931 ด้วยเหตุนี้ระหว่างนั้นท่านจึงได้เข้าทำงานสอนวิชาประวัติศาสตร์และภาษาเยอรมันที่โรงเรียนของคณะภคินีโดมินิกันและที่วิทยาลัยครูของอารามนักบุญมักดาเลนในชไปเออร์


เช่นเดียวกับนักบุญทอมัส อไควนัส ท่านก็แปลหนังสือ De Veritate หรือ บนความจริง เป็นภาษาเยอรมัน และเพื่อให้ได้รับพละกำลังเพื่อชีวิตและการทำงาน ท่านมักจะไปที่อารามเบเนดิกตินในเบวรอน(Beuron)  เพื่อร่วมงานสมโภชที่ยิ่งใหญ่ของปีในโบสถ์ และขุมพลังที่แท้จริงของท่านก็คือ การฟังมิสซาและรับศีลมหาสนิททุกวัน ท่านเขียนบันทึกว่า ชีวิตของสตรีผู้หนึ่ง จะมีชีวิตฝ่ายจิตที่มีความรักต่อพระอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเป็นชีวิตแห่งศีลมหาสนิท” และหนึ่งในนักเรียนของท่านให้การว่า “ภาพที่เธอสวดภาวนาทุกวันในมิสซานั้น เหนือมิติธรรมชาติ ฉันจำคำพูดของเธอไม่ค่อยได้.... แต่สิ่งที่จำได้อย่างแน่ชัดคือภาพความสงบนิ่งของเธอ สิ่งที่เธอพูดสอนนั้น เราอาจจำไม่ได้ แต่พวกเราจดจำสิ่งที่เธอเป็นอยู่ได้อย่างแม่นยำ

ถ้าผู้ใดมาหาดิฉัน  ดิฉันก็ปรารถนานำพวกเขาไปหาพระองค์ ท่านทำเช่นนั้นจริง เมื่อท่านได้เข้ารับตำแหน่งอาจารย์ที่แผนกโรมันคาทอลิกของสถาบันเยอรมันเพื่อการวิจัยทางการศึกษา ที่มหาวิทยาลัยของเมืองมุนสเตอร์ (the Roman Catholic division of the German Institute for Educational Studies at the University of Munster) ในปี ค.ศ.1932  ด้วยการที่ท่านแสวงหาหนทางที่จะเป็น "เครื่องมือของพระเจ้า" ในทุกสิ่งที่ท่านได้สอนไป และที่นั่นเช่นกันท่านได้พัฒนามานุษยวิทยาของท่าน  


แต่เพียงปีเดียวหลังจากที่ท่านเข้าทำงาน ท่านก็ต้องออกจากงาน เพราะ กฎหมายอารยันของพวกนาซี พวกที่ทำให้เยอรมันทั้งประเทศตกอยู่ในความมืดมิดตั้งแต่ปี ค.ศ.1933  ดิฉันเคยได้ยินมาตรการรุนแรงต่อต้านชาวยิวมาก่อน แต่ตอนนี้มันเริ่มปรากฏขึ้นที่ดิฉันที่พระเจ้าได้ทรงวางพระหัตถ์ของพระองค์หนักหน่วงบนประชากรของพระองค์และว่าโชคชะตาของประชากรเหล่านี้คงจะเช่นเดียวกันกับดิฉัน และนอกจากนั้นท่านยังเขียนอีกว่า ถ้าดิฉันไม่สามารถไปที่นี่ ก็ไม่มีใครอีกแล้วที่มีโอกาศใดๆ สำหรับดีิฉันในเยอรมันท่านเขียน ดิฉันได้กลายเป็นคนแปลกหน้าในโลกไปแล้ว

ในตอนนี้อัครอธิการ(The Arch-Abbot) ของเบวรอนและวัลเซอร์ (Walzer) ไม่ห้ามท่านเข้าอารามคาร์เมไลท์อีกแล้ว ท่านได้พบกับภคินีคาร์แมลที่โคโลญในปีเดียวกัน กิจการของมนุษย์ไม่สามารถช่วยเราได้ มีแต่เพียงพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้าเท่านั้นที่ช่วยได้ ความปรารถนาของดิฉันคือการส่วนในมัน” ซึ่งการเข้าอารามคณะคาร์เมไลท์ในครั้งนี้มิใช่เป็นการหลีกหนีภัย แต่เป็นการไล่ตามกระแสเรียกของท่าน


