นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ
การมาของทูตสวรรค์แห่งสันติภาพ
กาลเวลาล่วงเลยมาได้ปีหนึ่งหลังลูเซีย
ฟรังซิสโก และยาซินทาได้มาพบกันจนสนิทสนมกันเป็นอย่างดี ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1916 เนื่องจากวันนั้นมีฝนตกในช่วงเช้า ทั้งสามจึงต้อนแกะไปหาที่หลบฝนอยู่ที่ใต้เงื้อมหิน
บริเวณสวนมะกอกของคุณพ่อทูนหัวของลูเซีย และขณะทั้งสามกำลังเอากรวดมาเล่น
หลังพักรับประทานอาหารกลางวัน และสวดสายประคำได้สักพัก ก็พลันเกิดลมแรงพัดขึ้นอย่างน่าประหลาดทั้ง ๆ ที่ตลอดทั้งวันมิมีลมเช่นนั้น
จนเรียกความสนใจของทั้งสามให้ต้องเงยหน้าขึ้นจากการละเล่น และบัดดลนั้นเอง
ก็ปรากฏแสงสว่างรูปร่างคนสีขาวใสค่อย ๆ ลอยมาจากทางทิศตะวันออก
“อย่ากลัวเลย
เราคือทูตสวรรค์แห่งสันติภาพ จงสวดภาวนาพร้อมเราเถิด” ร่างนั้นเอ่ยขึ้น เมื่อเข้ามาในระยะที่พอให้ลูเซียเห็นท่านได้ถนัดตา
ก่อนจะหมอบลงกับพื้นเอาศีรษะจรดพื้น
ฝั่งเด็ก ๆ เมื่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกเหมือนมีแรงดลใจบางอย่างให้หมอบลงกับพื้น และสวดตามท่านว่า
“ลูกเชื่อ ลูกนมัสการ ลูกวางใจ และลูกรักพระองค์
ลูกขอโทษแทนผู้ที่ไม่เชื่อ ไม่นมัสการ ไม่วางใจ และไม่รักพระองค์”
กระทั่งสวดครบสามจบแล้ว ท่านลุกขึ้นและบอกกับพวกเด็กๆว่า “สวดอย่างนี้นะ แล้วดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าและแม่พระจะสดับฟังคำวิงวอนของหนู” แล้วจึงหายวับไป ทิ้งไว้แต่ความงุนงงให้กับทั้งสาม “ท่านจากพวกเราไปในบรรยากาศที่เหนือธรรมชาติแบบสุด ๆ จนทำให้พวกเราลืมไปเสียนานสองนาน ว่าเรายังมีชีวิตอยู่” คำอธิบายของลูเซีย และหลังจากวันนั้นมาทั้งสามก็มิได้ปริปากเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย พร้อมตั้งใจว่าจะลดเวลาเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ ให้น้อยลง พร้อมรักษาเนื้อรักษาตัวให้มากขึ้น
จนเวลาล่วงเลยสู่หน้าร้อนในปีเดียวกัน
ก็เป็นธรรมเนียมที่ว่าคนเลี้ยงแกะแถบบริเวณพื้นที่ราบสูงแซร์รา ดา ไอรี จะต้อนแกะออกไปกินอาหารแค่เฉพาะตอนเช้ากับตอนเย็น
เพราะในตอนกลางวันพระอาทิตย์จะสาดแสงอันร้อนระอุ ซึ่งไม่เหมาะยิ่งไม่ว่าตอนคนหรือสัตว์ไปทั่วบริเวณเนินเขา
ทำให้ในฤดูนี้พวกคนเลี้ยงแกะจึงจะต้อนแกะกลับมาที่คอกก่อนเที่ยง
และพักหาที่หลบแดดเพื่อรอเวลาจะต้อนแกะไปกินหญ้าในตอนเย็นเสมอ
ซึ่งทั้งลูเซีย
ฟรังซิสโก และยาซินทาก็ปฏิบัติดังนี้
