วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565

'ลูชีอา' หมดใจนี้มอบพระองค์ ตอนแรก


บุญราศีลูชีอา แห่ง นาร์นี
Bl. Lucia de Narni
ฉลองในวันที่: 16 พฤศจิกายน

หลายท่านที่เป็นคอวรรณกรรมเยาวชน และวรรณกรรมแปล คงคุ้นเคยกับนวนิยาวชุดยาวเรื่อง ‘ตำนานแห่งนาร์เนีย’ ซึ่งกล่าวถึงการผจญภัยของพี่น้องตระกูลพีเวนซี่ ในดินแดนลึกลับชื่อ ‘นาร์เนีย’ จากปลายปากกาของ ซี. เอส. ลิวอิส นักเขียนชาวไอริช ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ.1898 – ค.ศ.1963 และผู้เขียนก็เชื่อว่าหลายท่าน คงทราบดีว่าวรรณกรรมเรื่องนี้ถูกตีความว่าได้ซ่อนรหัสธรรมของคริสต์ศาสนาไว้ โดยมีตัวละครอย่างราชสีห์อัสลาน คือ ‘ภาพแทนของพระคริสตเจ้า’ ซึ่งเป็นปรปักษ์กับ ‘ภาพแทนของลูซีเฟอร์’ อย่างแม่มดขาว แต่จากการศึกษาของวอลเตอร์ ฮูเปอร์ นักเขียนชาวอเมริกา ผู้สนใจศึกษาชีวประวัติของซี. เอส. ลิวอิส ก็ได้เสนอทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจว่า นอกเหนือจากเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลแล้ว ลิวอิสยังน่าจะได้รับแรงบันดาลใจตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่ง จากบุคคลที่มีตัวตนจริงทางประวัติศาสตร์ในช่วงรอยต่อระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 15 – 16 อีกด้วย

โดยฮูเปอร์ได้เสนอว่าตัวละครเอกอย่าง ‘ลูซี่ ’ น้องสาวคนสุดท้องของสี่พี่น้องตระกูลพีเวนซี่ ผู้ค้นพบทางเข้าไปยังดินแดนนาร์เนียนผ่านตู้เสื้อผ้าเป็นคนแรก ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภคินีคณะโดมินิกัน ชาวอิตาลีจากเมืองนาร์นี ซึ่งฮูเปอร์ได้อธิบายว่า ลิวอิสได้เคยมีโอกาสไปเดินทางไปยังเมืองนี้ และด้วยความประทับใจ เขาได้นำชื่อภาษาละตินของเมืองดังกล่าว (นาร์เนีย) มาตั้งเป็นชื่อดินแดนลึกลับที่สิงสาราสัตว์ต่างพูดได้ พร้อมนำบุคลิกของบุคคลสำคัญประจำเมืองนามว่า ‘ลูชีอา’ หรือ ‘ลูซี่’ ในภาษาอังกฤษมาเป็นแรงบันดาลใจในออกแบบตัวละครดังกล่าว


เพราะในขณะที่ตัวละครลูซี่ แห่ง นาร์เนีย มีความเชื่อมั่นเสมอต่อราชสีห์อัสลานไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหน ลูชีอา ชาวนาร์นี ก็มีความไว้ใจให้กับองค์พระเยซูเจ้าอยู่เสมอ แม้ว่าในสถานการณ์ที่ยากเย็นที่สุดของชีวิต ดังนั้นในวันนี้ผู้เขียนจึงอยากจะพาทุกท่านไปรู้จักกับบุคคลทางประวัติศาสตร์อีกท่าน ซึ่งพระศาสนจักรได้ยกย่องไว้ในด้วยฐานะอันมีเกียรติ เพราะไม่ว่าข้อสันนิษฐานของฮูเปอร์จะจริงเท็จเพียงใด ชีวประวัติของลูชีอา ชาวนาร์นีก็เป็นแบบฉบับที่มีคุณค่าแก่การเรียนรู้ เป็นพิเศษสำหรับคริสตชน ผู้มีความเชื่อในพระคริสตเจ้าเป็นอย่างยิ่ง

ย้อนไปในวันฉลองนักบุญลูซีอา มรณสักขีผู้มีสัญลักษณ์ คือ ดวงตาในถาด เมื่อกว่า 500 ปีล่วงมาแล้ว หรือก็คือในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1476 ที่เมืองนาร์นี จ. แตร์นี แคว้นอุมเบรีย ประเทศอิตาลี ที่ในเวลานั้นยังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของรัฐพระสันตะปาปา (Papal States) ทารกเพศหญิงได้ถือกำเนิดขึ้น ในฐานะบุตรคนแรกจากทั้งหมด 11 คนของนายบาร์โตโลเมโอ โบร์กาเด็ลลี ผู้ดูแลงานคลังประจำเมืองนาร์นี กับนางเยนตีลีนา กาสซีโอ ทั้งสองที่เห็นว่าบุตรน้อยเกิดในวันดังกล่าว จึงให้นามเด็กหญิงตามนามนักบุญประจำวันนั้นว่า ‘ลูชีอา’

นักบุญแคทเทอรีนผู้รับ ด.ญ. ลูชีอาเป็นธิดาบุญธรรม

เช่นเดียวกับนักบุญหลายองค์ในพระศาสนจักร อาทิ นักบุญฮิลเดการ์ด แห่ง บิงเงน ภคินี รหัสยิกและนักปราชญ์พระศาสนจักรชาวเยอรมันในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 นักบุญนิโคลัส แห่ง ฟลือเอ ฆราวาสและรหัสยิกชาวสวิทเซอร์แลนด์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 หรือนักบุญร่วมสมัยกับเราอย่างนักบุญมารีอัม เทรเซีย ภคินีและรหัสยิกชาวอินเดียในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และนักบุญอิวพราเซีย เอลูวาธินกัล ภคินีและรหัสยิกชาวอินเดียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตั้งแต่วัยเยาว์ท่านก็แสดงถึงลักษณะที่พิเศษกว่าเด็กหญิงชายรุ่นราวคราวเดียวกันให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนรอบข้าง ดังปรากฏมีในชีวประวัติท่านหลายสำนวนที่ได้เขียนขึ้นในเวลาต่อมา

เริ่มตั้งแต่เมื่อลูชีอายังเป็นเพียงเด็กน้อยในเปล นางเยนตีลีนาและคนใช้ในบ้านก็เริ่มสังเกตเห็นว่า ในหลาย ๆ ครั้งจะปรากฏภคินีนางหนึ่ง แต่งกายด้วยเครื่องแบบคณะโดมินิกัน แต่ดูท่าทางมีสง่าราศีกว่าคนทั่วไป เดินทางมาเยี่ยมท่านถึงที่ห้อง โดยทุกครั้งที่ภคินีนางนี้ปรากฏมา เธอจะมาอุ้มท่านขึ้นมาจากเปล กอดท่านอย่างเอ็นดู แล้วอวยพรท่านก่อนจะจากไป ซึ่งไม่ว่านางเยนตีลีนาและคนใช้จะจับตามองว่าภคินีนางหนึ่งเดินมาจากทางไหน หรือกลับไปทางใด พวกเธอก็ไม่สามารถที่ตามหรือหาคำตอบได้ว่าภคินีนางนี้มาจากที่ใด นานวันเข้าเมื่อปรากฏการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางเยนตีลีนาจึงเริ่มเป็นกังวล แต่ไม่ช้าอาศัยการไขแสดงของพระเจ้า เธอจึงเข้าใจว่าภคินีนางนั้น คือ นักบุญแคทเธอรีน แห่ง ซีเอนา ซึ่งได้รับบุตรสาวของเธอเป็นบุตรบุญธรรม


ต่อมาเมื่อท่านอายุได้ 4 ปี ท่านก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะที่แตกต่างจากเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน กล่าวคือวันหนึ่งคุณลุงของท่านชื่อ ‘ซีโมน’ ได้เดินทางจากโรมมาเยี่ยมนางเยนติลีนา ผู้เป็นน้องสาว เขาได้เตรียมของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นพวกของเล่นและของขวัญมาให้หลาน ๆ ได้เลือก ในท่ามกลางฝากจำนวนมากมาย ขณะที่น้อง ๆ ของท่านต่างเลือกเอาตุ๊กตาและของเล่นต่าง ๆ ท่านก็ไปสะดุดตากับสายประคำเส้นเล็กที่มีรูปพระกุมารเยซู ท่านจึงได้เลือกเอาสายประคำเส้นนี้ คุณลุงซีโมนจึงให้สายประคำนั้นกับท่าน ท่านรีบรับมันไว้ด้วยความยินดี และได้ตั้ง ชื่อให้กับพระกุมารองค์น้อยนี้ว่า ‘คริสตาเรลโล’ หลังจากนั้นท่านจึงได้ทำมุมเล็ก ๆ ในห้องนอน เพื่อต้อนรับพระกุมารน้อย และแต่นั้นมาท่านก็มักคลุกตัวเล่นกับของขวัญชิ้นนี้ ท่านไม่เคยเบื่อที่มองหรือหยิบจับของขวัญชิ้นนี้ขึ้นมา บางคราวเมื่อท่านพบปัญหาต่าง ๆ ในบ้าน ท่านก็มักมาปรับทุกข์กับของขวัญชิ้นนี้อยู่เสมอ และมีหลายคราวที่นางเยนติลีนาก็ได้แอบเห็นพระกุมารองค์นี้ได้ยื่นพระหัตถ์มาซับน้ำตาของท่านอีกด้วย

เมื่อท่านมีวัยพอจะไปวัดได้ ท่านก็เริ่มตามนางเยนติลีนาไปวัดนักบุญออกัสติน ที่อยู่ไม่ไกลบ้านของครอบครัว มีวันหนึ่งเมื่อท่านติดสอยห้อยตามมารดาไปวัดแห่งนี้ตามปกติ ท่านก็ไปสะดุดตากับรูปปั้นนูนต่ำรูปพระนางมารีย์ทรงอุ้มพระกุมารรูปหนึ่งในวัด ท่านจึงหยุดจ้องมองรูปนี้อย่างชอบใจ ฝั่งนางเยนติลีนาเมื่อเห็นลูชีอาน้อยมองรูปแม่พระอย่างตั้งใจ ก็ก้มลงบอกกับบุตรสาวว่า “ลูชีอา ลูกรู้ไหมว่าหญิงงามที่ลูกเห็นอยู่นี้เป็นใคร พระนางคือมารดาของคริสตาเรลโลของลูกยังไงละ ส่วนเด็กน้อยที่พระนางอุ้มอยู่ก็คือคริสตาเรลโล ถ้าหนูชอบรูปนี้ ไว้พวกเราจะมาที่นี่อีกถ้ามีโอกาส ลูกต้องเอาสายประคำที่ลูกชอบมาสวดที่หน้ารูปของพระนางนี้ด้วยนะ” เมื่อได้ยินมารดาบอกเช่นนั้น ท่านก็ยิ้มดีใจและหลังจากนั้นมาเมื่อท่านสบโอกาสหนีจากพี่เลี้ยงได้ ท่านก็มักมาอยู่เบื้องหน้าพระรูปนี้เสมอ


วันหนึ่งขณะท่านเรียนรู้ที่จะอุ้มน้องชายตัวน้อยของท่าน ท่านก็มีความคิดอย่างซื่อ ๆ ว่า ท่านอยากจะลองอุ้มคริสตาเรลโลไว้อย่างนี้บ้าง ท่านจึงได้ไปสวดภาวนาต่อแม่พระเบื้องหน้าพระรูปที่ท่านชอบ เล่ากันว่าทันใดนั้นพระรูปแม่พระซึ่งแกะจากหินอ่อน ก็ทรงยื่นพระกุมารน้อยที่พระนางอุ้มมาไว้ในอ้อมแขนน้อย ๆ ของท่าน ท่านรีบรับพระกุมารน้อยนั้นมาด้วยความยินดี พลันพระกุมารหินอ่อนนั้นก็กลับมีชีวิต ท่านจึงรีบวิ่งตรงกลับบ้านไปพร้อมกับพระองค์ แม้จะมึผู้คนมาขวางท่านไว้ตามรายทาง เพื่อหมายจะพาพระกุมารคืน ท่านก็อาศัยความเป็นเด็กน้อยวิ่งหลบซอกแซก จนพาตัวท่านเองพร้อมพระกุมารมาถึงยังห้องของท่านได้สำเร็จ

เมื่อมาถึงที่ห้องของท่าน ท่านก็เฝ้ามองพระองค์อยู่ตลอดสามวันสามคืน โดยไม่ได้ออกมารับประทานอาหารหรือหลับ แม้มารดาท่านจะเข้ามาขอให้ท่านกินข้าวกินปลาบ้าง ท่านก็ไม่ได้ตอบสนองต่อคำพูดของนางเลย คล้ายกับว่าในเวลานั้น โลกทั้งใบมีเพียงท่านและพระองค์ ล่วงถึงคืนที่สามด้วยความเหนื่อยล้าจากการไม่รับประทานอาหารและนอนติดต่อกันหลายวัน ท่านก็ผล็อยหลับไปและเมื่อสะดุ้งตัวตื่นขึ้น ท่านก็ไม่พบพระกุมารหรือคริสตาเรลโลของท่านแล้ว ด้วยความซื่อท่านเข้าใจในทันทีว่าพระเป็นเจ้าจะประทับอยู่กับผู้ที่เฝ้ามองพระองค์อยู่ตลอด ท่านเริ่มร้องไห้ด้วยความเป็นทุกข์ที่พระเป็นเจ้าได้จากท่านไป นางเยนติลีนาที่ได้ยินเสียงท่านร้องไห้ จึงเข้ามาปลอบท่าน และได้อุ้มท่านไปที่วัด ทั้งสองจึงได้พบว่าพระกุมารที่หายไปจากวัดถึงสามวัน ก็ได้กลับไปอยู่ที่อ้มแขนของพระมารดาของพระองค์ดังเดิม


เหตุการณ์ประหลาดระหว่างหนูน้อยลูชีอากับองค์พระเยซูเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นความพิเศษของหนูน้อยลูชีอา มิได้หมดเพียงเท่านี้ เมื่อหนูน้อยลูชีอามีอายุได้ 7 ปี วันหนึ่งเมื่อท่านได้ถูกพาไปเยี่ยมคุณลุงที่บ้านของเขา แถวนอกเมือง ด้วยความคุ้นชินกับบ้านหลังนี้จากการได้มีโอกาสมาในหลาย ๆ ครั้ง หนูน้อยเกิดจำได้ว่าที่บ้านหลังนี้ จะมีห้อง ๆ หนึ่งที่มีภาพเขียนกลุ่มทูตสวรรค์องค์น้อยที่ดูช่างคล้ายกับตัวท่าน กำลังจับมือกันพลางเต้นรำไปรอบ ๆ ดังนั้นเมื่อมาถึงบ้านของคุณลุงและสบโอกาส ในเช้าวันเดียวกันท่านจึงได้รีบเดินตามหาทูตสวรรค์เหล่านั้น ท่านเที่ยวค้นหารูปดังกล่าวจนไปพบรูปดังกล่าวอยู่ในส่วนของบ้านที่ผุพังและไม่ได้ใช้งานแล้ว ชนิดที่ว่าบันไดในส่วนนั้นก็ได้พังทลายลงจนใช้การไม่ได้

ความจริงท่านสามารถเห็นรูปนี้ได้จากพื้นห้อง แต่ด้วยความซุกซนผสมกับความปรารถนาที่จะได้เห็นบรรดาทูตสวรรค์นั้นใกล้ ๆ ท่านจึงได้ปีกซากบันไดที่พังนั้นขึ้นไป แต่ไม่ทันจะขึ้นไปถึงขั้นบันไดเจ้ากรรมก็เกิดหักลง ท่านที่กำลังจะตกจากบันได จึงได้รีบวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเยซูเจ้า ดังที่เคยทำตามปกติ พลันท่านก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่ในห้องว่างห้องหนึ่ง ท่านนึกสงสัยในทันทีว่าตนมานั่งอยู่ในที่ตรงนี้ได้อย่างไร แต่ไม่ทันจะได้หายสงสัย ท่านก็ลืมขอสงสัยนี้ไป เมื่อได้เห็นบรรดาทูตสวรรค์ตัวน้อยอยู่ในห้องนั้น พวกท่านเหล่านั้นมีรูปลักษณ์เป็นเช่นเด็กน้อย สวมมงกุฎดอกไม้ มีเสื้อคลุมที่พลิ้วไหวไปมาคล้ายต้องลมในอากาศ บรรดาทูตสวรรค์ต่างพากันเต้นรำอย่างรื่นเริง ด้วยท่าทีที่สง่างามเกินมนุษย์ปุถุชน

คริสตาเรลโลทรงสยุมพรกับ ด.ญ. ลูชีอา

หนูน้อยลูชีอาจ้องมองภาพอัศจรรย์เบื้องหน้านี้ด้วยความสุขใจ พลันก็มีเสียงหนึ่งเรียกชื่อท่าน ดังขึ้นจากหน้าต่างด้านหลัง ท่านจึงหันไปด้วยความคิดว่าถ้าไม่เป็นคุณลุงก็คงเป็นคนใช้ในบ้านที่มาตามตัวท่านกลับ แต่ทันทีที่ท่านหันกลับไปมอง ท่านก็เห็นภาพอันน่าอัศจรรย์เสียยิ่งกว่าภาพเบื้องหน้า ท่านได้เห็นคริสตาเรลโลของท่านเสด็จมา มีพระนางมารีย์ประทับอยู่ทางด้านขวา และมีนักบุญแคทเธอรีน แห่ง ซีเอนา และนักบุญโดมินิก ผู้ก่อตั้งคณะโดมินิกันยืนอยู่ทางด้านซ้าย ทั้งสี่รายล้อมด้วยบรรดาทูตสวรรค์และนักบุญมากมาย ซึ่งต่างมีรัศมีแห่งสวรรค์สาดส่องออกมา พวกท่านเหล่านี้ไม่ได้มาเพียงเพื่อเยี่ยมเยียนหนูน้อยลูชีอา แต่มาเพื่อเป็นสักขีพยานใน ‘พิธีมงคลสมรสฝ่ายจิต’ ระหว่างคริสตาเรลโลและลูชีอา

ในพิธีอันน่าพิศวงนี้ พระนางมารีย์ได้ทรงนำมือน้อย ๆ ของลูชีอาไปมอบให้พระบุตร ฝั่งพระคริสตเจ้าก็ทรงบรรจงสวมแหวนวงน้อยลงไปในนิ้วของท่าน พร้อมได้ทรงมอบให้นักบุญโดมินิกและนักบุญแคทเธอรีนให้เป็นผู้คอยพิทักษ์ท่าน และด้วยความซื่อตามวัย ท่านก็ได้ทูลถามพระองค์ว่า “แล้วพระองค์จะมีอะให้ลูกมากกว่านี้ไหม พระองค์จะไม่ประทานเสื้อคลุมไหมพร้อมสร้อยเส้นงามให้ลูกหรือ” พระเยซูเจ้าจึงตรัสสอนท่านในทำนองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติภายนอก ท่านที่ได้ฟังเช่นนั้นจึงรีบถอดเสื้อคลุมไหมสีแดงรวมถึงสร้อยเส้นงามที่ท่านสวมตามแฟชั่นในสมัยนั้นออก แล้วนำไปวางแทบพระบาทของพระองค์ ซึ่งในขณะที่ท่านกำลังจะถอดเสื้อคลุมไหมออกนั้น นักบุญโดมินิกก็ได้สวมสายจำพวกคณะโดมินิกันให้ท่านตามคำสั่งของพระคริสต์เจ้า พระองค์ได้ตรัสกับท่านว่า “จงครองตนอยู่ในเครื่องแบบนี้ไปตราบสิ้นชีวิต และจงมองโดมินิก ผู้รับใช้ของเราเหมือนเป็นบิดา และมองแคทเธอรีน ภรรยาของเราเหมือนเป็นมารดาเถิด” แล้วนิมิตนั้นจึงอันตรธานหายไป


เมื่อนิมิตตรงหน้าหายไป ท่านหันกลับมายังบรรดาทูตสวรรค์ตัวน้อยเบื้องหน้า ที่ค่อย ๆ อันตรธานหายไปเป็นลำดับสุดท้าย เมื่อทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติท่านก็ได้พูดกับรูปเขียนทูตสวรรค์บนกำแพง ด้วยน้ำเสียงยินดีและซื่อ ๆ ว่า “บรรดาทูตสวรรค์น้อย ๆ ของฉัน พวกเธอจะไม่ร่วมยินดีกับสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำงั้นหรือ” พลันบรรดาภาพเขียนก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และได้ตอบท่านกลับมาว่า พวกเขาทั้งหลายต่างยินดีที่ท่านได้กลายมาเป็นราชินีและนายหญิงของพวกเขา ด้วยฐานะคู่ชีวิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาจึงได้เชื้อเชิญให้ท่านร่วมเต้นรำและขับขานบทเพลงแห่งความยินดีไปพร้อมกัน ท่านที่เห็นดังนั้นจึงได้ยื่นมือออกไป และได้ร่วมยินดีกับพวกเขาอย่างสนุกสนาน ท่านร้องเล่นเต้นระบำกับบรรดาทูตสวรรค์ตัวน้อยจนคุณลุงของท่านมาพบ นิมิตทุกอย่างจึงหายไป และนับตั้งแต่นั้นมาด้วยพระหรรษทานพิเศษจากสวรรค์ ยิ่งท่านเจริญวัยขึ้น ความปรารถนาของท่านต่อ ‘โลก’ ก็ยิ่งลดลงสวนทางกับความปรารถนาถึง ‘สวรรค์’ จนเมื่อท่านมีอายุได้ 12 ปี ท่านจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะครองพรหมจรรย์ไปจนสิ้นชีวิต ด้วยการปฏิญาณตนเช่นนักบวช

กระทั่งท่านมีวัยย่างเข้า 14 ปี ซึ่งถือว่าอายุอานามพอจะออกเหย้าออกเรือนได้แล้ว ญาติหลายคนก็เริ่มเตือนให้ท่านเตรียมแต่งงานเหมือนหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ท่านก็พยายามปฏิเสธอยู่ตลอด กระทั่งบิดาท่านมาด่วนสิ้นใจลงอายุเพียง 40 ปี ใน ค.ศ. 1490 คุณลุงที่เข้ามาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนบิดาของท่าน ก็เล็งเห็นว่าท่านมีอายุพอออกเรือนแล้ว และนี่ก็เป็นความปรารถนาอย่างยิ่งของนายบาร์โตโลเมโอ ที่จะเห็นบุตรสาวคนนี้ได้ออกเรือน รวมถึงเป็นจะเป็นการดีที่ท่านจะแต่งออกไป เพื่อลดภาระครอบครัวที่มีขนาดใหญ่ จึงได้ตัดสินใจที่จะให้ท่านเข้าพิธีสมรสโดยเร็วที่สุด ซึ่งแรก ๆ คุณลุงของท่านก็พยายามทาบทามผู้ชายจากตระกูลต่าง ๆ มาให้ท่านเลือก แต่ท่านก็ปฏิเสธอยู่ทุกครั้ง และยังคงยืนยันที่จะเข้าอารามเสียให้ได้

เคาท์ เปียโตร แห่ง อาเลซซีโอ

คุณลุงของท่านเมื่อเห็นว่าให้ท่านสมัครใจเลือกเอง ท่านคงไม่มีทางได้แต่งงานออกไปแน่ จึงได้จัดการเลือกผู้ชายคนหนึ่งในเมืองนาร์นี ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกบุญธรรมของคุณป้าของท่านให้มาเป็นสามีของท่าน และได้วางแผนคลุมถุงชนให้ท่านต้องยอมแต่โดยดี ชายที่คุณลุงของท่านเลือกก็คือ ‘เคาท์ เปียโตร แห่ง อาเลซซีโอ’ นักกฎหมายหนุ่มชาวมิลานวัย 22 ปี ผู้มีทั้งหน้าตาที่หล่อเหลา และฐานะทางสังคมที่ไม่ได้น้อยหน้าใคร โดยคุณลุงของท่านก็ได้ไปทาบทามเขาไว้โดยไม่แจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า และได้ทำทีเป็นจัดงานเลี้ยง โดยเชิญคนภายในตระกูลทุกคนมาร่วมรับประทานอาหาร แน่นอนด้วยความที่เปียโตรก็เป็นเสมือนหนึ่งคนในตระกูลอยู่แล้ว ท่านจึงไม่ได้เอะใจ เมื่อเห็นเขามาร่วมงานดังกล่าว และได้มาร่วมงานนั้นโดยไม่มีความกังขาใด

คุณลุงของท่านรอจนสบโอกาส เขาจึงประกาศการหมั้นระหว่างท่านกับเปียโตรในท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติ เพื่อเป็นการกดดันให้ท่านต้องจำยอมรับหมั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฝั่งท่านเคาท์หนุ่มที่มีจิตเสน่หาท่านเป็นทุนเดิม และทราบแผนทุกอย่างเป็นอย่างดีก็พยายามที่จะสวมแหวนหมั้นให้กับท่าน ฝั่งท่านเองที่ตกตะลึงกับเหตุการณ์ก็พยายามปัดป้องอย่างสุดฤทธิ์ ไม่ให้เขาได้สวมแหวนหมั้นลงบนนิ้ว แต่ที่สุดแล้วความพยายามของท่านก็ไร้ผล แหวนวงนั้นได้ถูกสวมที่นิ้ว ท่านที่ไร้ซึ่งทางเลือกใด เป็นลมหมดสติลงไป และถูกพากลับไปพักในห้อง ไม่นานท่านก็ล้มป่วยลงด้วยความตรอมใจ ท่านร้องไห้อยู่ตามลำพังด้วยความสับสน เพราะแท้จริงเปียโตรก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลจากท่าน ท่านจึงรู้จักมักคุ้นกับเขา และลึก ๆ แล้วในความรู้สึก ท่านก็เหมือนจะปันใจให้เขา เขาก็ไม่ได้แย่สำหรับท่าน แต่เมื่อระลึกอีกครั้งถึงคำปฏิญาณที่ให้ไว้ว่าจะครองตนเป็นพรหมจรรย์ตลอดชีวิต ท่านจะเข้าจะวิวาห์ได้อย่างไรเล่า


ท่านป่วยหนักด้วยความตรอมใจในความสับสนได้ระยะหนึ่ง แม่พระพร้อมด้วยนักบุญโดมินิก และนักบุญแคทเธอรีน แห่ง ซีเอนาก็ได้ประจักษ์มาหาท่านอีกครั้ง พระนางได้บอกให้ท่านเข้าพิธีแต่งงานกับเปียโตรไปตามกฏหมาย พร้อมทั้งให้แจ้งกับเขาเสียว่าท่านนั้นได้ถือปฏิญาณจะเป็นพรหมจรรย์ตลอดชีวิต และขอให้ถือพหรมจรรย์ต่อไปหลังจากสมรมแล้ว เมื่อท่านทราบน้ำพระทัยของพระเจ้าดังนี้แล้ว รุ่งขึ้นท่านก็หายจากอาการป่วย และได้แจ้งกับคุณลุงของท่าน ว่าท่านยินดีจะเข้าพิธีสมรสกับเปียโตร พร้อมกันนั้นท่านก็ยังได้แจ้งกับเปียโตรถึงเรื่องการปฏิญญาณตนถือพรหมจรรย์ของท่าน ซึ่งเขาก็ยินดีรับข้อเสนอที่จะให้เกียรติและไม่แตะต้องพรหมจรรย์ของท่าน ดังนั้นใน ค.ศ. 1491 ท่านในวัย 14 ย่าง 15 ปี จึงได้เข้าพิธีแต่งงานกับท่านเคาท์ เปียโตร และกลายเป็น ‘เคาท์เตส ลูชีอา แห่ง อาเลซซีโอ’ ตามกฎหมาย

บทบาทใหม่ในฐานะ ‘นายหญิง’ ของบ้านหลังใหญ่ ทำให้ท่านมีภาระงานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นเท่าตัว ซึ่งท่านก็สามารถจัดการได้อย่างดี ท่านไม่เพียงแต่ออกปากสั่งบรรดาคนใช้ให้ทำหน้าที่ต่าง ๆ แต่ท่านก็ช่วยพวกเขาทำงานเหล่านั้นด้วย ท่านสวมผ้ากันเปื้อนอย่างไม่เคอะเขินเพื่อลงมือช่วยสาวใช้ในบ้านทำงานต่าง ๆ ซึ่งรวมไปถึงการซักผ้า และงานที่น่าเบื่ออื่น ๆ การวางตัวของท่านเป็นประหนึ่ง ‘มารดา’ มากกว่า ‘นายหญิง’ ในท่ามกลางพวกเขา ท่านคอยระแวดระวังไม่ให้พวกเขาทำผิด ทั้งต่อหน้าที่ผู้รับใช้และต่อพระเป็นเจ้า ท่านคอยตักเตือนเสมอไม่ให้สบถสาบานหรือกล่าวผรุสวาทถึงพระเป็นเจ้า และหมั่นปฏิบัติศาสนกิจ ทำให้บ้านหลังใหญ่ของท่านจึงเปี่ยมไปด้วยความสงบ ต่างจากบ้านหลายหลังในยุคเดียวกัน


และแม้จะมีภาระงานภายในบ้านอยู่มากมาย ท่านยังสามารถหาเวลาว่างจากภาระงานเหล่านั้นไปประกอบกิจการเมตตาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสอนคำสอนให้กับคนงาน การช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ซึ่งสามีของท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรที่ภรรยาคนนี้จะนำเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มหรืออาหารไปมอบให้ผู้ยากไร้ตามประสงค์ บางโอกาสท่านยังให้ไปดูแลผู้ป่วยที่ไม่มีใครดูแล จัดเตรียมขนมปังสำหรับผู้หิวโหย และมีครั้งหนึ่งท่านช่วยจัดหาสินสอดทองหมั้นให้หญิงชาวยิวที่กลับใจมานับถือศาสนาคริสต์อีกด้วย

นอกจากนี้แล้วท่านยังเจริญชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์เหมือนนักบวชหญิงในอาราม ท่านครองตนเป็นพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัดภายหลังแต่งงาน ท่านมักอดอาหารและรับประทานเพียงน้ำและขนมปัง ท่านทำพลีกรรมทรมานร่างกายอย่างร้อนรน สวมเข็มขัดตะขอไว้ใต้ชุดอันสวยงาม สวดสายประคำระหว่างทำงานประจำวัน ระวังตนไม่ให้พูดคำหยาบคาย และใช้เวลาส่วนใหญ่ของกลางคืนหมดไปกับการสวดภาวนา เมื่อถึงวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ ท่านเลียนแบบพระสวามีเจ้าของท่านด้วยการล้างเท้าให้กับบรรดาคนงานทุกคนในบ้าน และในช่วงเทศกาลปัสกา ในเวลารับประทานอาหารพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว ท่านก็ให้มีการอ่านประวัตินักบุญหรือพระคัมภีร์ไปด้วย วัตรปฏิบัติอันน่าเลื่อมใสนี้ของท่านเป็นอยู่ภายใต้ความรับรู้ของท่านเคาท์ เปียโตรโดยตลอด ซึ่งด้วยความรักเขาก็ยินยอมให้ท่านปฏิบัติทุกสิ่งตามที่ท่านปรารถนา โดยไม่ได้เข้ามายุ่งวุ่นวาย


คนงานภายในบ้านท่านต่างเคารพและเชื่อฟังท่านโดยไม่มีข้อกังขา พวกเขามักจะพูดติดปากกันเสมอว่า “ระวัง คุณผู้หญิงท่านเห็นนะ” เพราะหลายครั้งท่านสามารถทราบหยั่งรู้ได้ว่า คนงานคนใดภายในบ้านทำอะไรนอกลู่นอกทาง มีครั้งหนึ่งระหว่างท่านไปร่วมมิสซา คนงานบางคนในบ้านของท่าน ก็จัดการฆ่าไก่ตอนสองตัวแล้วนำไปย่างไฟเพื่อรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย แต่ไม่ทันจะได้รับประทานจนหมด ท่านก็กลับมาจากวัดพอดี พวกเขาจึงรีบเอาเศษไก่ตอนที่ปรุงแล้วไปซ่อนไว้ใต้เตียง ฝั่งท่านที่หยั่งรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงได้ถามพวกเขาว่าไก่พวกนั้นหายไหน คนงานกลุ่มนั้นจึงได้ตอบว่าพวกมันบินหนีไป ท่านที่ได้ยินคำตอบจึงได้เดินเข้าไปในห้องพักของคนงานกลุ่มนั้นและได้เรียกไก่ที่หายไป ทันใดนั้นเจ้าไก่ที่ถูกย่างก็กลับมามีชีวิต และกระโดดขึ้นมาจากใต้เตียง สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนในที่นั้น รวมถึงท่านเคาท์เปียโตร สามีของท่าน ซึ่งในเวลาต่อมาก็ยังได้เป็นประจักษ์พยานถึงเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง

เรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับท่านภายในบ้านท่านเคาท์ เปียโตรยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ครั้งหนึ่งมีคนงานช่างฟ้องได้มาแจ้งกับท่านเคาท์เปียโตรว่า เขาเห็นนายหญิงกำลังหยอกล้ออยู่กับชายรูปงามผู้หนึ่ง ด้วยท่าทางสนิมสนมกันประหนึ่งเป็นสหายเก่าสหายแก่ ฝั่งเปียโตรเมื่อได้ยินว่าภรรยาตนกระหนุงกระหนิงอยู่กับชายสองต่อสอง เพื่อพิสูจน์ความจริงเขาจึงได้รีบรุดไปยังที่แห่งนั้นพร้อมด้วยดาบในมือ แต่เมื่อไปถึงที่หมายเขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบเพียงท่านกำลังเพ่งพิศยังไม้กางเขนใหญ่อันหนึ่ง และต้องประหลาดใจยิ่งขึ้นไปเมื่อคนงาน แจ้งกับเขาว่าชายหนุ่มปริศนาที่ว่าละม้ายคล้ายพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนไม่มีผิด และนอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องเล่ากันอีกว่าในโอกาสอื่น คนงานภายในบ้านท่านก็เห็นว่า เมื่อท่านลงมือทำขนมปังให้คนยากไร้ นักบุญแคทเธอรีน แห่ง ซีเอนา นักบุญอักแนส มรณสักขี และนักบุญอักแนส แห่ง มอนเตปุลชีอาโน ก็ได้ประจักษ์มาช่วยท่านอีกแรงด้วย

"...ฑูตสวรรค์ได้มาสวมมงกุฏดอกไม้ให้ท่านแล้ว"

เรื่องอัศจรรย์ของคุณหญิงตระกูลอาเลซซีโอยังไม่หมดเพียงเท่านี้ คราวหนึ่งหญิงคนงานของท่านซึ่งนำพรมไปซักที่แม่น้ำไม่ไกลจากตัวบ้าน ได้เกิดพลัดตกลงไปในแม่น้ำและจมหายไป ท่านที่ทราบเหตุการณ์จึงได้ทำสำคัญมหากางเขนเหนือลำน้ำ พลันร่างของหญิงผู้โชคร้ายก็โผล่พ้นน้ำขึ้นมาที่ใกล้ฝั่งในสภาพปลอดภัย และนอกจากคนงานภายในบ้านและสามีของท่านจะได้เป็นประจักษ์พยานถึงความหัศจรรย์ของท่านแล้ว คนรอบข้างท่านหลายคนก็ได้เป็นประจักษ์พยานถึงความอัศจรรย์เวลาในอยู่ในห้วงของการภาวนา ไม่ว่าจะเป็นลูกบุญธรรมของท่าน 2 คน ที่ได้แลเห็นทูตสวรรค์สององค์สวมมงกุฏดอกกุหลาบอันปราณีตบนศีรษะของท่าน จนพวกเขาพากันร้องไห้ออกมาตามประสาเด็กน้อย เพราะคิดว่า “คุณแม่ของพวกเราคงจะอยู่กับพวกเราอีกไม่นานแล้ว เพราะทูตสวรรค์ได้มาสวมมงกุฏดอกไม้ให้ท่านแล้ว” หรือสัตบุรุษที่ไปร่วมมิสซาพร้อมกับท่าน หลายคนก็ได้เห็นว่าเมื่อท่านรับศีลแล้ว บางครั้งก็ปรากฏมีเสาไฟอยู่เหนือศีรษะของท่าน แต่บางคราวใบหน้าของท่านก็กลับแผ่รัศมีออกมาคล้ายดวงอาทิตย์

ท่านครองเรือนอยู่กับท่านเคาท์เปียโตรได้ 3 ปี สามีของท่านก็เริ่มหมดความอดทนกับพฤติกรรมของท่าน โดยเฉพาะการครองพรหมจรรย์ ครั้งแรกด้วยความรักท่านเคาท์หนุ่มหวังว่าสักวันท่านจะล้มเลิกความตั้งใจนี้ เมื่อได้เห็นความรักที่เขามีให้ท่าน เขาจึงยอมตกลงรับข้อเสนอของท่านที่จะไม่หลับนอนกับท่านหลังแต่งงาน แต่เมื่อนานเข้าท่านก็ไม่มีทีท่าว่าเหตุการณ์จะดำเนินไปเช่นนั้น เช่นเดียวกับท่านที่หลังแต่งงานมาได้ 3 ปี ท่านก็ปรารถนาอย่าวแน่วแน่ว่าจะเจริญชีวิตเป็นนักพรตอย่างจริงจัง ดังนั้นในคืนวันหนึ่งท่านจึงได้หนีไปยังอารามคณะฟรังซิสกัน แต่เมื่อไปถึงก็ปรากฏว่าอารามได้ปิดไปเสียแล้ว ดังนั้นท่านจึงจำต้องกลับบ้านมาในเช้าวันถัดมา โดยมีนักบุญโดมินิกและนักบุญยอห์น ผู้ทำพิธีล้างเดินมาส่ง


ด้วยความเหลืออดของเปียโตร เมื่อเห็นภรรยาของตนกลับมาพร้อมชายปริศนาสองคน หลังจากหายออกไปจากบ้านตลอดทั้งคืน ก็บันดาลโทสะทุบตีบังคับให้ท่านยอมหลับนอนกับเขา ตามหน้าที่ของภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามี แต่ท่านก็ยืนกรานปฏิเสธที่จะทำดังนั้น เพราะท่านยึดมั่นในคำปฏิญาณของท่าน พระเยซูเจ้าคือสามีเพียงคนเดียวของท่าน เปียโตรเมื่อเห็นว่าท่านไม่ยอมตามความประสงค์ของตน ดังคำโบราณที่ว่ายิ่งรักเท่าไรก็ยิ่งแค้นเท่านั้น เขาจึงจับท่านไปขังไว้ในห้องไม่ให้ออกไปไหน แต่โชคยังดีที่คนงานบางคนเห็นใจท่านคอยส่งข้าวส่งน้ำให้ท่านอยู่ตลอด กระทั่งพ้นช่วงมหาพรตไป สามีของท่านจึงยอมให้ท่านไปมิสซาวันปัสกาที่วัดได้ ท่านจึงได้ฉวยโอกาสนั้นกลับไปหามารดาของท่าน และในวันสมโภสปัสกา ค.ศ. 1494 ซึ่งตรงกับวันที่ 8 พฤษภาคม ท่านในวัยย่างเข้า 18 ปี จึงได้รับเครื่องแบบคณะโดมินิกัน เพื่อเข้าเป็นสมาชิกขั้นสาม (ฆราวาส) และตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่กลับไปบ้านของท่านเคาท์เปียโตรอีก

แต่หนทางหลังจากนั้นก็ไม่ได้เป็นไปอย่างเรียบง่าย เพราะการที่ท่านกลับมาอยู่บ้านและสวมเครื่องแต่งกายแบบนักบวชหญิง สร้างความไม่สบายใจไม่น้อยให้กับน้อง ๆ ของท่าน ไม่เพียงเท่านั้นฝั่งสามีของท่านเอง เมื่อทราบว่าสมัครเข้าคณะโดมินิกัน เขาก็ได้จัดการเผาวัดที่ท่านไปถวายตัว ทั้งยังพยายามที่จะฆ่าคุณพ่อวิญญาณของท่าน ซึ่งเป็นคนมอบเครื่องแบบคณะให้ท่าน และเริ่มใช้อิทธิพลที่มีในเมืองนาร์นีบีบให้ท่านต้องกลับมาอยู่กับเขาดังเดิม ทำให้ครอบครัวโบร์กาเด็ลลีตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดไม่น้อย แต่ที่สุดเพื่อแก้ปัญหาทั้งหลายครอบครัวของท่านจึงตัดสินใจส่งท่านไปอยู่อารามนักบวชขั้นสามของคณะโดมินิกันชื่อ อารามนักบุญแคทเธอรีน แห่ง ซีเอนา ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่ท่านนักบุญแคทเธอรีนได้สิ้นใจลง ใกล้วิหารปันเธโอน ในกรุงโรมในปีต่อมา


ต้นปี ค.ศ. 1495 ท่านเดินทางมาถึงบ้านหลังใหม่ด้วยความยินดี และได้เจริญชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ด้วยวัตรปฏิบัติที่เคร่ดครัดเป็นที่น่าเลื่อมใสของบรรดาซิสเตอร์ร่วมอารามเดียวกัน ที่อารามแห่งนี้ท่านเริ่มมีปรากฏการณ์เข้าฌานเป็นเวลานานถึงเจ็ดชั่วโมงบ้าง แปดชั่วโมงบ้าน และมากที่สุดถึงยี่สิบชั่วโมง แต่ไม่วายความสุขของท่านก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะเมื่อสามีของท่านทราบว่าท่านอยู่ที่กรุงโรม อารามนักบุญแคทเธอรีนที่ท่านพำนักจึงตกอยู่ในอันตราย สืบเนื่องมาจากท่านเคาท์เปียโตรนั้นมีเส้นสายอำนาจและสหายอยู่ในกลุ่มผู้มีอำนาจใจโรม ดังนั้นภายหลังท่านย้ายมาอยู่กรุงโรมได้ไม่นาน คุณพ่อโยอากิม ตูร์รีอาโน เจ้าคณะใหญ่คณะโดมินิกัน จึงตัดสินใจให้ท่านร่วมเดินทางไปยังเมืองวิเตร์โบ พร้อมกับซิสเตอร์อีกห้าคนเพื่อปฏิรูปอารามที่มีอยู่ เพื่อความปลอดภัยของทั้งท่านและอารามที่กรุงโรม

ดังนั้นในปลายเดือนมกราคม ค.ศ.1496 ท่านในวัย 19 ปี จึงเดินทางจากอารามนักบุญแคทเธอรีน มายังอารามนักบุญโทมัส เมืองวิเตร์โบ ไม่นานหลังจากนั้นในเช้าวันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน ขณะท่านขับบทมีเซรเรเรพร้อมกับสมาชิกในอารามนับจำนวนได้ 24 ท่านภายในส่วนภาวนาของอาราม ท่านก็นิ่งไปและเข้าสู่สภาวะฌาน ท่านเริ่มร้องไห้ไม่หยุด เพราะพระเป็นเจ้าได้ทรงให้ท่านได้เข้าส่วนในพระมหาทรมานของพระองค์ กระทั่งถึงช่วงที่ทหารจับพระองค์ตรึงกางเขน ท่านก็กล่าวออกมาว่า “ลูกเห็นพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของลูก ถูกยกขึ้นและตรึงไว้ด้วยตะปู … ลูกปรารถนาจะยิ่งจะถูกตรึงกางเขนไปพร้อมพระองค์ โปรดประทานแม้เพียงเสี้ยวหนึ่งของทัณฑ์โทษของพระองค์ให้กับลูก ที่เท้าทั้งสอง มือทั้งสอง และหัวใจของลูกนี้ ขอให้รอยแผลนี้ตลอดถึงความเจ็บปวดของพระองค์สถิตอยู่ในตัวลูกนี้ด้วยเถิด”

"พระชนนีพระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับมือของซิสเตอร์"

ท่านในสภาวะเข้าฌาน กล่าวย้ำความตั้งใจเดิมซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง ซิสเตอร์ดีอัมบราสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับท่าน ซิสเตอร์จึงได้รีบเข้าไปใกล้เพื่อหวังจะช่วยพยุงตัวท่านที่ดูจะไม่ไหว ทันทีซิสเตอร์ดีอัมบราก็ต้องอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า “พระชนนีพระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับมือของซิสเตอร์” เพราะเธอได้เห็นว่ามือของท่านมีลักษณะที่ผิดรูป คล้ายว่ากระดูกของท่านเคลื่อน ฝั่งท่านที่อาการไม่สู้ดี แต่ก็พยายามฝืนทำว่าไม่เป็นอะไรมากก็ตอบกลับอย่างแผ่วเบาว่า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เดี๋ยวกลับไปพักผ่อนก็หายแล้วค่ะ” แต่ไม่นานด้วยความเจ็บปวดที่ทวีขึ้นเรื่อย ๆ ท่านก็เป็นลมหมดสติไป ดังนั้นท่านจึงถูกพาตัวกลับมาที่ห้องพักเป็นการด่วน

เมื่อท่านถูกนำมาพักในห้องพัก บรรดาซิสเตอร์ได้พยายามเรียกสติของท่านให้กลับมา แต่ก็ใช้เวลาร่วมชั่วโมงท่านจึงคืนสติและได้รับศีลมหาสนิท ทุกคนจึงคลายความกังวลใจ ยกเว้นซิสเตอร์ดีอัมบราที่เฉลียวใจได้ว่า จะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับท่านในขณะขับบทมีเซรเรเรเป็นแน่ เธอจึงได้เฝ้าสังเกตที่มือของท่าน และได้เห็นว่ามือของท่านมีลักษณะซีดเซียวลง ที่ผิวเริ่มมีรอยแยกและอักเสบ และเมื่อถึงช่วงสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ปีเดียวกันบาดแผลทั้งห้าได้แก่ บาดแผลที่มือทั้งสองข้าง บาดแผลที่เท้าทั้งสองข้าง และบาดแผลที่สีข้างคล้ายของพระเยซูเจ้า หรือที่เรียกว่า ‘รอยแผลศักดิ์สิทธิ์’ ก็ได้ปรากฏชัดขึ้นบนร่างกายของท่าน และเริ่มมีเลือดไหลออกมาอยู่เรื่อย ๆ จนไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป บรรดาซิสเตอร์เมื่อเห็นว่าดูคล้ายคนจะสิ้นใจลงไปทุกที จึงได้เชิญให้มารดาของท่านพร้อมด้วยคุณพ่อวิญญาณารักษ์ของท่านจากเมืองนาร์นีให้มาดูใจท่านเป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อพ้นสัปดาห์ดังกล่าวมา ท่านก็หายเป็นปกติ และนับตั้งแต่นั้นมาท่านก็มีรอยแผลที่สังเกตได้ทั้งห้าตำแหน่ง และเริ่มมีสภาวะเข้าฌานบ่อยครั้งขึ้น


“ในหลายโอกาส ขณะเธออยู่ในสภาวะแห่งฌานในวิญญาณ … ดูคล้ายกับเธอนั้นอยู่ใกล้กับกองเพลิงขนาดยักษ์ และเธอได้กล่าวว่า เธอไม่อาจจะทนต่อความร้อนแรงของไฟนี้ได้ … ในสภาวะแห่งฌานเหล่านี้เธอสนทนากับพระเยซูคริสตเจ้า ผู้เป็นคู่ชีวิตของเธอ เธอโมทนาคุณพระเป็นเจ้าสำหรับพระพรนานาประการที่เธอได้รับ นี่คือตัวอย่างคำที่เธอเอ่ย ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าของลูก พระองค์ทรงเป็นใคร แล้วลูกเล่านั้นเป็นใคร พระองค์คือผู้สร้างจักรวาล คือองค์ความดีสูงสุด และลูกนั้นก็เป็นเพียงคนบาปหนา’ และเมื่อพระคริสตเจ้ากำลังจะทรงละจากเธอไป เธอจะวอนขอให้พระองค์อวยพรให้เธอ เธอจะเรียกพระองค์ว่า เจ้านายที่รัก และคู่ชีวิต เธอยังเรียกนักบุญโดมินิกว่า คุณพ่อที่รัก เรียกพระนางพรหมจารีย์ว่า คุณแม่ผู้ประเสริฐ เรียกนักบุญแคทเธอรีน แห่ง ซีเอนา ว่า คุณแม่ที่รัก”

ข่าวเรื่องท่านได้รับรอยแผลแบบเดียวกับองค์พระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน ไม่ช้าก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองวิเตร์โบ แม้ว่าท่านจะพยายามเก็บซ่อนเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ทำให้ท่านกลายเป็นที่จับจ้องของทุกสายตา ไม่ว่าท่านจะไปทางไหน ชาวเมืองต่างพากันมายังอารามเพื่อพบท่าน บ้างมาเพื่อซักถามด้วยความอยากรู้ แต่บ้างก็มาเพียงเพื่อดูท่าน และเพื่อพิสูจน์ว่ารอยแผลเหล่านี้เป็นเครื่องหมายจากสวรรค์ ไม่ใช่เรื่องอุปโลกน์ ครั้งหนึ่งบรรดาซิสเตอร์จึงได้ไปเชิญพระสังฆราชประจำเมือง ให้มาเฝ้าดูท่านที่กำลังร่วมส่วนอยู่ในพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้าเป็นเวลานานถึง 12 ชั่วโมง พร้อมกับซิสเตอร์ท่านอื่น ๆ ภายในอาราม


แม้จะได้เฝ้าสังเกตการณ์ท่าน พระสังฆราชแห่งวิเตร์โบก็ยังไม่กล้ารับรองอย่างเต็มปากว่านี่คือเครื่องหมายจากสวรรค์ ดังนั้นท่านจึงให้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบปรากฏการณ์นี้โดยละเอียด โดยมีแพทย์ท้องถิ่นเขาร่วมในการตรวจครั้งนี้ หลังจากนั้นจึงมีการตรวจสอบท่านเป็นครั้งที่สอง โดยพระสงฆ์คณะโดมินิกัน ชื่อ โยวันนี กาญญัสโซ เด ตาบี หนึ่งในคณะผู้ไต่สวนจากศาลศาสนาแห่งเมืองโบโลญญาที่มีเป็นที่นับหน้าถือตา ผลการตรวจสอบทั้งสองครั้งจากทั้งทางการแพทย์และเทววิทยาต่างยืนยันว่า รอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านได้รับไม่ได้เป็นเรื่องอุปโลกน์ขึ้น และเป็นกิจการของพระเจ้า ไม่ใช่การหลอกลวงของปีศาจ

เรื่องราวชีวิตอัศจรรย์ของบุญราศีลูชีอา ยังไม่จบลงแต่เพียงเท่านี้ ในตอนต่อไป เมื่อท่านได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์แล้ว ชีวิตของท่านจะดำเนินต่อไปอย่างไร เพราะในเวลานี้ปัญหาระหว่างท่านกับนายเปียโตรก็ยังมิได้จบลงอย่างเด็ดขาด และในเวลาเดียวกัน 'พระพรพิเศษ' ที่ได้รับการรับรองว่าเป็นกิจการจากสวรรค์ ก็กำลังจะนำกางเขนใหญ่มาสู่ชีวิตของท่าน โดยเฉพาะในช่วงบั้นปลายที่พระพรดังกล่าวถูกตั้งคำถามจากคนรอบข้าง ท่านจะสามารถผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้อย่างไร ติดตามต่อใน 'ลูชีอา' หมดใจนี้มอบพระองค์ ตอนจบ (คลิกที่ลิ้งค์ได้เลย)


"ข้าแต่ท่านบุญราศีลูชีอา แห่ง นาร์นี ช่วยวิงวอนเทอญ"

รายการอ้างอิง

Bernardo Sastre Zamora. La reina Lucy, de las Crónicas de Narnia, existió de verdad y era dominica. accessed July 19, 2021. available from https://www.dominicos.org/noticia/lucy-cronicas-de-narnia-dominica/
Blessed Lucy of Narni. accessed July 19, 2021. available from https://catholicsaints.info/blessed-lucy-of-narni/
Blessed Lucy of Narnia. accessed July 19, 2021. available from http://www.narnia.it/lucia_eu.htm
Franco Mariani. Beata Lucia (Broccadelli) da Narni. accessed July 20, 2021. available from http://www.santiebeati.it/dettaglio/90818
Georgiana Fullerton. Blessed Lucy of Narnia. accessed August 2, 2021. available from http://www.narnia.it/lucia1_eu.htm
Lucia Broccadelli da Narni. accessed July 18, 2021. available from https://it.wikipedia.org/wiki/Lucia_Broccadelli_da_Narni
Lucy Brocadelli. accessed July 18, 2021. available from https://en.m.wikipedia.org/wiki/Lucy_Brocadelli
Roberto Tarquini. Lucia da Narni. accessed August 2, 2021. available from https://cattedraledinarni.weebly.com/lucia-da-narni---don-roberto-tarquini.html
Stephen Bullivant. The real Blessed Lucy of Narnia was even more amazing than CS Lewis’s imagination. accessed July 19, 2021. available from https://catholicherald.co.uk/the-real-blessed-lucy-of-narnia-was-even-more-amazing-than-cs-lewiss-imagination/

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...