หลังจากนั้นท่านก็ได้กลับไปบ้านเกิดของท่านเพื่ออำลามารดาและครอบครัวก่อนที่จะเข้าอาราม ท่านอยู่ที่นั่นจนถึงวันเกิดของท่าน ท่านก็ได้เดินไปที่ศาลาธรรมกับมารดาท่าน ทำไมลูกถึงรู้จักมันละมารดาของท่านเอ่ยขึ้นในวันสุดท้ายที่เธอจะได้เจอหน้าบุตรสาวของเธอ แม่ไม่อยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับเขา เขาอาจจะเป็นคนดีมากก็จริงอยู่ แต่ทำไมเขาต้องกระทำตัวเองเป็นพระเจ้าเสียละ?” ทันทีมารดาของท่านก็เริ่มร่ำไห้

วันถัดมาท่านอยู่บนรถไฟไปแทนที่โคโลญ ดวงใจของท่านในตอนนั้นแทนที่จะร่ำไห แต่มันกับเต็มไปด้วยสันติสุขของพระเจ้า และหลังจากนี่ไปท่านก็คอยส่งจดหมายมาหามารดาของท่านเสมอ แต่ทุกครั้งมารดาของท่านก็ไม่เคยตอบกลับมาเลย คงจะมีแต่จดหมายของพี่โรซาส่งมาบอกข่าวสารจากบ้านเกิดเพียงเท่านั้น


 หลังจากที่มาถึงแล้วท่านก็ได้เข้าอารามแม่พระแห่งสันติภาพ ในเมืองโคโลญและได้รับเสื้อคณะพร้อมชื่อใหม่ว่า ภคินีเทเรซา เบเนดิกตา แห่ง ไม้กางเขน ในวันที่ 15 เมษายน ค.ศ.1934 โดยมีอัครอธิการบิวรอนเป็นประธานในพิธีมิสซา ท่านเขียนในปี ค.ศ.1938 ว่า ดิฉันเข้าใจดีว่าไม้กางเขนเป็นโชคชะตาของประชากรของพระเจ้า ซึ่งปรากฏชัดในเวลานี้(1933) ดิฉันรู้สึกว่าบรรดาผู้ที่เข้าใจในกางเขนของพระคริสตเจ้า ควรจะรับแบกมันด้วยตัวของเขาเองในนามของทุกคน ถูกแล้วบัดนี้ดิฉันได้รู้ถึงความหมายของการสมรสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าผ่านเครื่องหมายแห่งกางเขนเป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีทางหรอกเข้าใจมัน เพราะมันคือธรรมล้ำลึก” 21 เมษายน ค.ศ.1935 ท่านได้เข้าพิธีปฏิญาณตนชั่วคราวในระยะไล่ๆกับที่มารดาของท่านเสียชีวิต

และอีก 3 ปีต่อมา ในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ.1938 ท่านก็ได้เข้าพิธีปฏิญาณตนตลอดชีวิต และได้หยิบยืมวลีของนักบุญยอห์น แห่ง ไม้กางเขนมาหนึ่งวลีคือ นับจากนี้ไปกระแสเรียกเดียวของข้าฯ คือความรัก มาพิมพ์ลงในรูปภาพสักการะของท่าน (her devotional picture) หลังจากนั้นที่ท่านได้เป็นคาร์แมลโดยสมบูรณ์แล้ว ท่านก็ได้เขียนหนังสือ ความเที่ยงแท้และการเป็นนิรันดร์ (Finite and Eternal Be)



ท่านไม่ได้เข้าอารามเพื่อหนีโลก แต่เพื่อวิงวอนเพื่อทุกคน ดั่งที่ท่านเขียนว่า บรรดาผู้เป็นสมาชิกคณะคาร์เมไลท์มิได้ตัดญาติขาดมิตรของตัวเอง แต่มีหน้าวิงวอนเพื่อพวกเขา เพราะนั่นคือกระแสเรียกของพวกเราคือการวอนขอพระเจ้าเพื่อทุกคน โดยเฉพาะเพื่อบรรดาประชากรของท่าน ดิฉันคิดเช่นเดียวกับราชินีเอสเธอร์ผู้ถูกนำตัวมาจากประชากรอันชอบธรรมของเธอ เพราะองค์พระเจ้าประสงค์ให้เธอวอนขอกษัตริย์ในนามชนชาติของเธอ ดิฉันเป็นเพียงคนยากไร้และไร้อำนาจเช่นเอสเธอร์น้อย แต่องค์กษัตริย์ผู้ได้เลือกดิฉันนั้นทรงไร้ขอบเขตและเปี่ยมพระเมตตา นี่แหละคือการปลอบประโลมใจของดิฉัน(31 ตุลาคม ค..1938)

แต่แล้วอยู่ๆในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ.1938 โศกนาฏกรรมการฆ่าล้างชาวยิวครั้งยิ่งใหญ่ของนาซี ก็เปิดฉากขึ้น ชาวยิวมากมายถูกกวาดต้อนไปฆ่าอย่างเลือดเย็น ชาวยิวที่เหลือก็ต่างตกอยู่ในความกลัว ศาลาธรรมอันเป็นที่ยึดเหนี่ยวก็ถูกทำลายลงด้วยไฟ ทำให้ตอนนั้นกำแพงที่สูงลิ่วของอารามที่เคยปลอดภัยสำหรับท่านที่เป็นยิว กับไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ด้วยสาเหตุนี้เองทำให้ในคืนส่งท้ายปี ค.ศ.1938 กลางหิมะสีขาวโพลน ท่านก็ถูกพาลักลอบข้ามพรมแดนเข้าไปลี้ภัยในอารามเมืองเอ็ค จังหวัดลิมบูร์ก ประเทศเนเธอร์แลนด์

ที่นั่นท่านได้ใช่เวลาประพันธ์หนังสือที่บรรยายถึงการวิจัยเรื่องนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน หนังสือเล่มนั้นคือ ศาสตร์แห่งกางเขน” (The Science of the Cross) และได้เขียนพินัยกรรมของท่านเองในวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ.1939

แม้บัดนี้ดิฉันก็น้อมรับความตายที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ในการยอมจำนนโดยสมบูรณ์และด้วยความยินดีที่ว่ามันคือพระประสงค์ของความบริสุทธิ์ยิ่งสำหรับดิฉัน ดิฉันยังวอนขอพระเจ้าให้ทรงรับชีวิตและความตายเพื่อคารวะกิจและพระเกียรติมงคลของพระองค์ เพื่อภาระทั้งหมดของดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าและดวงหทัยของพระนางมารีย์และพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ เป็นพิเศษเพื่อการธำรงอยู่ การทำให้ศักดิ์สิทธิ์ และความครบครันของคณะอันศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอารามที่โคโลญและเอ็คในการชดเชยในนามชาวยิวและเพื่อให้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นที่ยอมรับจากประชากรของพระองค์ และพระอาณาจักรของพระองค์จะมาในพระสิริรุ่งโรจน์ เพื่อความรอดของเยอรมันและสันภาพในโลก ท้ายที่สุดเพื่อสมาชิกในครอบครัวของดิฉัน ทั้งที่ยังอยู่และสิ้นใจไปแล้ว และเพื่อผู้ที่พระเจ้าทรงประทานแก่ดิฉัน : ไม่ให้แม้คนหนึ่งในพวกเขาหลงหายของดิฉันไว้กับพระองค์


นอกเหนือจากนั้นท่านยังได้เขียน ชีวิตของครอบครัวชาวยิวจากเรื่องราวชีวิตจริงของครัวท่าน ดิฉันเพียงแค่ต้องการบันทึกสิ่งที่ดิฉันมีประสบการณ์ส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ของชาวยิว ในเรื่องนี้ท่านได้ชี้ให้เห็นว่า พวกเราผู้ที่เติบโตขึ้นมาในศาสนายูดายมีหน้าที่จะต้องเป็นพยาน .... เพื่อคนหนุ่มสาวผู้ที่กำลังเติบโตขึ้นมาในความเกลียดชังทางเชื้อชาติจากวัยเด็ก


ช่วงนั้นเองที่สภาพระสังฆราชฮอลแลนด์ได้ออกประกาศ ประณามการกระทำของกองทัพนาซีในระหว่างพิธีมิสซาวันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ.1942 ซึ่งเป็นเหมือนการเอาน้ำมันราดบนกองเพลิงชัดๆ เพราะหลังจากนั้นกองทหารนาซีก็ตอบโต้ด้วยการล้อมจับ ผู้ที่มีเชื้อสายยิวในฮอลแลนด์ทุกคน ท่านก็ไม่พ้นการล้อมจับครั้งนี้ เพราะขณะที่บรรดาภคินีทั้งหลายในอารามรวมท่านและพี่โรซาของท่านซึ่งขณะนั้นทำงานรับใช้อยู่ในอารามกำลังอยู่ในวัดของอารามวันนั้นเป็นวันที่ 2 สิงหาคาม ค.ศ.1942 ท่านซึ่งขณะนั้นกำลังเขียนหนังสือศาสตร์แห่งกางเขนและกำลังพยายามจะไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์และพี่สาวก็ถูกสั่งให้ไปรายงานตัวและถูกจับกุม มา เราจะไปเพื่อประชาชนของพวกเรา คำพูดสุดท้ายของท่านในอารามเอ็ค จ่าหน้าถึงพี่โรซา


ท่านถูกส่งไปเมืองอัมเออร์สฟูร์ต(Amersfoort) และ เวสเทอร์บ็อร์ก(Westerbork) ท่านกล่าวว่า ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผู้คนจะต้องประสบเช่นนี้ ไม่มีทางแน่ที่ฉันจะไม่รู้ว่าบรรดาพี่ชายน้องชายและพี่สาวน้องสาวของฉันต้องทรมานเช่นนี้ฉันสวดให้พวกเขาทุกชั่วโมง พระเจ้าจะทรงสดับคำภาวนาฉันไหม แน่นอนพระองค์ทรงได้ยินพวกเขาในความทุกข์ของพวกเขาเสมอ” ศาสตราจารย์ยัง โนตา ที่มาพร้อมท่าน เขียนในภายหลังว่า เธอเป็นประจักษ์พยานถึงการสำแดงองค์ของพระเจ้าในโลกที่พระเจ้าได้หายไป

หลังจากนั้นท่านก็ถูกส่งไปค่ายนรกเอาชวิตซ์ ในตอนเช้าของวันที่ 7 สิงหาคม ด้วยรถไฟ ซึ่งจำนวนชาวยิวที่ถูกส่งไปในครั้งนั้นมีจำนวนทั้งสิ้น 981 คน  การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาประมาณสองวัน จึงมาถึงคุกนรกแห่งนี้ ในวันที่ 9 สิงหาคม ปีเดียวกัน ด้วยอายุ 50 ปี ท่านก็ได้ก้าวย่างเข้าไปสู่ห้องรมแก๊สอย่างอาจหาญและสิ้นใจด้วยการถูกแก๊สพิษ ณ ที่แห่งนั่น หลังจากนั้นร่างของท่านจึงถูกกำจัดด้วยการเผาไปพร้อมๆกับศพอื่น 


แม้กายาจะม้วยมอดไป แต่ความดีหาม้วยมอดไปตามกระแสเพลิงนั้นไม่ เพราะหลังจากการสอบสวนและผ่านการอนุมัติจากสมเด็จพระสันตะปาปา ในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1987  ระหว่างการเยี่ยมโคโลญของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 พระองค์ก็ได้ทรงประกอบพิธีมิสซาในวโรกาสสถาปนาท่านขึ้นเป็นบุญราศีมรณะสักขี และหลังจากอัศจรรย์การรักษาเด็กหญิงผู้กินยาพาราเซตามอลเกินขนาด จนทำให้เนื้อเยื่อไตตาย แต่โดยผ่านคำเสนอวิงวอนของท่าน ไม่นานสาวน้อยก็กลับมาสุขภาพสมบูรณ์เช่นเดิม แพทย์ที่รักษาเธอยีนยันว่ามันคืออัศจรรย์  เป็นระยะเวลาถึง 11 ปีหลังจากที่ท่านได้รับการสถาปนาเป็นบุญราศี ในวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ.1998 ณ ลานหน้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่สอง ก็ได้ทรงสถาปนาท่านเป็นนักบุญนามเทเรซาองค์ที่ห้าของคณะคาร์เมไลท์ (นักบุญเทเรซาแห่งอาวิลลา , แห่งลิซิเออร์ , แห่งฟลอเรส , แห่งแอนดีส )


 ชีวิตของท่านเต็มไปด้วยการแสวงหาสัจธรรมความจริงของชีวิต ประดุจเดียวกับดอกทานตะวัน ที่จะหันหน้าของมันไปตามทิศทางของดวงอาทิตย์ ผู้เเสวงหาพระปรีชาญาณจะไม่พินาศ  พระเจ้าทรงประทานปรีชาญาณแก่ยาโคบผู้รับใช้ของพระองค์ แก่อิสราเอล ประชากรที่ทรงรัก เพราะเหตุนี้ ปรีชาญาณจึงปรากฏบนแผ่นดิน มาอยู่กับมวลมนุษย์ แต่ขึ้นอยู่ว่ามนุษย์ผู้นั้นจะแสวงหาปรีชาญาณของพระเจ้าหรือไม่ นักบุญเทเรซา เบเนดิกตา แห่ง ไม้กางเขน ได้แสดงให้เราเห็นว่าหากท่านไม่แสวงหาในช่วงแรกของชีวิตท่าน ท่านก็คงจะไม่ได้พบกับพระเยซูเจ้าและคงจะไม่ได้เป็นนักบุญหรือคงดิ่งลงสู่เหวนรกเป็นแน่แท้ พี่น้องที่รักผู้ใดที่เเสวงหาพระปรีชาญาณบนพื้นโลกแล้วไซร้ ผู้นั้น ณ เมืองสวรรค์เขาย่อมได้รับการขนานนามว่าเป็น นักบุญ


ข้าแต่ท่านนักบุญเทเรซา เบเนดิกตา แห่ง ไม้กางเขน ช่วยวิงวอนเทอญ

อ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...