นักบุญมารีอานา แห่ง พระเยซูเจ้า
St. Mariana de Jesús
วันระลึกถึง: 26 พฤษภาคม และ 28
พฤษภาคม (สำหรับคณะฟรังซิสกัน)
องค์อุปถัมภ์: เอกวาดอร์ ทวีปอเมริกา ความเจ็บป่วยทางกาย
การสูญเสียบิดามารดา บุคคลที่ถูกปฏิเสธโดยคณะนักบวช ผู้ป่วย
ย้อนไปกว่าสี่ร้อยปีที่ผ่านมา
ณ ทางตะวันออกของเชิงเขาปิชินชา เป็นที่ตั้งของเมืองซาน ฟรานซิสโก เด กีโต หรือ ‘กีโต’
เมืองหลวงของประเทศเอกวาดอร์ในปัจจุบัน
หรือที่ในขณะนั้นยังคงเป็นเมืองภายใต้การปกครองของเปรู กีโตในเวลานั้นในระยะเพียงแค่ครึ่งตารางไมล์
ก็มีวัดที่สวยงามถึงสิบวัด
ไม่นับรวมอารามนักบวชชายและนักบวชหญิงที่ตั้งอยู่ตามที่ต่าง ๆ ของเมือง
ซึ่งหลายแห่งก็ยังคงตั้งอยู่จนถึงปัจจุบัน
แม้จะต้องเจอกกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวและความวุ่นวายทางการเมืองหลายระลอก
จึงไม่แปลกที่กีโตจะเป็นที่รู้จักด้วยสมญานาม ‘อารามแห่งอเมริกา’ และ ‘สักการสถานแห่งศิลปะโคโลเนียล’
เพราะที่แห่งนี้ไม่เพียงเต็มไปด้วยอารามนักพรต แต่ยังเต็มไปด้วยงานศิลปะที่งดงาม
โดยเฉพาะศิลปะแบบบบาโรค ที่ถือได้ว่าเป็นยอดที่สุดในกลุ่มชนที่พูดภาษาสเปน
ในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ.1618 ชีวิตที่เรียบง่ายหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น ในครอบครัวอันทรงเกียรติของกัปตันเฆโรนิโม เด ปาเรเดส อี โฟลเรส ชายผู้มาจากครอบครัวขุนนางเมืองโตเลโดในสเปน และนางมารีอานา เด กรานอบเลส เด ซามาริลโล หญิงผู้สืบเชื้อสายมาจากหนึ่งในผู้นำกลุ่มกองกิสตาดอร์ หรือกลุ่มนักสำรวจ กองทหาร และนักผจญภัยที่ได้พิชิตดินแดนอเมริกาใต้ชาวสเปนในช่วงคริสตศวรรษที่ 15 และ 16 ทั้งสองมีลูกด้วยกันมาแล้วถึงเจ็ดคน และได้ตั้งนามเด็กทารกเพศหญิง ซึ่งเป็นลูกคนที่แปดของพวกเขาว่า ‘มารีอานา’ เล่ากันว่าในคืนที่ทารกผู้นี้กำเนิดปรากฏมีกลุ่มดาวได้เรียงกันเป็นรูปใบปาล์มอยู่เหนือชายคา ที่ทารกน้อยได้ลืมตาดูโลก เสมือนเป็นเครื่องประกาศ เช่นเมื่อครั้งพระบุตรทรงบังเกิดที่เมืองเบธเลเฮม
ทั้งสองเลี้ยงดูสมาชิกใหม่ของครอบครัวด้วยความเอาใจใส่
จนมารีอานา เปเรเดส ซามาริลโลมีอายุได้ 4 ปี กัปตันเฆโรนิโมก็สิ้นใจลงอย่างปัจจุบันทันด่วน
ยังความโทรมนัสเป็นอันมากให้กับนางมารีอานา ผู้เป็นภรรยา
นางจึงตัดสินใจพาท่านซึ่งขณะนั้นยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย
อุ้มไว้กับตัวและออกเดินทางไปพักอยู่บ้านที่ชนบทของเมืองด้วยล่อ
มีเรื่องเล่ากันว่าระหว่างที่นางกำลังขี่ล่อข้ามลำธารนั่นเอง
ด้วยความรีบร้อนเจ้าล่อก็เกิดพลาดล้มลง ทำให้ท่านพลัดตกลงไป
แต่ทันใดนั้นเองอารักขเทวดาของท่านก็ได้อุ้มท่านไว้กลางอากาศไม่ให้ตก ฝั่งนางมารีอานาผู้เศร้าโศกเมื่อได้สติ
ก็รีบอุ้มลูกสาวของตนที่ลอยอยู่ในอากาสนั้นไว้ แล้วเดินทางต่อไป
และเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ยังไม่ทันที่ความโศกเศร้าจะคลายไปจากครอบครัวเปเรเดส ไม่นานนางมารีอานาก็ได้จากโลกนี้ไปตามสามีของนาง ทิ้งให้ท่านผู้ยังเยาว์นักต้องเป็นกำพร้า แต่ก็โชคยังดีที่ก่อนนนางจะจากไป นางได้ฝากฝังท่านไว้กับบุตรสาวของคนโตของนางชื่อ เฆโรมินา เด เปเรเดส ซึ่งสมรสกับกัปตันกอสเม เด กัสโซ ให้เป็นผู้รับหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูท่านต่อจากนาง ท่านจึงได้ย้ายไปอยู่กับนางเฆโรมินาและได้รับการอบรมในเรื่องต่าง ๆ ตามแบบอย่างของสตรีชั้นสูงร่วมกับธิดาทั้งสามคนของนาง ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานและมีอายุไล่เลี่ยกับท่าน
ทั้งนางเฆโรมินาและกัปตันกอสเมต่างรักใคร่เอ็นดูท่าน
เสมือนหนึ่งเป็นลูกสาวอีกคนของพวกเขา ทั้งสองเฝ้าสอนให้ท่านรู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร
ซึ่งท่านเองก็นบนอบเชื่อฟังทั้งสองอย่างว่านอนสอนง่าน จนจากวันเป็นสัปดาห์
จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากหนึ่งปีเป็นสองปี ท่านที่โตขึ้นก็เริ่มฉายแววความศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากวิญญาณน้อย
ๆ มีครั้งหนึ่งท่านกำลังเล่นอยู่กับทั้งสาม จู่ ๆ
ท่านก็รีบพาทั้งสามออกมาจากกำแพงที่เล่นกันอยู่
ก่อนที่กำแพงดังกล่าวจะพังลงมาตรงที่ทั้งสี่กำลังเล่นกันพอดี
เหตุการณ์นี้ไม่มีใครล่วงรู้ว่าท่านทราบได้อย่างไร
แต่ก็เสมือนหนึ่งเป็นเครื่องหมายถึงเหตุการณ์ในอนาคตของท่าน
ซึ่งท่านจะได้ช่วยผู้คนจำนวนมากให้ได้ปลอดภัยจากภยันตราย
นอกจากชวนกันเล่นสนุกตามประสาเด็กแล้ว ท่านยังชอบชวนหลานทั้งสามของท่านที่มีอายุร่วมรุ่นกัน ตั้งขบวนแห่เทิดเกียรติพระเป็นเจ้า เดินรูปสิบสี่ภาค และสวดสายประคำ นอกนี้เมื่อมีอายุได้ 6 ปี ท่านก็เริ่มทำพลีกรรมด้วยการเลิกบริโภคเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากนม เอาใบตำแยมาถูตามเนื้อตัว มีคราวหนึ่งพี่สาวของท่านพบว่าสวมผ้ากระสอบเนื้อหยาบอีกด้วย ความศรัทธาที่ร้อนรนนี้เป็นที่สังเกตเห็นของนางเฆโรมินาและกัปตันกอสเมมาโดยตลอด ทั้งสองจึงได้พยายามให้ท่านได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกตั้งแต่อายุได้ 7 ปี ซึ่งถือว่าเป็นที่แปลกประหลาดมาก เนื่องจากธรรมเนียมปฏิบัติในขณะนั้นนิยมให้เด็กได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก เมื่อมีอายุได้ 12 ปี
พระสงฆ์เยซูอิต(น่าจะเป็นคุณพ่อฆวน
กามาโช คุณพ่อวิญญาณณารักษ์คนแรกของท่าน)จึงได้เรียกท่านมาทดสอบความรู้คำสอน
และคุณพ่อก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าท่านสามารถเข้าใจคำสอนต่าง ๆ ได้เกินวัย
และมีชีวิตฝ่ายจิตที่เติบโตไปไกลกว่ารูปร่างภายนอก
ดังนั้นคุณพ่อจึงตัดสินใจอนุญาตให้ท่านรับศีลมหาสนิทครั้งแรกตั้งแต่ท่านมีอายุได้ 7 ปี
และได้กลายมาเป็นคุณพ่อวิญญาณณารักษ์ของท่าน ฝั่งท่านเองก็ได้เพิ่มคำว่า ‘เด เฆซุส’ เข้าไปต่อท้ายชื่อของท่าน
เพื่อแสดงว่าท่านนั้นเป็น ‘ของพระเยซูเจ้า’ ทั้งครบ
และได้รับการดลใจภายในให้ปฏิญาณตนถือพรหมจรรย์ไปตลอดชีวิต
ท่านมอบหัวใจดวงน้อยของท่านให้กับองค์พระเยซู และปรารถนาจะให้ทุกคนรักพระองค์เช่นเดียวกับท่าน ไม่เพียงแต่คนรอบข้างท่าน แต่รวมถึงคนที่ห่างไกลออกไป และเช่นเดียวกับนักบุญเทเรซา แห่ง อาบิลา ปิยมารดาแห่งคณะคาร์เมไลท์ มีวันหนึ่งท่านได้ยินพระสงฆ์เทศน์ว่ายังมีผู้คนอีกเป็นจำนวนมาก ที่ยังไม่รู้จักพระเยซูเจ้า ท่านที่ขณะนั้นยังเป็นเด็กหญิงวัยกำลังโต จึงตัดสินใจที่จะไปเป็นธรรมทูตในหมู่ชาวอินเดียนแดงเผ่าไมนัส โดยได้ชักชวนให้หลานสาวของท่านติดตามไปด้วย ท่านแอบเอากุญแจบ้านมาไว้กับตัวและวางแผนจะแอบเดินทางไปในตอนกลางคืน แต่ด้วยความยังเยาว์นักท่านจึงเผลอหลับไปตลอดคืน และถูกจับได้ในตอนเช้า ท่านจึงต้องล้มแผนการณ์ครั้งนี้ไปในที่สุด
อีกคราวหนึ่งท่านก็ได้ชักชวนเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับท่าน
ขึ้นไปใช้ชีวิตเหมือนฤษีอย่างโดดเดี่ยว อยู่ใกล้ ๆ กับวัดน้อยหลังหนึ่งบนภูเขาปิชินชา
ซึ่งถูกกสร้างขึ้นเพื่อวิงวอนขอพระนางมารีย์ให้ช่วยเมืองรอดพ้นจากภูเขาไฟระเบิดและถูกทิ้งร้างในเวลานั้น
เพื่อเจริญชีวิตรำพึงภาวนา และพลีกรรมใช้โทษบาป
ซึ่งก็มีเพื่อนของท่านที่สมัครใจจะไปใช้ชีวิตเช่นนั้นด้วย
แต่เมื่อทั้งคณะเริ่มออกเดินทางไป ท่านและเพื่อนก็ถูกกระทิงมาขวางทางไว้ และแม้พยายามจะหลบไปทางใดก็ไม่สามารถที่จะผ่านมันไปได้
ท่านที่นึกเอะใจได้ว่า นี่อาจไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับท่าน
ท่านจึงได้คุกเข่าลงสวดภาวนาอยู่ชั่วครู่
และได้แจ้งกับเพื่อนว่านี่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า
และได้ขอยกเลิกแผนการหลบหนีครั้งนี้
ทันทีกระทิงร้ายที่ขวางพวกท่านก็ได้จากไปอย่างสงบ
แม้ความตั้งใจถึงสองครั้งในการดำเนินชีวิตติดตามพระเยซูเจ้าในรูปแบบของธรรมทูตและนักพรตของท่านจะไม่ประสบความสำเร็จ ท่านก็ไม่เคยลดละความปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตติดตามองค์พระเยซูคริสตเจ้าไป ดังนั้นเมื่อท่านอายุได้ 12 ปี พี่สาวและพี่เขยที่เล็งเห็นว่าคงไม่เป็นการดีแน่ที่จะปล่อยให้ดำเนินชีวิตเป็นฆราวาสต่อไป เพราะรังแต่จะเป็นขี้ปากชาวบ้านที่จับกลุ่มนินทาถึงความศรัทธาที่มากเกินปกตินี้ จึงได้ถามท่านว่า สมัครใจจะเข้าอารามเป็นนักบวชไหม ท่านก็ตอบรับทั้งสองว่าปรารถนา ทั้งได้แจ้งว่าท่านได้ปฏิญาณจะถือพรหมจรรย์ ความยากจน และความนบนอบมาตั้งแต่อายุได้ 10 ปี
![]() |
อารามนักบุญแคทเทอรีน เมืองกีโต |
หลังจากนั้นไม่นานพี่เขยของท่านก็ได้เสนอให้ท่านเข้าอารามนักบุญคลารา ของคณะฟรังซิสกัน ในเมืองกีโตแทน ท่านที่พิจารณาแล้วว่าอารามแห่งนี้เหมาะสมกับการเจริญชีวิตของท่าน จึงได้ตอบตกลงโดยมีข้อแม้ว่า ‘หากนี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง’ เมื่อท่านมีความประสงค์ดังนั้นแล้ว กัปตันคอสเมจึงได้จัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมไม่ว่าจะเป็นการลงนามในเอกสาร หรือการจัดเตรียมสินสอด เขาได้ตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสรรพเพื่อให้การเข้าอารามครั้งนี้ของท่านเป็นไปอย่างเรียบร้อยที่สุด เขายังได้จัดเตรียมงานเลี้ยงอำลาให้ท่าน โดยได้เชิญแขกเหรื่อเป็นจำนวนมากมาร่วมแสดงคความยินดีกับการตัดสินใจครั้งนี้ของท่าน ทุกคนในบ้านของท่านจึงต่างวุ่นวายกับการเตรียมงาน และต่างตื่นเต้นที่ท่านจะเข้าอาราม ยกเว้นเพียงท่านที่กลับรู้สึกว่า อารามนี้ก็ยังไม่ใช่คำตอบสำหรับท่าน
ด้วยความลังเลใจ
ท่านได้ทูลถามต่อองค์พระเยซูเจ้าถึงน้ำพระทัยของพระองค์อีกครั้ง
และท่านก็ได้รับการไขแสดงว่าทรงประสงค์ให้ท่านดำเนินชีวิตเป็นนักบวช
อยู่ในโลกภายนอก ท่านจึงได้แจ้งเรื่องนี้กับคุณพ่อฆวน กามาโช
คุณพ่อวิญญาณารักษ์ของท่าน
คุณพ่อจึงได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับพี่สาวและพี่เขยของท่าน
ซึ่งหัวเสียไม่น้อยต่อความโลเลของท่าน แต่ด้วยการดลใจของพระเจ้า
ที่สุดทั้งสองเมื่อทราบความปรารถนาของท่านก็อนุญาตให้ท่านได้เจริญชีวิตแบบนั้น
เพราะทั้งสองต่างทราบดีว่าท่านเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ โดยเพื่ออำนวยความสะดวกให้ท่าน
ทั้งสองยังได้สร้างห้องจำนวนถึงสามห้องไว้ในพื้นที่บ้าน
เพื่อให้ท่านใช้เป็นสถานที่ในการปฏิบัติศาสนกิจของท่านในความสันโดษ
และได้ตกแต่งห้องเหล่านั้นให้เหมาะสมตามฐานะของครอบครัว
ซึ่งเมื่อได้เห็นห้องนั้น ท่านก็จัดการถอดเอาข้าวของตกแต่งที่ไม่จำเป็นออกและได้จัดห้องตามแบบที่ท่านปรารถนา คือ มีเตียงปูด้วยไม้กระดานสำหรับใช้นอน มีกางเขนที่เต็มไปด้วยหนามสำหรับพลีกรรม มีโลงไม้ พร้อมด้วยโครงกระดูกทำจากไม้ และกระโหลกศีรษะสำหรับใช้รำพึงถึงความตาย พร้อมกันนั้นท่านยังกั้นห้องหนึ่งไว้เป็นเหมือนวัดน้อย มีองค์ประธานคือพระรูปพระกุมารเยซูและแม่พระตั้งอยู่เหนือพระแท่นอีกด้วย ซึ่งเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านต้องการแล้ว ท่านจึงได้เข้าไปอาศัยอยู่ในห้องเหล่านั้น พร้อมได้ปฏิญานตนจะถือพรหมจรรย์ตลอดชีวิต และยึดถือฤทธิ์กุศลอีกสองข้อเช่นเดียวกับนักบวช คือ ยากจนและนบนอบ นอกนี้ท่านยังได้ตัดสินใจสวมชุดสีดำยาว ซึ่งทำจากผ้าชนิดเดียวกันกับเครื่องแบบคณะเยซูอิต คาดสะเอวด้วยเชือก และคลุมศีรษะด้วยผ้าขนสัตว์สีดำ พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อตนเองเป็น ‘มารีอานา แห่ง พระเยซูเจ้า’ ส่วนเงินค่าสินสอดที่ถูกเตรียมไว้ของท่าน ท่านก็ได้แจกจ่ายให้กับคนยากไร้ภายในเมือง เพื่อว่าท่านจะไม่มีสิ่งใดเป็นของตนเองเช่นเดียวกับบรรดานักบวชทั้งหลาย
การตัดสินใจดำเนินชีวิตนักบวชกึ่งฆราวาส
ทำให้ตกเป็นขี้ปากของชาวเมืองกีโตไม่น้อย
ซึ่งความไม่พอใจนี้ก็ก่อตัวมาตั้งแต่ครั้งที่ท่านได้รับอนุญาตให้รับศีลมหาสนิท
เมื่อมีอายุเพียง 8 ปี
และยิ่งทวีมากขึ้นเมื่อท่านได้รับอนุญาตให้รับศีลทุกวัน ในขณะที่ท่านมีอายุเพียง 12 ปี จนเป็นเหตุให้พระสงฆ์ที่อนุญาตให้ท่านปฏิบัติได้ดังนี้
ถูกเรียกไปสอบสวนต่อหน้าบรรดาสัตบุรุษชาวกีโต ซึ่งรวมถึงพระสังฆราช
เพื่อไขข้อข้องใจถึงการอนุญาตนี้ ผลการสอบสวนครั้งนั้นแม้จะยืนยันตามคำตัดสินเดิม
ท่านก็ยังไม่พ้นตกเป็นที่ครหาของชาวเมือง จากการที่ท่านเป็นนักบวชแต่ยังคงอาศัยอยู่ที่บ้าน
ข้ารับใช้พระเจ้าทราบถึงความไม่พอใจและคำครหาเหล่านี้ดี
และท่านเลือกที่จะน้อมรับคำสบประมาทเหล่านี้
ดุจเดียวกับองค์พระเยซูเจ้าทรงน้อมรับการดูหมิ่นและการสบประมาทอย่างเต็มพระทัย
ในฐานะนักบวช ท่านพยายามอย่างยิ่งที่จะดำเนินชีวิตเป็นนักบวชตามจิตตารมณ์ของคณะเยซูอิต ท่านจึงได้เข้าเป็นสมาชิกคณะปิยมิตรแห่งพระนางมารีย์ (Sodality of Our Lady) ซึ่งก่อตั้งโดยพระสงฆ์เยซูอิตในประเทศเบลเยี่ยม คณะดังกล่าวเป็นคณะสำหรับฆราวาส ที่ปรารถนาจะยกระดับชีวิตฝ่ายจิตให้สูงขึ้นตามแนวทางของคณะเยซูอิต มีรากฐานมาจากบรรดานวกะคณะเยซูอิตที่มีความตั้งใจจะร่วมมิสซาเป็นประจำทุกวัน รับศีลอภัยบาปเป็นประจำทุกสัปดาห์ และรับศีลมหาสนิทเป็นประจำทุกเดือน โดยมีเวลารำพึงภาวนาวันละครึ่งชั่วโมง และประกอบกิจศรัทธาอื่น ๆ ซึ่งฝึกวิญญาณตลอดทั้งวัน สิ่งนี้ยังรวมถึงการช่วยเหลือคนยากไร้อีกด้วย
นอกนี้ท่านยังปรารถนาจะเข้าเป็นสมาชิกของคณะเยซูอิตโดยตรง
แต่เนื่องจากคณะเยซูอิตไม่มีสาขาสำหรับนักบวชหญิงหรือฆราวาส
เหมือนอย่างคณะคาร์เมไลท์ คณะฟรังซิสกัน และคณะโดมินิกัน
ท่านจึงไม่มีสถานภาพทางสังคมที่ชัดเจนว่าท่านเป็นนักบวชหรือฆราวาส คุณพ่อเฮอร์นันโด
เด ลา ครูซ คุณพ่อวิญญาณคนต่อมาของท่านจึงได้แนะนำให้ท่านสมัครเข้าเป็นสมาชิกขั้นสามของคณะฟรังซิสกัน
ซึ่งมีไว้สำหรับฆราวาส เพื่อเป็นการรับรองสถานภาพ ท่านจึงได้น้อมรับและปฏิบัติตาม
แต่ก็มีเรื่องเล่ากันว่าในวันที่ต้องไปรับสายจำพวกและเชือกคาดเอวประจำคณะ ที่อารามของคณะฟรังซิสกันในวันที่
6 พฤศจิกายน
ค.ศ.1639 นั้น ท่านมิได้เดินทางไปรับด้วยตัวเอง
แต่ได้ส่งคนอื่นไปรับแทน
และแม้จะมีสถานภาพเป็นนักบวชขั้นสามในคณะฟรังซิสกันแล้ว (ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการรวบรวมอัตชีวประวัติของท่านในอนาคต) จิตวิญญาณภายในของท่านก็ยังคงพยายามดำเนินตามจิตตารมณ์ของท่านนักบุญอิกญาซิโออย่างเข้มข้น โดยมีคุณพ่อฆวน กามาโชเป็ผู้คอยชี้นำ และวัดประจำคณะเยซูอิต ซึ่งสร้างโดยตระกูลของท่านเป็นศูนย์กลางในการดำเนินชีวิต แนวทางหนึ่งที่ได้เลือกนำมาปรับใช้กับการเจริญชีวิตสวดภาวนาของท่าน คือ การตรวจมโนธรรมวันละสามเวลาตามแบบของนักบุญอิกญาซิโอ ซึ่งเริ่มจากเวลาแรก คือ เวลาเช้ารำพึงว่าจะมีสิ่งใดเป็นอันตรายต่อวิญญาณและพยายามหลีกเลี่ยงมัน รวมถึงสิ่งที่ต้องทำในวันนี้ เวลาที่สอง คือ เวลาเที่ยง ตรวจสอบมโนธรรมโดยเน้นเป็นพิเศษไปที่ข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดที่ได้ปฏิบัติบ่อยที่สุดในวันนี้ เพื่อวอนขอพระเป็นเจ้าให้สามารถเอาชนะความอ่อนแอฝ่ายเนื้อหนังนี้ได้ และเวลาที่สาม คือ เวลากลางคืน รำพึงถึงการกระทำตลอดทั้งวันทั้งความคิด วาจา กิจการ และข้อบกพร่อง เพื่อวอนขอพละกำลังจากพระเจ้าในการที่จะไม่ปฏิบัติตนเช่นนั้นอีก
ตลอดชีวิตท่านรำพึงเสมอถึงความไม่แน่นอนของชีวิต
ดังนั้นในทุกวันศุกร์ท่านจึงเลือกจะนอนในโลงที่เตรียมไว้ ส่วนในวันอื่น ๆ
ท่านก็เอาโครงกระดูกจำลองมาใส่ไว้
เพื่อเตือนตนว่าสักวันท่านก็ต้องกลายเป็นเช่นนั้น
และเมื่อถึงวันนั้นท่านจะต้องมอบบัญชีชีวิตของท่านแด่พระเป็นเจ้า ณ
เบื้องหน้าพระแท่นแห่งการพิพากษา เพื่อให้พระองค์ทรงตัดสิน ดังนั้นทุกวัน
ท่านจึงไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า
ท่านพยายามอย่างยิ่งที่จะดำเนินชีวิตติดตามองค์พระเยซูอย่างดีที่สุด
ตามพระวาจาที่ว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา
ก็ให้เขาเลิกนึกถึงตนเอง” (มาระโก 8:34) โดยเฉพาะในด้านการพลีกรรม
ในห้องส่วนตัวที่เสมือนเป็นอารามแห่งใหม่ของกีโต
ชีวิตประจำวันของท่านดำเนินไปอย่างเข้มข้นดุจดังฤษีในทะเลทราย
โดยเราทราบวัตรปฏิบัติของท่าน จากจดหมายที่ท่านได้เขียนถึงคุณพ่อวิญญาณของท่าน
เมื่อท่านอายุได้ 12 ปี ถึงแนวทางการเจริญชีวิตที่ท่านได้รับการดลใจจากพระเป็นเจ้าว่า
“ลูกจะตื่นเวลาตีสี่
ลูกจะเริ่มเฆี่ยนตีตัวเอง จะคุกเข่าลง จะโมทนาคุณพระเจ้า
ในขณะรำพึงถึงพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า
หลังจากนั้นในเวลาห้านาฬิกาครึ่งถึงหกนาฬิกา
ลูกจะรำพึงระลึกถึงพระมหาทรมานโดยการสวมเข็มขัดตะขอ พร้อมสวดภาวนาไปจนได้เวลา
ลูกจึงจะเริ่มตรวจสอบมโนธรรมประจำวันก่อนจะไปวัด
ลูกจะใช้เวลาระหว่างหกนาฬิกาครึ่งถึงเจ็ดนาฬิกาเพื่อแก้บาป
หลังจากนั้นในเวลาตั้งแต่เจ็ดนาฬิกาถึงแปดนาฬิกาซึ่งเป็นเวลามิสซา
ลูกจะจัดเตรียมห้องหับภายในดวงใจของลูกเพื่อต้อนรับพระสวามีเจ้าของลูก (และ)เมื่อลูกได้รับพระองค์แล้ว ในระหว่างมิสซา(ดำเนินต่อไป)
ลูกจะโมทนาคุณพระบิดานิรันดรที่ได้ทรงประทานพระบุตรของพระองค์แก่ลูก
และลูกก็จะขอถวายพระองค์อีก แล้ววอนขอพระเมตตาเป็นจำนวนมากเป็นการตอบแทน
ต่อมาในเวลาแปดนาฬิกาถึงเก้านาฬิกา
ลูกจะนำวิญญาณออกจากไฟชำระและวิงวอนขอความบรรเทาใจสำหรับพวกเขา
หลังจากนั้นในเวลาเก้านาฬิกาถึงสิบนาฬิกาลูกจะรำพึงถึงธรรมล้ำลึกทั้ง 15 ข้อของสายประคำพระมารดาพระเจ้า
เวลาสิบนาฬิกา ลูกจะไปมิสซา หากเป็นวันฉลองนักบุญที่ลูกศรัทธา วันอาทิตย์
และวันหยุดยาวไปจนถึงเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา
ลูกจะรับประทานอาหารหลังจากนี้
ถ้าลูกปรารถนา ก่อนเวลาสิบสี่นาฬิกา ลูกจะทำวัตรเย็น และตรวจสอบมโนธรรม(อีกครั้ง)
หลังจากนั้นในเวลาสิบสี่นาฬิกาถึงสิบห้านาฬิกา
ลูกจะทำงานและยกหัวใจขึ้นไปหาพระเป็นเจ้า ประกอบกิจการแห่งความรักต่าง ๆ สิบห้านาฬิกาถึงสิบแปดนาฬิกา ลูกจะสำรวจมโนธรรม
(ครั้งที่
3) และสวดทำวัตรค่ำ
สิบแปดนาฬิกาถึงยี่สิบเอ็ดนาฬิกา ลูกจะปฏิบัติจิตภาวนา
และเฝ้าระวังตัวไม่ให้ละสายตาไปจากพระเจ้า ยี่สิบเอ็ดนาฬิกาถึงยี่สิบสองนาฬิกา
ลูกจะออกจากห้องเพื่อมาดื่มน้ำจำนวนหนึ่งเหยือก และหย่อนใจตามสมควร
ยี่สิบสองนาฬิกาถึงยี่สิบสี่นาฬิกา กลับมาปฏิบัติจิตภาวนา ยี่สิบสี่นาฬิกาถึงเวลาหนึ่งนาฬิกา
ลูกจะอ่านหนังสือประวัตินักบุญ และสวดทำวัตรเช้า
ลูกจะเข้านอนเวลาหนึ่งนาฬิกาจนถึงสี่นาฬิกา
ในวันศุกร์บนไม้กางเขนของลูก ส่วนวันอื่น ๆ เป็นที่กระดาน
โดยก่อนจะเข้านอนลูกจะเฆี่ยนตีตัวเองเสียก่อน ในวันจันทร์ พุธ
และศุกร์ตลอดเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าและมหาพรต
ในเวลายี่สิบสองนาฬิกาถึงยี่สิบสี่นาฬิกา ลูกจะสวดภาวนาอยู่บนไม้กางเขน ในวันศุกร์
ลูกจะเอาถั่วลูกไก่ใส่ไว้ที่เท้าและสวมมงกุฏหนาม
จะอดอาหารโดยไม่รับอะไรตลอดทั้งสัปดาห์
ส่วนในวันอาทิตย์ลูกจะรับเพียงขนมปังหนึ่งออนซ์ และทุกวันลูกจะเริ่มวันด้วยการโมทนาคุณพระเจ้า”
ท่านยึดถือวัตรปฏิบัติดังนี้อย่างเคร่งครัด นับตั้งแต่วันที่ท่านปฏิญาณตนด้วยวัย 12 ปี โดยไม่มีการลดหย่อนลง ตรงข้ามกลับยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ตามวัยที่เจริญขึ้นของท่าน กระนั้นก็ตามหากมี 3 กรณีนี้ คือ 1. มีกิจการเมตตาติดพัน 2. ได้รับคำสั่งไม่ให้กระทำโดยผู้ที่สามารถสั่งท่านได้ และ 3. สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย แม้แต่จะลุกขึ้นยืน ท่านก็จะละไม่ปฏิบัติวัตรบางประการ
นอกจากการพลีกรรมในกิจวัตรประจำวันแล้ว
ท่านยังแสวงหาโอกาสในการพลีกรรมเสมอในทุกโอกาสของชีวิต ไม่เว้นแม้แต่เวลาที่ท่านล้มป่วยด้วยอาการไข้
ที่ท่านเป็นอยู่บ่อยครั้ง อาการดังกล่าวจะทำให้ท่านกระหายน้ำมากกว่าปกติ
ท่านก็เลือกที่จะปฏิเสธที่จะไม่รับเครื่องดื่มใดตลอดวัน
และบางครั้งท่านก็ปฏิเสธไม่รับเครื่องดื่มใด ๆ นานถึง 15 วัน
เพื่อเลียนแบบพระเยซูเจ้าที่ทรงต้องทนกระหายอยู่บนไม้กางเขน นอกนี้ท่านยังมักสวมมงกุฏหนามไว้บนศีรษะขณะสวดสายประคำ
และในบางครั้งท่านก็จะกางแขนออกระหว่างสวดสายประคำอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้นตลอดทั้งวันท่านยังไม่พยายามออกไปไหนนอกบ้าน
นอกจากออกไปวัดเพื่อร่วมมิสซาในตอนเช้าและเวลามีคนต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ เพราะท่านปรารถนาใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อสรรเสริญพระเจ้า
และถวายเครื่องบูชาคือพลีกรรมต่าง ๆ เพื่อการกลับใจของคนบาป มีนักเขียนชีวประวัติของท่านบางคนเล่าว่า
ท่านยังอ่านบทสุดดีทั้งสิบสองบทอยู่เป็นนิตย์
และบางครั้งในการทำพลีกรรมบางประการท่านก็ได้ให้คนรับใช้ชาวอินเดียนช่วยด้วย
ในห้องอาหารของครอบครัว ท่านตระหนักดีว่าท่านไม่ได้มีสมบัติใด ๆ เป็นของตัวท่านเองเลย ท่านจึงได้ขออนุญาตกัปตันคอสเม พี่เขยของท่าน ให้ท่านสามารถนำอาหารที่บ้านไปให้คนยากไร้ได้ โดยท่านจะวางตระกร้าเล็กๆ ไว้ใต้โต๊ะ และเมื่ออาหารถูกยกมาเสิร์ฟให้ท่าน ท่านก็จะรีบแบ่งเอาอาหารที่ปรุงอย่างปราณีตนั้นใส่ไว้ในตระกร้า แล้วนำส่วนดังกล่าวไปมอบให้คนยากไร้ ส่วนท่านก็จะรับเพียงแค่ขนมปังและน้ำ ซึ่งมีเรื่องเล่ากันอีกว่าบางทีท่านก็รับเพียงแค่ขนมปังแห้งเพียงหนึ่งออนซ์ทุกแปดถึงสิบวัน หรือบางครั้งท่านก็รับเพียงศีลมหาสนิทและไม่รับอะไรอีกเลยตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะในช่วงเจ็ดปีสุดท้ายของชีวิต ท่านก็รับเพียงศีลมหาสนิทประจำวัน
นอกจากนำอาหารส่วนของตนไปให้คนยากไร้แล้ว
ในด้านงานเมตตาธรรมท่านยังใช้เวลาถึงห้าชั่วโมงต่อวันเพื่อปฏิบัติงานด้านนี้ ท่านทำขนมปังขนาดสองออนซ์ทุกวัน
เพื่อเลี้ยงคนยากไร้ ซึ่งพากันเดินทางมายังหน้าบ้านของท่านทุกวันเป็นขบวนยาว
และโดยที่พวกเขาไม่ทราบที่มาของขนมปังดังกล่าว พวกเขาจึงต่างเรียกมันว่า ‘ขนมปังของทูตสวรรค์’ ท่านยังทำงานฝีมือเล็ก ๆ
น้อยเพื่อจำหน่าย แล้วนำเงินดังกล่าวมาช่วยเหลือคนยากคนจน และเมื่อท่านมีอายุได้ยี่สิบปี
ท่านก็ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือคนยากไร้
คนพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
และคนที่ถูกสังคมเลือกปฏิบัติให้เป็นพลเมืองชั้นรองอย่างนักโทษและคนพื้นเมืองเพื่อให้พวกเขาได้รับสิทธิ์ที่พวกเขาพึงได้ตามความสามารถของท่าน
ท่านรวบเด็ก ๆ มาเพื่อสอนให้รู้หนังสือ จัดอาหารให้คนยากไร้ สอนคนที่ไม่รู้หนังสือ
ดูแลคนป่วย และคอยเป็นผู้ให้คำปรึกษากับทุกคนที่มาหาท่าน
นักเขียนชีวประวัติของท่านคนหนึ่งได้บรรยายถึง ‘โรงเรียนอนุบาล’ ของท่านไว้ว่า “ไร้ซึ่งการป่าวประกาศในที่สาธารณะ ไร้ซึ่งกรรมาธิการหรือคำพูดสวยหรู มีเพียงพลังแห่งเจตจำนงที่ตั้งมั่นบนความรักของพระเจ้า ท่านได้เริ่มสอนบรรดาเด็ก ๆ ชาวอินเดียนแดง…ท่านเพียงทำตามคำบัญญาขององค์พระมหาไถ่ที่ว่า ‘จงรักเพื่อนบ้าน…’ ภายใต้การดูแลของข้ารับใช้พระเจ้า เจ้าอินเดียนแดงตัวน้อยได้เรียนรู้ที่จะอ่าน เขียน ร้องเพลง เป่าขลุ่ย และสวดภาวนา พวกเขาได้รับการกระตุ้นให้เล่นสนุก มารีอานาอ่านหนังสือร่วมกับพวกเขา ใบหน้าที่งดงามราวกับถูกสลักขึ้นอย่างประณีตจนได้รูปและขาวใสตัดกับใบหน้าสีทองแดงของพวกเขา ค่อยเคลื่อนคล้อยอย่างแจ่มใสอยู่กลางพวกเขา ร่างบางสวมชุดดำตัดชุดหลากสีสันของพวกเขา”
ในขณะที่จอห์น
เลดดี้ ฟีลาน นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในคริสต์ศตวรรษที่ 20
ผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์อาณานิคมสเปน
ได้ยกย่องว่าท่านเป็นบุคคลที่ดำเนินชีวิตสวนกระแสวิถีชีวิตของข้าราชการชาวสเปนในอาณานิคมยุคนั้น
กล่าวคือในเวลาดังกล่าวสภาพสังคมข้าราชสเปนในอาณานิคม
ต่างเต็มไปด้วยความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม การมัวเมาในอำนาจและการฉ้อราษฏร์บังหลวง
ทั้งในที่สาธารณะและที่ลับตา ดั่งเช่นกรณีของอันโตนิโอ เด มอร์กา
รองผู้ว่าราชการและผู้พิพากษาแห่งคณะตุลาการประจำหมู่เกาะฟิลิปปินส์
ซึ่งมีชีวิตร่วมสมัยกับท่าน ท่านที่เกิดและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ กลับดำเนินชีวิตที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะในที่สาธารณะหรือที่ลับตา ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
เราอาจกล่าวได้ว่าท่านได้ประกอบพลีกรรมเป็นอันมาก ด้วยการตัดสละน้ำใจตนเองในแทบจะทุก ๆ อย่างในชีวิต แต่สำหรับท่านสิ่งเหล่านี้ยังไม่มากพอ ดังนั้นท่านจึงได้วิงวอนให้เป็นพระเจ้าทรงอนุญาตให้ท่านได้รับความทุกข์ทรมานเพื่อเห็นแก่ความรักของพระองค์อีก เป็นผลให้ท่านล้มป่วยหนักหลายครั้ง และจำเป็นต้องใช้วิธีเจาะเลือดท่านออกเพื่อให้อาการของท่านดีขึ้น โดยทุกครั้งที่ท่านมีอาการเช่นนี้คนใช้ที่ดูแลท่านก็จะนำเลือดดังกล่าว ไปเทใส่ไว้ตรงรูในสวน ขอให้ท่านผู้อ่านจดจำรูนี้ไว้ให้ดี เพราะนอกจากความมหัศจรรย์ที่เลือดของท่านในรูนั้นจะยังดูสดใหม่เสมอ แม้เวลาจะผ่านไปแล้วก็ตาม ในภายหลังท่านสิ้นใจไป รูแห่งนี้จะเกิดสิ่งมหัศจรรย์ที่กลายมาเป็นสมัญญานามของท่านในเวลาต่อมา
แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น
ให้เรากลับมาที่ชีวิตของท่านต่อ ด้วยผลการเจริญชีวิตอย่างเข้มงวดของท่าน ทำให้ในไม่ช้าท่านมีสุขภาพที่ไม่สู้แข็งแรง
รวมถึงมีรูปร่างผอมแห้งลงอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งรูปร่างที่เปลี่ยนไปนี้เองทำให้ชาวเมืองกีโตหลายคน ที่เคยครหาต่อการกระทำของท่านเริ่มยกย่องว่าท่านเป็นนักบุญ ท่านที่ทราบดังนี้ ด้วยความถ่อมตนและปรารถนาจะดำเนินชีวิตอย่างซ่อนเร้น
ท่านจึงได้วิงวอนขอพระเป็นเจ้าให้ทรงช่วยให้ท่านพ้นจากการตกเป็นเป้าความคิดนี้
ซึ่งไม่นานท่านก็กลับมาดูแข็งแรง ใบหน้ามีเลือดฝาดเหมือนคนที่ไม่เคยผ่านการทำพลีกรรมอย่างหนัก
สมตามอายุของท่าน
ความร้อนรนในการเจริญชีวิตคริสตชนของท่าน ซึ่งสวนทางกับค่านิยมของสังคมรอบข้างท่านในเวลานั้น เป็นดั่งกลิ่นหอมไปยังบรรดาผู้คนภายในเมืองกีโต แต่เป็นกลิ่นเหม็นไปยังบรรดาปีศาจ ที่จับจ้องช่วงชิงวิญญาณมากมายไปยังขุมนรก พวกมันจึงไม่สบอารมณ์ต่อวัตรปฏิบัติของท่าน ซึ่งได้มีส่วนในการช่วงชิงดวงวิญญาณจำนวนมากไปจากมัน หลายครั้งมันจึงได้ปรากฏตัวมาเพื่อทำร้ายท่าน ด้วยจุดประสงค์จะทำให้เกิดความท้อแท้ในการดำเนินชีวิต บางครั้งก็เป็นความสิ้นหวัง แต่ท่านก็สามารถเอาชนะมัน และยิ่งทวีการพลีกรรมที่ช่วยให้วิญญาณจำนวนมากได้รับความรอดมากขึ้น
ยิ่งท่านพยายามดำเนินชีิวิตอย่างถ่อมตนและซ่อนเร้นเพียงไร กลิ่นหอมจากฤทธิ์กุศลของท่านก็ยิ่งขจรขจายไปทั่วเมือง ซึ่งนอกจากผู้คนจะต่างเล่าลือถึงวัตรปฏิบัติอันเข้มข้นของท่านแล้ว พวกเขายังเล่าลือถึงเหตุอัศจรรย์มากมายที่พระเป็นเจ้าทรงกระทำผ่านข้ารับใช้พระเจ้าผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ท่านเดินตากฝนและไม่เปียก เรื่องพระกุมารเยซูได้ทรงประจักษ์มาในอ้อมแขนของท่าน และทรงหยอกล้อกับท่าน รวมถึงคำทำนายที่น่าเหลือเชื่อ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ คำทำนายที่ว่าบ้านของท่านจะกลายมาเป็นอาราม โดยที่ห้องของท่านจะเป็นส่วนของวัดน้อยสำหรับบรรดาภคินีได้ใช้สอย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องอัศจรรย์การชุบชีวิตคนตายถึงสองคนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยเรื่องแรกมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งนางฆัวนา ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานสาวของท่าน มีธุระต้องเดินทางออกไปนอกเมือง นางจึงได้ฝากบุตรสาวของนางให้ท่านดูแล ในระหว่างนั้นเองมีวันหนึ่งเด็กน้อยก็ได้ไปเล่นอยู่ใกล้ฝูงล่อตามประสาเด็ก ทันใดก็มีล่อตัวหนึ่งเตะเข้าที่ศีรษะของเด็กน้อยอย่างจัง จนเด็กน้อยล้มลงเสียชีวิตในทันที ท่านที่เห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงรับรีบอุ้มร่างเหลนน้อยวิ่งตรงเข้าไปในห้อง เพื่อสวดภาวนา ไม่นานหลังจากนั้นเด็กน้อยก็กลับฟื้นคืนชีวิตได้อย่างน่ามหัศจรรย์
![]() |
อารามคาร์แมลเมืองกีโต ที่ตั้งอยู่บนที่ตั้งบ้านของกัปตันคอสเมในอดีต |
ส่วนเรื่องที่สองเกิดขึ้นกับภรรยาของชาวอินเดียน
ซึ่งเป็นคนงานในบ้านของท่าน วันหนึ่งเขาคิดว่าภรรยาของเขานอกใจไปมีชายอื่น
เขาจึงบันดาลโทสะลากภรรยาของเขาเข้าไปในป่า แล้วใช้กำลังทุบตีทำร้ายเธอ
ก่อนจะลงมือบีบคอเธอจนถึงแก่ชีวิต แล้วจัดการทิ้งศพเธอไว้ที่ตรงหน้าผา ชะตาหญิงสาวผู้เคราะห์คงดับสูญไปอย่างไม่มีใครล่วงรู้แน่
หากไม่โดยวิถีทางอันน่าอัศจรรย์ท่านได้แลเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านนิมิต
ท่านจึงได้ให้คนไปตามพ่อค้าคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนกับครอบครัวท่าน
เพื่อวานให้เขาแอบไปนำร่างของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายมายังห้องของท่าน
โดยไม่ให้ใครรู้
และเมื่อท่านได้ร่างของหญิงสาวผู้นั้นมาแล้ว ท่านก็ประคองตัวเธอไว้
พลางใช้กลีบกุหลาบถูไปตามตัวหญิงสาว ไม่นานร่างที่แน่นิ่งก็กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง
และเธอก็ได้เปิดเผยในภายหลังว่า ในระหว่างที่เธอเผชิญกับเหตุการณ์ร้าย
เธอได้เห็นท่านได้มาบอกกับให้เธอมีความกล้าหาญไว้
เรื่องเล่าของท่านมากมาย ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้ผู้อ่านอดคิดว่า ท่านช่างไม่เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ที่กำลังอ่านชีวประวัติของท่านอยู่ แต่แท้จริงท่านก็มีมุมที่เหมือนท่านที่อ่านอยู่นี้เลย ในชีวประวัติหนึ่งของท่าน ผู้เขียนได้ยกย่องว่าท่านเป็น ‘แบบฉบับของลูกครึ่งชาวกีโต’ ท่านเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและความร่าเริง เป็นหญิงสาวผู้มีไหวพริบ เฉลียวฉลาด รู้แจ้งวิธีการดำเนินชีวิต และมีความนึกคิดที่โตกว่าวัย ท่านมีทักษะในงานทอผ้า และงานเย็บปักถักร้อย เวลาเดียวกันท่านก็มีความรักในเสียงดนตรี ท่านเล่นวีฮูเอลา(กีตาร์แบบสเปน) ฮาร์ปซิคอร์ด(เปียโนประเภทหนึ่ง) และเปียโนเป็น
![]() |
วีฮูเอลาของท่าน |
ท่านดำเนินชีวิตอันน่ามหัศจรรย์ จนมีวัยล่วงเข้า 25 ปี ก็ปรากฏว่าในช่วงต้น ค.ศ.1645 เอกวาดอร์หรือขณะนั้นยังคงเป็นเพียงเขตปกครองกีโต ก็ต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 3 เหตุการณ์ ประกอบด้วย หนึ่งการแพร่ระบาดของโรคหัดและโรคซางชนิดร้ายแรง ซึ่งฆ่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมากถึง 12,000 คน ดังที่มีบันทึกว่า “เด็กถึงเก้าสิบคนที่อาศัยที่โรงเรียนซานลุยส์ มีเพียงสามคนเท่านั้นที่ไม่ป่วยด้วยโรคนี้” สองเหตุการณ์แผ่นดินไหวหลายระลอกที่ฆ่าชีวิตผู้คนไปอีก 2,000 คน เริ่มจากเมืองริโอบัมบา ก่อนจะเกิดตามหัวเมืองต่าง ๆ และสามเหตุการณ์การปะทุครั้งแรกของภูเขาไฟปิชินชา ภายหลังการมาถึงชาวสเปน ซึ่งเมืองกีโตตั้งอยู่บนเชิงเขานี้ ดังนั้นเมืองกีโตในเวลานั้น ทั้งวัดและสุสานจึงต่างเนืองแน่นไปด้วยร่างของผู้เสียชีวิตจากโรคร้ายและภัยพิบัติ ทั่วทั้งเมืองไม่มีเสียงใด นอกจากเสียงระฆังแจ้งการเสียชีวิตที่ดังอยู่เป็นระยะ ระคนเสียร่ำไห้ด้วยความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยที่ยากไร้ รวมไปถึงความหวาดกลัวต่อหายนะที่เกิดอยู่เนือง ๆ
ท่ามกลางความหลาดกลัวที่ดำเนินไปทั่ว
ในบ่ายวันอาทิตย์ที่สี่ของเทศกาลมหาพรตในปีนั้น ซึ่งตรงกับวันที่ 26 มีนาคม คุณพ่ออลอนโซ เด โรฆาส
คุณพ่อวิญญาณองค์ปัจจุบันของท่าน ซึ่งรับหน้าที่ประกอบพิธีมิสซาประจำวัน จึงได้ชี้ให้บรรดาสัตบุรุษที่มาร่วมมิสซาเห็นว่า
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นการลงทัณฑ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อความอธรรมของชาวกีโต
ดังนั้นวิธีทางเดียวที่จะช่วยให้ทุกคนรอดพ้น ทุกคนต้องกลับใจ ใช้โทษบาป ปฏิบัติพลีกรรมวอนขอพระเมตตาพระเจ้า
เพื่อระงับพระพิโรธดังกล่าว และคุณพ่อก็ได้ประกาศให้สัตบุรุษรับรู้ในตอนท้ายของบทเทศน์ว่า
ท่านยินดีถวายตนเป็น ‘ยัญบูชา’ เพื่อการนี้ ด้วยคำอธิษฐานดังนี้ “ข้าแต่พระเจ้า
ลูกขอถวายชีวิตของลูกเพื่อให้เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ยุติลงด้วยเทอญ”
เมื่อสิ้นเสียงประกาศเจตจำนงของคุณพ่อ ในหมู่ของบรรดาสัตบุรุษที่ร่วมมิสซาอยู่นั้น หญิงผู้แต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำ ซึ่งนั่งสงบนิ่งมาตลอดการเทศน์อยู่ที่หน้าธรรมาสน์ ก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า ตนยินดีจะสละชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องอย่างไม่คิดเสียดาย ดวงใจที่ระอุไปด้วยไฟแห่งความเมตตาสงสารต่อชะตากรรมที่ผู้คนมากมายต้องได้รับ กระตุ้นด้วยแรงขับเคลื่อนจากองค์พระจิตเจ้า ทำให้ร่างนั้นผลุดลุกยืนขึ้น และประกาศกับทุกคนในวัดอย่างกล้าหาญ ดุจวีรสตรีหญิงโยนออฟอาร์คในสนามรบเล ตูเรลล์ ว่า “อย่าเลย ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตของนักบวชคนนี้ยังจำเป็นต้องช่วยสรรพชีวิตอีกเป็นจำนวนมาก แต่กลับกันแล้วตัวลูกหาได้มีความจำเป็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้นลูกจึงขอมอบถวายชีวิตของลูกแด่พระองค์ เพื่อให้เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ จงยุติลงด้วยเทอญ”
สิ้นเสียงประกาศด้วยความตั้งใจอันแรงกล้า
พระเป็นเจ้าผู้ทรงถวายพระองค์บนพระแท่นบูชา ก็ทรงรับเครื่องถวายบูชานี้
แต่ก็มิได้ทรงรับเครื่องบูชาน้อยไปในทันที มีรายงานว่าหลังจากนั้นไม่นาน
โรคระบาดร้ายแรงที่กำลังแพร่อยู่ทั่วกีโตก็ค่อยทุเลาลง จนถึงช่วงของเทศกาลปัสกา
โรคระบาดที่ฆ่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมากก็หายไปจากกีโตโดยสิ้นเชิง
เช่นเดียวกับสถานการณ์แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดก็สงบลง
ทุกชีวิตในกีโตจึงกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ
ยกเว้นเพียงแต่ข้ารับใช้พระเจ้านามมารีอานา
ภายหลังมิสซาในวันนั้น ท่านที่รีบตรงกลับบ้านตามปกติ ก็เริ่มมีอาการไข้ และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ท่านก็ล้มป่วยหนักจนไม่ออกมาข้างนอกบ้านอีกเลย อาการที่ท่านเผชิญเพื่อแลกกับความรอดของเพื่อนพี่น้องของท่าน ประกอบด้วยอาการไข้ ที่ทำให้ท่านกระหายน้ำมากกว่าปกติ และอาการเจ็บศีรษะ สีข้าง ลามไปจนถึงกระดูกทั้งหมด ท่านน้อมรับความทุกข์ทรมานเหล่านี้ด้วยน้ำใจที่กล้าหาญ และไม่ได้ใช้อาการเหล่านี้เป็นข้ออ้างในการละเว้นวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดของท่าน ท่านยังคงสวมเข็มขัดหนามที่สะเอวและมงกุฎหนามที่ศีรษะเพื่อทรมานตนอย่างที่เคยปฏิบัติ
ในไม่ช้าข่าวการประกาศตนเป็นยัญบูชาของท่านก็แพร่ไปปากต่อปาก
จนลือไปทั่วเมืองกีโต
เช่นเดียวกับข่าวการล้มป่วยของท่าน ทำให้แม้จะมีความยินดีเพียงใด ที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติต่าง
ๆ ผู้คนในเมืองกีโตก็ต่างกังวลกับอาการป่วยของท่าน
หลายคนอยากจะมาพบท่านด้วยวัตถุประสงค์ต่างกันไป บ้างเพื่อเยี่ยมอาการป่วย บ้างเพื่อพบเจอนักบุญที่มีชีวิต
และบ้างก็เพียงเพื่อดูอาการการของท่าน แต่ก็ไม่มีใครได้รับอนุญาตนอกจากพระสังฆราช ชาวเมืองกีโตหลายคนจึงทำได้เพียงสวดภาวนาและทำนพวารอย่างร้อนรน
เพื่อหวังว่าพระเป็นเจ้าจะมิทรงพรากนักบุญของพวกเขาไป และคืนพลานามัยที่สมบูรณ์ให้ท่านโดยเร็ววัน
ท่านล้มป่วยหนักมาได้สองเดือน ในวันที่ 22 พฤษภาคม พระสงฆ์ก็ได้เดินทางมาโปรดศีลเสบียง เพื่อเตรียมตัวท่านสู่การเดินทาง ท่านที่ขณะนั้นอ่อนแรงเต็มที ก็พยายามชันกายจนสามารถลุกขึ้นมา คุกเข่ารับพระวรกายของพระคริสตเจ้าด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความยินดี หลังจากนั้นให้หลังสี่วัน ท่านที่ล่วงรู้ถึงวาระแห่งการเดินทางบนโลกนั้นจะใกล้จบสิ้นลงเต็มที จึงได้ขอให้ช่วยย้ายท่านไปนอนในห้องของหลานสาว เพื่อว่าท่านจะได้จากโดยที่ไม่มีอะไรเป็นของตนเอง แม้แต่เตียงที่ท่านนอน ประมาณสามชั่วโมงต่อมา ท่านก็ไม่สามารถเปล่งเสียงได้ สิ่งนี้เป็นตามคำขอของท่าน ที่ให้เหตุผลว่า “ยามนั้นหาใช้เวลาที่มีเพื่อสนทนากับมนุษย์ แต่มีเพื่ออยู่กับพระเจ้า” ได้ระยะหนึ่งองค์พระเยซูเจ้า พระนางมารีย์ พร้อมด้วยท่านนักบุญเทเรซา แห่ง อาบิลา และท่านนักบุญกาเตรีนา แห่ง เซียนาจึงได้ประจักษ์มาหาท่าน และได้ รับเครื่องบูชาน้อยนี้ไปอย่างสงบ ด้วยอายุ 25 ปี ในวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษาภาคม ค.ศ.1645 หรือสองเดือนให้หลังท่านได้มอบตนเป็นยัญบูชา
![]() |
คุณพ่อเฮอร์นันโด เด ลา ครูซ ลงมือวาดรูปท่าน |
ในพิธีปลงศพของท่านฝูงชนมากมายจากทุกชนชั้นทางสังคม ต่างเบียดเสียดกันเข้ามาเพื่ออำลานักบุญของพวกเขา จนต้องมีการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้ร่างของท่านถึงสามครั้ง เพราะบรรดาชาวเมืองต่างพากันต้องการเก็บพระธาตุของท่านไว้เป็นที่ระลึก และนับเป็นโชคดีที่มีการจัดเวรยามอย่างเข้มงวด จึงทำให้ร่างกายของท่านไม่ได้รับอันตรายจากความต้องการเหล่านี้ และได้รับการฝังไว้ใต้พระแท่นพระนางมารีย์แห่งโลเรโตที่ท่านศรัทธา ตามคำสั่งเสียของท่านที่วัดคณะเยซูอิต ในเมืองกีโต ท่ามกลางความเศร้าใจของบรรดาชาวกีโต ที่ได้สูญเสียนักบุญที่มีชีวิตของพวกเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
![]() |
ภาพเขียนของท่านโดยคุณพ่อเฮอร์นันโด |
หลังจากนั้นให้หลัง 77 ปี สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 9 จึงทรงรับรองอัศจรรย์สองเหตุการณ์ผ่านคำเสนอวิงวอนของท่านและได้สถาปนาท่านไว้ในสารบบบุญราศี ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ.1853 นับเป็นบุญราศีองค์แรกของชาวเอกวาดอร์ ระหว่างนั้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ.1946 สภารัฐธรรมนูญแห่งเอกวาดอร์ก็ได้ตระหนักถึงความเสียสละของท่านเพื่อช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องร่วมประเทศ ด้วยการยอมสละชีวิตเป็นยัญบูชา อันนับเป็นวีรกรรมที่น่ายกย่อง จึงได้ออกประกาศเกียตรติคุณของท่านให้ท่านเป็น ‘วีรสตรีแห่งมาตุภูมิ’ หรือ ‘วีรสตรีแห่งชาติ’
ท้ายที่สุดในวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ.1950 หรือกว่า 205 ปีมรณกรรมของท่าน สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ก็ได้ทรงประกอบพิธีสถาปนา ‘ลิลลี่แห่งกีโต’ ไว้ในหมู่ของนักบุญ จึงนับเป็นครั้งแรกที่ชาวเอกวาดอร์ได้มีนักบุญ ซึ่งมาจากประเทศของพวกเขาเอง นับเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญและเกียรติยศศักดิ์ศรีแก่ชาวเอกวาดอร์โดยแท้จริง ในวันนั้นในท่ามกลางผู้ทรงเกียรติมากมาย พระสันตะบิดรได้ทรงยกย่องท่านว่า “ท่านไม่ใช่ผู้ก่อตั้งคณะที่มีชื่อเสียงเช่นเท่านักบุญเอมิลี เดอ โคดาท หรือเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์เช่นท่านนักบุญอันโตนิโอ มารีอา กลาเร็ต หรือเป็นอัครสาวกแห่งกิจการเมตตาธรรมเช่นท่านนักบุญบาร์โตโลเมอา กาปิตานิโอและท่านนักบุญวินเซนตา เยโรซา หรือเป็นพระราชินีอย่างท่านนักบุญฌานแห่งฝรั่งเศส หรือเป็นผู้ปกป้องสิทธิของพระศาสนจักรเช่นเดียวกับท่านนักบุญวินเซนโซ มารีอา สตรัมบี หรือเป็นผู้สละชีวิตเพื่อปกป้องพรหมจรรย์เช่นเดียวกับท่านนักบุญมารีอา โกเรตตี ตรงข้ามเรากำลังอยู่เบื้องหน้าของหญิง ผู้เสมือนห้องสุดท้ายของซิมโฟนี ซึ่งได้รวบรวมคุณลักษณะทุกประการของพวกท่านเหล่านี้ อันมีลักษณะจำเพาะต่างกันไปในรายละเอียดยิบย่อย ให้รวมเป็นเสียงประสานอันน่าพิศวงแห่งจิตวิญญาณ”
เรามนุษย์ล้วนมีพระพรอันอุดม ทั้งสำหรับ ‘ตัวเรา’ และ ‘คนอื่น’ ดังที่นักบุญเปาโลได้แสดงให้เราเห็นในจดหมายถึงชาวโครินธ์ ว่าเราเป็น “เหมือนกับคนที่ไม่มีอะไรเลย แต่เราก็มีทุกอย่าง” (2 โครินธ์ 6:10) เหตุว่า “พระเจ้าประทานพระหรรษทานทุกประการแก่ท่านได้อย่างอุดม เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งเพียงพอ และยังมีเหลือเฟือสำหรับกิจการดีทุกประการอีกด้วย” (2 โครินธ์ 9:8) แบบฉบับของท่านนักบุญมารีอานา ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ได้ทรงยกย่องว่าคือส่วนผสมอย่างละนิดอย่างละหน่อยของนักบุญหลายองค์ ได้เป็นแบบฉบับของทุกคน เป็นพิเศษกับฆราวาส ในการตระหนักรู้ถึงพระหรรษทานอันมั่งคั่งที่ได้รับ และความจำเป็นที่จะต้องแบ่งปันพระหรรษทานนั้นไปยังคนรอบข้างในเวลาที่จำกัดตามที่นักบุญเปาโลได้สอน
ตลอดชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังท่านอายุได้ 12 ปี ท่านตระหนักดีถึงความไม่แน่นอนของชีวิตมนุษย์ ดังแสดงให้เห็นจากการที่ท่านมีโลงและโครงกระดูกจำลองไว้ในห้อง วัตรปฏิบัติในหนึ่งวันของท่านจึงแสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างยิ่งของท่าน ที่จะทำทุก ๆ วันให้ดีที่สุด อาศัยพระหรรษทานที่ท่านได้รับ เป็นพิเศษพระหรรษทานในการได้ตื่นมาในทุกวันพร้อมลมหายใจ กำลัง และสติปัญญา ท่านไม่ได้ก่อตั้งคณะนักบวชหรือฆราวาส ไม่ได้ตายอย่างมรณสักขี ไปเป็นธรรมทูตในต่างแดน หรือตั้งโรงเรียน สิ่งที่ทำเป็นเพียงกิจการที่เรียบง่าย เช่น การแบ่งปันอาหาร การทำขนมปัง การสอนหนังสือเด็ก ๆ การทำพลีกรรมเพื่อช่วยคนบาป และการสวดภาวนาเพื่อวิญญาณในไฟชำระ แบบฉบับของท่านจึงสอนเราอีกว่า การทำดังนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นกิจการที่ยิ่งใหญ่อย่างเป็นรูปธรรม แต่เป็นเพียงกิจการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถทำได้ตามกำลังและความสามารถของเราในเวลานั้น ๆ ด้วยหัวใจที่ถวายแด่พระเจ้าก็เพียงพอแล้วซึ่งหากเราตระหนักได้ดังนี้ ในวันสุดท้ายเราก็จะไม่กลัวที่จะต้องไปพบกับองค์พระตุลาการ เราจะไม่รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา เหมือนท่านนักบุญมารีอานาที่ไม่รู้สึกเสียดายชีวิตที่เหลือ หากพระเป็นเจ้าจะทรงยกท่านไปเสียในเวลานั้น แม้ในเวลานั้นท่านจะมีอายุได้เพียง 25 ปี เมื่อท่านตัดสินใจมอบถวายชีวิตเป็นยัญบูชาเพื่อช่วยผู้คนในเมืองกีโต ก็เพราะท่านนั้นมั่นใจยิ่งว่าท่านได้ทำทุกวันอย่างดีที่สุด และพร้อมสรรพที่จะไปพบองค์พระตุลาการบนสวรรค์ เพื่อรับการพิพากษา และรับบำเหน็จในสวรรค์ สุดท้ายนี้ขอให้ชีวิตของลิลลี่แห่งกีโตได้กระตุ้นเตือนให้พวกเรา ผู้เป็นพลเมืองโลกตระหนักรู้ถึงพระหรรษทานและเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมถึงพันธกิจในการแบ่งปันพระพรไปยังคนรอบข้างตามกำลังความสามารถของเราด้วยเทอญ อาแมน
“ข้าแต่ท่านนักบุญมารีอานา แห่ง พระเยซูเจ้า ช่วยวิงวอนเทอญ”
รายการอ้างอิง
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Mariana_de_Jesús_de_Paredes
https://www.xhaclub.net/post/2019/10/31/mariana-de-jes-c3-9as-a-woman-of-action
https://es.wikipedia.org/wiki/Mariana_de_Jesús_de_Paredes
https://www.fatima.org.pe/articulo-23-santa-mariana-de-jesus-la-azucena-de-quito
https://www.aciprensa.com/recursos/biografia-4720
http://igvemdor.blogspot.com/2011/08/santa-marianita-de-jesus.html
https://www.ourladyofgoodsuccess.com/pages/why-promote-devotion-to-st-mariana-de-jesus-lily-of-quito
http://revisteriaponchito.com/vidasejemplares/43/