ข้ารับใช้พระเจ้าเซลีน กานนาไนกาล
Servant of
God Celine Kannanaikal
บุพผาชาติน้อยๆ
ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ.1931 ที่กุนดานูร์ ในเขตอัครสังฆมณฑลธิซซูร์ รัฐเกรละ
ในครอบครัวของนายโปรินชู กานนาไนกาล กับ นางปลาเมนา ปูลิโกตตี ที่มีบุตรชาวหัวปีได้หนึ่งคนดังนั้นท่านจึงเป็นคนที่สอง หลังจากนั้นน้องชายอีกสี่คนกับน้องสาวอีกคนก็คลานตามท่านนออกมา ถัดจากนั้นท่านก็ได้รับศีลล้างบาปในอีกสิบวันถัดมา
ที่วัดแม่พระแห่งภูเขาค์แมล กุนดานูร์
ตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์ท่านก็ถูกดึงดูดชีวิตภาวนาและเรียบง่าย
ท่านเป็นแรงบัลดาลใจของน้องๆในบ้านและเพื่อนๆที่โรงเรียนด้วยนิสัยที่โอบอ้อมอารีและน่ารัก
หลังจากจบการศึกษาแล้วท่านก็ไปทำงานเป็นครูในโรงเรียนอารามมารีย์วิสุทธิวงศ์
อัมบากาด และโรงเรียนนักบุญโทมัส ย.พ. กูราชูนด์ และที่สุดผ่านความช่วยเหลือและคำแนะนำจากคุณพ่อเจ้าวัด
ท่านก็สามารถไล่ตาม “กระแสเรียก” ที่ดวงใจท่านหวงแหนมาแต่ครั้งวัยเยาว์ ได้ ณ อารามที่กานนูร์ ของคณะอุสุรินแห่งพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ.1954 ด้วยวัย 23 ปี
ชีวิตในฐานะนวกะเณรีในคณะนี้ของท่านเริ่มขึ้นหลังวันพระคริสตสมภพหนึ่งวันในปีเดียวกันนั้นเอง
ชีวิตในฐานะนวกะของท่านนั้นมิได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเลยซักนิด ตรงข้ามมันกลับเป็นเวลาที่ท่านต้องพบกับกางเขนที่หนักหน่วงอีกครั้งชนิดที่ว่าก่อให้เกิดความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจอย่างที่จะหาคำใดมาอธิบายได้
หากจะกล่าวซิสเตอร์เซลินมอบความรักเป็นพิเศษต่อการตรึงกางเขน
ท่านปรารถนาจะมีชีวิตและรับทรมานเพื่อพระเยซูเจ้า
แน่นอนองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาตให้ท่านได้รับความทุกข์ทรมานสุดจะพรรณนา
ซึ่งหลายครั้งมันทำให้ท่านถึงกับสิ้นสติ
บรรดาผู้ได้เห็นท่านทุกข์ทรมานต่างต้องรีบวิ่งออกจากห้องไปด้วยมิอาจทนดูได้
คำภาวนาอันเรียบง่ายของท่านคือ “ขอให้ความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์จงสำเร็จได้ในตัวลูกและผ่านตัวลูกเอง
ในทุกที่ และทุกเวลา” ถามว่าท่านทนได้อย่างไร คำตอบง่ายๆก็คือความเชื่อเช่นเด็กน้อยต่อพระบิดาในสรวงสวรรค์และแม่พระ
พร้อมกับการดูแลและความอ่อนโยนของคุณแม่สเตฟาเนีย มูเรลลี นวกจารย์ของท่าน
มันก็ช่วยให้ท่านสามารถอดทนต่อกางเขนที่พระทรงวางบนไหล่ของท่านได้อย่างมีสันติ
“มีชีวิตอยู่เสมอในการสถิตอยู่ของพระเจ้า ทำทุกสิ่งแม้กระทั้งเรื่องเล็กน้อยที่สุดด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่
เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าและความรอดของวิญญาณทั้งหลาย” คือวิธีที่ท่านเลือกเพื่อจะบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์และพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระเยซูเจ้า
ท่านปรารถนาให้วิญญาณของท่านหลอมละลายและถูกปั้นขึ้นมาเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความงามและพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าผู้ทรงกรุณา
ท่านถวายตนเป็นยัญบูชาบนพระแท่นของความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้พระอาณาจักรของพระองค์ได้รับการสถาปนาขึ้นในทุกๆดวงใจของทุกคน
และหากจะว่าท่านรักเจ้าบ่าวของท่านแค่ไหน
ก็จัดได้ว่าสุดหัวใจน้อยๆของท่าน วิญญาณของท่านอาศัยอยู่เพียงเพื่อสิ่งเดียวคือการตอบสนองน้ำพระทัยของพระเยซูเจ้าเจ้าบ่าวของท่าน
สิ่งที่ท่านค้นพบก็คือ “ทางลัดไปยังดวงหทัยของพระเจ้า” ส่วนชีวิตนวกะของท่านแรงกล้าและเคร่งครัดในคุณธรรมของความนบนอบ
ความถ่อมตนและความเอื้ออาธรในลักษณะที่เรียกได้ว่าน่าทึ่งเลยทีเดียว
ท่านเป็นนวกะได้ราวปีกว่าๆ
พิธีปฏิญาณตนครั้งแรกของท่านจึงถูกจัดขึ้นในวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ.1957
และในวันเดียวกันนั้นคู่สมรสก็ได้ประจักษ์มาบอกท่านว่าพระองค์จะทรงมารับท่านในอีกไม่ช้า
ซึ่งก็เป็นจริงเพราะเพียง 35
วัน หลังจากเข้าพิธีปฏิญาณตนในเย็นวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ.1957 พระเยซูเจ้าก็ได้ทรงนำบุพผาชาติดอกนี้ไปไว้ ณ
พระแท่น ในเมืองสวรรค์อย่าสงบด้วยอายุรวม 26 ปี พร้อมสัญญาที่ว่า “เมื่อดิฉันบรรลุถึงสวรรค์แล้ว
ดิฉันจะขอพระเยซูเจ้าให้ทรงรักษาบาดแผลในหัวใจของคุณและเช็ดหยาดน้ำตาจากดวงตาของคุณ”
อัศจรรย์ที่ยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่านตามความความเชื่อ
มีอยู่ว่ามีครั้งหนึ่งมีชายไม่ค่อยสมประกอบได้เกิดอาละวาทและเริ่มทำลายหลุมศพของซิสเตอร์คณะอุสุรินแห่งพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมลซึ่งหนึ่งในนั้นมีหลุมของท่านรวมอยู่ด้วย
ฉับพลันก็มีเสียงจากหลุมท่านดังขึ้นว่า “หยุดล่วงเกินได้แล้วนะ” หลังจากเหตุการณ์นั้นก็มีเพียงหลุมของท่านเท่านั้นที่รอดมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
กระบวนการของท่านถูกเริ่มขึ้นในวันที่
28 กรกฎาคม ค.ศ.2007 และยังอยู่ในระหว่างรออัศจรรย์ผ่านการเสนอวิงวอนของท่าน
ขณะนี้ร่างของท่านได้ถูกย้ายไปไว้ยังวัดหลังใหม่ของบ้านแม่ของคณะในพันธกิจที่อินเดีย
ใน กาลนูร์ รัฐเกรละ ประเทศอินเดีย
แต่อย่างไรผู้คนมากมายก็ได้รับการปลอบประโลมใจจากท่านตามคำที่ท่านสัญญาไว้ภาวนาคำภาวนาน้อยๆต่อท่าน
“ถึงแม้ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตร
ก็ยังทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังโดยการรับทรมาน” (ฮบ 5.8)
ดูเถิดพี่น้องที่รักขนาดพระเยซูเจ้าผู้ทรงสูงส่งกว่าชาวเรา
ผู้ทรงเป็นต้นแบบของชาวเรายังทรงนบนอบต่อน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อให้กิจการทุกอย่างที่พระองค์ทรงถูกกำหนดไว้นั้นสำเร็จไปได้ผ่านตัวพระองค์เอง
ดังนั้นเช่นกันเราในฐานะคริสตชน ลูกของพระเจ้า
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนบนอบต่อน้ำพระทัยของพระที่มีต่อเรา
เราจำเป็นต้องเป็นเครื่องมือของพระเพื่อให้กิจการอันดีเลิศของพระองค์สำเร็จไปได้
ทั้งบนโลกนี้และในสวรรค์ เราต้องเลียนแบบพระคริสตเจ้ามิใช่หรือ ถ้าใช้คุณธรรมอีกประการที่เราควรมีคือ
“อ่อนน้อม” นั่นเอง
จำคำพูดของซิสเตอร์เซลินได้ไหม ท่านกล่าวว่า “ขอให้ความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์จงสำเร็จได้ในตัวลูกและผ่านตัวลูกเอง
ในทุกที่ และทุกเวลา” นี้แหละอีกแบบอย่างที่พระแสดงให้เราเห็นว่าเรื่องนบนอบไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้
“ข้าแต่ท่านข้ารับใช้พระเจ้า เซลีน กานนาไนกาล
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง