บุญราศีฟาเลนตินุส
ปากาย
Bl. Valentinus
Paquay
ฉลองในวันที่ : 1
มกราคม
คุณพ่อฟาเลนตินุส
ปากาย มีนามเดิมว่า ยอง ลูอิส ปากาย ท่านเป็นลูกคนที่ห้าจากบรรดาบุตรธิดาสิบเอ็ดคนนายเฮ็นดริก
ปากาย กับ นางอันนา เนเฟอ สองสามีภรรยใจศรัทธา
ที่ได้รับการปลูกฝังเรื่องความรักต่อทั้งพระและเพื่อนมนุษย์มาจากทั้งครอบครัวของทั้งสอง
ท่านเกิด ณ หมู่บ้านกูมาร์กท์ เมืองโตงเงอเริน ทางใต้ของมณฑลลิมเบิร์ก ในประเทศเบลเยียม
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน
ค.ศ.1828 ที่ครอบครัวท่านอาศัยทำอาชีพชาวนา
ชีวิตในวัยเยาว์ของท่าน
อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของการสวดภาวนา การทำงาน และความมุมานะ อันเป็นหนึ่งในมรดกที่ทั้งครอบครัวปากายและครอบครัวเนเฟอได้สานต่อกันมารุ่นสู่รุ่น
ที่ท่านสูดอย่างเต็มปอดมาตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลก
และเมื่อจบชั้นประถมศึกษาแล้ว จากโรงเรียน ท่านก็ได้เข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษา
ใน โรงเรียนของคณะกาโนน เรกูลาร์ แห่ง นักบุญออกัสติน ในเมือง
เพื่อศึกษาต่อด้านวรรณกรรม
จนท่านมีวัยได้
17 ปี
ในปี ค.ศ.1845 ท่านก็ได้เข้าบ้านเณรนักบุญทรอนด์
แต่ท่ามกลางความหวังของทั้งครอบครัวที่จะเห็นท่านได้เข้าบ้านเณรใหญ่ที่เมืองลีแยฌ
ท่านก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ที่จะเลือกเดินทางใหม่
เพราะบัดนี้ท่านได้พบ “กระแสเรียกแท้จริง” ของท่านแล้ว
ไม่ใช่การเป็นพระสงฆ์พื้นเมือง แต่มันคือการเป็นกุลบุตรของนักบุญฟรานซิส แห่ง
อัสซีซีต่างหากละ ดังนั้นด้วยเหตุฉะนี้ภายหลังจากได้รับอนุญาตจากมารดา
เพราะบิดาท่านสิ้นใจไปตั้งแต่ปี ค.ศ.1847แล้ว ในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ.1849 ท่านก็เริ่มเป็นนวกะของคณะภารดาน้อย ที่
อารามเมืองติลท์ ด้วยนามใหม่ว่า “ภารดาฟาเลนตินุส”
ท่านได้เข้าพิธีปฏิญาณตนในวันที่
4 ตุลาคม
ก่อนจะถูกส่งไปเรียนต่อด้านเทววิทยา ใน เมืองเบ็กเค็นเฮ็ม
และที่สุดท่านจึงได้รับศีลบรรพชาในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ.1854 ณ เมืองลีแยฌ
หลังจากนั้นคุณพ่ออธิการจึงได้ส่งท่านไปยังเมืองฮัสเซลท์
ในฐานะผู้ดูแลและผู้แทนคณะ ซึ่งระหว่างนั้นในปี ค.ศ.1890 และ ค.ศ.1899 ท่านก็ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะแขวงของคณะ
และในฐานะเหล่านี้
งานแรกของท่านก็คือ การอุทิศตนทำงานแพร่ธรรมและเทศน์อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ชนิดที่เรียกกันว่า “นอน สต็อบ” คำพูดของท่านไม่ใช่คำพูดสวยหรู
แต่คือคำพูดง่ายๆ ที่โน้มน้าวใจทุกคนที่ได้ฟัง ที่ทำให้ท่านกลายเป็นที่นับหน้าถือตาของบรรดาสัตบุรุษ
แต่อย่างไรก็ตาม ท่านก็ต้องหยุดงานเช่นนี้ลงในปี ค.ศ.1864 เมื่อท่านมีอาการไอเป็นเลือด
ฉะนั้นท่านจึงได้รับมอบหมายงานใหม่ที่ไม่ต้องใช้เสียงแทนในอาราม
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้น ของการอุทิศตนอย่างจริงจังต่อพันธกิจแห่ง “การฟังแก้บาป”ของท่าน ที่ต้องอยู่ทั้งในที่แก้บาปและที่บ้านคนป่วยหรือใกล้ตายยามมีคนมาตาม
ซึ่งในฐานะนี้ ท่านก็พร้อมเสมอที่จะปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือวิญญาณนี้อย่างแข็งขัน ไม่ว่าเวลาไหน
ท่านพร้อมต้อนรับทุกๆคนด้วยความยินดีเสมอ
จนมีหลายคนเปรียบว่าเป็นดั่งตำบลอาร์สที่มีนักบุญยอห์น มารี เวียนเนย์ อยู่
ซึ่งจากคำของพยาน หลายคนยืนยันว่าท่านได้รับพระพรหยั่งรู้มโนธรรม การทำนายและการเจาะใจ
หลายครั้งต่อหลายครั้งเมื่อมีผู้ฟังแก้บาปลืมสารภาพบาป
ท่านก็จะสามารถเอ่ยบาปนั้นออกมาได้อย่างถูกต้อง
มีการกล่าวกันว่าเป็นเวลานับแสนชั่วโมง
ที่ท่านนั่งรับฟังทุกคนอย่างเงียบๆด้วยความเรียบง่าย คอยปลอบประโลมใจพวกเขา
ด้วยรักชนิดไม่มีกั๊ก ในห้องแก้บาปตั้งแต่ที่วัดพระนางมารีย์ วัดประจำเมืองฮัสเซลท์
ที่ท่านประจำในตู้แก้บาปซึ่งปัจจุบันก็ยังคงอยู่ที่วัดนี้
ในที่เดิมของมันทางขวามือของตัววัด ท่านประจำอยู่ที่นี่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1858-ค.ศ.1867 และที่อารามฟรังซิสกัน
ที่ท่านย้ายไปตั้งแต่ ค.ศ.1867 จนเราอาจกล่าวได้เลยว่าท่านได้ทำให้แก้บาปของพวกเขาไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ของศีลอภัยบาป
ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไร
ที่พระสงฆ์คนนี้จะมีความหมายมากมายแก่ชาวฮัสเซลท์ทุกคน
ความศรัทธาพิเศษ
ท่านมีความศรัทธาเป็นพิเศษต่อศีลมหาสนิท ท่านถือเป็นอีกหนึ่งคนที่สนับสนุนการรับศีลบ่อยๆ
นอกจากนั้นท่านยังมีความศรัทธาเป็นพิเศษต่ออีกสองสิ่งคือหนึ่งดวงพระหฤทัย
ที่ท่านมักรำพึงถึงบ่อยๆ
ทั้งยังเผยแพร่ความศรัทธานี้ให้กับกลุ่มคณะฟรังซิสกันขั้นสาม ซึ่งท่านเป็นจิตตาธิการให้ถึง
26
ปีอีกด้วย และสองคือความศรัทธาเป็นพิเศษต่อพระมารดาเจ้า
ที่ท่านรู้จักดีมาตั้งแต่วัยเยาว์ ที่บรรดาสัตบุรุษ ณ บ้านเกิดของท่านเรียกขานว่า “เหตุแห่งความยินดี”
ซึ่งในฐานะฟรังซิสกัน
ท่านก็ได้มอบความศรัทธาเป็นพิเศษต่อนาม “ผู้ปฏิสนธินิรมล” รหัสธรรมล้ำลึกที่ได้รับการประกาศในปีเดียวกับกับที่ท่านได้รับศีลอนุกรม
ซึ่งความศรัทธานี้แรงกล้ามากถึงขนาดที่ว่า ในโอกาสครบรอบห้าสิบปีของการประกาศ
แม้จะป่วยหนักแค่ไหนท่านก็ลุกมาถวายมิสซาในวันนั้นให้ได้
และนอกจากความศรัทธาเหล่านี้แล้ว สิ่งสุดท้ายที่ทุกวันของท่านขาดไม่ได้เลย
นั่นก็คือการเดินรูป รำพึงถึงพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า
ในช่วงสุดท้ายของชีวิต
แม้จะเป็นต้อกระจก และมีปัญญาเรื่องหัวใจในปีสุดท้ายของชีวิต ท่านก็ยังคงฟังแก้บาปอย่างไม่หยุดหย่อน
กระทั้งสามสัปดาห์สุดท้ายบนโลกนี้ของท่าน ท่านจึงหยุดฟังแก้บาปและหยุดงานต่างๆ
เพื่อพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องโดยจะคอยมีพระสงฆ์มาส่งศีลให้ท่านทุกวันที่เตียง
จนถึงวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1905 ท่านก็คืนวิญญาณไปหาพระเป็นเจ้าอย่างสงบด้วยวัย 77 ปี จากโรคมะเร็ง
ภายหลังพิธีปลงศพที่มีผู้คนมาร่วมอย่างคับคั่ง
ร่างของท่านก็ถูกฝังที่สุสานเก่าประจำเมือง
ซึ่งไม่นานก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นสถานที่แสวงบุญของผู้เคารพใน ‘คุณพ่อน้อยผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งฮัสเซลท์’ หลังจากนั้นในปี
ค.ศ.1926 ก็ได้มีการย้ายร่างของท่านมายังบริเวณที่เรียกกันว่ามินเดอร์บรูเดอร์สตราทในเมืองฮัสเซลท์
ที่มีการสร้างวัดน้อยขึ้นเพื่ออุทิศแด่ท่านข้างๆวัดของคณะ และหลังจากมีอัศจรรย์ ในวันที่
9 พฤศจิกายน ค.ศ.2003 สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี
“เราจะเป็นเหมือนน้ำค้างสำหรับอิสราเอล เขาจะผลิดอกเหมือนดอกลิลลี่
เขาจะหยั่งรากเหมือนต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน กิ่งก้านของเขาจะแผ่ขยาย
เขาจะงดงามเหมือนต้นมะกอกเทศ และมีกลิ่นหอมเหมือนเลบานอน”(โฮเชยา 14:6-7)
นี่คือพระสัญญาของพระเจ้าต่อชนชาติอิสราเอลที่ขณะนั้นได้หลีกลี้ไปจากพระองค์ผู้ทรงเป็นต้นธารแห่งชีวิต
พระสัญญาที่ได้บอกถึงผลแห่งการชิดสนิทกับพระเป็นเจ้า
พระสัญญาซึ่งในเวลานี้ไม่จำกัดแม้แต่ต่อชนชาติอิสราเอล แต่เป็นพระสัญญาที่มอบแด่เราทุกๆคนที่ถูกบาปเข้าแทรกกลางระหว่างเรากับพระ
จนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระค่อยๆหมางเมินไป ความสัมพันธ์ที่พระองค์ทรงเปรียบในรูปของสามีและภรรยา
คุณพ่อฟาเลนตินุสได้ตระหนักถึงผลแห่งการชิดสนิทกับพระเป็นอย่างดี
ท่านจึงได้อุทิศตนอย่างร้อนรนในการนั่งฟังแก้บาปเป็นเวลานาน เพราะอาศัยการถ่อมใจไปแก้บาปช่องว่างระหว่างเรากับพระผู้ทรงเป็นน้ำค้างสำหรับแดนเนรเทศนี้ก็จะยิ่งแคบลง
จนที่สุดก็จะหายไป ฉะนั้นเวลานี้ชีวิตของคุณพ่อจึงได้เรียกร้องให้เราหมั่นไปแก้บาปอย่างดีเพื่อที่ว่า
อาศัยการคืนดีกับพระนี้ เราก็จะได้สัมผัสถึงความรักที่ลุกร้อนของพระ พระเมตตา
และพละกำลังที่จะก้าวออกไปรักและให้การคืนดีกับผู้อื่นสมดังเจตนารมณ์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสที่มีต่อปีศักดิ์สิทธิ์นี้
ท้ายสุดนี้ขอให้ไฟแห่งรักที่เราได้สัมผัสจากศีลอภัยบาป ได้รุนเร้าเราทุกคนให้ไม่อาจอยู่เฉยๆได้ จนจำต้องนำความรักนี้ไปมอบแก่คนอื่นๆด้วยเทอญ
อาแมน
“ข้าแต่ท่านบุญราศีฟาเลนตินุส ปากาย
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง