วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

"แม่พระแห่งซีลูวา" ขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ของลิทัวเนีย


แม่พระแห่งซีลูวา
Our Lady of Siluva

ประเทศลิทัวเนีย เป็นประเทศหนึ่งที่ตั้งอยู่ในยุโรปตะวันออกบนชายฝั่งของทะเลบอลติก มีพรมแดนทางภาคเหนือติดกับประเทศลัตเวีย ทางภาคใต้และตะวันออกติดกับประเทศเบลารุส และทางภาคตะวันตกติดกับประเทศโปแลนด์และรัสเซียบางส่วน ดั้งเดิมมานั้นลิทัวเนีบมิได้มีศาสนาใดๆ กระทั้งในปี ค..1251 เมื่อเจ้าชายยากีลโล แห่ง ลิทัวเนีย ทรงเข้าพระราชพิธีเสกสมรสกับนักบุญเจดวิกา แห่ง โปแลนด์ พระองค์และประชาชนก็ได้กลับใจมาเป็นคริสตชน

แต่เนื่องจากการโจมตีและปล้นสะดมของอัศวินทิวทอนิก ทำให้การแพร่ธรรมเกินการหยุดชะงัก กระทั้งในปี ค..1410 เมื่ออัศวินทิวทอนิกพ่ายแพ้ต่อพระเจ้าวีเตาตัสมหาราช หลังจากนั้นที่ปรึกษาคนสนิทของพระเจ้าวีเตาตัส อันเป็นคริสตชนใจศรัทธานาม เปตรัส  เกียดเกาดัส ก็ได้สร้างวัดหลังแรกขึ้นที่ซีลูวาเพื่อถวายเกียรติแด่แม่พระบังเกิดในปี ค..1457  ซึ่งหลังจากถวายวัดได้ไม่นานอัศจรรย์มากมายก็พลันบังเกิดขึ้น จนทำให้วัดหลังนี้กลายเป็นที่แสวงบุญของบรรดาผู้ศรัทธาแม่พระที่หลังไหลมา โดยเฉพาะในวันที่ 8 กันยายนของทุกปีคริสตชนลิทัวเนียจะพากันมายังที่นี่เพื่อร่วมฉลองแม่พระบังเกิดเสมอ



ต่อมาก็เกิดไฟไหม้บางส่วนของวัดในอีกสีสิบปีต่อมา จึงมีการสร้างวัดหลังที่สองขึ้นในปี ค..1500  โดยอันดิว ซาวีซา ผู้รับมรดกต่อจากเปตรัส  ณ ตรงนี้ ขอกล่าวกับมาถึงพระรูปภายในวัดอันเป็นไอคอนลักษณะแบบแม่พระแห่งหนทาง มีลักษณะคล้ายๆกับพระรูปแม่พระผู้พิทักษ์ชาวโรมัน ที่ประดิษฐานอยู่ที่มหาวิหารซานตา มารีอา มาจจอเร่ กรุงโรม ตามตำนานเล่าว่าพระรูปที่วัดซีลูวานี้ถูกนำมาจากโรมเพื่อเป็นของขวัญแก่เปตรัส  เกียดเกาดัสในปี ค.. 1457

แต่แล้วเมฆฝนครั้งยิ่งใหญ่ก็ได้มาเยือนยังสักการสถานอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เมื่อผู้ปกครองในพื้นที่เกิดกลับใจเป็นโปสแตสแตนต์นิกายคาลวินที่ร้อนรนเช่นเดียวกันกับบรรดาบุคคลชั้นสูงและปัญญาชนทั้งหลาย ในปี ค..1532 ทำให้คริสตชนในซีลูวาเริ่มถูกเบียดเบียนจนที่สุดแล้ววัดก็ถูกยึดและถูกเปลี่ยนไปเป็นนิกายคาลวิน ไม่เพียงเท่านั้นด้วยอิทธิพลของโปรแตสแตนต์ในสมัยนั้น ในปีเดียวกัน ยอห์น ซาวีซา ทายาทของอินดิวพร้อมด้วยขุนนางลิทัวเนียก็ได้พร้อมใจกันหันไปเข้านิกายลูเธอร์ลัน



ซึ่งแม้เขาจะเป็นเจ้าของที่ดินของวัด เขาก็หาได้ใยดีไม่ ตรงข้ามเขาได้สร้างโบสถ์นิกายลูเธอร์ลันขึ้นไม่ห่างจากวัดหลังนี้เท่าไรนัก  หากมองกลับไป ณ ตอนนั้นซีลูวามิได้เป็นดินแดนคริสตังอีกต่อไปตรงข้ามมันกลายเป็นดินแดนของลูเธอร์ลันอันเข็มแข็งกระทั้งในปี ค..1550 เมื่อมีนิกายคาลวินเริ่มเข้ามา ในปี ค..1551 ที่ดินผืนนี้ก็ตกเป็นของน้องชายของยอห์น

แต่ก่อนที่คริสตังจะหายไป คุณพ่อเจ้าวัดองค์สุดท้ายในเวลานั้น ก็ได้รับการดลใจจากสวรรค์ คุณพ่อจึงตัดสินใจสร้างกล่องที่แข็งแรงมากๆขึ้น  แล้วบรรจุภาพไอคอนประจำวัด อุปกรณ์มิสซา และเอกสารที่พิสูจน์ว่าพระเจ้าวีเตาตัสมหาราชได้ถวายที่ดินนี้แก่พระศาสนจักรไว้ในกล่องนั้น ก่อนปิดผนึกและนำไปฝังไว้ใกล้ๆโขดหินขนาดใหญ่  อันเป็นช่วงเวลาสั้นๆก่อนที่วัดหลังนี้จะถูกยึดและถูกทำลายลงอย่างพอดิบพอดี แต่กระนั้นอย่างไรก็ไม่มีใครรู้เลยว่ามันอยู่ที่ไหน



จนทีละนิด ละนิด กาลเวลาก็ค่อยๆผ่านไปถึงแปดสิบปี กลุ่มคริสตังก็ค่อยๆเลือนหายไปจากความทรงจำของทุกคน ยกเว้นคนเฒ่าคนแก่ที่ยังพอจำอย่างเลือนรางได้ว่าที่นี่เคยมีวัดคาทอลิก  ทุกอย่างดำเนินต่อไปตามปกติบรรดาเยาวชนรุ่นต่อๆมาต่างถูกสอนตามความเชื่อลูเธอร์ลัน กระทั้งวันหนึ่งในฤดูร้อน ปี ค..1608  ขณะบรรดาเด็กเลี้ยงแกกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานในเขตชานหมู่บ้านซีลูวา ใกล้ๆกับก้อนหินขนาดใหญ่ๆติดกับป่า บนทุ่งหญ้าสีเขียว

พวกเขาต่างพาตะโกนโต้ตอบกันไปมาอย่างสนุกสนานตามประสาเด็กๆ ทันใดนั้นเองพวกเขาก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้ดังขึ้นมาและพบกับสตรีนางหนึ่งอุ้มทารกอยู่ในอ้อมแขนยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่นั้น สตรีนั้นช่างงดงาม แต่กำลังร้องไห้อย่างขมขื่นปานประหนึ่งใจจะขาด เธอเต็มไปด้วยความเศร้าโศกอย่างชัดเจน เธอนั้นมิได้พูดอะไรกับพวกเขา คงทำเพียงมองไปยังพวกเขาด้วยความเศร้า  หยดน้ำตามากมายพรั่งพรูออกจากสองตานั้นอาบสองแก้ม บางกระเด็นตกสู่หินเบื้องล่าง เธอสวมชุดที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนคือมีผ้าคลุมไหล่สีฟ้าและเสื้อคลุมสีขาว ผมของเธอเป็นสีน้ำตาลยาวสลวยปรกไหล่ ทั้งเธอและทารกนั้นล้มอรอบไปด้วยแสงประหลาด หลังจากนั้นเมื่อเด็กๆเหล่านั้นกลับไปบ้านพวกเขาก็เริ่มเล่าถึงเรื่องที่พวกเขาเห็นมาแก่ทั้งพ่อแม่และญาติๆ



หนึ่งในนั้นวิ่งไปเล่าเรื่องนี้ให้ศาสนาจารย์ฟัง และด้วยปากต่อปากกันไปทำให้ในวันรุ่งขึ้นผู้คนก็ได้พากันแห่ไปยังที่สตรีนางนั้นปรากฏขึ้น บ้างก็พากันไปเย้ยหยันกันเสียงดัง แต่บ้างก็เชื่อเพราะบรรดาเด็กทุกคนต่างยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงทั้งน้ำตาอันซื่อๆ ซึ่งแม้จะจับสอบสวนทั้งแยกและหมู่ทุกคนก็ต่างตอบตรงกันแม้ในรายละเอียดที่เล็กที่สุด

ศาสนาจารย์และอธิการโรงเรียนศาสนาจารย์นาม ซาเลียโมนัส กรอซีอุส ก็ร่วมสังเกตการณ์ด้วย โดยศาสนาจารย์พยายามอธิบายว่าเป็นเรื่องหลอกเด็ก เขาอธิบายว่าความจริงมันคือปีศาจที่ต้องการชักจูงออกจากการเป็นชาวคริสต์นิกายคาลวินนี้ และขณะที่เขากำลังพูดเช่นนี้นี่เอง สตรีคนเดิมก็ได้ประจักษ์มาอีกครั้ง ณ จุดเดิม พร้อมทารกในอ้อมแขน ด้วยน้ำตาแห่งความเศร้าในตาคู่นั้น เช่นเดียวกันกับเมื่อวาน ณ จุดนี้สถานการณ์ตกอยู่ในความเงียบไม่มีใครกล้าแม้นจะปริปากด้วยความกลัวสุดชีวิต



คงมีแต่ศาสนาจารย์ที่พอรวบรวมความกล้าถามสตรีนั้นว่า เธอร้องไห้ทำไม เธอจึงตรัสตอบเขาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า แต่เดิมมา ณ ที่แห่งนี้  พระบุตรของแม่ได้รับเกียรติและความเคารพ แต่มาตอนนี้ลูกทุกคนต่างเอาเมล็ดมาหว่านและเพาะปลูกแทน กล่าวเสร็จสตรีนั้นก็หายไปในทันที  เหตุการณ์ครั้งนี้ทุกคนที่มา ณ ที่นั่นต่างเห็นด้วยการทั้งสิ้น จึงไม่เป็นประโยชน์ที่ศาสนาจารย์จะปฏิเสธมัน แต่อย่างไรเขาก็สรุปว่ามันคืออุบายของปีศาจ

เรื่องการประจักษ์นี้ลือไปถึงชายชราตาบอดวัยร้อยปีเศษในหมู่บ้านใกล้ๆ ซึ่งทำให้เขานึกได้ว่าเขาเคยช่วยคุณพ่อเจ้าวัดองค์สุดท้ายของซีลูวาฝังกล่องที่บรรจุสมบัติล่ำค่าของวัดไว้ข้างก้อนหินเมื่อคืนหนึ่งในแปดสิบปีที่แล้ว ดังนั้นเขาจึงขอให้ชาวบ้านช่วยพาไปที่นั่นเพื่อชี้จุด แต่ยังไม่ทันถึงสถานที่นั้น ดวงตาอันมืดบอดของเขาก็ได้รับการรักษาให้หาย มันทำให้เขาถึงกับต้องคุกเข่าลงด้วยความยินดีและความขอบพระคุณ ดังนั้นเขาจึงสามารถชี้จุดได้อย่างแน่นอน และเมื่อทำการขุดก็พบกล่องนั้นจริงๆและเมื่อเปิดออกก็พบตามนั้นคือพระรูป อุปกรณ์มิสซา และเอกสารต่างๆ



ซึ่งมีส่วนสำคัญในการต่อสู้ในชั้นศาลจนสามารถโอนที่ดินคืนมาได้ถึงจะใช้เวลานานนับ 10 ปี ก็ตาม วัดไม้หลังเล็กจึงเริ่มก่อรูปร่างขึ้นมา นำไปสู่อัศจรรย์มากมาย จนถึงปี ค..1641 จึงได้มีการสร้างวัดขนาดใหญ่ขึ้นใหม่เพื่อรองรับจำนวนผู้แสวงบุญที่หลั่งไหลกันมายังที่นี่พร้อมโรงเรียนฟรีสำหรับเด็กในหมู่บ้าน  หลังจากนั้นสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 6 ก็ได้ทรงประกาศรับรองการประจักษ์ครั้งนี้ในวันที่ 17 สิงหาคม ค..1775

จำนวนความศรัทธาต่อพระรูปนี้นับวันยิ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ต้องหยุดชะงักในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และการถูกปกครองโดยรัสเซีย จนในปี ค..1905 เมื่อลิทัวเนียได้รับเอกราช ผู้คนกว่า 30,000 คนก็ได้พร้อมใจกันมาร่วมฉลองแม่พระอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง ปัจจุบันวัดหลังปัจจุบันถูกสร้างในปี ค..1925 เหตุจากเกิดไฟไหม้วัดหลังเดิมที่เป็นศิลปะแบบเรเนซอง จากนั้นในปี ค..2002 วัดแห่งนี้ก็ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิหารแม่พระบังเกิด



ส่วนจุดประจักษ์นั้นได้มีการสร้างวัดครอบไว้อีกหลัง โดยวัดหลังปัจจุบันถูกสร้างขึ้น ค..1912 ในโอกาสครอบรอบ 300 ปี การประจักษ์ โดยมีลักษณะที่โดดเด่นมากๆ โดยส่วนหินที่แม่พระทรงประทับยืนนั้นถูกครอบด้วยพระแท่นไว้  ปัจจุบันเรายังสามารถมองเห็นหินนั้นได้จากทั้งสองด้านของพระแท่น โดยผู้แสวงบุญที่นั่นนิยมเดินเข่ารอบพระแท่น ก่อนก้มจูบหินที่ยื้นออกมา สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ได้ทรงมีโอกาสเสด็จมาภาวนาที่นี่ด้วยเช่นกัน

ซีลูวา กลายเป็น ลูร์ดแห่งลิทัวเนียและ ขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ของลิทัวเนียที่นี่พระแม่ได้ทรงนำบรรดาลูกแกะที่พลัดหายไปให้กลับคืนมา แม่พระแห่งซีลูวาไม่ใช่เพียงแค่รูปภาพและวัด แต่มากกว่านั้นแม่พระแห่งซีลูวาคือตัวแทนความเชื่ออันไม่มีที่สิ้นสุดของประเทศลิทัวเนีย ในทุกๆเวลาๆ การประจักษ์ครั้งนี้ยืนยันถึงนามของพระแม่ที่ว่า แม่คือ ราชินีประกาศก อย่างแท้จริง และยืนยันว่าแม่ไม่เคยทิ้งเราไปไหน แม้น้องคนสุดท้องของพระศาสนจักรยุโรปอย่างลิทัวเนียก็ตาม ที่ละทิ้งแม่ไปก็ตามสมนาม แม่



ข้าแต่แม่พระแห่งซีลูวา ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง


'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน ผู้ใหญ่ในคณะคนแรก ๆ ที่ท่านแสวงหา...