นักบุญเบียตริส
ดา ซิลวา
St.Beatriz
da Silva
ฉลองในวันที่ : 17 สิงหาคม
องค์อุปถัมภ์ : นักโทษ
ดอม ฮุย โกมีส
ดา ซิลวา เป็นอัศวินโปรตุกีสผู้กล้าหาญ ผู้ได้ร่วมบุกยึดเซวตาและอาศัยอยู่ ณ อาณานิคมโปตุเกสในแอฟริกา ซึ่งด้วยความกล้าหาญของเขา
ทำให้เขาได้สมรสกับโดนา อิซาเบล เด
เมเนซีส ธิดาวัยแรกรุ่นของกงดี เด วีลา เฮล
ทายาทผู้มากด้วยชื่อเสียงของปฐมกษัตริย์องค์แรกของประเทศโปรตุเกส พระเจ้าอาฟองโซที่ 1 แห่งโปรตุเกส
ภายหลังการแต่งงานทั้งสองก็ได้ให้กำเนิดบุตรธิดารวม 11 คน เบียตริส
ดา ซิลวา คือหนึ่งในนั้น
เบียตริส
เกิดราวๆ ค.ศ.1424 นับถึงตอนนี้ก็เป็นระยะเวลาถึง 590 ปีแล้ว
ที่เซวตา อาณานิคมโปรตุกีสในแอฟริกาเหนือ เป็นลูกคนที่แปดจากสิบเอ็ดคนของครอบครัว
ท่านเติบโตขึ้นมาโดยมีมารดาผู้เปี่ยมคุณธรรมเฉพาะตัวตามแบบศรีภรรยาและแบบมารดา
เป็นผู้คอยสอนคำสอนต่างๆ และจากคณะฟรานซิสกัน
ผู้ได้หว่านเมล็ดแห่งความรักต่อแม่พระปฏิสนธินิรมลลงในดวงใจน้อยๆของท่านและพี่น้องของท่านทุกๆคน
และภายหลังพี่ชายสองคนของท่านคือ ยวง และ อมาเดโอ จึงได้ตัดสินใจเข้าคณะฟรานซิสกัน และต่อมาอมาเดโอผู้นี้ ก็ได้มีบทบาทสำคัญในการตั้งสาขาใหม่ของคณะภารดาน้อยและการปฏิรูปที่เรียกว่า the Amadeists
ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็ได้แสดงออกถึงคุณลักษณะอันพิเศษแตกต่างไปจากเด็กทั่วไปคือ
ความอ่อนโยน ความมีมโนธรรม และความศรัทธา ขอย้อนกลับมาที่ครอบครัวท่าน
ครอบครัวท่านนั้นยังคงอยู่ที่เซวตา กระทั้งในปี ค.ศ.1437 เมื่อกษัตริย์แห่งโปรตุเกสในขณะนั้นได้ทรงพระกรุณาแต่งตั้งบิดาท่านให้เป็นนายกเทศมนตรีของกัมโป
มายอร์ เมืองชายแดนสเปน
ครอบครัวของท่านจึงย้ายมายังปราสาทใกล้ๆหมู่บ้านชนบทเก่าแก่ของที่นั่น
และนอกเหนือจากนิสัยแล้ว
หน้าตาตั้งแต่ยังเล็กๆของท่านก็จัดได้ว่างามเลยทีเดียว
ครั้งหนึ่งเมื่อบิดาท่านนำช่างวาดชาวอิตาลีมาวาดรูปแม่พระในวัดน้อยของปราสาท
ทันทีเขาก็บอกว่าท่านนี้แหละเป็นแบบแม่พระได้ดีที่สุด
ดังนั้นด้วยเชื่อฟังบิดาท่านจึงยอมเป็นแบบให้ช่างวาดผู้นั้น
แต่ด้วยความเจียมตนท่านจึงมิได้ยกสายตาของท่านไปยังด้านหน้าของช่างวาด
ทำให้เมื่อภาพเสร็จออกมาแล้วมันจึงเป็นที่รู้จักกันว่า “ภาพพรมจารีปิดเนตร” ซึ่งปัจจุบันภาพนี้ถูกแขวนอยู่ ณ วัดประจำเมืองกัมโป มายอร์ นี้เอง
ท่านยังใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ
กระทั้งอายุได้ 23 ปี ใน ค.ศ.1447 ชีวิตอันเรียบง่ายของท่านก็มาถึงจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่
เมื่อพระเจ้าฆวนที่ 2 แห่ง กาสติล ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอิซาเบล
พระราชธิดาในพระเจ้าอาฟอนโซ ที่ 5 แห่ง โปตุเกส
เจ้าหญิงอิซาเบลจึงได้ทรงเลือกพระญาติ อันคือท่านเข้ามารับหน้าที่เป็นนางสนองพระโอษฐ์ของพระนาง
ท่านจึงต้องอำลาครอบครัว
ก่อนมุ่งสู่กรุงลิสบอนและติดตามเจ้าหญิงอิซาเบลไปยังเมืองโตร์เดซีลลัส ประเทศสเปน
ตามบันทึกของประวัติศาสตร์ในสมัยนั้น
กล่าวว่าท่านเป็นที่รู้จักทั้งในด้านหน้าตา
ความไร้เดียงสาและความรักต่อแม่พระผู้ปฏิสนธินิรมล
ท่านสวยชนิดที่ว่าคนยกย่องกันเลยว่าไม่เคยเห็นสตรีใดในโปตุเกสหรือสเปนจะงามเท่าท่าน
ทั้งภายในและภายนอก ท่านรู้จักวางตัวและใจดีกับทุกๆคน
เว้นแต่คนที่จะพรากท่านไปจากทางอันเที่ยงตรงเส้นนี้ ฉะนั้นจึงไม่แปลกอะไรเลย ที่ท่านจะเป็นที่รักและที่ชื่นชมของคนในราชสำนักไม่ว่าจะชายหรือหญิง
วันเวลาผ่านไป
แป๊บๆเดียว ท่านก็มาอยู่ที่นี่ได้สามปีแล้ว เป็นสามปีที่เต็มไปด้วยความสงบ
แต่ท่ามกลางความเงียบ เงาดำแห่งความอิจฉาก็ได้ถามโถมเข้ามายังพระราชินีอิซาเบล
เหตุมาจากข่าวลือหนาหูในราชสำนักที่ว่าท่านเตรียมแย่งพระเจ้าฆวนไปจากพระนาง บวกกับเหตุการณ์ที่พระเจ้าฆวนทรงเสด็จพระดำเนินไปทรงสนทนากับท่านเพื่อขอกำลังในการปกครอง
เพราะพระองค์มีนิสัยเป็นคนขี้อายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้พระนางหลงเชื่อเรื่องนี้มากขึ้น
จนลืมความภักดีของท่านที่พระนางชื่นชมไปสิ้น
ยิ่งนานวันเท่าไร ต้นไม้แห่งความเกียจชังก็ยิ่งหยั่งรากลึกลงไปในใจของพระนางมากขึ้นเรื่อยๆ
พระนางเริ่มทำไม่ดีกับท่าน ไม่ว่าจะเป็นการด่าท่านในที่สาธารณะ
ปลดท่านออกจากฐานะสตรีผู้มีเกียรติ หรือดูถูกท่านด้วยวาจาที่หยาบกระด้างและเชือดเฉือน แต่ถึงจะเจอกับการกลั่นแกล้งเช่นนี้ ท่านก็มิได้ตอบโต้อันใด ตรงข้ามท่านอดทนด้วยความนบนอบอันเป็นแบบอย่าง
และยิ่งทวีความรักและความภักดีต่อพระนางยิ่งๆขึ้น แต่อนิจจา.... ยังไงๆพระราชินีก็หาได้มองเห็นไม่ ตรงข้ามพระนางกลับตัดสินใจอย่างเด็จขาดที่จะ “เก็บ” ท่านเสีย
ในราตรีสงัดของค่ำคืนอันแสนเหนื่อยในห้องของท่าน
ทุกสิ่งเหมือนจะดำเนินไปเป็นปกติ ในห้องวันนี้น้ำตาของท่านหยาดรินรด ณ
แทบเท้ารูปปั้นแม่พระ คำวิงวอนของพละกำลังจากพระล่องลอยไปดุจควันกำยาน
ไม่นานหลังจากนั้นเสียงเคาะประตูอย่างแรงก็ดังขึ้น ใครหนอมาในยามวิกาลเช่นนี้
ไม่ต้องคิดนาน แขกในยามวิกาลผู้นี้คือพระราชินีอิซาเบลผู้กำลังจ้องด้วยสายตาที่บ้าคลั่ง
พร้อมตะเกียงในมือ “ตามข้ามา” เสียงเย็นชาเอ่ยสั่ง
เรียกให้ท่านตามพระนางจากห้องลงไปยังชั้นล่างสุดของปราสาท
ก่อนลัดเลาะลงไปตามทางเดินสู่ห้องใต้ดิน
ยิ่งลึกความมืดก็ยิ่งคืบคลานเข้ามามากขึ้นจนเต็มไปทุกอณู
ความหนาวเย็นและความชื้นเกาะกุมทุกจุดของกำแพง
ยิ่งทำให้ท่านเริ่มกลัวต่อความตั้งใจของพระราชินีมากขึ้น
เบื้องหน้าทั้งสองคือห้องนิรภัยเก่า ที่สูงและแคบมาก ทันทีเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น
พร้อมคำพูดจากปากนั้น “เจ้าหลอกข้าจนถึงยามนี้ เจ้าหมายจะพิชิตใจพระราชา
จะกำจัดข้าและราชบัลลังก์แห่งกาสติลงั้นหรือ ไม่เจ้าไม่สามารถ จะเข้าดีๆหรือให้ข้าโยนเจ้าเข้า” พระนางกล่าวพลามจ้องไปยังท่าน
“ทูลกระหม่อม พระองค์จะทรงฆ่าหม่อนฉันก็ทำเถิด แต่โปรทรงรู้ไว้ว่าหม่อมฉันนั้นบริสุทธิ์จากบาปที่ถูกกล่าวหา พระเจ้า
ผู้ทรงพิพากษ้เปี่ยมความชอบธรรม เป็นพยานถึงการกระทำของพระองค์(อิซาเบล) โปรดอภัยความโง่เขลาของลูกพี่ลูกน้องของลูก
และโปรดประทานพระหรรษทานแห่งการกลับใจชำระวิญญาณของพระองค์(อิซาเบล)ด้วย” ท่านกล่าว แต่ดูเหมือนมันจะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะหยุดมือของพระนางที่ผลักท่านเข้าไปในห้องนิรภัย
ก่อนปิดประตูลงกลอนไว้ด้วยใจหมายให้ท่านขาดอากาศหายใจตายไปเสีย เพื่อ “คู่แข่ง” จะได้หมดไป
เวลานี้ทางรอดของท่านคือ
“0”
ความตายโดยปราศจากศีลศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆคลานเข้าใกล้ท่าน
คงมีแต่ความช่วยเหลือจากสวรรค์กระมั้งที่จะช่วยให้ท่านรอดจากความอาฆาตนี้ไปได้
ท่านจึงหันไปหาพระแม่ผู้เป็นความรักของท่าน “โอ้ แม่พระผู้ปฏิสนธินิรมล ช่วยลูกด้วย” ท่านสวด
เวลานั้นเองความมืดในห้องก็ถูกแทนที่ด้วยความสว่างกว่าดวงอาทิตย์
สตรีงามปรากฏกายด้วยอาภรณ์สีขาว เสื้อคลุมสีฟ้า พร้อมกุมาราน้อยในอ้อมแขน
ใช่แล้ว อย่างที่เราคิดนี่คือแม่พระ “ลูกสาวของแม่ ลูกจะไม่ตาย
แม่จะพิทักษ์ชีวิตของลูกเพื่อชีวิตนักบวชอันคือสิ่งที่ลูกและแม่ปรารถนา จงตั้งคณะตามนามการปฏิสนธินิรมล บรรดาธิดาของคณะจะแต่งกายด้วยชุดเดียวกันกับแม่และอุทิศตัวเพื่อรับใช้พระเจ้า โดยร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับแม่”
พระนางตรัส ยังความปิติมายังดวงใจของท่าน
จนท่านไม่รู้วันรู้คืนว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว
ความจริงเป็นระยะเวลาสามวันแล้วที่ท่านหายไป
จนเป็นที่ผิดสังเกตแก่ลุงของท่านที่สนองงานในราชสำนักเช่นกัน
ความกังวลสุมอยู่ในใจผู้เป็นลุงว่าท่านหายไปไหนกัน ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าพระราชินีอิซาเบลต้องรู้เรื่องนี้ดีแน่นอน
เขาจึงทูลถามพระนางจนท้ายสุดพระนางก็พาเขาไปยังห้องนิรภัยที่ขังท่านไว้ด้วยคำพูดที่ว่า
“ตามมาและดูเธอเอง” แน่นอนว่าพระนางคิดว่าท่านตายไปแล้ว
แต่ผิดคาดสิ่งที่ทั้งสองพบหาได้ใช้ร่างไร้วิญญาณของท่าน แต่กลับเป็นว่าพบท่านยังมีชีวิตอยู่
พร้อมความงามเกินบรรยายด้วยใบหน้าที่ส่องแสงราวกับเพชรยามต้องแสง
ท่านไม่ถือโทษอะไรต่อการกระทำของพระนาง
เมื่อพระนางได้กลับใจ ท่านให้อภัย
และได้ตัดสินใจออกจากราชสำนักไปอาศัยอยู่ในอารามซิสเตอร์คณะโดมินิกัน ชื่อ
อารามซานโดมินโก เอล เรอัล ใน เมืองโตเลโด
ซึ่งถือเป็นเรื่องสุดแสนจะปกติในสมัยนั้นที่บรรดาสตรีชั้นสูงจะไปพักในอารามและเจริญชีวิตตามกฎ
โดยไม่ได้รับชุดคณะ ซึ่งชีวิตในอารามนี้แหละที่ท่านโหยหา
ลาก่อนการเป็นเจ้าสาวฝ่ายโลก ต้อนรับสู่การเป็นเจ้าสาวสวรรค์
ด้วยสำนึกผิด พระราชินีจึงทรงจัดเตรียมข้าวของที่จำเป็นสำหรับการเดินทางอันเจ็บปวดและเสี่ยงให้แก่ท่าน
ก่อนท่านจะอำลาที่นี้ไป
ระหว่างทางสู่ชีวิตใหม่ท่านก็ได้พบกับภารดาฟรังซิสกันสองท่านที่ได้พูดพยากรณ์ถึงอนาคตของคณะใหม่นี้
แต่เพียงเมือท่านเชื้อเชิญทั้งสองให้ร่วมทางด้วย ฉับพลันต่อหน้าต่อหน้าตาทุกคนภารดาทั้งสองก็พลันหายไป ทำให้ท่านตระหนักได้ทันทีว่าทั้งสองคือนักบุญฟรานซิส
แห่ง อัสซีซี และ นักบุญอันตน แห่ง ปาดัว
ด้วยผ้าคลุมศีรษะสีขาวที่ซ้อนเร้นความงามขอท่านจากชายหนุ่ม
และถวายมันแด่พระเจ้าเพียงพระองค์เดียว ในความเงียบ ท่านก็ได้เริ่มวางรากฐานคณะใหม่
นิมิตในห้องนิรภัยนั้นไม่ได้เลือนหายไปไหน เสื้อสีขาวและเสื้อคลุมสีฟ้า
คือสัญลักษณ์ของการปฏิสนธินิรมลงั้นหรือ
ระหว่างรอเวลาท่านก็ได้แสดงออกถึงชีวิตสวดภาวนา ยัญบูชา
และกิจเมตตาอันซ่อนเล้นอันเป็นแบบอย่างและความเรียบง่าย ท่านยังอุทิศตนเป็นพิเศษต่อทั้งศีลมหาสนิท
พระมหาทรมานของพระสวามี และการปฏิสนธินิรมลของแม่พระ อันจะเป็นลักษณะของคณะใหม่นี้
วันละนิด
ท่านเฝ้าอดทนรอวันนั้นวันที่คณะใหม่จะถูกตั้งขึ้น จนล่วงไปถึง 30 ปี ที่สุดในปี
ค.ศ.1484 แขกคนสำคัญก็ได้เดินทางมายังอาราม บุคคลนั้นคือพระราชินีอิซาเบล
ผู้เคยหมายเอาชีวิตท่านไปครั้งหนึ่ง
ในวันนี้พระเสด็จพระดำเนินมาเพื่อขอคำภาวนาสำหรับสถานการณ์บ้านเมืองต่างๆในขณะนั้น
และก่อนพระนางจะทรงอำลาท่านนั้น
พระนางก็ได้แสดงออกถึงความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลืออะไรบางอย่าง
พระนางได้เสนอปราสาทใกล้วัดซานตา เฟ ใน โตเลโด แก่ท่าน
เพื่อเริ่มงานที่ท่านต้องการ ทันทีท่านก็ได้แลเห็นการเสนอนี้ในหัตถ์แห่งพระญาณสอดส่อง
มันถึงเวลาแล้ว
ข่าวเรื่องคณะใหม่แพร่ไปอย่างรวดเร็วในบริเวณใกล้เคียง
มีธิดามากมายต่างพากันมาสมัครจากหลากหลาย แต่มีจุดหมายเดียวกันคือเข้าคณะ “พระแม่ผู้ปฏิสนธินิรมล”
อันมีการดำเนินชีวิตนักพรตที่เคร่งคัดในความเงียบและการทรมานร่างกาย
ตามจิตตารมณ์จากคณะภารดาน้อย
ไม่นานท่านก็รวมผู้สมัครได้สิบสองคนและได้ย้ายเข้าไปยังปราสาทที่พระราชินีอิซาเบลถวายในปี
ค.ศ.1484
ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นของคณะนี้ ด้วยอารามหลังแรกที่มีนามว่า “อารามซานตา เฟ”
คณะเจริญชีวิตห้าปีแรกตามกฎของคณะซิสเตอร์เซียนอย่างเคร่งคัด
เราอาจบอกได้ว่าท่านมีส่วนสำคัญในการสร้างจิตวิญญาณของบรรดาธิดาน้อยๆของท่าน
ผ่านการเป็นครูและมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์
จึงเป็นต้นแบบที่ดีของบรรดาธิดาน้อยของท่านทุกๆคนที่จะเลียนแบบวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของท่าน
ซิสเตอร์ทุกคนจะอาศัยอยู่ด้วยการบำเพ็ญพรตดั่งที่กล่าวไว้ข้างต้นในเขตพรตและการเพ่งพิศ
ภายใต้ชุดสีขาวพร้อมกับภาพของแม่พระล้อมรอบไปด้วยรัศมี สวมมงกุฎดาราสิบสองดวง
ตัดกับผ้าคลุมสีฟ้า พร้อมคาดเอวด้วยเชือกป่านแบบฟรานซิสกัน
ทุกสิ่งในตอนนี้ดูเหมือนจะครบแล้ว
แต่เอาจริงมันยังขาดสิ่งหนึ่งอยู่
นั่นคือการอนุมัติพระธรรมนูญและนามของคณะใหม่จากทางสันตะสำนัก
ท่านคอยเฝ้ารอกระทั้งวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1489 จู่ๆก็ปรากฏมีแขกแวะมายังอาราม
ท่านจึงออกไปต้อนรับที่ประตู
และพบกับอัศวินผู้นำข่าวอันเปี่ยมไปด้วยความน่ายินดีมาแจ้งว่า
สมเด็จพระสันตะบิดรทรงอนุมัติคณะของท่านแล้ว และตอนนี้มันกำลังถูกส่งมาทางทะเล
ไม่ต้องบอกว่าเกิดอะไรขึ้นต่อ เพราะท่านๆก็คงรู้กันดี ใช่ ความสุขมากมายเอ่อล้นไปทั่วทุกอณูของอาราม เช่นเดียวกับเสียงร้องเพลงและการฉลอง
แต่อัศวินนั้นคือใคร
แล้วเขารู้ได้ไงว่าพระสันตะบิดรทรงอนุมัติแล้ว ในเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1489 สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ ที่ 8 พึ่งทรงลงพระปรมาภิไธยอนุมัติพระธรรมนูญและคณะใหม่นี้อย่างเป็นทางการตามคำร้องของท่านและของพระราชินีอิซาเบลเสร็จ
เขาเป็นใครกัน ตามความเชื่อของท่านแล้วอัศวินผู้นี่คือ อัครเทวดาราฟาแอล
ที่ท่านศรัทธาและสวดต่ออัครเทวดาองค์นี้เป็นประจำตั้งแต่ยังน้อยนั่นเอง
แต่ จุ๊ๆ
การทดลองยังไม่จบ เพียงไม่กี่วันถัดมาก็ปรากฏข่าวว่าเรือที่นำกฤษฎีกามานั้นเกิดล่ม
เป็นระยะเวลาถึงสามเดือนจึงมีการยืนยันแน่ชัดว่าเรือลำนี้หายสาบสูญไปในทะเลจริงๆ
ที่จุดนั้นเรื่องนี้ทำให้ทุกข์ใจยิ่งนัก มันจะเป็นสัญญาณจากพระญาณสอดส่องหรือไม่
ท่านทำได้เพียงเฝ้าสวดภาวนาหน้าตู้ศีลเพื่อคณะของท่าน พร้อมด้วยบรรดาธิดาของท่าน ด้วยความเชื่อที่มิแปรผัน
เพราะพระแม่ย่อมไม่ปล่อยให้งานของพระแม่ล่มกลางทางเป็นแน่
เพียงแค่มันเป็นความล่าช้าที่เกินคำนวณได้เฉยๆ….
ท่านอดอาหารและสวดอย่างนี้ตลอดสามวัน
กระทั้งในเช้าของวันที่สี่ ขณะท่านเปิดหีบเพื่อเอารายการที่จำเป็น
ท่านก็พบกับม้วนกระดาษหนึ่งวางอยู่เหนือสุด
ซึ่งท่านคิดเท่าไรๆท่านก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
ท่านสัมผัสได้ว่ามันมีกลิ่นของทะเลที่ค่อนข้างแรง มันทำให้ใจของท่านเริ่มหวั่น “ข้าแต่พระเจ้า
นี่ดูเหมือนว่าเป็นพระราชกฤษฎีกาเลย”
ท่านตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาและพบว่ามันมีตราประทับ ก่อนค่อยๆคลี่มันออกนิดหน่อย แล้วใช้ทักษะที่ท่านมีในการอ่านภาษาละตินไม่กี่ตัว
ก็พอทำให้ท่านรู้ว่าสิ่งนี้มีคุณสมบัติเหมือนพระราชกฤษฎีกา
แต่เพื่อความชัวร์ท่านจึงส่งไปให้พระสังฆราชพิสูจน์ ใช่แล้วเมื่อตรวจดู นี่ก็คือคือพระราชกฤษฎีกาเดียวกันที่สมเด็จพระสันตะปาปาทรงอนุมัติคณะใหม่ของท่าน
ลงวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1489 จริงๆ แต่แล้วใครละ เป็นคนเอามันมาจากเรือที่จม เช่นเดิมท่านเชื่อว่าคืออัครเทวาราฟาแอลนั่นเอง
เอวังเมื่อเหตุการณ์เป็นดังนั้นแล้ว ในวันที่ 2 สิงหาคม
ค.ศ.1490 ชาวเมืองและบรรดาซิสเตอร์ก็ได้จัดขบวนแห่ “พระราชกฤษฎีกาอัศจรรย์”
จากอาสนวิหารมายังอารามอย่างยิ่งใหญ่
พิธีมิสซาในวันนั้นประกอบโดยพระสังฆราชพระคุณเจ้าการ์เซีย
และวันเดียวกันคณะฟรังซิสกันประกาศว่าอีกสิบห้าวันจะมีพิธีรับชุดคณะของพวกท่าน
ห้าวันต่อมาขณะเตรียมตัวสำหรับพิธีที่เฝ้ารอ
ยามท่านสวดภาวนา พระมารดาพระเจ้าก็ได้ประจักษ์มาหาท่านเป็นครั้งสุดท้าย
พระนางทรงตรัสกับท่านว่า “ลูกสาวของแม่ มันไม่ได้เป็นความประสงค์ของพระบุตรของแม่และแม่เองที่ลูกสนุกบนโลกอันเป็นสิ่งที่ลูกปรารถนา อีกสิบวันนับจากนี้ลูกจะอยู่กับแม่บนสวรรค์” หลังจากนั้นท่านก็เริ่มล้มป่วยลงและเผยนิมิตของท่านแดคุณพ่อวิญญาณณารักษ์
ท่านมิได้กลัวอันใดตลอดวันที่เหลือ
ท่านเจริญชีวิตด้วยความสงบและความวางใจในพระผู้ที่ท่านรักที่สุด
กระทั้งในวันที่
16 สิงหาคม ค.ศ.1490 ท่านก็ได้รับชุดคณะสมความปรารถนา
ในเวลาที่ผ้าคลุมศีรษะสีขาวที่คลุมใบหน้าของท่านถูกเผยขึ้น
หลังจากมันถูกปิดมานับตั้งแต่ท่านออกจากราชสำนัก
เพื่อรับการเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์
ก็ต้องทำให้ทุกคนถึงกับประหลาดใจด้วยใบหน้าของท่านนั้นส่องสว่างและงดงามปราศจากเค้าแห่งความชรา
ที่หน้าผากของท่านนั้นก็ปรากฏดาราอันงดงามส่องแสงสุกสกาว กระทั้งเมื่อลมหายใจสุดท้ายขาดลงไป
ดารานั้นจึงอันตรธานหายไป
ในวัย 66 ปี ท่านได้จากไปในชุดคณะที่เฝ้ารอมานาน
ท่ามกลางความศักดิ์สิทธิ์ ร่างของท่านได้รับการพักผ่อนในวัดของคณะในโตเลโด ส่งกลิ่นหอมไปทั่วเป็นอัศจรรย์นับครั้งไม่ถ้วน
คณะของท่านแพร่ขยายไปทุกที่ทั้งในยุโรป เอเชีย แอฟริกาและอเมริกา
ตามแบบฉบับฟรังซิสกันขั้น 3
หลังจากนั้นในวันที่ 28 กรกฎาคม
ค.ศ.1926 สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 11
ก็ได้ทรงสถาปนาท่านขึ้นเป็นบุญราศี และที่สุดแห่งการรอคอยในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ.1976 พระศาสนจักรก็มีความยินดีที่จะบันทึกนามท่านไว้ในสารบบนักบุญ
โดยการอนุมัติของสมเด็จพระสันตะปาปาเปาโล ที่ 6
สำหรับประเทศไทยยังไม่มีอารามของคณะนี้ในประเทศโซนทวีปเอเชีย
คณะมีอารามที่ประเทศญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์และเกาหลีใต้
แต่เป็นแขนงอีกอันมิใช้แบบดั้งเดิม เป็นสายงานธรรมทูต ซึ่งตัวผู้เขียนเองแล้วก็แอบหวังลึกๆให้คณะมาตั้งอารามสายนักพรตในไทย
(แต่เอ๊ะแค่นี้กระแสเรียกก็แทบจะขาดอยู่แล้วนะ)
แต่สุดท้ายผู้เขียนก็ขอมอบทุกสิ่งไว้แด่แม่พระเถิด ถ้า แม่ประสงค์คณะของแม่ก็ยังไทยเอง
ขอแนะนำคณะคร่าวๆคณะนี้มีแก่นสำคัญคือการสวดภาวนาและการทำงานรับใช้พี่น้อง
“ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มกิจการดีนี้ในท่านแล้ว
จะทรงกระทำต่อไปให้สำเร็จบริบูรณ์จนถึงวันของพระคริสตเยซู” (ฟิลิปปี 1:6)
เช่นเดียวกันในการตั้งคณะใหม่นี้ท่านได้มอบความวางใจในพระอย่างสูงเลยทีเดียว
ดูได้จากตอนที่พระราชกฤษฎีกาหายไป แทนที่ท่านจะวิ่งเต้นหาวิธีเอามันคืนมาด้วยวิธีต่างๆท่านกลับมอบความวางใจในพระด้วยการสวดภาวนาและอดอาหาร ด้วยความเชื่อว่ายังไงๆแม่พระก็ต้องดูแลงานนี้เพราะคืองานของพระ
นี่เป็นหนึ่งในคุณธรรมที่เราควรจะหยิบยกขึ้นมาเลียนแบบจากชีวิตของท่าน ไม่ใช่เพียงเท่านั้นชีวิตทั้งหมดของท่านคือการวางใจจริงๆ
เราต้องพยามเลียนแบบความวางใจนี้ให้ได้ แม้ซักนิดก็ยังดี ให้เราเพิ่มความวางใจ
วางใจ วางใจ ให้มากๆ วางใจในพระเมตตา วางใจพระญาณสอดส่อง และวางใจในพระองค์
ผู้เดียว
“ข้าแต่แม่พระผู้ปฏิสนธินิรมลและท่านนักบุญเบียตริส ดา ซิลวา
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง