นักบุญลูเชีย
พัค ฮี ชุน
St. 박희순 루치아
ฉลองในวันที่ : 20 กันยายน
สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดมาทำให้ชิมาหรือกระโปรงพันรอบตัวแบบเกาหลีพลิ้วไหวไปตามแรงลม เส้นผมสีดำขมับถูกเก็บเรียบไว้เป็นเปียสวย
ซึ่งถูกรวบไว้ด้วยโบว์สีแดงสด ไม่ได้ปล่อยยาวเพื่อเป็นการบอกถึงฐานะแห่งกุงเนียว
หรือ นางกำนัลในวัง ร่างนั้นมีด้วยท่วงทีเรียบร้อยสมดั่งที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี
อีกทั้งคำพูดคำจาก็ไพเราะเสนาะหู แต่แม้จะดูๆไปแล้วจะเหมือนกับกุงเนียวคนอื่นๆ
อันเป็นดั่งบุพผาชาติแห่งวังหลวงทั่วไป ใบหน้าอันคมคายของพัค ฮี ชุนนี้ก็โดดเด่นออกมา
จนต้องพระเนตรแห่งองค์กษัตริย์หนุ่มผู้พานพบเจอเข้า
พัค ฮี ชุน
มาจากตระกูลมั่งคั่งในเมืองฮันยาง ท่านเกิดราวปี ค.ศ.1801 มีพี่สาวหนึ่งคนชื่อ พัค กึน อา กี
เกิดก่อนท่านประมาณห้าปี ตั้งแต่ยังเล็กๆท่านก็ถูกส่งเข้าวังเพื่อฝึกหัดเป็นกุงเนียว
ซึ่งท่านก็ฉายแววความเฉลียวฉลาดและความสามารถต่างๆออกมา
จนทำให้ได้รับเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่เพียงแต่ท่านจะเก่งชนิดสามารถพูดได้ถึงสองภาษาคือภาษาเกาหลีและภาษาจีน
ด้านหน้าตา ท่านก็จัดว่าเป็นหญิงที่ใครๆพบก็ต่างเอ่ยปากว่างาม
แต่ก็ด้วยความงามนี้เองที่นำปัญหามาให้ท่าน
เพราะเมื่อกษัตริย์หนุ่มนั่นคือพระเจ้าซุนโจ ทรงพบท่านในวัยประมาณสิบห้าเข้า ก็เกิดพอพระทัยในความงามของท่าน
พระองค์จึงทรงพยายามเกลี้ยกล่อมท่านให้มาเป็นพระสนมของพระองค์ ซึ่งถือเป็นเกียรติเสียยิ่งกว่าการเป็นกุงเนียวที่ถือเป็นตำแหน่งที่ว่ามีหน้ามีตาทางสังคมอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่กุงเนียวส่วนใหญ่จะพยายามทำให้กษัตริย์สนใจตน
แต่ผิดกับท่าน เพราะขณะที่กุงเนียวคนอื่นต่างไขว่คว้าโอกาสนี้ ท่านที่ได้โอกาสนี้กลับเลือกปฏิเสธมัน
ทำไมท่านถึงทำเช่นนั้น
คำตอบง่ายๆก็คือ ‘ความภักดีต่อพระมเหสี’ สิ่งนี้แหละที่อยู่ในจิตสำนึกของท่าน ท่านจึงหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนคล้อยไปตามคำเย้ายวนของกษัตริย์
ซึ่งเรื่องความกล้าของท่านนี้เป็นเรื่องกระฉ่อนไปทั่ววังหลวงผ่านปากต่อปากของบรรดานางในทั้งหลาย
และภายหลังเมื่อพระสังฆราชนักบุญลูร็อง โจเซฟ มารีอุส อัมแบรต์ได้ทราบเรื่องนี้
พระคุณเจ้าก็ได้กล่าวยกย่องท่านว่า “นี่เป็นการกระทำอันกล้าหาญและซื่อตรง
แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในแผ่นดินเกาหลี”
หลังผ่านเหตุแห่งการทดลองมาแล้ว
ชีวิตของท่านในฐานะกุงเนียวก็ผ่านไปเรื่อยๆภายหลังรั่วของวังหลวง
ทีละนิดท่านเริ่มเบื่อกับชีวิตแบบนี้ ขณะนั้นท่านมีอายุได้ประมาณสามสิบปี
ช่วงเวลานั้นเองพระศาสนจักรคาทอลิกได้กลายมาเป็นแสงเทียนเล็กๆที่ถูกจุดขึ้นในความมืดแห่งความสบสน
ท่านจึงเริ่มตามหาความหมายที่ขาดหายไปจากเรื่องราวของชายผู้ตายเพื่อไถ่บาปโลก
เวลานี้ท่านปรารถนาจะศึกษาเกี่ยวกับศาสนาใหม่นี้อย่างถ่องแท้ เพื่อจะได้เข้าใจและได้เชื่อ
แต่ช่างยากเหลือเกินที่จะทำเช่นนั้นในสภาพแวดล้อมของวังหลวง
ที่เต็มไปด้วยความหรูหรา และความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์
ด้วยในเวลานั้นกุงเนียวที่เข้าพิธีสาบานตนทำงานแล้วจะไม่สามารถออกมาอยู่ข้างนอกวังหลวงได้อีกตลอดชีวิต
เว้นเสียแต่มีเหตุอันร้ายแรงจริงๆ ซึ่งครั้นจะหนีออกไปเสียแต่ดื้อๆ
ก็ยากที่จะรอดพ้นสายตาของบรรดาทหารยามที่อยู่รอบวังหลวงไปได้ แต่เมื่อท่านเลือกแล้วที่จะเดินตามทางของชายผู้นามว่า
‘เยซู’ ทางเดียวของท่านจึงคือการแกล้งป่วย
กระทั้งท่านได้รับอนุญาตให้ออกมาได้
แต่เมื่อผ่านด่านแรกมาได้ ท่านก็ต้องมาพบกับบิดาของท่านที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับศาสนาใหม่นี้
เขาไม่ยอมให้ท่านกลับมาอยู่บ้าน ดังนั้นท่านจึงต้องไปพักอยู่กับหลานชายของท่านที่แต่งงานออกเหย้าออกเรือนไปแล้ว
ซึ่งที่บ้านของหลานนั้นแทนที่ท่านจะติดนิสัยใช้ชีวิตอู้ฟู่แบบในวัง
ตรงกันข้ามตลอดที่อยู่บ้านนั้นท่านกับเจริญชีวิตอย่างเรียบง่าย
ปฏิเสธความหรูหราต่างๆ จนเป็นแบบอย่างแก่ทั้งตัวหลานของท่านเอง
และตัวครอบครัวของเขา จนได้กลับใจมารับศีลล้างบาปตามท่าน
และเป็นช่วงเวลานี้เช่นกันที่พี่สาวของท่านได้มาอยู่กับท่าน
และได้ตัดสินใจรับศีลล้างบาปด้วยชื่อ ‘มารีอา’
ซึ่งแม้เราจะไม่รู้ถึงเหตุแน่ชัดถึงการกลับใจของเธอเท่าไรนัก
แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าส่วนหนึ่งต้องมาจากตัวของท่านเป็นแน่
ต่อมาด้วยการแก่งแย่งชิงดีของสองตระกูลอันคือตระกูลคิมและตระกูลโจก็ทำให้เกิดการเบียดเบียนคริสตชนขึ้นอีกครั้ง โดยการใช้ข้ออ้างเรื่องคริสตชนมาใช้ในการทำลายฝ่ายตรงข้าม
ทำให้ในปี ค.ศ.1839 จึงมีการออกพระราชกำหนดกำจัดคริสตชนให้สิ้นซากในทุกมณฑล จึงส่งผลให้เกิดการเข่นฆ่าคริสตชนชาวเกาหลีและธรรมทูตชาวฝรั่งเศสไปหลายร้อยคน
เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหน้าประวัติศาสตร์ว่า ‘การสังหารหมู่คริสตชนปีคิลแฮ’
ย้อนกลับมาที่ท่าน
เมื่อเกิดการเบียดเบียนคริสตชนขึ้นเช่นนี้ ท่านพร้อมพี่สาวและหลานก็พยายามอยู่กันอย่างเงียบๆเพื่อไม่เป็นที่สงสัย
แต่ขณะที่กำลังวางแผนว่าจะหลบจากการลงโทษจากทางการยังไงนั้นเอง ในวันที่ 15 เมษายน ค.ศ.1839 ทหารก็มาถึงบ้านของหลานท่าน ซึ่งแทนที่ท่านจะหลบหนี
ตรงกันข้ามท่านกลับออกจากบ้านไปเชื้อเชิญบรรดาทหารเหล่านั้น เข้ามาทานอาหารและดื่มเหล้ากันก่อนในบ้านด้วยท่าทีสงบ
จนเป็นที่แปลกใจแก่ทั้งคนในครอบครัวของท่านเอง และคริสตชนคนอื่นๆด้วย
แต่ท่ามกลางความแปลกใจนั้นเอง ท่านก็ได้ไขข้อข้องใจถึงเหตุที่ท่านทำเช่นนี้ว่า “ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยไร้ซึ่งคำอนุญาตของพระเจ้า
แต่นี้ไปคือพระประสงค์ของพระองค์ ขอให้เราน้อมรับด้วยความเต็มใจเถิด”
ฉะนั้นท่านพร้อมพี่สาวและคริสตชนคนอื่นๆจึงถูกจับจำคุก
ซึ่งแม้พวกท่านจะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกท่าน พวกท่านก็กลับได้หากลัวไม่
ตรงข้ามพวกท่านกลับมีเริงร่าด้วยเหตุว่า บัดนี้ประตูสวรรค์ใกล้เข้ามาหาพวกท่านแล้ว
พวกท่านถูกพามาจนถึงหน่วยโพด็อกชางอันเป็นหน่วยงานของราชสำนักที่รับหน้าที่จับกุมและลงโทษอาชญากรในสมัยราชวงศ์โชซอนเปรียบไดก็คือกรมตำรวจในปัจจุบัน
ที่นั่นท่านพร้อมพี่สาวถูกจับล่ามโซ่ไว้ที่เท้าขังไว้ในคุก
และเพียงไม่นานข่าวเรื่องอดีตกงเนียวถูกจับก็แพร่สะพัดไปทั่ว ทางวัดหลวงจึงมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาลงมาว่า
“หากมีหลักฐานการต่อต้านของอดีตกงเนียวหรือกงเนียวในปัจจุบันคนใด
พวกนางก็จะถูกจับในทันทีที่ราชสำนักได้รับแจ้ง”
ซึ่งด้วยความที่ท่านเคยเป็นอดีตกงเนียวนี้เอง ก็ยิ่งทำให้ถูกทรมานหนักมากเสียกว่าคนอื่นๆ
“กงเนียวเป็นผู้มีการศึกษาดีกว่าสตรีคนอื่นๆ
เจ้าเชื่อเรื่องศาสนาเท็จเทียมอันน่ารังเกียจนี้เข้าไปได้ยังไง” หัวหน้าทหารหน่วยโพด็อกชางตะโกนใส่ท่าน
“พวกข้าน้อยไม่เชื่อดอกว่านี่เป็นศาสนาเท็จเทียม
องค์พระเจ้าทรงสร้างสรรค์ทุกสิ่งทั้งในสวรรค์และบนแผนดินโลก
และทรงมอบลมหายใจแก่มนุษย์ ดังนั้นมันจะไม่สมควรหรือที่จะสรรเสริญและนมัสการพระเจ้า
มันเป็นหน้าที่ที่ทุกคนจะรักพระเจ้า” ท่านตอบ
“จงละทิ้งศาสนาคาทอลิกเสียและบอกรายชื่อคนอื่นๆมาซะดีๆ” หัวหน้าทหารพยามเกลี้ยกล่อมท่าน
“พระเจ้าทรงเป็นทั้งผู้สร้างและบิดาของข้าน้อย
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าน้อยก็ไม่อาจทิ้งพระองค์ไปไหนได้
เช่นเดียวกันพระองค์ทรงห้ามเราทำร้ายผู้อื่น
ดังนั้นข้าจึงไม่อาจบอกชื่อของคนอื่นๆได้” ท่านตอบ
เมื่อหัวหน้าหน่วยโพด็อกชางเห็นว่าท่านยังคงปากแข็งอยู่
เขาจึงตัดสินใจส่งท่านและพี่สาวไปดำเนินคดีต่อที่กรมฮังโจที่มีหน้าที่รับผิดชอบการติดสินคดีอาญาของอาณาจักร
ณ ที่นั่นท่านถูกทรมานถึงสามครั้ง ด้วยการถูกโบยตีถึงรอบละสามสิบครั้ง จนทำให้ตลอดร่างของท่านเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดจำนวนมาก
ชนิดเห็นกระดูกที่ขาของท่าน ซึ่งภายหลังเมื่อถูกตีหนักๆเข้าขาอีกข้างท่านก็หักตามไปด้วย
แต่กระนั้นก็ตามถึงแม้จะโดนหนักถึงเพียงนี้
สิ่งที่ท่านทำมีเพียงการใช้ผมของท่านเช็ดบาดแผล พลางพูดว่า “บัดนี้ลูกได้เข้าใจความเจ็บปวดน้อยๆของพระเยซูเจ้าและพระมารดามารีย์แล้ว”
นอกนั้นท่านยังไม่ได้แสดงท่าทีเจ็ดปวดให้ใครเห็น
และเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ว่าไม่ว่าท่านจะมีแผลเหวะหวะมากแค่ไหนตามร่างกาย
ภายในไม่กี่วันต่อมาบาดแผลเรานั้นก็จะหายไปสิ้น ซึ่งประจักษ์พยานถึงเหตุการณ์เช่นนี้
ไม่เพียงมีแต่ผู้ที่คุกขังอยู่กับท่าน แต่ยังมีทหารยามและผู้พิพากษาซึ่งได้บันทึกว่าเป็นเหตุการณ์นี้ไว้ว่าเป็นเรื่องเวทย์มนต์คาถาอีกด้วย
และแม้ชีวิตในคุกจะดูหมดหวังสำหรับหลายๆคน
แต่ผิดถนัดกับท่าน เพราะในใจของท่านก็กลับเต็มไปด้วยความร้อนรนต่อพระเจ้า กล่าวคือตลอดเวลาที่ถูกจำคุกในศาลท่านได้แสดงตนออกมาเป็นอัครสาวกผู้ร้อนรนของพระเจ้าอย่างแท้จริง
ท่านสอนบรรดานักโทษ ท่านปลอบประโลมผู้ทุกข์ใจ
และจุดไฟแห่งความเชื่อในดวงใจของคริสตชนที่ตกอยู่ในความกังวลและความกังขาต่างๆอย่างอาจหาญ
ใจของท่านไม่หวั่นไหวตรงข้ามกลับยกยอสรรเสริญโมทนาคุณพระเจ้าและแม่พระ จนที่สุดผู้พิพากษาก็หมดหนทางจะทำให้ท่านละทิ้งความเชื่อได้
ดังนั้นคำสั่งตัดสินประหารชีวิตจึงตกมาสู่ท่าน
“ลูเชีย พัค ฮี ซุน พร้อมด้วยสหายยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในทางที่ผิดของพวกเขาทั้งกลางวันและกลางคืน
การกระทำพวกเขาชั่วร้ายและไม่มีความจริง
คำพูดคำจาและความเงียบของพวกเขาคือเรื่องไสยศาสตร์และเวทย์มนต์ทั้งสิ้น
ท่ามกลางความเงียบและภาษามือ(ผู้แปลคิดว่าน่าจะหมายถึงสำคัญมหากางเขน)พวกเขาไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการสาปแช่ง
พวกเขาปฏิเสธที่จะกลับตัว ดังนั้นจึงสมควรยิ่งต่อการตาย” –
รายงานจากการตัดสินคดีของท่าน
ทำให้บัดนี้สิ่งที่ท่านรอคอยก็ได้มาถึง
ประตูสวรรค์สำหรับท่านใกล้แล้ว สิ่งที่นี้แหละที่ท่านเฝ้าเตรียมตัวรอคอยอย่างเงียบๆมาตลอด
โอ้ การถูกจำคุกตลอดชีวิตสำหรับท่านช่างเป็นเรื่องยากเสียจริง บัดนี้ท่านกำลังจะได้ไปอยู่เคียงข้างชายผู้ที่ท่านรักและศรัทธาแล้ว
และเพื่อห้บรรลุถึงจุดหมายโดยไววันหนึ่งท่านก็ได้บอกกับผู้ทรมานท่านว่า “ฉันมีคำขอให้พี่ช่วยหน่อย เวลาพี่ตัดหัวฉันให้พี่มีสติ
ตัดเสียให้เสร็จแต่หนึ่งครั้งเถิดหนา”
เช่นเดียวกันกับท่าน
ตัวพี่สาวของท่านเองก็ถูกทรมานและถูกตัดสินประหารชีวิต
แต่เนื่องด้วยในสมัยโชซอนมีกฎหมายว่าห้ามประหารคนครอบครัวเดียวกันในวันเดียวกัน
ท่านและพี่สาวจึงถูกแยกวันประหาร ซึ่งคิวแรกตกเป็นของท่านก่อน เช่นนั้นเองในวันที่
24 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ท่านจึงถูกนำตัวออกจากคุกเพื่อนำไปตัดศีรษะพร้อมนักโทษอีกแปดคน
“ให้เราก้าวไปบนทางแห่งมรณสักขีเพื่อไปรับสิริโรจนาในสวรรค์ด้วยกันเถิด” ท่านกล่าวอำลาบรรดานักโทษคนอื่นๆ
ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ
ตลอดทางสู่แดนประหาร อันคือบริเวณนอกประตูซุยมุน กรุงโซล
ดวงหน้าของท่านเปล่งปลั่งด้วยสันติ คำภาวนามิได้แห้งเหือดไปจากริมฝีปากนั้น
และเมื่อถึงแดนประหารดวงหน้านั้นแสดออกถึงความอ่อนโยนยามเพชฌฆาตเงื้อมดาบตัดศีรษะ
อันเป็นการปิดฉากตำนานนางในผู้ศักดิ์สิทธิ์ลงอย่างสงบด้วยวัย 39 ปี เหลือทิ้งไว้แต่เกียรตินามและจดหมายฉบับหนึ่งที่ท่านเขียนจากคุก
แต่โชคร้ายที่มรดกนั้นได้หายไป
สี่เดือนต่อมาพี่สาวของท่านก็ถูกตัดศีรษะจบชีวิตตามแบบฉบับมรณสักขีตามท่านไปในวันที่
3 กันยายนด้วยอายุ 44 ปี และหลังจากนั้นอีก 86 ปีต่อมา คือในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ.1925 ท่านพร้อมพี่สาวก็ได้รับการประกาศยกย่องเป็นบุญราศีอย่างสง่า
ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 11 และในโอกาสสองร้อยปีพระศาสนจักรเกาหลี
สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงบันทึกนามของท่านพร้อมพี่สาวและเพื่อนมรณสักขี
101 คนเป็นนักบุญ ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ.1984
“เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฆี่ยนตีสั่งสอนผู้ที่พระองค์รัก และทรงเฆี่ยนตีทุกคนที่ทรงรับไว้เป็นบุตร”(ฮีบรู 12:16 ) เราจะเป็นนักบุญได้อย่างไร คำถามนี้คือคำถามที่เราในฐานะคริสตชนต้องเพียรถามตัวเองอยู่บ่อยๆ เพราะเราคริสตชนต้องเป็นนักบุญ ซึ่งคือการไปสวรรค์ให้ได้ในวันสุดท้ายของชีวิต แต่แล้วเราจะเป็นนักบุญได้อย่างไรละ คำถามคล้ายๆคงต้องตามมาเป็นแน่เมื่อขึ้นต้นเช่นนี้ และคำตอบมันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงนั่นก็คือ ‘การน้อมรับกางเขนในชีวิต’ เพราะอาศัยกางเขนนั่นคือความทุกข์ยากก็ทำให้วิญญาณของเราเติบโตขึ้น และผลิดอกให้พระทรงเด็ดไปในวันใดวันหนึ่ง แต่กว่าจะถึงจุดดนั้นได้ฉันใดฉันนั้นต้นไม้ก็จำต้องถูกลิบใบบ้าง ต้องทรงสภาพอากาศต่างๆบ้างจริงไหม และเช่นกันการตีสอนไม่ทำให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีหรือ แน่นอนเมื่อพูดเช่นนี้หลายๆคนก็อาจแย้งในใจว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะแบกกางเขน ที่จะรับความทุกข์ยาก และแน่นอนนการการคิดเช่นนี้นับเป็นการมองแบบผิวเผิน
เราจำต้องมองแบบนักบุญมอง เช่นนักบุญลูเชีย พัค ที่มองความทุกข์ยากต่างๆคือน้ำพระทัยของพระ ท่านจึงสามารถผ่านทุกสิ่งมาได้ตลอดการเป็นคริสตชน ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องงาน เรื่องทางบ้าน จนถึงเรื่องชีวิต แม้จะไม่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือฝ่ายจิต แต่ท่านได้บรรลุถึงรหัสธรรมแห่งกางเขนอย่างแท้จริง ดังนั้นขอให้เราลองพยายามค้นหาความหมายที่แท้จริงของกางเขนที่เราพบในชีวิตประจำวัน โดยเริ่มจากการมองกางเขนด้วยสายตาของนักบุญ เพื่อที่ว่าเมื่อเราเข้าใจถึงความหมายของมัน เราก็จะพร้อมยิ้มและอ้าแขนรับกางเขนนั้นด้วยความยินดี ขอให้เรามองกางเขนเป็นเช่นนักบุญพัคเถิด “ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยไร้ซึ่งคำอนุญาตของพระเจ้า แต่นี้ไปคือพระประสงค์ของพระองค์ ขอให้เราน้อมรับด้วยความเต็มใจเถิด”
“ข้าแต่ท่านนักบุญลูเชีย พัค ฮี ชุน และเพื่อนมรณสักขีชาวเกาหลี ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง
https://ko.wikipedia.org/wiki/박희순_루치아