วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2559

"พัค ฮี ชุน" นางในผู้ศักดิ์สิทธิ์


นักบุญลูเชีย พัค ฮี ชุน
St.  박희순 루치
ฉลองในวันที่ : 20 กันยายน

สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดมาทำให้ชิมาหรือกระโปรงพันรอบตัวแบบเกาหลีพลิ้วไหวไปตามแรงลม เส้นผมสีดำขมับถูกเก็บเรียบไว้เป็นเปียสวย ซึ่งถูกรวบไว้ด้วยโบว์สีแดงสด ไม่ได้ปล่อยยาวเพื่อเป็นการบอกถึงฐานะแห่งกุงเนียว หรือ นางกำนัลในวัง ร่างนั้นมีด้วยท่วงทีเรียบร้อยสมดั่งที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี อีกทั้งคำพูดคำจาก็ไพเราะเสนาะหู แต่แม้จะดูๆไปแล้วจะเหมือนกับกุงเนียวคนอื่นๆ อันเป็นดั่งบุพผาชาติแห่งวังหลวงทั่วไป ใบหน้าอันคมคายของพัค ฮี ชุนนี้ก็โดดเด่นออกมา จนต้องพระเนตรแห่งองค์กษัตริย์หนุ่มผู้พานพบเจอเข้า

พัค ฮี ชุน มาจากตระกูลมั่งคั่งในเมืองฮันยาง ท่านเกิดราวปี ค..1801 มีพี่สาวหนึ่งคนชื่อ พัค กึน อา กี เกิดก่อนท่านประมาณห้าปี ตั้งแต่ยังเล็กๆท่านก็ถูกส่งเข้าวังเพื่อฝึกหัดเป็นกุงเนียว ซึ่งท่านก็ฉายแววความเฉลียวฉลาดและความสามารถต่างๆออกมา จนทำให้ได้รับเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่เพียงแต่ท่านจะเก่งชนิดสามารถพูดได้ถึงสองภาษาคือภาษาเกาหลีและภาษาจีน ด้านหน้าตา ท่านก็จัดว่าเป็นหญิงที่ใครๆพบก็ต่างเอ่ยปากว่างาม



แต่ก็ด้วยความงามนี้เองที่นำปัญหามาให้ท่าน เพราะเมื่อกษัตริย์หนุ่มนั่นคือพระเจ้าซุนโจ ทรงพบท่านในวัยประมาณสิบห้าเข้า ก็เกิดพอพระทัยในความงามของท่าน พระองค์จึงทรงพยายามเกลี้ยกล่อมท่านให้มาเป็นพระสนมของพระองค์ ซึ่งถือเป็นเกียรติเสียยิ่งกว่าการเป็นกุงเนียวที่ถือเป็นตำแหน่งที่ว่ามีหน้ามีตาทางสังคมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่กุงเนียวส่วนใหญ่จะพยายามทำให้กษัตริย์สนใจตน แต่ผิดกับท่าน เพราะขณะที่กุงเนียวคนอื่นต่างไขว่คว้าโอกาสนี้ ท่านที่ได้โอกาสนี้กลับเลือกปฏิเสธมัน

ทำไมท่านถึงทำเช่นนั้น คำตอบง่ายๆก็คือ ความภักดีต่อพระมเหสี สิ่งนี้แหละที่อยู่ในจิตสำนึกของท่าน ท่านจึงหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนคล้อยไปตามคำเย้ายวนของกษัตริย์ ซึ่งเรื่องความกล้าของท่านนี้เป็นเรื่องกระฉ่อนไปทั่ววังหลวงผ่านปากต่อปากของบรรดานางในทั้งหลาย และภายหลังเมื่อพระสังฆราชนักบุญลูร็อง โจเซฟ มารีอุส อัมแบรต์ได้ทราบเรื่องนี้ พระคุณเจ้าก็ได้กล่าวยกย่องท่านว่า นี่เป็นการกระทำอันกล้าหาญและซื่อตรง แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในแผ่นดินเกาหลี


หลังผ่านเหตุแห่งการทดลองมาแล้ว ชีวิตของท่านในฐานะกุงเนียวก็ผ่านไปเรื่อยๆภายหลังรั่วของวังหลวง ทีละนิดท่านเริ่มเบื่อกับชีวิตแบบนี้ ขณะนั้นท่านมีอายุได้ประมาณสามสิบปี ช่วงเวลานั้นเองพระศาสนจักรคาทอลิกได้กลายมาเป็นแสงเทียนเล็กๆที่ถูกจุดขึ้นในความมืดแห่งความสบสน ท่านจึงเริ่มตามหาความหมายที่ขาดหายไปจากเรื่องราวของชายผู้ตายเพื่อไถ่บาปโลก เวลานี้ท่านปรารถนาจะศึกษาเกี่ยวกับศาสนาใหม่นี้อย่างถ่องแท้ เพื่อจะได้เข้าใจและได้เชื่อ

แต่ช่างยากเหลือเกินที่จะทำเช่นนั้นในสภาพแวดล้อมของวังหลวง ที่เต็มไปด้วยความหรูหรา และความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ด้วยในเวลานั้นกุงเนียวที่เข้าพิธีสาบานตนทำงานแล้วจะไม่สามารถออกมาอยู่ข้างนอกวังหลวงได้อีกตลอดชีวิต เว้นเสียแต่มีเหตุอันร้ายแรงจริงๆ ซึ่งครั้นจะหนีออกไปเสียแต่ดื้อๆ ก็ยากที่จะรอดพ้นสายตาของบรรดาทหารยามที่อยู่รอบวังหลวงไปได้ แต่เมื่อท่านเลือกแล้วที่จะเดินตามทางของชายผู้นามว่า เยซูทางเดียวของท่านจึงคือการแกล้งป่วย


กระทั้งท่านได้รับอนุญาตให้ออกมาได้ แต่เมื่อผ่านด่านแรกมาได้ ท่านก็ต้องมาพบกับบิดาของท่านที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับศาสนาใหม่นี้ เขาไม่ยอมให้ท่านกลับมาอยู่บ้าน ดังนั้นท่านจึงต้องไปพักอยู่กับหลานชายของท่านที่แต่งงานออกเหย้าออกเรือนไปแล้ว  ซึ่งที่บ้านของหลานนั้นแทนที่ท่านจะติดนิสัยใช้ชีวิตอู้ฟู่แบบในวัง  ตรงกันข้ามตลอดที่อยู่บ้านนั้นท่านกับเจริญชีวิตอย่างเรียบง่าย ปฏิเสธความหรูหราต่างๆ จนเป็นแบบอย่างแก่ทั้งตัวหลานของท่านเอง และตัวครอบครัวของเขา จนได้กลับใจมารับศีลล้างบาปตามท่าน

และเป็นช่วงเวลานี้เช่นกันที่พี่สาวของท่านได้มาอยู่กับท่าน และได้ตัดสินใจรับศีลล้างบาปด้วยชื่อ มารีอา ซึ่งแม้เราจะไม่รู้ถึงเหตุแน่ชัดถึงการกลับใจของเธอเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าส่วนหนึ่งต้องมาจากตัวของท่านเป็นแน่

ต่อมาด้วยการแก่งแย่งชิงดีของสองตระกูลอันคือตระกูลคิมและตระกูลโจก็ทำให้เกิดการเบียดเบียนคริสตชนขึ้นอีกครั้ง โดยการใช้ข้ออ้างเรื่องคริสตชนมาใช้ในการทำลายฝ่ายตรงข้าม ทำให้ในปี ค..1839 จึงมีการออกพระราชกำหนดกำจัดคริสตชนให้สิ้นซากในทุกมณฑล จึงส่งผลให้เกิดการเข่นฆ่าคริสตชนชาวเกาหลีและธรรมทูตชาวฝรั่งเศสไปหลายร้อยคน เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหน้าประวัติศาสตร์ว่า การสังหารหมู่คริสตชนปีคิลแฮ

ย้อนกลับมาที่ท่าน เมื่อเกิดการเบียดเบียนคริสตชนขึ้นเช่นนี้ ท่านพร้อมพี่สาวและหลานก็พยายามอยู่กันอย่างเงียบๆเพื่อไม่เป็นที่สงสัย แต่ขณะที่กำลังวางแผนว่าจะหลบจากการลงโทษจากทางการยังไงนั้นเอง ในวันที่ 15 เมษายน ค..1839 ทหารก็มาถึงบ้านของหลานท่าน ซึ่งแทนที่ท่านจะหลบหนี ตรงกันข้ามท่านกลับออกจากบ้านไปเชื้อเชิญบรรดาทหารเหล่านั้น เข้ามาทานอาหารและดื่มเหล้ากันก่อนในบ้านด้วยท่าทีสงบ จนเป็นที่แปลกใจแก่ทั้งคนในครอบครัวของท่านเอง และคริสตชนคนอื่นๆด้วย

แต่ท่ามกลางความแปลกใจนั้นเอง ท่านก็ได้ไขข้อข้องใจถึงเหตุที่ท่านทำเช่นนี้ว่า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยไร้ซึ่งคำอนุญาตของพระเจ้า แต่นี้ไปคือพระประสงค์ของพระองค์ ขอให้เราน้อมรับด้วยความเต็มใจเถิด ฉะนั้นท่านพร้อมพี่สาวและคริสตชนคนอื่นๆจึงถูกจับจำคุก ซึ่งแม้พวกท่านจะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกท่าน พวกท่านก็กลับได้หากลัวไม่ ตรงข้ามพวกท่านกลับมีเริงร่าด้วยเหตุว่า บัดนี้ประตูสวรรค์ใกล้เข้ามาหาพวกท่านแล้ว

พวกท่านถูกพามาจนถึงหน่วยโพด็อกชางอันเป็นหน่วยงานของราชสำนักที่รับหน้าที่จับกุมและลงโทษอาชญากรในสมัยราชวงศ์โชซอนเปรียบไดก็คือกรมตำรวจในปัจจุบัน ที่นั่นท่านพร้อมพี่สาวถูกจับล่ามโซ่ไว้ที่เท้าขังไว้ในคุก และเพียงไม่นานข่าวเรื่องอดีตกงเนียวถูกจับก็แพร่สะพัดไปทั่ว ทางวัดหลวงจึงมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาลงมาว่า หากมีหลักฐานการต่อต้านของอดีตกงเนียวหรือกงเนียวในปัจจุบันคนใด พวกนางก็จะถูกจับในทันทีที่ราชสำนักได้รับแจ้ง ซึ่งด้วยความที่ท่านเคยเป็นอดีตกงเนียวนี้เอง ก็ยิ่งทำให้ถูกทรมานหนักมากเสียกว่าคนอื่นๆ


กงเนียวเป็นผู้มีการศึกษาดีกว่าสตรีคนอื่นๆ เจ้าเชื่อเรื่องศาสนาเท็จเทียมอันน่ารังเกียจนี้เข้าไปได้ยังไง หัวหน้าทหารหน่วยโพด็อกชางตะโกนใส่ท่าน
พวกข้าน้อยไม่เชื่อดอกว่านี่เป็นศาสนาเท็จเทียม องค์พระเจ้าทรงสร้างสรรค์ทุกสิ่งทั้งในสวรรค์และบนแผนดินโลก และทรงมอบลมหายใจแก่มนุษย์ ดังนั้นมันจะไม่สมควรหรือที่จะสรรเสริญและนมัสการพระเจ้า มันเป็นหน้าที่ที่ทุกคนจะรักพระเจ้า ท่านตอบ
จงละทิ้งศาสนาคาทอลิกเสียและบอกรายชื่อคนอื่นๆมาซะดีๆหัวหน้าทหารพยามเกลี้ยกล่อมท่าน
พระเจ้าทรงเป็นทั้งผู้สร้างและบิดาของข้าน้อย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าน้อยก็ไม่อาจทิ้งพระองค์ไปไหนได้ เช่นเดียวกันพระองค์ทรงห้ามเราทำร้ายผู้อื่น ดังนั้นข้าจึงไม่อาจบอกชื่อของคนอื่นๆได้ ท่านตอบ

เมื่อหัวหน้าหน่วยโพด็อกชางเห็นว่าท่านยังคงปากแข็งอยู่ เขาจึงตัดสินใจส่งท่านและพี่สาวไปดำเนินคดีต่อที่กรมฮังโจที่มีหน้าที่รับผิดชอบการติดสินคดีอาญาของอาณาจักร ณ ที่นั่นท่านถูกทรมานถึงสามครั้ง ด้วยการถูกโบยตีถึงรอบละสามสิบครั้ง จนทำให้ตลอดร่างของท่านเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดจำนวนมาก ชนิดเห็นกระดูกที่ขาของท่าน ซึ่งภายหลังเมื่อถูกตีหนักๆเข้าขาอีกข้างท่านก็หักตามไปด้วย แต่กระนั้นก็ตามถึงแม้จะโดนหนักถึงเพียงนี้ สิ่งที่ท่านทำมีเพียงการใช้ผมของท่านเช็ดบาดแผล พลางพูดว่า บัดนี้ลูกได้เข้าใจความเจ็บปวดน้อยๆของพระเยซูเจ้าและพระมารดามารีย์แล้ว


นอกนั้นท่านยังไม่ได้แสดงท่าทีเจ็ดปวดให้ใครเห็น และเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ว่าไม่ว่าท่านจะมีแผลเหวะหวะมากแค่ไหนตามร่างกาย ภายในไม่กี่วันต่อมาบาดแผลเรานั้นก็จะหายไปสิ้น ซึ่งประจักษ์พยานถึงเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่เพียงมีแต่ผู้ที่คุกขังอยู่กับท่าน แต่ยังมีทหารยามและผู้พิพากษาซึ่งได้บันทึกว่าเป็นเหตุการณ์นี้ไว้ว่าเป็นเรื่องเวทย์มนต์คาถาอีกด้วย

และแม้ชีวิตในคุกจะดูหมดหวังสำหรับหลายๆคน แต่ผิดถนัดกับท่าน เพราะในใจของท่านก็กลับเต็มไปด้วยความร้อนรนต่อพระเจ้า กล่าวคือตลอดเวลาที่ถูกจำคุกในศาลท่านได้แสดงตนออกมาเป็นอัครสาวกผู้ร้อนรนของพระเจ้าอย่างแท้จริง ท่านสอนบรรดานักโทษ ท่านปลอบประโลมผู้ทุกข์ใจ และจุดไฟแห่งความเชื่อในดวงใจของคริสตชนที่ตกอยู่ในความกังวลและความกังขาต่างๆอย่างอาจหาญ ใจของท่านไม่หวั่นไหวตรงข้ามกลับยกยอสรรเสริญโมทนาคุณพระเจ้าและแม่พระ จนที่สุดผู้พิพากษาก็หมดหนทางจะทำให้ท่านละทิ้งความเชื่อได้ ดังนั้นคำสั่งตัดสินประหารชีวิตจึงตกมาสู่ท่าน


ลูเชีย พัค ฮี ซุน พร้อมด้วยสหายยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในทางที่ผิดของพวกเขาทั้งกลางวันและกลางคืน การกระทำพวกเขาชั่วร้ายและไม่มีความจริง คำพูดคำจาและความเงียบของพวกเขาคือเรื่องไสยศาสตร์และเวทย์มนต์ทั้งสิ้น ท่ามกลางความเงียบและภาษามือ(ผู้แปลคิดว่าน่าจะหมายถึงสำคัญมหากางเขน)พวกเขาไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการสาปแช่ง พวกเขาปฏิเสธที่จะกลับตัว ดังนั้นจึงสมควรยิ่งต่อการตาย รายงานจากการตัดสินคดีของท่าน

ทำให้บัดนี้สิ่งที่ท่านรอคอยก็ได้มาถึง ประตูสวรรค์สำหรับท่านใกล้แล้ว สิ่งที่นี้แหละที่ท่านเฝ้าเตรียมตัวรอคอยอย่างเงียบๆมาตลอด โอ้ การถูกจำคุกตลอดชีวิตสำหรับท่านช่างเป็นเรื่องยากเสียจริง บัดนี้ท่านกำลังจะได้ไปอยู่เคียงข้างชายผู้ที่ท่านรักและศรัทธาแล้ว และเพื่อห้บรรลุถึงจุดหมายโดยไววันหนึ่งท่านก็ได้บอกกับผู้ทรมานท่านว่า ฉันมีคำขอให้พี่ช่วยหน่อย เวลาพี่ตัดหัวฉันให้พี่มีสติ ตัดเสียให้เสร็จแต่หนึ่งครั้งเถิดหนา


เช่นเดียวกันกับท่าน ตัวพี่สาวของท่านเองก็ถูกทรมานและถูกตัดสินประหารชีวิต แต่เนื่องด้วยในสมัยโชซอนมีกฎหมายว่าห้ามประหารคนครอบครัวเดียวกันในวันเดียวกัน ท่านและพี่สาวจึงถูกแยกวันประหาร ซึ่งคิวแรกตกเป็นของท่านก่อน เช่นนั้นเองในวันที่ 24 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ท่านจึงถูกนำตัวออกจากคุกเพื่อนำไปตัดศีรษะพร้อมนักโทษอีกแปดคน  ให้เราก้าวไปบนทางแห่งมรณสักขีเพื่อไปรับสิริโรจนาในสวรรค์ด้วยกันเถิด ท่านกล่าวอำลาบรรดานักโทษคนอื่นๆ

ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ ตลอดทางสู่แดนประหาร อันคือบริเวณนอกประตูซุยมุน กรุงโซล
 ดวงหน้าของท่านเปล่งปลั่งด้วยสันติ คำภาวนามิได้แห้งเหือดไปจากริมฝีปากนั้น และเมื่อถึงแดนประหารดวงหน้านั้นแสดออกถึงความอ่อนโยนยามเพชฌฆาตเงื้อมดาบตัดศีรษะ อันเป็นการปิดฉากตำนานนางในผู้ศักดิ์สิทธิ์ลงอย่างสงบด้วยวัย 39 ปี เหลือทิ้งไว้แต่เกียรตินามและจดหมายฉบับหนึ่งที่ท่านเขียนจากคุก แต่โชคร้ายที่มรดกนั้นได้หายไป

สี่เดือนต่อมาพี่สาวของท่านก็ถูกตัดศีรษะจบชีวิตตามแบบฉบับมรณสักขีตามท่านไปในวันที่ 3 กันยายนด้วยอายุ 44 ปี และหลังจากนั้นอีก 86 ปีต่อมา คือในวันที่ 5 กรกฎาคม ค..1925 ท่านพร้อมพี่สาวก็ได้รับการประกาศยกย่องเป็นบุญราศีอย่างสง่า ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 11 และในโอกาสสองร้อยปีพระศาสนจักรเกาหลี สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงบันทึกนามของท่านพร้อมพี่สาวและเพื่อนมรณสักขี 101 คนเป็นนักบุญ ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค..1984 

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฆี่ยนตีสั่งสอนผู้ที่พระองค์รัก และทรงเฆี่ยนตีทุกคนที่ทรงรับไว้เป็นบุตร(ฮีบรู 12:16 เราจะเป็นนักบุญได้อย่างไร คำถามนี้คือคำถามที่เราในฐานะคริสตชนต้องเพียรถามตัวเองอยู่บ่อยๆ เพราะเราคริสตชนต้องเป็นนักบุญ ซึ่งคือการไปสวรรค์ให้ได้ในวันสุดท้ายของชีวิต แต่แล้วเราจะเป็นนักบุญได้อย่างไรละ คำถามคล้ายๆคงต้องตามมาเป็นแน่เมื่อขึ้นต้นเช่นนี้ และคำตอบมันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงนั่นก็คือ การน้อมรับกางเขนในชีวิต’ เพราะอาศัยกางเขนนั่นคือความทุกข์ยากก็ทำให้วิญญาณของเราเติบโตขึ้น และผลิดอกให้พระทรงเด็ดไปในวันใดวันหนึ่ง แต่กว่าจะถึงจุดดนั้นได้ฉันใดฉันนั้นต้นไม้ก็จำต้องถูกลิบใบบ้าง ต้องทรงสภาพอากาศต่างๆบ้างจริงไหม และเช่นกันการตีสอนไม่ทำให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีหรือ แน่นอนเมื่อพูดเช่นนี้หลายๆคนก็อาจแย้งในใจว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะแบกกางเขน ที่จะรับความทุกข์ยาก และแน่นอนนการการคิดเช่นนี้นับเป็นการมองแบบผิวเผิน 


เราจำต้องมองแบบนักบุญมอง เช่นนักบุญลูเชีย พัค ที่มองความทุกข์ยากต่างๆคือน้ำพระทัยของพระ ท่านจึงสามารถผ่านทุกสิ่งมาได้ตลอดการเป็นคริสตชน ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องงาน เรื่องทางบ้าน จนถึงเรื่องชีวิต แม้จะไม่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือฝ่ายจิต แต่ท่านได้บรรลุถึงรหัสธรรมแห่งกางเขนอย่างแท้จริง ดังนั้นขอให้เราลองพยายามค้นหาความหมายที่แท้จริงของกางเขนที่เราพบในชีวิตประจำวัน โดยเริ่มจากการมองกางเขนด้วยสายตาของนักบุญ เพื่อที่ว่าเมื่อเราเข้าใจถึงความหมายของมัน เราก็จะพร้อมยิ้มและอ้าแขนรับกางเขนนั้นด้วยความยินดี ขอให้เรามองกางเขนเป็นเช่นนักบุญพัคเถิด ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยไร้ซึ่งคำอนุญาตของพระเจ้า แต่นี้ไปคือพระประสงค์ของพระองค์ ขอให้เราน้อมรับด้วยความเต็มใจเถิด



ข้าแต่ท่านนักบุญลูเชีย พัค ฮี ชุน และเพื่อนมรณสักขีชาวเกาหลี ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง
https://ko.wikipedia.org/wiki/박희순_루치아

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...