ทั้งสามชอบใช้เวลาพักเหล่านี้ที่สวนของครอบครัวลูเซีย โดยพวกเขาชอบขึ้นไปนั่งและเล่นที่บนหินก้อนโต ๆ ที่มีแอ่งน้ำขัง
โดยมีร่มเงาของกิ่งมะเดื่อ อัลมอนต์ และมะกอกคอยกันแสงแดดให้ตลอดเวลา
จนวันหนึ่งเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นกับทั้งสามอีกครั้ง เพื่อหมายจะเตรียมทางไปสู่
‘พันธกิจ’ ของเด็กน้อยทั้งสามแห่งฟาติมา
อันใกล้จะมาถึงในอีกไม่ช้า…
วันหนึ่งขณะทั้งสามมาอยู่ที่นี่ดังปกติ
ในเวลาที่ปกติแล้วคือเวลานอนกลางวัน ร่างปริศนาร่างเดิมที่เคยปรากฏมาหาทั้งสาม
ก็ปรากฏมาอีกครั้งที่ใกล้ ๆ กับทั้งสาม “พวกหนูกำลังทำอะไรอยู่จ๊ะ” ร่างนั้นถาม แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสามจะตอบ
ร่างนั้นก็กล่าวต่อว่า “จงสวดภาวนา สวดให้มาก ๆ ดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าและแม่พระมีแผนงานแห่งความเมตตาสำหรับพวกหนู
จงถวายคำภาวนาและพลีกรรมอย่างไม่หยุดหย่อนต่อพระผู้สูงสุดเถิด”
ลูเซียเมื่อได้ยินดังนี้ก็เกิดความสงสัย
เธอจึงถามร่างนั้นว่า “แต่พวกหนูจะถวายพลีกรรมได้อย่างไรคะ” ร่างนั้นจึงตอบ “จงถวายทุกสิ่งที่พวกหนูทำได้ให้เป็นเสมือนหนึ่งเครื่องบูชาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพื่อเป็นการชดเชยบาปผิดซึ่งเป็นที่เคืองพระทัยของพระองค์ และเพื่อเป็นการวิงวอนให้คนบาปได้กลับใจ
ด้วยการนี้เองจะนำมาซึ่งสันติแก่ประเทศของพวกหนู เราคืออารักขเทวดาของเธอ (โปรตุเกส) ทูตสวรรค์แห่งโปรตุเกส สำคัญที่สุดเลยนะ
จงน้อมรับและแบกด้วยความอ่อนน้อมต่อความทุกข์ยากนานาที่พระเป็นเจ้าจะทรงส่งมาให้พวกหนูเถิด” แล้วอันตรธานหายไป
แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ฟรังซิสโกมีบุญได้เห็นทูตสวรรค์
ทูตของพระเป็นเจ้า แต่เขาก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงอันใด
เขาจึงใคร่รู้นักว่าทูตสวรรค์ได้พูดอะไรบ้าง “ลูเซีย ทูตสวรรค์ท่านพูดว่าอะไรน่ะ” เขาเอ่ยถาม แต่ลูเซียอยู่ในสภาพที่ตกตะลึกกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดไปเมื่อครู่
เธอจึงบอกให้เขารอวันหลัง ไม่ก็ให้ถามตัวยาซินทาเอา
แต่ยาซินทาเองก็ไม่ได้ทำใจที่จะทวนสิ่งที่ทูตสวรรค์ได้บอกเมื่อครู่
เธอจึงบอกไม่ได้ ดังนั้นลูเซียจึงอาสาจะบอกเองว่า “พรุ่งนี้ เราจะบอกนายเอง ฟรังซิสโก แต่เราไม่อาจพูดเรื่องนี้ได้ในคืนนี้”
รุ่งเช้าทันที่พบหน้าลูเซีย
ฟรังซิสโกก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อคืนเธอนอนหลับหรือเปล่า เราคิดถึงเรื่องทูตสวรรค์กับสิ่งท่านพูดตลอดเลยอ่า” ลูเซียจึงเริ่มเล่าถึงสิ่งที่ท่านทูตสวรรค์ได้บอกในการประจักษ์ครั้งนี้
แต่ฟรังซิสโกก็ไม่ได้เข้าใจคำพูดทั้งหมด “…‘อะไรคือพระผู้สูงสุด’ เขาถาม ‘แล้วดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าและแม่พระจะสดับฟังคำวิงวอนของหนูแปลว่าอะไร’ และเมื่อดิฉันตอบ เขาก็หยุดคิดสักพัก
แล้วจึงเริ่มตั้งคำถามอื่น ๆ
แต่วิญญาณของดิฉันยังไม่อาจจะเล่าถึงสิ่งเหล่านั้นได้อย่างอิสระ ดิฉันจึงขอให้เขาให้รอไปวันอื่นก่อน
เขาดูราวจะจับใจความอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่วายถามอีกครั้ง
จนทำให้ยาซินทาพูดขึ้นอย่างตระหนกว่า ‘ระวังหน่อยซิ
พวกเราไม่ควรพูดเรื่องพวกนี้อีก’”
“เป็นเรื่องน่าแปลก
แต่เมื่อพวกเราพูดถึงเรื่องทูตสวรรค์
ดิฉันไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าพวกเรารู้สึกเช่นไร ยาซินทาเคยพูดว่า ‘หนูไม่รู้ว่าหนูรู้สึกยังไง
หนูไม่สามารถพูดหรือเล่นหรือร้องเพลงหรือทำอะไรอย่างอื่นได้เลย’ ฟรังซิสก็บอกว่า ‘เราก็เหมือนกัน แต่มันไม่สำคัญหรอก ทูตสวรรค์ย่อมดีกว่าอะไรอยู่แล้ว
ลองคิดถึงท่านดูซิ’”
ลูเซียยังเขียนอีกว่า
“คำพูดของท่านทูตสวรรค์เหมือนแสงสว่าง
ซึ่งทำให้พวกเราเข้าใจถึงภาพลักษณ์และสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงเป็นอยู่ตามจริง
นั่นคือพระองค์ทรงรักเรามากและทรงปรารถนายิ่งที่จะได้รับความรัก
ความหมายของการพลีกรรมชัดเจนเป็นครั้งแรก ซึ่งทันใดนั้นเองพวกเราก็รับรู้ได้ถึงการวิงวอนต่อพระเจ้าและพลังในการทำให้คนบาปกลับใจ
แต่นั้นมาพวกเราจึงเริ่มถวายพลีกรรมที่พวกเราทำแด่พระองค์ ไม่ว่าจะเรื่องที่ยากลำบากหรือเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์
แต่พวกเราก็ยังมิได้มองหากิจพลีกรรมและใช้โทษบาปแบบพิเศษซึ่งพวกเราได้เรียนรู้ในเวลาต่อมา
กระนั้นก็ตามพวกเราก็ใช้เวลาหลายต่อหลายชั่วโมงกราบสวดตามที่ทูตสวรรค์สอนพวกเรา”
เวลานี้ถึงแม้ทั้งสามจะรู้สึกว่าคำพูดของทูตสวรรค์นั้นยากนักที่เด็ก ๆอย่างทั้งสามจะแบกไหว ทั้งสามก็น้อมรับมันไว้ ด้วยการทำพลีกรรมตามที่ได้เขียนไปแล้ว กระทั่งฤดูร้อนผ่านพ้นไป และเข้าสู่ฤดูใหม่อันเป็นเวลาที่เด็กๆต้องอยู่เฝ้าแกะตลอดทั้งวันเช่นเดิม วันหนึ่งขณะทั้งสามต้อนฝูงแกะไปแถว ๆ เนิน ‘กาเบโซ’ ทั้งสามก็ได้ขึ้นไปสวดสายประคำ แล้วสวดตามอย่างที่ทูตสวรรค์สอนต่อบนก้อนหินใหญ่แถวนั้น และขณะพักอยู่ที่นั่นเอง ทูตสวรรค์องค์เดิมก็ได้ประจักษ์มาหาทั้งสามอีกครั้ง แต่คราวนี้ท่านได้มาพร้อมกาลิกส์และปังซึ่งมีโลหิตหยดลงมาที่กาลิกส์สองสามหยด ก่อนท่านจะปล่อยมือจะทั้งสองสิ่งและก้มกราบลงที่พื้นพร้อมสวดว่า “ข้าแต่พระตรีเอกภาพ พระบิดา พระบุตรและพระจิต ลูกขอนมัสการพระองค์อย่างสุดซึ้ง และขอถวายพระกาย พระโลหิต พระวิญญาณ และพระเทวภาพของพระเยซูคริสต์เจ้าผู้สถิตอยู่ในตู้ศีลทั่วสกลโลก เพื่อชดเชยการสบประมาท การทุราจารและความเฉยเมยของผู้ทำผิดแสลงพระทัยพระองค์ เดชะพระบารมีหาขอบเขตมิได้แห่งดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง และดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ ขอให้คนบาปได้กลับใจด้วยเถิด”
แล้วท่านจึงลุกขึ้น
แล้วรับเอาศีลมหาสนิทมา ก่อนจะส่งแผ่นปังให้ลูเซียรับ
และส่งกาลิกส์ให้ฟรังซิสโกและยาซินทารับ พร้อมบอกกับสองพี่น้องมาร์โตว่า “จงรับพระโลหิตของพระเยซูคริสตเจ้า
ผู้ทรงเป็นทุกข์ยิ่งเพราะมนุษย์ใจอกตัญญู จงชดเชยบาปผิดของพวกเขาและปลอบประโลมพระเป็นเจ้าของพวกหนูเถิด” จากนั้นท่านทูตสวรรค์จึงก้มกราบลงและสวดพร้อมกับพวกเด็ก ๆสามครั้งว่า
“ข้าแต่พระตรีเอกภาพ พระบิดา พระบุตรและพระจิต…” แล้วก็หายลับไปจากสายตาของทั้งสามเหมือนเดิม
“ลูเซีย เรารู้ทูตสวรรค์ได้ส่งศีลมหาสนิทให้เธอ
แต่ท่านส่งอะไรให้เรากับยาซินทา”
ฟรังซิสโกผู้ได้เห็นแต่ไม่เคยได้ยินเสียงทูตสวรรค์ถามขึ้น หลังเหตุการณ์ทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติ
“นั่นก็เป็นศีลมหาสนิทเช่นกัน ฟรังซิสโก นายไม่เห็นเลือดหยดจากแผ่นปังลงกาลิกส์หรือ” ฝั่งฟรังซิสโกเมื่อได้ยินดังนี้
ก็เกิดปิติในใจเป็นยิ่งนัก เขาเอ่ยขึ้นว่า “เรารู้แล้วว่าพระเป็นเจ้าทรงสถิตกับเรา
แต่เราไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้ยังไง” ก่อนจะคุกเข่าลงโมทนาคุณพระเป็นเจ้า
และสวดตามบทภาวนาที่ทูตสวรรค์สอนซ้ำไปซ้ำมาด้วยใจเปรมปรีดิ์
การมาของราชินีสวรรค์ ค.ศ. 1917
การประจักษ์ครั้งที่ 1 วันที่ 13 พฤษภาคม
ลูเซีย
ฟรังซิสโก และยาซินทาไม่เคยลืมเรื่องราวการมาเยือนของทูตสวรรค์
และทั้งสามก็มิได้ปริปากบอกใคร จนเวลาล่วงเข้าสู่ฤดูหนาว ความร้อนรนที่จะปฏิบัติตามคำขอของทูตสวรรค์ของทั้งสามก็ลดน้อยลงไปบ้าง
จากเกมส์ต่างๆและความสนใจพิเศษส่วนตัวที่ทั้งสามพบตลอดหลายเดือนแห่งความหนาวเหน็บ
ดุจนักบุญเปโตร นักบุญยากอบ และนักบุญยอห์น
ที่หลับใหลขณะพระอาจารย์ละจากพวกเขาไปสวดภาวนาตามลำพังในสวนเกทเสมนี
ทั้งสามดำเนินชีวิตเช่นเด็กปกติมาเรื่อย ๆ
จนฤดูกาลผันเข้าสู่ช่วงมหาพรตและปัสกาตามลำดับ ในวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1917 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ก่อนสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์
หลังร่วมมิสซาประจำวันอาทิตย์ที่วัดฟาติมา ลูเซีย ฟรังซิสโก และยาซินทาจึงออกเดินทางต้อนแกะไปกินหญ้า
ในบริเวณที่ดินของครอบครัวลูเซีย ซึ่งเต็มไปด้วยหินชื่อ ‘โควา ดา อิเรีย’
ตามที่ลูเซียได้เลือกไว้พร้อมถุงอาหารกลางวันเช่นปกติ
ทั้งสามค่อย ๆ เดินไปอย่างไม่รีบร้อน
เพื่อว่าแกะในฝูงจะได้หยุดแวะกินหญ้าตามข้างทางได้
วันนั้นนับเป็นวันที่จัดได้สวยทีเดียว
ท้องฟ้ากระจ่างใสไร้เมฆ
เวลาเดียวกันทุ่งหญ้าใกล้ ๆ ฟาติมาก็เต็มไปด้วยหมู่บุพผาที่พากันแย้มบานตามฤดูกาล
จนประดับท้องทุ่งแห่งฟาติมาให้ละลานตาดูคล้ายหมวกอีสเตอร์ที่ประดับด้วยดอกไม้นานาชนิด
และขณะทั้งสามต้อนแกะเข้าไปในทุ่งหญ้า
เสียงระฆังประจำวัดก็ตีดังขึ้นเป็นสัญญาณแห่งการสวดเทวทูตถือสาส์นประจำเวลาเที่ยง
ดังนั้นหลังปล่อยให้แกะได้เล็มหญ้าแล้ว
ทั้งสามจึงหันมาจัดการกับอาหารเที่ยงที่วันนี้ดีกว่าปกติ
โดยไม่รู้ตัวเลยว่าอีกไม่นานวันที่แสนจะงดงามนี้จะกลายเป็นวันที่โลกจารึกและจดจำ ทั้งสามแบ่งอาหารบางส่วนไว้กินต่อตอนบ่าย
และหลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ทั้งสามจึงโมทนาคุณพระเป็นเจ้า
และสวดสายประคำเหมือนทีทำเป็นปกติ แล้วทั้งสามจึงพาฝูงแกะขึ้นไปบนเนินเขาของโควา
ดา อิเรียต่อไป
เมื่อถึงที่หมายแล้วทั้งสามก็เริ่มเล่นกัน
วันนี้ทั้งสามได้ช่วยกันสร้างบ้านจากหินที่หาได้ตามทุ่งแห่งนี้
โดยมีฟรังซิสโกเป็นแม่งานคอยจัดวางหิน
ส่วนยาซินทาและลูเซียคอยหาหินมาให้ฟรังซิสโกก่อ แต่ขณะทั้งสามกำลังเพลิดเพลินกับการสร้างบ้านหินหลังน้อยอยู่นั้น
พลันทั้งสามก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นฟ้าแลบ ทั้งสามจึงรีบทิ้งหินในมือแล้วมองไปรอบ ๆ
ทั้งสามไม่ได้คิดเลยว่าวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสเช่นนี้จะมีฟ้าแลบเกิดขึ้น
แต่เมื่อมองไปรอบ ๆ ทั้งสามก็กลับยังคงเห็นต้นไม้ยังคงสงัดนิ่ง ไม่มีลมใดพลัดแรง และท้องฟ้าก็ยังเป็นสีฟ้าดังเดิม
“แต่มันอาจหมายถึงพายุก็ได้นะ
พี่คิดว่าพวกเราไปเตรียมของกลับบ้านกันเถอะ”
ลูเซียเอ่ยเพราะเชื่อว่ามีฟ้าแลบยังไงก็ต้องมีฝนแน่นอน แต่ขณะทั้งสามกำลังเก็บของ แล้วต้อนฝูงแกะลงเนินเขาไปตามทาง
พอมาได้สักครึ่งทาง ขณะผ่านต้นโอ๊ตใหญ่ที่ล้อมรั่วเหล็ก พลันทั้งสามก็ต้องสะดุ้งโหยงอีก
เมื่อเกิดฟ้าแลบที่อธิบายไม่ได้อีกครั้ง คราวนี้ทั้งสามเดินหน้าต่อไปได้อีกไม่กี่ก้าว
ก็เหมือนมีใครมาบังคับให้ทั้งสามต้องหันหน้าไปทางขวามือ
ทันทีทั้งสามก็ได้แลเห็นสตรีนางหนึ่งมีสิริโฉมงดงามเกินกว่าจะพรรณนาได้
สวมใส่อาภรณ์สีขาวและสว่างเสียยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ ผ้าคลุมศีรษะซึ่งยาวถึงเท้าของเธอเป็นสีขาวเช่นเดียวกัน
แต่มีการขลิบทองที่ชายผ้า สตรีนั้นฉายแสงสว่างจร้าคล้ายแก้วคริสตัลที่บรรจุน้ำแล้วน้ำนั้นกระทับกับแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านเป็นประการะยิบระยับ
เธออยู่ในท่าพนมมืออไว้ระดับอกมีสายประคำสีขาวซึ่งมีเม็ดประคำสุกใสดุจดารา
และมีกางเขนเป็นประกายระยิบระยับกว่าอัญมณีใดๆอยู่ที่มือขวา เธอยืนอยู่บนต้นโอ๊คต้นเล็ก ๆ
และมองมาที่ทั้งสามอย่างสนใจ
“อย่ากลัวเลย ฉันไม่ทำร้ายพวกหนูหรอก” สตรีปริศนาเอ่ย
พร้อมมองไปยังทั้งสามด้วยสายตาที่ฉายแววเศร้านิด ๆ คล้ายหนึ่งจะตำหนิความไม่ไว้ใจของทั้งสาม
“ท่านมาจากไหนคะ” ลูเซียเอ่ยถามสตรีปริศนา
“ฉันมาจากสวรรค์” สตรีปริศนาตอบ
“และท่านประสงค์สิ่งใดจากหนูหรือคะ” ลูเซียถามต่อ
“ฉันอยากให้หนูกลับมาที่นี่ในวันที่ 13 ของแต่ละเดือน เป็นระยะเวลาหกเดือนติดต่อกัน
และในเวลาเดียวกันด้วย หลังจากนั้นฉันจะบอกพวกหนูว่าฉันเป็นใคร และประสงค์สิ่งใดมากที่สุด
และฉันกลับมาที่นี่อีกเจ็ดครั้ง” สตรีปริศนาตอบ
“แล้วหนูจะได้ไปสวรรค์ไหมคะ” ลูเซียถาม
“จ๊ะ หนูจะได้ไป” สตรีปริศนาตอบ
“และยาซินทาละคะ” ลูเซียถาม
“เธอจะได้ไปเช่นกัน” สตรีปริศนาตอบ
“และฟรังซิสโกละคะ” ลูเซียถามต่อ
“ฟรังซิสโกก็ด้วยจ๊ะ
แต่เขาต้องสวดสายประคำให้มาก ๆ” สตรีปริศนาตอบ ก่อนจะเหลือบมองฟรังซิสโกอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วจากนั้นลูเซียจึงนึกได้ถึงเพื่อนสองคนที่พึ่งสิ้นใจไป
เธอจึงถามถึงเพื่อนทั้งสอง
“มาเรีย เนเวสได้อยู่ในสวรรค์หรือยังคะ” ลูเซียถาม
“จ๊ะ เธออยู่แล้ว” สตรีปริศนาตอบ
“และอาเมเลียละคะ” ลูเซียถาม
“เธอจะอยู่ในไฟชำระไปจนกว่าจะถึงวันสิ้นพิภพ” สตรีปริศนาตอบ
คำตอบนี้สร้างความทุกข์ใจเป็นอันมากแก่ลูเซีย
จนถึงกับน้ำตาคลอเบ้า เธอมองไปที่สตรีปริศนาดั่งจะถามว่าเธอจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเพื่อนคนนี้
และสตรีปริศนาจะได้ไขวิธีที่จะช่วยไม่เพียงแต่เพื่อนของเธอ แต่มนุษย์ชายหญิงทุกคนบนโลกใบนี้
“พวกหนูจะถวายตนต่อพระเป็นเจ้า
และน้อมรับความทุกข์ยากนานาที่พระองค์ทรงส่งมาให้จะได้ไหม เพื่อชดเชยบาปผิดนานาที่เป็นที่ขัดเคืองพระทัยของพระองค์จะได้ไหม
และเพื่อการกลับใจของคนบาปจะได้ไหม” สตรีนั้นถาม
“ค่ะ พวกเรายินดี” ลูเซียตอบแทน
“จากนี้ไปพวกหนูจะต้องทนทุกข์เป็นอันมาก
แต่พระหรรษทานของพระเจ้าจะอยู่กับหนู และเป็นความบรรเทาใจของหนู” สตรีปริศนาเอ่ยทำนายและบรรเทาใจ
ลูเซียเล่าว่าขณะสตรีปริศนากล่าวเช่นนี้
เธอก็กางมือออกและก็ปรากฏมีแสงสว่างออกมาจากมือของเธอ “พวกเราถูกอาบด้วยแสงสว่างสวรรค์ซึ่งเหมือนจะมาจากพระหัตถ์ของพระนางทั้งสองข้าง
แท้จริงแล้วแสงนั้นพุ่งเข้าไปในหัวใจและวิญญาณของพวกเรา และพวกเราก็ทราบได้ว่าแสงนี้คือพระเป็นเจ้า
และพวกเราก็สามารถเห็นตัวของพวกเราในแสงนั้นได้
และด้วยแรงกระตุ้นภายในจากพระหรรษทาน พวกเราจึงคุกเข่าลง พลางสวดซ้ำ ๆ ในใจว่า ‘ข้าแต่พระตรีเอกภาพ
พวกลูกขอนมัสการพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ข้าแต่พระเจ้า ลูกรักพระองค์ในศีลมหาสนิท’”
ทั้งสามถูกห้อมล้อมด้วงแสงสว่างนี้
กระทั่งสตรีปริศนาเอ่ยขึ้นว่า “จงสวดสายประคำทุกวันเพื่อนำสันติมาสู่โลกและเพื่อยุติสงครามเถิด” แล้วเธอจึงค่อย ๆ ลอยขึ้นไป
แล้วไปทางทิศตะวันออกอย่างช้า ๆ
กระทั่งลับสายตาของทั้งสามไปด้วยแสงพระอาทิตย์ที่สาดออกมา
แต่ทั้งสามก็ยังคงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าต้นโอ๊คเล็ก ๆ นั้น ดวงตายังคงจ้องไปทางที่สตรีปริศนาหายไปจากสายตา
และทีละนิด ๆ ทั้งสามจึงค่อยคลายจากภวังค์
แรกสุดสองพี่น้องรีบเขย่าตัวลูเซีย
แล้วฟรังซิสโกจึงคะยั้นคะยอให้ลูเซียเล่าว่าสตรีปริศนาพูดอะไร
เพราะแม้ทั้งสามจะเห็นสตรีผู้งดงาม แต่มีเพียงฟรังซิสโกเท่านั้นที่ไม่ได้ยินเสียงของสตรีผู้นี้
ดังนั้นลูเซียจึงเริ่มเล่าสิ่งที่เธอสนทนากับสตรีปริศนานั้นให้เขาฟัง
ระหว่างนั้นยาซินทาที่เงียบตลอดการประจักษ์ ขณะนึกทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ
ดวงใจของเธอก็เต้นรัวและเปี่ยมไปด้วยความสุข “แต่เธอน่ารักมาก ๆ มาก ๆ เลยนะ เธอน่ารักไม่ใช่หรือ พี่ลูเซีย” ยาซินทาอุทาน “ใช่ เธอน่ารัก มากกว่าน่ารักอีก” ลูเซียตอบ
“เฮ้ย แกะละ” ฟรังซิสโกอุทานขึ้นหลังทราบรายละเอียดต่าง ๆ
ก่อนเขาจะรีบออกไปตามหาแกะ และก็พบว่าฝูงแกะของพวกเขายังคงอยู่แถวนั้น
ทำให้ทั้งสามโล่งอกและตัดสินใจจะย้ายจากที่นี่ในทันที ซึ่งขณะต้อนแกะไปที่อื่น
ทั้งสามก็มิได้ปริปากพูดคุยกันเพราะยังคงตะลึงกับเหตุการณ์ทีโควาอยู่
ทั้งสามตะลึงกับชนิดที่ว่าลืมเรื่องเล่นที่เป็นกิจวัตรของทั้งสามไปเลย
แต่เมื่อลูเซียเห็นอาการของยาซินทาว่าต้องนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังแน่
ลูเซียจึงสั่งยาซินทาว่า “อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนะ” ยาซินทาจึงสัญญาว่า “หนูจะไม่เล่าให้ใครฟัง อย่ากลัวไปเลย”
กระทั่งถึงเวลาเย็น
เมื่อทั้งสามต้อนแกะกับมาถึงบ้านและถึงเวลาต้องแยกย้ายกันเข้าบ้าน
ลูเซียก็ไม่วายกำชับกับสองพี่น้องมาร์โตว่า “น้องจะไม่เล่าให้ฟังใช่ไหม”
ฝั่งยาซินทาก็รับอย่างแข็งขันว่า “ไม่แม้แต่แม่ของหนู แน่นอน”
ส่วนฟรังซิสโกมิได้ตอบอะไร เขาเพียงแต่เดินเอามือล้วงกระเป๋า และคิดอย่างเงียบ ๆ อยู่คนเดียว
กระทั่งถึงบ้าน ลูเซียก็มิได้ปริปากเล่าเรื่องงนี้ใครฟัง แต่กลับยาซินทานั้น…..ไม่
เพราะทันทีที่เธอพบนางโอลิมเปียกำลังกลับจากไปซื้อหมูที่ตลาดต่างหมู่บ้าน
เธอก็รีบวิ่งไปบอกอย่างลิงโลดกับผู้เป็นมารดา ทั้ง ๆ ที่นางยังไม่ทันได้เข้าบ้านว่า “แม่คะ วันนี้หนูเห็นแม่พระที่โควา ดา
อิเรีย” (ตัวยาซินทาเชื่อว่าสตรีปริศนานั้นคือแม่พระจริง ๆ
แม้สตรีนั้นจะยังมิเอ่ยแถลงนามใด ๆ ) ฝั่งนางโอลิมเปียก็ถามย้อนบุตรสาวตัวน้อยว่า
“นั่นมันเป็นไม่ได้หรอกนะ ลูกคิดว่าลูกเป็นนักบุญที่เห็นแม่พระหรือ” จนทำให้ยาซินทาที่เริงร่าต้องหงอยไป
แต่กระนั้นเมื่อนางโอลิมเปียเข้าบ้านแล้ว ยาซินทาก็ไม่วายจะบอกกับมารดาอีกครั้งว่า
“แต่หนูเห็นพระนางจริง ๆ นะ” ก่อนจะสาธยายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
แต่นางโอลิมเปียก็ไม่ได้สนใจฟังเท่าไร ซ้ำบอกธิดาตัวน้อยให้เลิก ๆ ความคิดที่ตัวได้เห็นแม่พระเสีย
กระทั่งล่วงถึงเวลารับประทานอาหารค่ำ
นางก็สั่งให้ยาซินทาเล่าเรื่องอีกครั้ง ซึ่งตัวยาซินทาก็ดูท่าจะหลงลืมคำสัญญากับลูเซียไปเสียสนิท
เพราะเธอมิได้ปฏิเสธคำสั่งนี้
และได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นพร้อมทำท่าทางของสตรีนั้นให้ทั้งครอบครัวได้ฟังได้เห็น
ส่วนตัวฟรังซิสโกเองเมื่อถูกถาม ก็เพียงยืนยันว่าไม่มีสิ่งใดจะเกินเลยคำบอกเล่าของน้องสาวคนนี้ของเขา
“ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ”