นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ
มีตำนานปรัมปราบทหนึ่งเล่าว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในราวศตวรรษที่ 12 เมื่อกองทัพอัศวินคริสตชนสามารถมีชัยเหนือเมืองออริช
อัศวินหนุ่มผู้หนึ่งก็ได้พบรักกับหญิงสาวชาวตะวันออกนางหนึ่งชื่อ ‘ฟาติมะฮ์’
นางผู้นี้มีสิริโฉมที่งดงามนัก จนยากที่ชายหนุ่มจะละสายตาไปจากนางได้ สองหนุ่มสาวแม้จะต่างเชื้อชาติศาสนา เมื่อพบและรู้จักกันด้วยบุพเพสันนิวาสที่พระเจ้าทรงขีดไว้ ทั้งสองจึงต่างมอบรักให้แก่กัน
และได้ปลงใจแต่งงานกัน โดยนางฟาติมะฮ์ได้กลับใจมาเป็นคริสตชนในคราวนั้นด้วย
แต่ก็น่าเศร้า… ทั้งสองครองรักกันฉันสามีภรรยาอย่างถูกต้องไปยังมิทันจะแก่เฒ่า
ฟาติมะฮ์ก็มาจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
ด้วยความอาลัยรักต่อหญิงผู้เป็นยอดแห่งดวงใจ ชายหนุ่มจึงได้ตั้งชื่อสถานที่หนึ่งเพื่อระลึกถึงนางว่า ‘ฟาติมา’ มาจากชื่อนางในภาษาอาหรับที่ว่าฟาติมะฮ์ และได้ละทิ้งโลกไปบำเพ็ญเป็นนักพรตอยู่ ในอารามอัลโกบาซา ก่อนจากโลกนี้ไปโดยทิ้งไว้แต่ตำนานชื่อย่านบ้านเมืองซึ่งจะเป็นที่เริ่มต้นเรื่องราวของเราต่อไป…
‘ฟาติมา’
คือตำบลที่เราหลายคนในฐานะคริสตชน ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าไม่รู้จัก
เพราะที่แห่งนี้คือสถานที่ที่แม่พระ พระมารดาพระเจ้าได้ทรงประจักษ์มาประทานสารที่มีใจความเรียกร้องการสวดภาวนาและกลับใจแก่เด็กเลี้ยงแกะสามคน
ก่อนสงครามร้ายจะมาถึง ส่วนนาม ‘อัลยุสเตร์ล’ คือหมู่บ้านในเขตปกครองของตำบลฟาติมา ที่ที่เรื่องของเราเริ่มขึ้น
ครอบครัวมาร์โต
และครอบครัวโดส ซานโตส ตามคำอธิบายของลูเซียคือ “เหมือนกับทุก ๆ คนที่อยู่ในเขตวัด สองครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่ยากจน
เป็นคริสตชนที่ทำงานหนัก
มีรายได้และของที่จำเป็นเพื่อการดำเนินชีวิตจากการทำไร่ในแปลงที่ดินของตนเท่านั้น” คือสองครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ที่ดีทั้งทางเครือญาติและทางเพื่อนบ้าน
ซึ่งปักหลักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านอัลยุสเตร์ล ตำบลฟาติมาแห่งนี้ แต่ครอบครัวที่เราจะขอเจาะลงเป็นพิเศษในวันนี้ก็คือ ‘ครอบครัวมาร์โต’ เพราะผู้ถือสารสองคนที่เราจะกล่าวถึงได้เกิดมาจากครอบครัวนี้
ครอบครัวมาร์โต
คือ ครอบครัวของนายมานูเอล เปโดร มาร์โต กับนางโอลิมเปีย
ทั้งสองมีลูกด้วยกันทั้งสิ้นหกคน คือ ด.ช.โยเซ ด.ญ.ฟลอรินดา ด.ญ.เทเรซา ด.ช.ยวง ด.ช.ฟรังซิสโก และ ด.ญ. ยาซินทา ซึ่งสมาชิกสองคนสุดท้ายที่ออกมาลืมตาดูโลกนี้เอง
ก็คือผู้ที่พระเป็นเจ้าได้ทรงเลือกสรรให้เป็นผู้ถือสารของพระมารดาของพระองค์แก่โลกมนุษย์
และคืออนาคตยุวนักบุญองค์ต่อไป
เขาคือ
ฟรังซิสโก
ฟรังซิสโก
มาร์โต เกิดเมื่อวันที่ 11
มิถุนายน ค.ศ. 1908 เขาเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี ผมสีบลอนด์สว่าง
ตัดกับดวงตาสีเข้ม ลูเซียเล่าว่าเขาเป็นคนคิดอะไรก่อนทำ
รักสงบ ชอบเล่นเกมกีฬาต่าง ๆ และชอบจับกลุ่มกับเพื่อน ๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน นอกนี้เขายังไม่ชอบให้มีเรื่องขัดแย้งในชีวิตประจำวันหรือการประลองใด ๆ
เขาไม่สนใจสิทธิ์ที่ตนพึงมี และเมื่อถูกละเมิดสิทธิ์นั้น เขาก็ไม่เต็มใจนักที่จะปกป้องมัน
เช่นครั้งหนึ่งเมื่อนางเทเรซา
แม่ทูนหัวของทั้งลูเซีย ฟรังซิสโก และยาซินทา กลับจากการเดินทางไปทะเลประจำปีและซื้อของมาฝากลูกทูนหัวทุกคนของนางตามวิสัย
ครั้งนั้นนางได้ซื้อผ้าเช็ดหน้าพิมพ์ภาพแม่พระแห่งนาซาเรผืนสวยมาให้เขา ซึ่งฟรังซิสโกเองก็ชอบของฝากชิ้นนี้มาก
เขาหวงมันและเอาไปอวดให้เพื่อน ๆ ได้ดูอย่างภาคภูมิ แต่เขาชื่นชนได้ไม่เท่าไร
ของฝากชิ้นนี้ก็หายไปเสียเฉย ๆ เพื่อน ๆ ของฟรังซิสโกจึงช่วยกันตามสืบ
จนได้ความว่าเป็นเพื่อนในกลุ่มเองที่ขโมยผ้าเช็ดหน้าของฟรังซิสโกไป
เพื่อน ๆ จึงเอาชื่อคนขโมยไปบอกฟรังซิสโก แต่แทนที่เขาจะโกธร ตรงข้ามเขากลับขอให้เพื่อน ๆ ไม่ให้ไปมีเรื่องต่อตีกับเพื่อนหัวขโมยคนนั้น
“ให้เขาเก็บไว้เถอะ ข้าไม่ว่าอะไรหรอก” ฟรังซิสโกเสนอวิธีแก้ปัญหาง่าย ๆ
พร้อมด้วยรอยยิ้มที่ไม่ต้องเสแสร้งอันใด
ลูเซียยังเล่าอีกว่า ตัวฟรังซิสโกเล่นกับเพื่อนทุกคนโดยไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง และไม่เคยจะหาเรื่องทะเลาะกับใคร แต่หากเล่น ๆ ด้วยกันไปแล้วเกิดมีเรื่องอะไรไม่ดีขึ้น เขาก็จะปลีกตัวออกมา ซึ่งเมื่อถามถึงเหตุผล เขาก็เพียงตอบว่า “เพราะนายทำตัวไม่ดี” หรือไม่ก็ตอบง่าย ๆ ว่า “เพราะข้าแค่ไม่อยากเล่นละ” และแม้ตัวลูเซียจะเผลออารมณ์เสีนใส่เขา เวลาเธอมีเรื่องกังวลใจ ตัวฟรังซิสโกเองเมื่อลูเซียไปขอโทษเรื่องอารมณ์ร้อนที่เธอแสดงออกไป เขาก็หาถือโทษไม่และปฏิบัติดั่งไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเลย
ในเรื่องนิสัยอ่อนโยนของฟรังซิสโก
นายมานูเอลบิดาของเขาเห็นด้วยและได้ให้ข้อมูลถึงบุคลิกที่บ้านของเขาว่า “เขากล้ากว่ายาซินทาเยอะ เขามักไม่ค่อยจะอดทนกับเรื่องอะไร
และบ่อย ๆ ด้วยเรื่องขี้ปะติ๋ว เขาก็วิ่งไปทั่วเหมือนวัวหนุ่ม เขามีนิสัยทุกอย่างยกเว้นนิสัยขี้ขลาด
เขาชอบออกไปข้างนอกตอนกลางคืน แล้วอยู่ตามลำพังโดยไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ
เขาชอบเล่นกับกิ้งก่าและงู โดยให้พวกมันพันรอบ ๆ ไม้เท้า และพาไปดื่มน้ำที่หลุมหิน
ทั้งยังกล้าออกตามจับพวกกระต่าย หมาจิ้งจอก และตัวตุ่น”
นิสัยชอบจับสัตว์แปลก ๆ ที่ชาวบ้านปกติไม่นิยมจับกันของฟรังซิสโกนี้ นางโอลิมเปียก็ได้เล่าถึงนิสัยเช่นนี้ ทั้งเสริมว่าเขามักนำพวกมันเข้ามาในบ้านอีกด้วย (แน่นอนสิ่งที่นางโอลิมเปียทำเมื่อพบเช่นนี้ ก็คือ ‘วิ่ง’) เธอเป็นพยานว่าเธอแปลกใจกับความกล้าของลูกชายคนนี้ยิ่ง และยืนยันชัดในระหว่างการให้การว่า “เขาไม่เคยกลัวอะไร” นอกนี้นางยังเสริมว่าฟรังซิสโกยังชอบเล่นอะไรพิเรนทร์ ๆ อาทิ การเอาของแปลก ๆ ที่กินไม่ได้มาหย่อนใส่ปากของยวง พี่ชายของตนตอนเขานอนหลับ แล้วเผลออ้าปาก นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นคำพยานของทั้งสองสามีภรรยาถึงบุตรชายผู้นี้ยังพร้อมใจให้การเป็นเสียงเดียวกัน ถึงเรื่องก่อนการประจักษ์มาของแม่พระว่า มีอยู่เพียงหนึ่งหรือสองเท่านั้นที่ฟรังซิสโกไม่ยอมสวด จนนายมานูเอลต้องจับลูกชายตัวดีมาดัดนิสัย
คุณลักษณะอีกสองประการของฟรังซิสโกที่ไม่อาจจะลืมเล่าไปได้เลย
ก็คือ ‘ความเมตตา’ เพราะตัวฟรังซิสโกเองมีจิตใจที่เมตตาต่อทุกสิ่ง
ดวงใจของเขาเป็นทุกข์เมื่อเห็นคนอื่นทุกข์ ไม่เว้นแม้แต่สรรพสัตว์
มีครั้งหนึ่งเขาเคยเอาเงินตัวเองมาซื้อนกจากเด็กชายอีกคน แล้วนำนกตัวนั้นมาปล่อยให้กลับไปหารังของมันไป
และ ‘ความรักการดนตรี’ ที่อยู่สะท้อนกังวานในตัวเขา มีคำยืนยันว่าฟรังซิสโกมีความสามารถในการเป่าขลุ่ย
ซึ่งนำให้ลูเซียและยาซินทาพร้อมใจกันร้องเพลงและเต้นไปตามทำนองขลุ่ยนั้นอย่างเริงรื่น “คำบอกเล่าแสดงชัดว่าฟรังซิสโกเป็นเพื่อนตัวน้อยที่ดี และจากหลักฐาน ขณะอายุได้ 9 ปี เขาไม่ได้เป็นทั้งนักเลงหัวไม้หรือนักบุญผู้เจิดจรัส” คุณพ่อยอห์น เดอ มาร์ชี กล่าวในบทสรุปประวัตินำของฟรังซิสโก
เธอคือ
ยาซินทา
ยาซินทา มาร์โต เกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1910 เธอเป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัวมาร์โต ใบหน้าของเธอ
ละหม้ายคล้ายฟรังซิสโก พี่ชายที่อายุห่างจากเธอสองปี นางโอลิมเปีย
ผู้เป็นมารดาเล่าถึงลักษณะของเธอว่า “เธอไม่ท้วมเหมือนฟรังซิสโก
ดวงตาของเธอเป็นประกายและสดใสกว่าตาของฉันเมื่อฉันยังเด็ก เธอชอบจะให้ผมเรียบอยู่เสมอและฉันคอยจัดผมให้เธออยู่ทุกวัน
แจ็คเก็ตตัวน้อยกับกระโปรงผ้าฝ้ายและรองเท้าคือชุดเก่งของเธอ…”
นอกจากนี้เธอยังเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก
สุขภาพดีแข็งแรง มีพลังเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ เอางานเอาการ และเป็นที่รักใคร่ของทุกคน
ดั่งคำให้การของนายมานูเอล ผู้เป็นบิดาว่า “เธอเป็นที่รักและไม่มีใครจะเปรียบกับเธอได้” และเขายังให้การถึงลูกสาวที่เขารักคนนี้อีกว่า “เธอเป็นเด็กอ่อนโยนและอ่อนหวานเสมอ
และเธอก็เป็นเช่นนั้นแต่เกิด หากเธออยากจะได้อะไร
เธอก็มีวิธีแบบเธอเองที่จะบอกกับพวกเรา หรือเพียงร้องไห้เล็ก ๆ น้อย ๆ
แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก เวลาพวกเราไปมิสซาหรือไปทำธุระนอกบ้าน เธอก็ไม่เคยงอแง พวกเราไม่เคยต้องรับมือกับปัญหาอะไรที่ไร้สาระจากเธอเลย
เธอเป็นเด็กดีและอ่อนหวานโดยธรรมชาติในบรรดาลูก ๆ ของพวกเรา
เมื่อคุณแม่ของเธอเล่าเรื่องหลอกเด็กเล็ก ๆ ให้เธอฟัง เช่น เธอไปแค่สวนกระหล่ำเล็ก ๆ
แต่จริง ๆ เธอไปไกลกว่านั้น ยาซินทาก็จะจับได้และไม่วายรีบตำหนิคุณแม่อยู่ตลอด”
ไม่เพียงแต่เป็นที่รักของทุกคน
ยาซินทาเองก็มอบความรักให้กับทุกอย่างไม่ว่าจะคนในครอบครัว เพื่อนวัยไล่เลี่ยกัน
เจ้าแกะ และเป็นพิเศษกับลูกพี่ลูกน้องต่างวัยของเธอ ‘ลูเซีย’ (เช่นกันลูเซียก็รักยาซินทามาก
ดังนั้นบันทึกของเธอจึงเต็มไปด้วยความทรงจำเกี่ยวยาซินทาเป็นส่วนใหญ่) และเมื่อลูเซียถึงวัยต้องรับหน้าที่ต้อนแกะของครอบครัวไปกินหญ้านอกหมู่บ้าน
ยาซินทางจึงมีอาการหงอยเหงา
จนบิดามารดาจำต้องยอมให้เธอกับฟรังซิสโกพาแกะสองสามตัวของครอบครัวไปกินหญ้าพร้อมลูเซีย
ยาซินทามีความสุขมากกับการได้อยู่ในทุ่งหญ้าของที่ราบสูงแซรร์รา
เธอชอบอยู่กับลูเซียนาน ๆ และมีเจ้าแกะทั้งหลายเป็นมิตรสหายสนิท
ชนิดตั้งชื่อให้พวกมันบางตัวว่า เจ้าพิราบ เจ้าดาว
เจ้าสวย และเจ้าหิมะ ลูเซียเล่าว่า “เธอเคยนั่งลงข้าง ๆ พวกมัน
แล้วอุ้มมันมานั่งตักและหอมมัน ส่วนตอนกลางคืน เมื่อกลับบ้านหลังน้อย
เธอก็พยายามจะแบกมันไว้ที่บ่าเพื่อช่วยมันให้พ้นความเมื่อยล้า
แบบเดียวกับภาพพระชุมภาบาลผู้แสนดีที่เธอเคยเห็น”
เธอยังชอบดอกไม้หลากสีที่พากันเบ่งบานตามฤดูกาล
เธอชอบเก็บมันหลากหลายสีคราวละมาก ๆ เพื่อเอามาประดับผมของเธอบ้าง บ้างก็ทำเป็นมาลัยมาให้ลูเซีย
มีครั้งหนึ่งหลังเธอได้มีโอกาสเป็นเทวดาโปรยดอกไม้หน้าศีลในพิธีศีลหมาสนิทครั้งแรกของวัดฟาติมา ตั้งแต่นั้นมาเธอก็มักเก็บดอกไม้มาโปรยใส่ลูเซีย โดยเธอให้เหตุผลกับลูเซียว่าเธอทำตามแบบที่ทูตสวรรค์ทำอีกด้วย
นอกนี้แล้วยาซินทายังมีจินตนาการมากมายกับทุก ๆ ความงามแห่งธรรมชาติที่พระเป็นเจ้าได้รังสรรค์
เธอเรียกดวงอาทิตย์ขณะใกล้อัสดงว่า ‘โคมของแม่พระ’ และดวงดาวที่ประดับนภาว่า ‘ตะเกียงของทูตสวรรค์’ ซึ่งเธอชอบท้าฟรังซิสโก
พี่ชายให้ทำตาเหล่และปั่นจิ้งหรีดแล้วมานับพวกมันแข่งกัน
และในขณะที่ฟรังซิสโกมีพรสวรรค์ด้านการเล่นดนตรี
น้องสาวคนเดียวของเขาก็มีทั้งพรสวรรค์ทั้งด้านการเต้น และด้านการร้องเพลง
ลูเซียจดจำได้ดีว่าเสียงร้องเพลงของลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยคนนี้ของเธอ
นั้นมีความไพเราะเพราะพริ้งยิ่ง และจำได้ว่าเธอยังชอบขึ้นไปนั่งบนเนินเขาสูง ๆ แล้วตะโกนเพื่อฟังเสียงเอคโคที่สะท้อนกลับมาจากหุบเขา
“และ
ชื่อที่สะท้อนได้ดีที่สุดก็คือชื่อมาเรีย” ลูเซียเล่า
ชื่อที่สะท้อนได้ดีที่สุดก็คือชื่อมาเรีย” ลูเซียเล่า
แต่แม้จะมีเป็นเด็กน่ารักอ่อนหวาน
แต่ยาซินทาเองก็ยังเป็นเหมือนเด็กทั่วไป เธอยังมีความหลงผิดเล็ก ๆ นั่นก็คือการเล่นเกมส์หนึ่งที่ชื่อ
‘เกมส์กระดุม’ ดั่งที่ลูเซียเล่าว่า
“ดิฉันรู้สึกหงุดหงิดกับเธอ เพราะหลังจากเล่นเกมส์กระดุม
ชุดดิฉันจะไม่มีกระดุมเหลือเลยเวลาถูกเรียกไปรับประทานอาหาร เธอมักดึงพวกมันจากดิฉันได้เสมอ
และนั่นเองจึงหมายถึงการตำหนิจากคุณแม่ของดิฉัน แต่ดิฉันจะทำอะไรได้เมื่อเธอไม่ยอมคืนพวกมันให้ดิฉัน
นอกเสียจากไม่ยอมพูดกับเธอ แผนของเธอก็คือการเตรีมพวกมันไว้ใช้เล่นต่อโดยไม่ต้องใช้ของเธอเอง
มีเพียงวิธีเดียวที่ดิฉันจะได้ของคืนก็คือการขู่ว่าไม่มาเล่นอีก”
ชีวิตของเด็กเลี้ยงแกะแห่งฟาติมา
ดังที่เล่าเหตุผลที่ทั้งทั้งสามได้มาพบกันไปแล้วในหัวข้อ
‘เธอคือ ยาซินทา’ ข้างต้น ทำให้ทุกเช้านางโอลิมเปียจะคอยมาปลุกฟรังซิสโกในวัยประมาณ 7 ปี และยาซินทาในวัย 5 ปี ตั้งแต่ก่อนแสงแรกของวันจะย้อมพื้นฟ้าที่ดำสนิทให้เป็นสีฟ้าคราม
“ขอนมัสการมีแด่ศีลมหาสนิท…” เสียงทั้งสองจะสวดอย่างงึมงำ ขณะอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น นางโอลิมเปียจำได้แม่นว่าทั้งสองไม่เคยจะตอบรับคำภาวนาข้างต้นอย่างศรัทธาแบบที่ควรยึดเป็นแบบฉบับ
และมีสภาพที่มึนมาก ๆ เสียด้วยซ้ำ “พวกเขาทำสำคัญมหากางเขน
และสวดเท่าที่สามารถจะสวดบทนั้นได้ เด็ก ๆ ในวัยนี้เบื่อกับการสวดภาวนาได้เร็วมาก ๆ”
หลังจากนั้นเมื่อตื่นแล้ว
ทั้งสองจึงไปทำธุระส่วนตัวและขณะทั้งสองกำลังแต่งตัว นางโอลิมเปียก็จะจัดแจงทำอาหารเช้าซึ่งก็คือซุปร้อน ๆ กับขนมปังที่นุ่มเพราะน้ำมันมะกอกที่ทาลงไป
ส่วนอาหารกลางวันที่ทั้งสองจะต้องเตรียมไปก็จะเป็นขนมปัง ผลมะกอก ปลาแห้ง
ไม่ก็ปลาซาร์ดีน (ปลาร้าฝรั่ง)
และอย่างอื่นที่วันนั้นครอบครัวมาร์โตมี ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรกับทั้งสอง
เพราะจุดมุ่งหมายของสองพี่น้องไม่ใช่อาหาร แต่คือการออกไปเล่นกับลูเซียเสียมากกว่า
และเมื่อทำอะไรต่าง ๆ นานาในบ้านเสร็จแล้ว
สองพี่น้องจึงจะออกมาพบกับลูเซียที่รอท่าอยู่พร้อมฝูงแกะ
และลูเซียก็จะเป็นตัวตั้งตัวตีในการเลือกทุ่งหญ้าที่จะพาแกะไปในวันนั้น ๆ บางครั้งเธอก็เลือกทุ้งหญ้าใกล้ ๆ ฟาติมา
แต่บางครั้งเธอก็เลือกทุ่งหญ้าที่ใกล้กับหมู่บ้านมุยตา
แต่ที่ที่เธอชอบมากที่สุดก็คือบริเวณกาเบโซ ซึ่งสวนมะกอกของครอบครัวตั้งอยู่
เพราะมันอยู่ตรงข้ามหมู่บ้านฟาติมา ใกล้บ้านของทั้งสาม และมีก้อนหินรูปร่างแปลก ๆ
แต่ที่ดีไปกว่านั้นคือที่กาเบโซมีต้นมะกอกและต้นสนคอยให้ร่มเงาไว้หลบร้อน ในวันที่ร้อนจัดได้อีกด้วย
หลายครั้งคนเลี้ยงแกะคนอื่น ๆ ก็ติดตามทั้งสามไปที่นี่ตามคำเชิญของลูเซีย
ซึ่งหลังจากปล่อยแกะให้เล็มหญ้าไปตามทุ่งหญ้านอกหมู่บ้าน
พวกเขาก็จะพากันเล่นสนุกด้วยเกมส์ต่างๆ โดยไม่ต้องพะวงกับเรื่องแกะจะหลงฝูงกัน เพราะพวก แกะก็เหมือนลูกสุนัขหรือลูกแมว คือพวกมันรู้ดีว่าใครคือนายมัน
และในการเล่นเกมส์ต่าง ๆ ของบรรดาเด็กเลี้ยงแกะ ผู้นำในการเล่นเหล่านั้นก็คือลูเซีย
หนึ่งในเด็กเลี้ยงแกะเหล่านั้น
ซึ่งคือแม่บ้านวัยกลางคนในวันที่ให้คำพยานนี้ ชื่อ เทเรซา ไมเทียส
ได้แบ่งปันเรื่องราว
วันวานนั้นว่า “ลูเซียเป็นคนตลกมาก เธอมีวิธีปฏิบัติที่ดีกับพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงชอบอยู่กับเธอ เธอยังเป็นคนฉลาดมาก และมีความสามารถในการร้องเพลงและการเต้นและการสอนพวกเราให้ทำเช่นเดียวกัน พวกเรามักเชื่อเธอเสมอ พวกเราชอบใช้เวลาหลายต่อหลายชั่วโมงไปกับการเต้นและร้องเพลง และบางครั้งก็ลืมกินข้าวเที่ยงกันเลยทีเดียว …นอกจากเพลงศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเราร้องในวัดซึ่งฉันจำได้อยู่เพลงหนึ่งคือเพลงแม่พระแห่งภูเขาคาร์แมล ที่ฉันยังคงร้องระหว่างทำงานและได้สอนลูกๆทุกคน (ถึงตรงนี้นางเทเรซาได้ร้องเพลงนี้ให้ผู้สัมภาษณ์นางได้ฟัง) พวกเรายังร้องเพลงพื้นบ้าน ซึ่งเช่นกัน ฉันจำมันไม่ได้เสียแล้ว และมีพวกเด็กผู้ชายตัวเล็กคอยเป่าขลุ่ยระหว่างพวกเราเต้นกัน”
วันวานนั้นว่า “ลูเซียเป็นคนตลกมาก เธอมีวิธีปฏิบัติที่ดีกับพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงชอบอยู่กับเธอ เธอยังเป็นคนฉลาดมาก และมีความสามารถในการร้องเพลงและการเต้นและการสอนพวกเราให้ทำเช่นเดียวกัน พวกเรามักเชื่อเธอเสมอ พวกเราชอบใช้เวลาหลายต่อหลายชั่วโมงไปกับการเต้นและร้องเพลง และบางครั้งก็ลืมกินข้าวเที่ยงกันเลยทีเดียว …นอกจากเพลงศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเราร้องในวัดซึ่งฉันจำได้อยู่เพลงหนึ่งคือเพลงแม่พระแห่งภูเขาคาร์แมล ที่ฉันยังคงร้องระหว่างทำงานและได้สอนลูกๆทุกคน (ถึงตรงนี้นางเทเรซาได้ร้องเพลงนี้ให้ผู้สัมภาษณ์นางได้ฟัง) พวกเรายังร้องเพลงพื้นบ้าน ซึ่งเช่นกัน ฉันจำมันไม่ได้เสียแล้ว และมีพวกเด็กผู้ชายตัวเล็กคอยเป่าขลุ่ยระหว่างพวกเราเต้นกัน”
และหลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่เตรียมมาแล้ว
เด็กเลี้ยงแกะทั้งสามก็จะร่วมกันสวดสายประคำตามแบบฉบับของพวกเขาเอง
เพราะพวกเขาต่างได้รับการสั่งสอนให้สวดสายประคำหลังมื้ออาหารเที่ยงเสมอ “แต่วันเวลาช่างแสนสั้นเหลือเกินสำหรับการสวดภาวนา
พวกเราจึงคิดหาวิธีดี ๆ ที่จะสวดให้เสร็จเร็ว ๆ พวกเราเพียงสวดว่า ‘วันทามารีย์ วันทามารีย์’ ที่เม็ดลูกประคำ และเมื่อจบแต่ละทศ ก็สวดว่า ‘ข้าแต่พระบิดา’ พร้อมหยุดสักพัก ดังนั้นด้วยวิธีนี้
เพียงไม่กี่นาที พวกเราก็สวดสายประคำจบ” ….นี่แหละคือชีวิตของเด็กเลี้ยงแกะแห่งฟาติมาพอสังเขป
“ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา
มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ”