บุญราศี มารีอา
อัสซูนตา ปาลลอตตา
Bl. Maria Assunta Pallotta
ฉลองในวันที่ : 7 เมษายน
เลโอเน
เป็นสตรีผู้น่าสงสาร เธอล้มป่วยเป็นอัมพาตมาแปดเดือนได้แล้ว ดังนั้นเองสิ่งเดียวที่เธอทำได้ จึงคือการสวดภาวนาขอให้พระเจ้าทรงรักษาเธอผ่านข้ารับใช้พระเจ้าคนหนึ่ง จนกาลเวลาล่วงมาถึงคืนหนึ่งในเดือนพฤษภาคมหรือมิถนาคมที่เธอจำไม่ได้นี้ละ ในปี ค.ศ.1923
ขณะเวลาได้แปดนาฬิกา “ก๊อก ก๊อก”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นในครั้งแรกเธอคิดว่าเป็นคนในบ้านจึงตอบไปว่า “เข้ามาได้เลย นั่นใครน่ะ” ก็มีเสียงตอบเธอว่า “ฉันเองค่ะ เลโอเน”
ก่อนประตูจะเปิดออกเผยให้เห็นร่างซิสเตอร์ผู้หนึ่งที่เธอเฝ้าสวดขอในชุดคณะสีขาว
พร้อมมงกุฏดอกไม้สีขาวบนศีรษะ “เธอรู้สึกเป็นยังไงบ้าง เลโอเน” เลโอเนจึงตอบว่า “ไม่ดีเลยค่ะ ดิฉันต้องอยู่แต่บนเตียงมาหลายเดือนแล้วค่ะ” ซิสเตอร์ผู้นั้นจึงเอยว่า “ลองลุกขึ้นดูซิ” ยังความฉนนแก่เธอนัก เธอจึงตอบไปว่า “ดิฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ” ซิสเตอร์ผู้นั้นจึงย้ำอีกครั้งว่า “ลองดู
เพราะพระเจ้าได้ทรงประทานพระหรรษทานนี้แก่เธอ ที่เธอทำมันช่างเป็นนิสัยไม่ดีเลย
เธอสาปแช่งบ่อยเกินไปแล้วนะ” คำพูดนี้ทำให้เธอรู้สึกประหนึ่งถูกเอาไฟมาจี้ที่ก้นเป็นยิ่งนัก เธอพยายามอ้างว่ามันเป็นนิสัยของเธอ ฝั่งซิสเตอร์ผู้นั้นเมื่อฟังก็กล่าวว่า “เธอต้องเปลี่ยนนะ” ก่อนประตูจะปิดลง ทันทีเลโอเนก็ได้รับการรักษา และกลับมาเดินได้จนเป็นที่อัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็น
มารีอา
อัสซูนตา ปาลลอตตา เกิดในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ.1878
ในหมู่บ้านเล็กๆนาม “ฟอร์เช” มันที่รู้จักว่าเป็นกลุ่มบ้านสีน้ำตาลที่เบียดเสียดกันอยู่บนเนินเขาที่เต็มไปด้วยหิน มันตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2200
ฟุตและมีลักษณะราดลงมายังบริเวณที่ราบลุ่มบึงอันโกนา ประเทศอิตาลีและมันยังมีบรรยากาศที่เป็นหนึ่งในความสงบ
ความเรียบง่ายและการทำงานหนักอย่างซื่อสัตย์
ท่านเป็นบุตรคนโตจากห้าคนของนายลุยจิ
ปาลลอตตา (Luigi Pallotta)
ช่างไม้ กับ นางเอวฟราเซีย กาซาริ(Eufrasia Casali) เมื่อท่านอายุได้ประมาณ 4 ปี มารดาของท่าน ก็ได้พาท่านไปยังวัดเก่าแก่และสวยงามที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของท่านมากนักและหลังจากนั้นเป็นต้นมาเราก็พบท่านกำลังคุกเข่ารำพึงถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าอยู่ที่ใต้เชิงไม้กางเขนของวัด
ท่านก็ได้เข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา
เมื่อท่านมีอายุได้ 6 ปี แต่เพียงสองปีท่านก็ต้องออกมาดูแลน้องๆ
ซึ่งช่วงเวลาสองปีนั้นก็พอที่จะให้ท่านได้เรียนรู้วิธีอ่านและเขียน หลังจากนั้นเมื่ออายุ 12 ปี
ท่านจึงได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก และเริ่มแสดงออกถึงความศรัทธาพิเศษต่อศีลมหาสนิท แม่พระซึ่งท่านสวดสายประคำเพื่อเป็นเกียรติแด่พระนางในทุกๆวัน และการชิดสนิทกับพระบุตรของพระนางมากขึ้น
ทุกๆวันหลังจากการทำงานเล็กๆน้อยๆจบลง
ท่านก็จะรีบวิ่งไปที่วัด ที่ๆท่านจะอยู่ต่อหน้าพระแท่นบูชา เพื่อภาวนามีพยานเห็นว่าขณะที่ท่านภาวนามันดูเหมือนท่านเข้าสู่ห้วงของฌาณ “เมื่อใดก็ตามที่เธอว่าง เธอจะรีบวิ่งไปที่วัด
วันละประมาณสามครั้งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเลิกงาน” บิดาท่านกล่าว
แม้จะเหนื่อยแค่ไหนท่านก็มีความสุขที่ได้อยู่กับพระเจ้า ในความทรงจำของเพื่อนๆของท่านมีครั้งหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงยามที่ลมแห่งเหมันต์ใกล้เข้ามา
ผลมะกอกรสโอชาก็เริ่มสุกกำลังดีอยู่เต็มต้น
ดังนั้นท่านและเพื่อนๆจึงพากันไปเก็บกันเช่นที่ทำกันสืบๆมาในฤดูเก็บเกี่ยวมะกอก
แต่ลมหนาวที่เริ่มจรเข้ามาเพื่อนคนหนึ่งของท่านจึงบ่นว่าหนาว “อะไรเล่าที่จะเทียบกับสิ่งที่พระองค์องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้รับพระมหาทรมานเพื่อเรา?
เอาความตั้งใจที่จะทำสิ่งต่างๆของความรักมาเลือกมะกอกเถอะ” ท่านตอบ
เพื่อประโยชน์ของครอบครัวท่านไม่ลังเลจะแบกรับความเมื่อยล้าจากการเป็นกรรมกร
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
สำรับเด็กตัวน้อยๆอย่างท่านที่จะทำงานเป็นกรรมกรแบกหินแบกปูนในงานก่อสร้างอาคาร
แต่ท่านก็ไม่เคยบ่นเลยซักครั้ง ท่านไม่เคยเสียเวลาไปกับการพูดเลยเพราะท่านจะใช้มันไปกับการสวดสายประคำด้วยมือข้างหนึ่งในกระเป๋า
ในเวลาพักหลังเที่ยวท่านก็ใช้ไปกับการสวดภาวนาและการอ่านหนังสือวิญญาณ
ในที่สุดแล้วท่านก็ได้เข้าทำงานในร้านตัดเสื้อในชนบทที่ยินดีช่วยเหลือท่าน
จากทักษะและความแม่นยำในการทำงานของท่าน และรู้ไหมว่าที่จักรเย็บผ้าของท่านจะมีรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านใช้รำพึงอยู่ด้วย
และถึงแม้บ้านของท่านจะมีฐานะที่ยากจน
จนยากที่จะหาอาหารให้พอเพียงแก่ทุกคนในบ้าน
ท่านก็ไม่ลืมที่จะมอบความช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุที่ยากไร้ในหมู่บ้าน
โดยเฉพาะเพื่อนบ้านของท่านที่อาศัยอยู่ในความยากจนอย่างแท้จริง
ท่านก็ค่อยแบ่งอาหารของท่านให้แด่พวกเขา
ในยามที่ท่านค่อยเติบโตขึ้นมาความปรารถนาที่จะใช้โทษบาปมากขึ้นและมากขึ้นตามไปด้วย
ในยามราตรีหลังวันอันแสนเหน็ดเหนื่อยท่านจะนอนน้อยๆและทดแทนด้วยการสวดภาวนาแทน
ที่เตียงท่านก็นำเอาเศษอิฐ เศษไม้ เศษเหล็กไปวางไว้
และเนื่องจากครอบครัวท่านยากจนทำให้อาหารจึงมีจำกัดมากๆ แต่ท่านก็มีความสุขโดยเฉพาะวันศุกร์
ท่านจะกินเพียงโปเลนตา คือ เม็ดข้าวโพดบดเกือบละเอียดแต่ยังมีสัมผัสสากๆอยู่
ที่นำมาต้มและปรุงรส กับเกลือ ซึ่งภายหลังเมื่ออายุครบ 15 ปี
ท่านก็เริ่มกินเป็นสามครั้งต่อสัปดาห์
เช่นมารดาทั่วไปที่มีบุตรสาว
มารดาของท่านกังวลเรื่องคู่ครองของท่านมาก เพราะ ในช่วงงานเทศกาลที่มีงานเต้นรำ
แม้เราจะพบท่านอยู่ที่นั่น แต่ใจจริงๆลึกๆท่านไม่ได้อยากจะมาเลย
ท่านต้องการเข้าอาราม ที่มาก็เพราะถูกบังคับ แต่แล้วในช่วงเทศกาลปี ค.ศ.1897 ในห้องงานที่ร้อนเสีย จนทำให้ท่านต้องถอดหน้ากากออก
คู่ของท่านก็ถึงกับกล่าวกับท่านว่า “คุณงดงามมาก ผมให้คุณจูบผมได้เลย” ซึ่งมันทำให้ท่านหัวเสียมากๆ
ท่านจึงหนีกลับบ้านโดยพลันและตัดสินใจที่จะออกจากโลกนี้เร็วที่สุด ดั่งที่เคยได้ยินเสียหนึ่งตรัสว่า
“จงมาและตามเรามาเถิด”
ผ่านการขอความช่วยเหลือจากพระคุณเจ้าลุยจิ กาเนสตรารี เพื่อนบ้านของท่านในการเข้าอาราม ซึ่งช่วยท่านจน กระทั้งในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ.1898
ท่านก็สามารถไล่ตามฝันได้อีกขั้นด้วยการเดินไปบ้านแม่ของคณะธรรมทูตฟรานซิสกันแห่งพระนางมารีย์
ที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อให้การศึกษาเด็กและอภิบาลผู้ป่วย
ก่อนจะได้เข้านวกสถานของคณะในที่กร็อตตาเฟรราตาเพื่อเตรียมตัวเป็นซิสเตอร์ต่อไป
ในระหว่างเป็นนวกะเณรีนั้นท่านก็ต้องมีอันถูกส่งกลับบ้านไปเพราะปัญหาต่อมระหว่างคอและหูอักเสบ
ในช่วงนั้นท่านหวังว่าจะมิได้ตายนอกอาราม ท่านจึงสวดภาวนาด้วยความเชื่อต่อแม่พระแห่งปอมเปอี
ภายใต้การแนะนำจากคุณพ่อลุยจิ มาร์ตินี สงฆ์ประจำตำบล ซึ่งก็เป็นจริงไม่นานท่านก็หายขาดและได้ชิดสนิทกับพระองค์อีกขั้นในพิธีปฏิญาณตน
ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ.1900 ณ วันนักบุญเฮเลนา ใน โรม ด้วยจิตใจแห่งธรรมทูต
งานแรกของท่านคือการไปทำงานที่สวน เล้าไก่และคอกหมูอันยากลำบากและต่ำต้อย
เพราะท่านแทบอ่านและเขียนไม่ได้เลยแต่ผ่านความรักที่ท่านมีให้ต่อสัตว์และการซักผ้าท่านจึงทำงานเหล่านั้นได้
แต่อย่างไรท่านก็ไม่เคยลืมสวดภาวนา ในช่วงเวลาสั้นๆที่ว่าง
ท่านก็จะรีบวิ่งไปที่วัดเพื่อพูดคุยกับพระเจ้า
ในวัดท่านจะนิ่งด้วยมือที่พนมลอยเหนือที่วางแขนของวัด
พร้อมดวงตาที่จ้องไปยังตู้ศีล รำพึงถึงพระมหาทรมานของพระองค์เสมอ
ขณะเดียวกันท่านก็สวดภาวนาอย่างมิเคยขาดเพื่อการกลับใจของคนบาป
ความรอดของผู้ไม่เชื่อและการพักผ่อนสำหรับวิญญาณในไฟชำระ
“พระเจ้าบนแผ่นดินโลก”
คือคำง่ายๆที่ท่านใช้เรียกหนังสือที่พระศาสนจักรอนุมัติให้เผยแพร่ ด้วยความเคารพ ท่านเป็นที่ระมัดระวังตัวเอง
ท่านไม่เคยทำสิ่งใดโดยที่มีคำแนะนำคุณพ่อวิญญาณและได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่
ความเชื่อฟังของท่านมีให้ทั้งต่อบรรดาซิสเตอร์
แม้แต่คนที่ขัดแย้งด้วยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตแห่งพรตนี้ ท่านเคยอุทานว่า “ทั้งสองได้กระทำให้น้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า
ตามที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ตามที่พระองค์ประสงค์ ”
ท่านดูแลทุกคนไม่เคยเลือกในสิ่งที่เล็กที่สุดท่านก็ไม่เคยพลาด
ท่านระลึกเสมอว่าท่านมากจากที่อันต่ำต้อย ดังนั้นสิ่งที่ท่านได้รับจากคณะท่านจึงคิดว่ามันดีและมากไปสำหรับท่าน ท่านย้ำซ้ำว่าท่านเข้าคณะเพื่อทำกิจการเมตตา
จุดมุ่งหมายคือเจริญชีวิตและจากไปท่ามกลางความยากไร้
จึงไม่แปลกอะไรที่เราจะเห็นท่านเกือบจะหน้าแดงเมื่อได้รับเสื้อชุดใหม่
เพราะเพียงแค่รองเท้ากับชุดเก่าๆที่ขาดก็พอแล้วละสำหรับท่าน นอกนี้ด้วยความกตัญญูที่มีจนเออล้นดวงใจ ท่านจึงได้ขออนุญาตทำพลีกรรมเป็นพิเศษเพื่อให้บิดาของท่านมีความร้อนรนในความเชื่อมากขึ้นกว่าเดิม
ต่อมาเมื่อคุณแม่มารีอา แห่ง พระมหาทรมาน เปิดบ้านคณะที่ฟลอเรนซ์
ท่านก็ถูกส่งไปประจำที่นั่นในปี ค.ศ.1902 ที่นั่นขณะท่านกำลังซักผ้าอยู่ท่านก็ถูกเข็มในอยู่ในน้ำด่างแทงเข้าไปในมือข้างหนึ่ง
แรกๆท่านก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะคงเห็นเป็นเรื่องธรรมดาเดี๋ยวๆก็หาย
แต่มันใช่เลยเพราะมันกลับบวมขึ้น
ท่านจึงจำต้องได้รับการตรวจจากแพทย์และก็ได้ความเห็บว่าให้เจาะเสีย
จะว่าเจ็บก็เจ็บจนท่านถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ แต่ท่านก็ไม่ได้บ่น “มันไม่มีอะไรเลย
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทุกข์ทรมานในพระมหาทรมานของพระองค์มากกว่าดิฉันเสียอีกค่ะ” คือคำพูดง่ายๆที่ท่านกล่าวกับแพทย์ที่รักษามือของท่าน
และด้วยความประสงค์ที่จะไปเป็นธรรมทูตเพื่อดูแลคนโรคเรื้อนในประเทศจีนตั้งแต่วันที่
1
มกราคม ค.ศ.1904 หลังจากผ่านพิธีปฏิญาณตนและได้รับพรจากพระสันตะปาปาปิอุส
ที่ 10 แล้ว ในวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ.1904 ท่านพร้อมด้วยคณะซิสเตอร์อีกสิบท่านก็ได้อำลาอิตาลีเพื่อมุ่งหน้าไปยังดินแดนมังกร
ณ เมืองเนเปิ้ล ซึ่งท่านรู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงบิดาได้
การเดินทางนั้นมิใช้หนทางที่ใกล้ๆเลย ซ้ำยังเปี่ยมไปด้วยอันตรายมากมาย
ครั้งหนึ่งระหว่างเดินทางก็ได้เกิดทะเลปั่นป่วนจากพายุที่ซัดกระหน่ำมา
ทำให้บรรดาซิสเตอร์ที่โดยสารต่างขวัญผวาไปตามๆกัน มีคนหนึ่งไดด้ถามท่านว่า
ท่านไม่กลัวหรือ ท่านก็ได้ตอบด้วยใบหน้าที่สงบไร้เงาแห่งความกลัวว่า “จะก้นทะเลหรืองานพันธกิจ
สำหรับดิฉันแล้วนะมันก็เป็นสิ่งเดียวกันถ้าพระเจ้าทรงต้องการ”
“ดิฉันมายังอารามเพื่อเป็นนักบุญ
อะไรคือวัตถุประสงค์ที่ดิฉันจะมีอายุยืนถ้าดิฉันไม่ได้บรรลุถึงเป้าหมายกันละ
ดังนั้นดิฉันจึงจะไม่ผ่านสิ่งใดที่เป็นผลกำไรของวิญญาณของดิฉันไป
แม้ว่าคนทั้งโลกจะเอาอะไรมาแลกกับดิฉันก็ตามทีเถิด” หน้าที่ในดินแดนใหม่ที่อาบไปด้วยโลหิตของบรรดาซิสเตอร์มรณสักขีของคณะเมื่อสี่ปีก่อนของท่านนี้คือการประจำในครัวของบ้านคณะที่ทง
อิล คู ที่เปิดเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีเด็กกำพร้าถึง 400 คน
และด้วยความปรารถนาที่จะสวดด้วยกันกับชาวจีนที่มาช่วยทำความสะอาด
ท่านจึงต้องการเรียนบทข้าแต่พระบิดาและวันทามารีย์ในภาษาจีนในทันที และ ณ ที่นี่เมื่อท่านทำสิ่งใดผิดพลาดท่านก็จะเขียนมันไว้ในกระดาษแล้วแขวนไว้ที่อกของท่านเสมอ
เป็นระยะเวลาหนึ่งปีพอดีที่ท่านออกเดินทางมาจากอิตาลี
จู่ๆท่านก็ล้มป่วยลงด้วยอาการมีไข้ขึ้นสูง และเมื่อตรวจก็พบว่าท่านติดโรคไข้รากสาดใหญ่ไปแล้ว
ทำให้นับจากนั้นท่านก็ต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ท่านตระหนักว่าท่านคงจะจากไปในไม่ช้า และในคืนหนึ่งในระหว่างนั้นท่านก็ได้กล่าวกับซิสเตอร์ผู้ดูแลว่า
“มันจำเป็น
ที่เราจะต้องซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า
เพราะแดนไฟชำระเป็นสถานที่ที่น่ากลัวมากสำหรับซิสเตอร์นะ”
ด้วยสายตาที่มองไปยังจุดเชื่อมกันของผนัง นอกจากนั้นในวันที่ 24 มีนาคม
ท่านก็ได้ถวายตัวเพื่อตายแทนซิสเตอร์อีกคนด้วย และหลังจากนั้นอีกหนึ่งวันท่านก็ได้รับศีลเสบียงตามที่ขอ
ท่านป่วยอยู่จนกระทั้งในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ.1905 ขณะทินกรลารับขอบฟ้าไปแล้ว เมื่อสิ้นเสียงท่านเอ่ยว่า “เชิ้งซาน เชิ้งซาน” หรือ “ศีลมหาสนิท ศีลมหาสนิท” ในภาษาจีนกลางที่หมั่นเพียรเรียน ท่านก็ได้สิ้นใจไปอย่างสงบด้วยอายุเพียง
27
ปี ท่ามกลางกลิ่นหอมประหลาดที่เริ่มตั้งแต่ยี่สิบนาทีสุดท้ายของท่านและยาวต่อไปอีกสามวันด้วยกันทำให้มีผู้คนมากมายหลลั่งไหลมาที่อาราทั้งเป็นคริสชนและไม่เป็นคริสตชนโดยกลิ่นมีลักษณะคล้ายไวโอเล็ตและธูป เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 10
พระองค์ได้ทรงให้คุณแม่อธิการของคณะเข้าเฝ้าพระองค์ในทันที คุณแม่อธิการจึงได้เล่าเรื่องพันธกิจต่างๆในประเทศจีนและเรื่องอัศจรรย์นี้
หลังเล่าจบพระองค์ก็ได้ทรงตรัสว่า “ลูกต้องส่งเรื่องและเร็วๆด้วยนะ” อันเหมือนว่าพระองค์ทรงสนับสนุนให้มีการดำเนินเรื่องของท่าน
ต่อมาในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ.1913 ก็ได้มีการย้ายร่างของท่านทง อิล คู ไปยังไท่หยวนฟู
ก็ต้องพบว่าร่างของท่านยังคงมิได้สูญสลายไปคงมีแต่ชุดของท่านที่หมดสภาพไปตามกาลเวลา
ที่สุดร่างของท่านก็ได้รับการฝังเคียงค้างบรรดาซิสมรณสักขีของคณะ “ไม่มีทางที่ดิฉันจะแก้ต่างให้ตัวเอง ไม่มีคำพูดของตัวดิฉัน
ต้องเลียนแบบแม่พระในความอ่อนน้อมถ่อมตนและกิจเมตตาต่อทั้งพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ด้วยกันต่างหากละ” เรื่องราวชีวิตอันเรียบง่ายของท่านถูกดำเนินการและหลังจากอัศจรรย์ผ่าคำเสนอวิงวอนของท่าน
สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 10 บันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ.1954
“พระองค์ทรงตรวจสอบเมื่อข้าพเจ้าเดินทางและหยุดพัก
ทรงทราบหนทางทั้งหมดของข้าพเจ้า...พระองค์ทรงโอบข้าพเจ้าไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
พระองค์ทรงวางพระหัตถ์ไว้เหนือข้าพเจ้าแล้ว”(สดุดี 139:3,5) ทำไมเด็กสาวธรรมดาผู้ไม่มีความรู้อะไรมากจึงกล้าที่จะทิ้งบ้านไว้ข้างหลัง
แล้วมุ่งตรงสู่ประเทศที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินอย่างประเทศจีน ก็เพราะท่านวางใจในพระเจ้ายังไงละ
วางใจพระเมตตาของพระองค์ เเม้จะเผชิญอันตรายท่านก็ไม่หวาดหวั่น
แม้จะพูดภาษาจีนไม่ได้เลยซักคำ ดั่งครั้งที่ท่านตัดสินใจเข้าเป็นนักบวช
ท่านก็วางใจในพระแม้จะต้องพบสิ่งต่างๆมากมายท่านก็ยังคงวางใจว่านี้แหละคือกระแสะเรียกของท่าน ท่านเดินทางสายน้อยตามแบบเด็กน้อยที่วางใจ
วางใจในพระที่โอบอยู่ข้างหลังค่อยๆเดินไปพร้อมกับท่าน
จึงไม่แปลกอะไรที่เด็กสาวบ้านนอกคอกนาคนหนึ่งจะก้าวไปตามทางของกางเขนอย่างมิได้กลัวเกรงสิ่งใดที่ผ่านมา
เพราะ รู้ว่าพระองค์จะทรงให้เราซ่อนกายในพระหฤทัยอันอ่อนโยนของพระองค์และจะทรงเลี้ยงดูเราด้วยน้ำและโลหิตแห่งพระเมตตาอันสุดจะหยั่งได้
พร้อมปลอบเราด้วยคำพูดดีๆว่า อย่ากลัวเลย อย่ากลัวเลยเด็กน้อยของเรา
ภายใต้ดวงหฤทัยของเราเจ้าจะไม่มีวันพรากไปจากทางของเรา ขอแค่เจ้าวางใจในเราก็พอแล้ว
“ข้าแต่ท่านบุญราศี
มารีอา อัสซูนตา ปาลลอตตา ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง