วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

'มารีอานา' ดอกลิลลี่แห่งกีโต

นักบุญมารีอานา แห่ง พระเยซูเจ้า

St. Mariana de Jesús

วันระลึกถึง: 26 พฤษภาคม และ 28 พฤษภาคม (สำหรับคณะฟรังซิสกัน)

องค์อุปถัมภ์: เอกวาดอร์ ทวีปอเมริกา ความเจ็บป่วยทางกาย การสูญเสียบิดามารดา บุคคลที่ถูกปฏิเสธโดยคณะนักบวช ผู้ป่วย

 

ย้อนไปกว่าสี่ร้อยปีที่ผ่านมา ณ ทางตะวันออกของเชิงเขาปิชินชา เป็นที่ตั้งของเมืองซาน ฟรานซิสโก เด กีโต หรือ กีโต เมืองหลวงของประเทศเอกวาดอร์ในปัจจุบัน หรือที่ในขณะนั้นยังคงเป็นเมืองภายใต้การปกครองของเปรู กีโตในเวลานั้นในระยะเพียงแค่ครึ่งตารางไมล์ ก็มีวัดที่สวยงามถึงสิบวัด ไม่นับรวมอารามนักบวชชายและนักบวชหญิงที่ตั้งอยู่ตามที่ต่าง ๆ ของเมือง ซึ่งหลายแห่งก็ยังคงตั้งอยู่จนถึงปัจจุบัน แม้จะต้องเจอกกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวและความวุ่นวายทางการเมืองหลายระลอก จึงไม่แปลกที่กีโตจะเป็นที่รู้จักด้วยสมญานาม อารามแห่งอเมริกา และ สักการสถานแห่งศิลปะโคโลเนียล เพราะที่แห่งนี้ไม่เพียงเต็มไปด้วยอารามนักพรต แต่ยังเต็มไปด้วยงานศิลปะที่งดงาม โดยเฉพาะศิลปะแบบบบาโรค ที่ถือได้ว่าเป็นยอดที่สุดในกลุ่มชนที่พูดภาษาสเปน

 

ในวันที่ 31 ตุลาคม ค..1618 ชีวิตที่เรียบง่ายหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น ในครอบครัวอันทรงเกียรติของกัปตันเฆโรนิโม เด ปาเรเดส อี โฟลเรส ชายผู้มาจากครอบครัวขุนนางเมืองโตเลโดในสเปน และนางมารีอานา เด กรานอบเลส เด ซามาริลโล หญิงผู้สืบเชื้อสายมาจากหนึ่งในผู้นำกลุ่มกองกิสตาดอร์ หรือกลุ่มนักสำรวจ กองทหาร และนักผจญภัยที่ได้พิชิตดินแดนอเมริกาใต้ชาวสเปนในช่วงคริสตศวรรษที่ 15 และ 16 ทั้งสองมีลูกด้วยกันมาแล้วถึงเจ็ดคน และได้ตั้งนามเด็กทารกเพศหญิง ซึ่งเป็นลูกคนที่แปดของพวกเขาว่า มารีอานา เล่ากันว่าในคืนที่ทารกผู้นี้กำเนิดปรากฏมีกลุ่มดาวได้เรียงกันเป็นรูปใบปาล์มอยู่เหนือชายคา ที่ทารกน้อยได้ลืมตาดูโลก เสมือนเป็นเครื่องประกาศ เช่นเมื่อครั้งพระบุตรทรงบังเกิดที่เมืองเบธเลเฮม

ทั้งสองเลี้ยงดูสมาชิกใหม่ของครอบครัวด้วยความเอาใจใส่ จนมารีอานา เปเรเดส ซามาริลโลมีอายุได้ 4 ปี กัปตันเฆโรนิโมก็สิ้นใจลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ยังความโทรมนัสเป็นอันมากให้กับนางมารีอานา ผู้เป็นภรรยา นางจึงตัดสินใจพาท่านซึ่งขณะนั้นยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย อุ้มไว้กับตัวและออกเดินทางไปพักอยู่บ้านที่ชนบทของเมืองด้วยล่อ มีเรื่องเล่ากันว่าระหว่างที่นางกำลังขี่ล่อข้ามลำธารนั่นเอง ด้วยความรีบร้อนเจ้าล่อก็เกิดพลาดล้มลง ทำให้ท่านพลัดตกลงไป แต่ทันใดนั้นเองอารักขเทวดาของท่านก็ได้อุ้มท่านไว้กลางอากาศไม่ให้ตก ฝั่งนางมารีอานาผู้เศร้าโศกเมื่อได้สติ ก็รีบอุ้มลูกสาวของตนที่ลอยอยู่ในอากาสนั้นไว้ แล้วเดินทางต่อไป

 

และเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ยังไม่ทันที่ความโศกเศร้าจะคลายไปจากครอบครัวเปเรเดส ไม่นานนางมารีอานาก็ได้จากโลกนี้ไปตามสามีของนาง ทิ้งให้ท่านผู้ยังเยาว์นักต้องเป็นกำพร้า แต่ก็โชคยังดีที่ก่อนนนางจะจากไป นางได้ฝากฝังท่านไว้กับบุตรสาวของคนโตของนางชื่อ เฆโรมินา เด เปเรเดส ซึ่งสมรสกับกัปตันกอสเม เด กัสโซ ให้เป็นผู้รับหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูท่านต่อจากนาง ท่านจึงได้ย้ายไปอยู่กับนางเฆโรมินาและได้รับการอบรมในเรื่องต่าง ๆ ตามแบบอย่างของสตรีชั้นสูงร่วมกับธิดาทั้งสามคนของนาง ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานและมีอายุไล่เลี่ยกับท่าน

ทั้งนางเฆโรมินาและกัปตันกอสเมต่างรักใคร่เอ็นดูท่าน เสมือนหนึ่งเป็นลูกสาวอีกคนของพวกเขา ทั้งสองเฝ้าสอนให้ท่านรู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร ซึ่งท่านเองก็นบนอบเชื่อฟังทั้งสองอย่างว่านอนสอนง่าน จนจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากหนึ่งปีเป็นสองปี ท่านที่โตขึ้นก็เริ่มฉายแววความศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากวิญญาณน้อย ๆ มีครั้งหนึ่งท่านกำลังเล่นอยู่กับทั้งสาม จู่ ๆ ท่านก็รีบพาทั้งสามออกมาจากกำแพงที่เล่นกันอยู่ ก่อนที่กำแพงดังกล่าวจะพังลงมาตรงที่ทั้งสี่กำลังเล่นกันพอดี เหตุการณ์นี้ไม่มีใครล่วงรู้ว่าท่านทราบได้อย่างไร แต่ก็เสมือนหนึ่งเป็นเครื่องหมายถึงเหตุการณ์ในอนาคตของท่าน ซึ่งท่านจะได้ช่วยผู้คนจำนวนมากให้ได้ปลอดภัยจากภยันตราย

 

นอกจากชวนกันเล่นสนุกตามประสาเด็กแล้ว ท่านยังชอบชวนหลานทั้งสามของท่านที่มีอายุร่วมรุ่นกัน ตั้งขบวนแห่เทิดเกียรติพระเป็นเจ้า เดินรูปสิบสี่ภาค และสวดสายประคำ นอกนี้เมื่อมีอายุได้ 6 ปี ท่านก็เริ่มทำพลีกรรมด้วยการเลิกบริโภคเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากนม เอาใบตำแยมาถูตามเนื้อตัว มีคราวหนึ่งพี่สาวของท่านพบว่าสวมผ้ากระสอบเนื้อหยาบอีกด้วย ความศรัทธาที่ร้อนรนนี้เป็นที่สังเกตเห็นของนางเฆโรมินาและกัปตันกอสเมมาโดยตลอด ทั้งสองจึงได้พยายามให้ท่านได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกตั้งแต่อายุได้ 7 ปี ซึ่งถือว่าเป็นที่แปลกประหลาดมาก เนื่องจากธรรมเนียมปฏิบัติในขณะนั้นนิยมให้เด็กได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก เมื่อมีอายุได้ 12 ปี

พระสงฆ์เยซูอิต(น่าจะเป็นคุณพ่อฆวน กามาโช คุณพ่อวิญญาณณารักษ์คนแรกของท่าน)จึงได้เรียกท่านมาทดสอบความรู้คำสอน และคุณพ่อก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าท่านสามารถเข้าใจคำสอนต่าง ๆ ได้เกินวัย และมีชีวิตฝ่ายจิตที่เติบโตไปไกลกว่ารูปร่างภายนอก ดังนั้นคุณพ่อจึงตัดสินใจอนุญาตให้ท่านรับศีลมหาสนิทครั้งแรกตั้งแต่ท่านมีอายุได้ 7 ปี และได้กลายมาเป็นคุณพ่อวิญญาณณารักษ์ของท่าน ฝั่งท่านเองก็ได้เพิ่มคำว่า เด เฆซุส เข้าไปต่อท้ายชื่อของท่าน เพื่อแสดงว่าท่านนั้นเป็น ของพระเยซูเจ้า ทั้งครบ และได้รับการดลใจภายในให้ปฏิญาณตนถือพรหมจรรย์ไปตลอดชีวิต

 

ท่านมอบหัวใจดวงน้อยของท่านให้กับองค์พระเยซู และปรารถนาจะให้ทุกคนรักพระองค์เช่นเดียวกับท่าน ไม่เพียงแต่คนรอบข้างท่าน แต่รวมถึงคนที่ห่างไกลออกไป และเช่นเดียวกับนักบุญเทเรซา แห่ง อาบิลา ปิยมารดาแห่งคณะคาร์เมไลท์ มีวันหนึ่งท่านได้ยินพระสงฆ์เทศน์ว่ายังมีผู้คนอีกเป็นจำนวนมาก ที่ยังไม่รู้จักพระเยซูเจ้า ท่านที่ขณะนั้นยังเป็นเด็กหญิงวัยกำลังโต จึงตัดสินใจที่จะไปเป็นธรรมทูตในหมู่ชาวอินเดียนแดงเผ่าไมนัส โดยได้ชักชวนให้หลานสาวของท่านติดตามไปด้วย ท่านแอบเอากุญแจบ้านมาไว้กับตัวและวางแผนจะแอบเดินทางไปในตอนกลางคืน แต่ด้วยความยังเยาว์นักท่านจึงเผลอหลับไปตลอดคืน และถูกจับได้ในตอนเช้า ท่านจึงต้องล้มแผนการณ์ครั้งนี้ไปในที่สุด

อีกคราวหนึ่งท่านก็ได้ชักชวนเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับท่าน ขึ้นไปใช้ชีวิตเหมือนฤษีอย่างโดดเดี่ยว อยู่ใกล้ ๆ กับวัดน้อยหลังหนึ่งบนภูเขาปิชินชา ซึ่งถูกกสร้างขึ้นเพื่อวิงวอนขอพระนางมารีย์ให้ช่วยเมืองรอดพ้นจากภูเขาไฟระเบิดและถูกทิ้งร้างในเวลานั้น เพื่อเจริญชีวิตรำพึงภาวนา และพลีกรรมใช้โทษบาป ซึ่งก็มีเพื่อนของท่านที่สมัครใจจะไปใช้ชีวิตเช่นนั้นด้วย แต่เมื่อทั้งคณะเริ่มออกเดินทางไป ท่านและเพื่อนก็ถูกกระทิงมาขวางทางไว้ และแม้พยายามจะหลบไปทางใดก็ไม่สามารถที่จะผ่านมันไปได้ ท่านที่นึกเอะใจได้ว่า นี่อาจไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับท่าน ท่านจึงได้คุกเข่าลงสวดภาวนาอยู่ชั่วครู่ และได้แจ้งกับเพื่อนว่านี่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า และได้ขอยกเลิกแผนการหลบหนีครั้งนี้ ทันทีกระทิงร้ายที่ขวางพวกท่านก็ได้จากไปอย่างสงบ

 

แม้ความตั้งใจถึงสองครั้งในการดำเนินชีวิตติดตามพระเยซูเจ้าในรูปแบบของธรรมทูตและนักพรตของท่านจะไม่ประสบความสำเร็จ ท่านก็ไม่เคยลดละความปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตติดตามองค์พระเยซูคริสตเจ้าไป ดังนั้นเมื่อท่านอายุได้ 12 ปี  พี่สาวและพี่เขยที่เล็งเห็นว่าคงไม่เป็นการดีแน่ที่จะปล่อยให้ดำเนินชีวิตเป็นฆราวาสต่อไป เพราะรังแต่จะเป็นขี้ปากชาวบ้านที่จับกลุ่มนินทาถึงความศรัทธาที่มากเกินปกตินี้ จึงได้ถามท่านว่า สมัครใจจะเข้าอารามเป็นนักบวชไหม ท่านก็ตอบรับทั้งสองว่าปรารถนา ทั้งได้แจ้งว่าท่านได้ปฏิญาณจะถือพรหมจรรย์ ความยากจน และความนบนอบมาตั้งแต่อายุได้ 10 ปี

อารามนักบุญแคทเทอรีน เมืองกีโต
ดังนั้นท่านจึงถูกพาไปยังอารามนักบุญแคทเทอรีนของคณะโดมินิกัน ในเมืองกีโต เพื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิก คุณแม่อธิการอารามเมื่อได้สัมภาษณ์ท่าน ก็มีความยินดีที่จะรับท่านเข้ามายังอารามตั้งแต่บ่ายวันนั้นเลย แต่เนื่องจากท่านยังเป็นผู้เยาว์ ทำให้ในการเข้าอารามจึงจำเป็นต้องมีการเซ็นต์รับรองใบอนุญาตจากผู้ปกครองตามกฏหมายของเธอ นั่นก็คือพี่เขยของท่าน ดังนั้นเพื่อจัดแจงเรื่องนี้ให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว ผู้ถือสาส์นจึงถูกส่งไปหาเขา แต่ไม่ว่าผู้ถือสาส์นจะเดินทางไปยังที่ทำงานหรือสถานที่ใด เขาก็ไม่พบพี่เขยของท่าน ทั้ง ๆ ที่ในวันเดียวกันพี่เขยของท่านก็อยู่ตามสถานที่เหล่านั้น ทำให้การเข้าอารามในวันดังกล่าวมีอันต้องเลื่อนไป ท่านที่ทราบถึงเหตุการณ์ประหลาดดังนี้ จึงมั่นใจว่านี่คือสัญญาณเตือนจากพระญาณสอดส่องของพระเจ้า ท่านจึงตัดสินใจไม่เข้าอารามนักบุญแคทเทอรีน

 

หลังจากนั้นไม่นานพี่เขยของท่านก็ได้เสนอให้ท่านเข้าอารามนักบุญคลารา ของคณะฟรังซิสกัน ในเมืองกีโตแทน ท่านที่พิจารณาแล้วว่าอารามแห่งนี้เหมาะสมกับการเจริญชีวิตของท่าน จึงได้ตอบตกลงโดยมีข้อแม้ว่า หากนี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริงเมื่อท่านมีความประสงค์ดังนั้นแล้ว กัปตันคอสเมจึงได้จัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมไม่ว่าจะเป็นการลงนามในเอกสาร หรือการจัดเตรียมสินสอด เขาได้ตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสรรพเพื่อให้การเข้าอารามครั้งนี้ของท่านเป็นไปอย่างเรียบร้อยที่สุด เขายังได้จัดเตรียมงานเลี้ยงอำลาให้ท่าน โดยได้เชิญแขกเหรื่อเป็นจำนวนมากมาร่วมแสดงคความยินดีกับการตัดสินใจครั้งนี้ของท่าน ทุกคนในบ้านของท่านจึงต่างวุ่นวายกับการเตรียมงาน และต่างตื่นเต้นที่ท่านจะเข้าอาราม ยกเว้นเพียงท่านที่กลับรู้สึกว่า อารามนี้ก็ยังไม่ใช่คำตอบสำหรับท่าน

ด้วยความลังเลใจ ท่านได้ทูลถามต่อองค์พระเยซูเจ้าถึงน้ำพระทัยของพระองค์อีกครั้ง และท่านก็ได้รับการไขแสดงว่าทรงประสงค์ให้ท่านดำเนินชีวิตเป็นนักบวช อยู่ในโลกภายนอก ท่านจึงได้แจ้งเรื่องนี้กับคุณพ่อฆวน กามาโช คุณพ่อวิญญาณารักษ์ของท่าน คุณพ่อจึงได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับพี่สาวและพี่เขยของท่าน ซึ่งหัวเสียไม่น้อยต่อความโลเลของท่าน แต่ด้วยการดลใจของพระเจ้า ที่สุดทั้งสองเมื่อทราบความปรารถนาของท่านก็อนุญาตให้ท่านได้เจริญชีวิตแบบนั้น เพราะทั้งสองต่างทราบดีว่าท่านเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ โดยเพื่ออำนวยความสะดวกให้ท่าน ทั้งสองยังได้สร้างห้องจำนวนถึงสามห้องไว้ในพื้นที่บ้าน เพื่อให้ท่านใช้เป็นสถานที่ในการปฏิบัติศาสนกิจของท่านในความสันโดษ และได้ตกแต่งห้องเหล่านั้นให้เหมาะสมตามฐานะของครอบครัว

 

ซึ่งเมื่อได้เห็นห้องนั้น ท่านก็จัดการถอดเอาข้าวของตกแต่งที่ไม่จำเป็นออกและได้จัดห้องตามแบบที่ท่านปรารถนา คือ มีเตียงปูด้วยไม้กระดานสำหรับใช้นอน มีกางเขนที่เต็มไปด้วยหนามสำหรับพลีกรรม มีโลงไม้ พร้อมด้วยโครงกระดูกทำจากไม้ และกระโหลกศีรษะสำหรับใช้รำพึงถึงความตาย พร้อมกันนั้นท่านยังกั้นห้องหนึ่งไว้เป็นเหมือนวัดน้อย มีองค์ประธานคือพระรูปพระกุมารเยซูและแม่พระตั้งอยู่เหนือพระแท่นอีกด้วย  ซึ่งเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านต้องการแล้ว ท่านจึงได้เข้าไปอาศัยอยู่ในห้องเหล่านั้น พร้อมได้ปฏิญานตนจะถือพรหมจรรย์ตลอดชีวิต และยึดถือฤทธิ์กุศลอีกสองข้อเช่นเดียวกับนักบวช คือ ยากจนและนบนอบ นอกนี้ท่านยังได้ตัดสินใจสวมชุดสีดำยาว ซึ่งทำจากผ้าชนิดเดียวกันกับเครื่องแบบคณะเยซูอิต คาดสะเอวด้วยเชือก และคลุมศีรษะด้วยผ้าขนสัตว์สีดำ พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อตนเองเป็น มารีอานา แห่ง พระเยซูเจ้า ส่วนเงินค่าสินสอดที่ถูกเตรียมไว้ของท่าน ท่านก็ได้แจกจ่ายให้กับคนยากไร้ภายในเมือง เพื่อว่าท่านจะไม่มีสิ่งใดเป็นของตนเองเช่นเดียวกับบรรดานักบวชทั้งหลาย

การตัดสินใจดำเนินชีวิตนักบวชกึ่งฆราวาส ทำให้ตกเป็นขี้ปากของชาวเมืองกีโตไม่น้อย ซึ่งความไม่พอใจนี้ก็ก่อตัวมาตั้งแต่ครั้งที่ท่านได้รับอนุญาตให้รับศีลมหาสนิท เมื่อมีอายุเพียง 8 ปี และยิ่งทวีมากขึ้นเมื่อท่านได้รับอนุญาตให้รับศีลทุกวัน ในขณะที่ท่านมีอายุเพียง 12 ปี จนเป็นเหตุให้พระสงฆ์ที่อนุญาตให้ท่านปฏิบัติได้ดังนี้ ถูกเรียกไปสอบสวนต่อหน้าบรรดาสัตบุรุษชาวกีโต ซึ่งรวมถึงพระสังฆราช เพื่อไขข้อข้องใจถึงการอนุญาตนี้ ผลการสอบสวนครั้งนั้นแม้จะยืนยันตามคำตัดสินเดิม ท่านก็ยังไม่พ้นตกเป็นที่ครหาของชาวเมือง จากการที่ท่านเป็นนักบวชแต่ยังคงอาศัยอยู่ที่บ้าน ข้ารับใช้พระเจ้าทราบถึงความไม่พอใจและคำครหาเหล่านี้ดี และท่านเลือกที่จะน้อมรับคำสบประมาทเหล่านี้ ดุจเดียวกับองค์พระเยซูเจ้าทรงน้อมรับการดูหมิ่นและการสบประมาทอย่างเต็มพระทัย

 

ในฐานะนักบวช ท่านพยายามอย่างยิ่งที่จะดำเนินชีวิตเป็นนักบวชตามจิตตารมณ์ของคณะเยซูอิต ท่านจึงได้เข้าเป็นสมาชิกคณะปิยมิตรแห่งพระนางมารีย์ (Sodality of Our Lady) ซึ่งก่อตั้งโดยพระสงฆ์เยซูอิตในประเทศเบลเยี่ยม คณะดังกล่าวเป็นคณะสำหรับฆราวาส ที่ปรารถนาจะยกระดับชีวิตฝ่ายจิตให้สูงขึ้นตามแนวทางของคณะเยซูอิต มีรากฐานมาจากบรรดานวกะคณะเยซูอิตที่มีความตั้งใจจะร่วมมิสซาเป็นประจำทุกวัน รับศีลอภัยบาปเป็นประจำทุกสัปดาห์ และรับศีลมหาสนิทเป็นประจำทุกเดือน โดยมีเวลารำพึงภาวนาวันละครึ่งชั่วโมง และประกอบกิจศรัทธาอื่น ๆ ซึ่งฝึกวิญญาณตลอดทั้งวัน สิ่งนี้ยังรวมถึงการช่วยเหลือคนยากไร้อีกด้วย

นอกนี้ท่านยังปรารถนาจะเข้าเป็นสมาชิกของคณะเยซูอิตโดยตรง แต่เนื่องจากคณะเยซูอิตไม่มีสาขาสำหรับนักบวชหญิงหรือฆราวาส เหมือนอย่างคณะคาร์เมไลท์ คณะฟรังซิสกัน และคณะโดมินิกัน ท่านจึงไม่มีสถานภาพทางสังคมที่ชัดเจนว่าท่านเป็นนักบวชหรือฆราวาส คุณพ่อเฮอร์นันโด เด ลา ครูซ คุณพ่อวิญญาณคนต่อมาของท่านจึงได้แนะนำให้ท่านสมัครเข้าเป็นสมาชิกขั้นสามของคณะฟรังซิสกัน ซึ่งมีไว้สำหรับฆราวาส เพื่อเป็นการรับรองสถานภาพ ท่านจึงได้น้อมรับและปฏิบัติตาม แต่ก็มีเรื่องเล่ากันว่าในวันที่ต้องไปรับสายจำพวกและเชือกคาดเอวประจำคณะ ที่อารามของคณะฟรังซิสกันในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค..1639 นั้น ท่านมิได้เดินทางไปรับด้วยตัวเอง แต่ได้ส่งคนอื่นไปรับแทน

 

และแม้จะมีสถานภาพเป็นนักบวชขั้นสามในคณะฟรังซิสกันแล้ว (ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการรวบรวมอัตชีวประวัติของท่านในอนาคต) จิตวิญญาณภายในของท่านก็ยังคงพยายามดำเนินตามจิตตารมณ์ของท่านนักบุญอิกญาซิโออย่างเข้มข้น โดยมีคุณพ่อฆวน กามาโชเป็ผู้คอยชี้นำ และวัดประจำคณะเยซูอิต ซึ่งสร้างโดยตระกูลของท่านเป็นศูนย์กลางในการดำเนินชีวิต  แนวทางหนึ่งที่ได้เลือกนำมาปรับใช้กับการเจริญชีวิตสวดภาวนาของท่าน คือ การตรวจมโนธรรมวันละสามเวลาตามแบบของนักบุญอิกญาซิโอ ซึ่งเริ่มจากเวลาแรก คือ เวลาเช้ารำพึงว่าจะมีสิ่งใดเป็นอันตรายต่อวิญญาณและพยายามหลีกเลี่ยงมัน รวมถึงสิ่งที่ต้องทำในวันนี้ เวลาที่สอง คือ เวลาเที่ยง ตรวจสอบมโนธรรมโดยเน้นเป็นพิเศษไปที่ข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดที่ได้ปฏิบัติบ่อยที่สุดในวันนี้ เพื่อวอนขอพระเป็นเจ้าให้สามารถเอาชนะความอ่อนแอฝ่ายเนื้อหนังนี้ได้ และเวลาที่สาม คือ เวลากลางคืน รำพึงถึงการกระทำตลอดทั้งวันทั้งความคิด วาจา กิจการ และข้อบกพร่อง เพื่อวอนขอพละกำลังจากพระเจ้าในการที่จะไม่ปฏิบัติตนเช่นนั้นอีก

ตลอดชีวิตท่านรำพึงเสมอถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ดังนั้นในทุกวันศุกร์ท่านจึงเลือกจะนอนในโลงที่เตรียมไว้ ส่วนในวันอื่น ๆ ท่านก็เอาโครงกระดูกจำลองมาใส่ไว้ เพื่อเตือนตนว่าสักวันท่านก็ต้องกลายเป็นเช่นนั้น และเมื่อถึงวันนั้นท่านจะต้องมอบบัญชีชีวิตของท่านแด่พระเป็นเจ้า ณ เบื้องหน้าพระแท่นแห่งการพิพากษา เพื่อให้พระองค์ทรงตัดสิน ดังนั้นทุกวัน ท่านจึงไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า ท่านพยายามอย่างยิ่งที่จะดำเนินชีวิตติดตามองค์พระเยซูอย่างดีที่สุด ตามพระวาจาที่ว่า ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เขาเลิกนึกถึงตนเอง (มาระโก 8:34) โดยเฉพาะในด้านการพลีกรรม

 

ในห้องส่วนตัวที่เสมือนเป็นอารามแห่งใหม่ของกีโต ชีวิตประจำวันของท่านดำเนินไปอย่างเข้มข้นดุจดังฤษีในทะเลทราย โดยเราทราบวัตรปฏิบัติของท่าน จากจดหมายที่ท่านได้เขียนถึงคุณพ่อวิญญาณของท่าน เมื่อท่านอายุได้ 12 ปี ถึงแนวทางการเจริญชีวิตที่ท่านได้รับการดลใจจากพระเป็นเจ้าว่า

ลูกจะตื่นเวลาตีสี่ ลูกจะเริ่มเฆี่ยนตีตัวเอง จะคุกเข่าลง จะโมทนาคุณพระเจ้า ในขณะรำพึงถึงพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า หลังจากนั้นในเวลาห้านาฬิกาครึ่งถึงหกนาฬิกา ลูกจะรำพึงระลึกถึงพระมหาทรมานโดยการสวมเข็มขัดตะขอ พร้อมสวดภาวนาไปจนได้เวลา ลูกจึงจะเริ่มตรวจสอบมโนธรรมประจำวันก่อนจะไปวัด ลูกจะใช้เวลาระหว่างหกนาฬิกาครึ่งถึงเจ็ดนาฬิกาเพื่อแก้บาป

หลังจากนั้นในเวลาตั้งแต่เจ็ดนาฬิกาถึงแปดนาฬิกาซึ่งเป็นเวลามิสซา ลูกจะจัดเตรียมห้องหับภายในดวงใจของลูกเพื่อต้อนรับพระสวามีเจ้าของลูก (และ)เมื่อลูกได้รับพระองค์แล้ว ในระหว่างมิสซา(ดำเนินต่อไป) ลูกจะโมทนาคุณพระบิดานิรันดรที่ได้ทรงประทานพระบุตรของพระองค์แก่ลูก และลูกก็จะขอถวายพระองค์อีก แล้ววอนขอพระเมตตาเป็นจำนวนมากเป็นการตอบแทน ต่อมาในเวลาแปดนาฬิกาถึงเก้านาฬิกา ลูกจะนำวิญญาณออกจากไฟชำระและวิงวอนขอความบรรเทาใจสำหรับพวกเขา หลังจากนั้นในเวลาเก้านาฬิกาถึงสิบนาฬิกาลูกจะรำพึงถึงธรรมล้ำลึกทั้ง 15 ข้อของสายประคำพระมารดาพระเจ้า เวลาสิบนาฬิกา ลูกจะไปมิสซา หากเป็นวันฉลองนักบุญที่ลูกศรัทธา วันอาทิตย์ และวันหยุดยาวไปจนถึงเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา

ลูกจะรับประทานอาหารหลังจากนี้ ถ้าลูกปรารถนา ก่อนเวลาสิบสี่นาฬิกา ลูกจะทำวัตรเย็น และตรวจสอบมโนธรรม(อีกครั้ง) หลังจากนั้นในเวลาสิบสี่นาฬิกาถึงสิบห้านาฬิกา ลูกจะทำงานและยกหัวใจขึ้นไปหาพระเป็นเจ้า ประกอบกิจการแห่งความรักต่าง ๆ  สิบห้านาฬิกาถึงสิบแปดนาฬิกา ลูกจะสำรวจมโนธรรม (ครั้งที่ 3) และสวดทำวัตรค่ำ สิบแปดนาฬิกาถึงยี่สิบเอ็ดนาฬิกา ลูกจะปฏิบัติจิตภาวนา และเฝ้าระวังตัวไม่ให้ละสายตาไปจากพระเจ้า ยี่สิบเอ็ดนาฬิกาถึงยี่สิบสองนาฬิกา ลูกจะออกจากห้องเพื่อมาดื่มน้ำจำนวนหนึ่งเหยือก และหย่อนใจตามสมควร ยี่สิบสองนาฬิกาถึงยี่สิบสี่นาฬิกา กลับมาปฏิบัติจิตภาวนา ยี่สิบสี่นาฬิกาถึงเวลาหนึ่งนาฬิกา ลูกจะอ่านหนังสือประวัตินักบุญ และสวดทำวัตรเช้า

ลูกจะเข้านอนเวลาหนึ่งนาฬิกาจนถึงสี่นาฬิกา ในวันศุกร์บนไม้กางเขนของลูก ส่วนวันอื่น ๆ เป็นที่กระดาน โดยก่อนจะเข้านอนลูกจะเฆี่ยนตีตัวเองเสียก่อน ในวันจันทร์ พุธ และศุกร์ตลอดเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าและมหาพรต ในเวลายี่สิบสองนาฬิกาถึงยี่สิบสี่นาฬิกา ลูกจะสวดภาวนาอยู่บนไม้กางเขน ในวันศุกร์ ลูกจะเอาถั่วลูกไก่ใส่ไว้ที่เท้าและสวมมงกุฏหนาม จะอดอาหารโดยไม่รับอะไรตลอดทั้งสัปดาห์ ส่วนในวันอาทิตย์ลูกจะรับเพียงขนมปังหนึ่งออนซ์ และทุกวันลูกจะเริ่มวันด้วยการโมทนาคุณพระเจ้า

ท่านยึดถือวัตรปฏิบัติดังนี้อย่างเคร่งครัด นับตั้งแต่วันที่ท่านปฏิญาณตนด้วยวัย 12 ปี โดยไม่มีการลดหย่อนลง ตรงข้ามกลับยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ตามวัยที่เจริญขึ้นของท่าน กระนั้นก็ตามหากมี 3 กรณีนี้ คือ 1. มีกิจการเมตตาติดพัน 2. ได้รับคำสั่งไม่ให้กระทำโดยผู้ที่สามารถสั่งท่านได้ และ 3. สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย แม้แต่จะลุกขึ้นยืน ท่านก็จะละไม่ปฏิบัติวัตรบางประการ

นอกจากการพลีกรรมในกิจวัตรประจำวันแล้ว ท่านยังแสวงหาโอกาสในการพลีกรรมเสมอในทุกโอกาสของชีวิต ไม่เว้นแม้แต่เวลาที่ท่านล้มป่วยด้วยอาการไข้ ที่ท่านเป็นอยู่บ่อยครั้ง อาการดังกล่าวจะทำให้ท่านกระหายน้ำมากกว่าปกติ ท่านก็เลือกที่จะปฏิเสธที่จะไม่รับเครื่องดื่มใดตลอดวัน และบางครั้งท่านก็ปฏิเสธไม่รับเครื่องดื่มใด ๆ นานถึง 15 วัน เพื่อเลียนแบบพระเยซูเจ้าที่ทรงต้องทนกระหายอยู่บนไม้กางเขน นอกนี้ท่านยังมักสวมมงกุฏหนามไว้บนศีรษะขณะสวดสายประคำ และในบางครั้งท่านก็จะกางแขนออกระหว่างสวดสายประคำอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นตลอดทั้งวันท่านยังไม่พยายามออกไปไหนนอกบ้าน นอกจากออกไปวัดเพื่อร่วมมิสซาในตอนเช้าและเวลามีคนต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ  เพราะท่านปรารถนาใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อสรรเสริญพระเจ้า และถวายเครื่องบูชาคือพลีกรรมต่าง ๆ เพื่อการกลับใจของคนบาป มีนักเขียนชีวประวัติของท่านบางคนเล่าว่า ท่านยังอ่านบทสุดดีทั้งสิบสองบทอยู่เป็นนิตย์ และบางครั้งในการทำพลีกรรมบางประการท่านก็ได้ให้คนรับใช้ชาวอินเดียนช่วยด้วย

 

ในห้องอาหารของครอบครัว ท่านตระหนักดีว่าท่านไม่ได้มีสมบัติใด ๆ เป็นของตัวท่านเองเลย ท่านจึงได้ขออนุญาตกัปตันคอสเม พี่เขยของท่าน ให้ท่านสามารถนำอาหารที่บ้านไปให้คนยากไร้ได้ โดยท่านจะวางตระกร้าเล็กๆ ไว้ใต้โต๊ะ และเมื่ออาหารถูกยกมาเสิร์ฟให้ท่าน ท่านก็จะรีบแบ่งเอาอาหารที่ปรุงอย่างปราณีตนั้นใส่ไว้ในตระกร้า แล้วนำส่วนดังกล่าวไปมอบให้คนยากไร้ ส่วนท่านก็จะรับเพียงแค่ขนมปังและน้ำ ซึ่งมีเรื่องเล่ากันอีกว่าบางทีท่านก็รับเพียงแค่ขนมปังแห้งเพียงหนึ่งออนซ์ทุกแปดถึงสิบวัน หรือบางครั้งท่านก็รับเพียงศีลมหาสนิทและไม่รับอะไรอีกเลยตลอดทั้งวัน  โดยเฉพาะในช่วงเจ็ดปีสุดท้ายของชีวิต ท่านก็รับเพียงศีลมหาสนิทประจำวัน

นอกจากนำอาหารส่วนของตนไปให้คนยากไร้แล้ว ในด้านงานเมตตาธรรมท่านยังใช้เวลาถึงห้าชั่วโมงต่อวันเพื่อปฏิบัติงานด้านนี้  ท่านทำขนมปังขนาดสองออนซ์ทุกวัน เพื่อเลี้ยงคนยากไร้ ซึ่งพากันเดินทางมายังหน้าบ้านของท่านทุกวันเป็นขบวนยาว และโดยที่พวกเขาไม่ทราบที่มาของขนมปังดังกล่าว พวกเขาจึงต่างเรียกมันว่า ขนมปังของทูตสวรรค์ ท่านยังทำงานฝีมือเล็ก ๆ น้อยเพื่อจำหน่าย แล้วนำเงินดังกล่าวมาช่วยเหลือคนยากคนจน และเมื่อท่านมีอายุได้ยี่สิบปี ท่านก็ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือคนยากไร้ คนพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และคนที่ถูกสังคมเลือกปฏิบัติให้เป็นพลเมืองชั้นรองอย่างนักโทษและคนพื้นเมืองเพื่อให้พวกเขาได้รับสิทธิ์ที่พวกเขาพึงได้ตามความสามารถของท่าน ท่านรวบเด็ก ๆ มาเพื่อสอนให้รู้หนังสือ จัดอาหารให้คนยากไร้ สอนคนที่ไม่รู้หนังสือ ดูแลคนป่วย และคอยเป็นผู้ให้คำปรึกษากับทุกคนที่มาหาท่าน

 

นักเขียนชีวประวัติของท่านคนหนึ่งได้บรรยายถึงโรงเรียนอนุบาล ของท่านไว้ว่า ไร้ซึ่งการป่าวประกาศในที่สาธารณะ ไร้ซึ่งกรรมาธิการหรือคำพูดสวยหรู มีเพียงพลังแห่งเจตจำนงที่ตั้งมั่นบนความรักของพระเจ้า ท่านได้เริ่มสอนบรรดาเด็ก ๆ  ชาวอินเดียนแดงท่านเพียงทำตามคำบัญญาขององค์พระมหาไถ่ที่ว่า จงรักเพื่อนบ้าน…’ ภายใต้การดูแลของข้ารับใช้พระเจ้า เจ้าอินเดียนแดงตัวน้อยได้เรียนรู้ที่จะอ่าน เขียน ร้องเพลง เป่าขลุ่ย และสวดภาวนา พวกเขาได้รับการกระตุ้นให้เล่นสนุก มารีอานาอ่านหนังสือร่วมกับพวกเขา ใบหน้าที่งดงามราวกับถูกสลักขึ้นอย่างประณีตจนได้รูปและขาวใสตัดกับใบหน้าสีทองแดงของพวกเขา ค่อยเคลื่อนคล้อยอย่างแจ่มใสอยู่กลางพวกเขา ร่างบางสวมชุดดำตัดชุดหลากสีสันของพวกเขา

ในขณะที่จอห์น เลดดี้ ฟีลาน นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์อาณานิคมสเปน ได้ยกย่องว่าท่านเป็นบุคคลที่ดำเนินชีวิตสวนกระแสวิถีชีวิตของข้าราชการชาวสเปนในอาณานิคมยุคนั้น กล่าวคือในเวลาดังกล่าวสภาพสังคมข้าราชสเปนในอาณานิคม ต่างเต็มไปด้วยความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม การมัวเมาในอำนาจและการฉ้อราษฏร์บังหลวง ทั้งในที่สาธารณะและที่ลับตา ดั่งเช่นกรณีของอันโตนิโอ เด มอร์กา รองผู้ว่าราชการและผู้พิพากษาแห่งคณะตุลาการประจำหมู่เกาะฟิลิปปินส์ ซึ่งมีชีวิตร่วมสมัยกับท่าน ท่านที่เกิดและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ กลับดำเนินชีวิตที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะในที่สาธารณะหรือที่ลับตา ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว

 

เราอาจกล่าวได้ว่าท่านได้ประกอบพลีกรรมเป็นอันมาก ด้วยการตัดสละน้ำใจตนเองในแทบจะทุก ๆ อย่างในชีวิต แต่สำหรับท่านสิ่งเหล่านี้ยังไม่มากพอ ดังนั้นท่านจึงได้วิงวอนให้เป็นพระเจ้าทรงอนุญาตให้ท่านได้รับความทุกข์ทรมานเพื่อเห็นแก่ความรักของพระองค์อีก เป็นผลให้ท่านล้มป่วยหนักหลายครั้ง และจำเป็นต้องใช้วิธีเจาะเลือดท่านออกเพื่อให้อาการของท่านดีขึ้น โดยทุกครั้งที่ท่านมีอาการเช่นนี้คนใช้ที่ดูแลท่านก็จะนำเลือดดังกล่าว ไปเทใส่ไว้ตรงรูในสวน ขอให้ท่านผู้อ่านจดจำรูนี้ไว้ให้ดี เพราะนอกจากความมหัศจรรย์ที่เลือดของท่านในรูนั้นจะยังดูสดใหม่เสมอ แม้เวลาจะผ่านไปแล้วก็ตาม ในภายหลังท่านสิ้นใจไป รูแห่งนี้จะเกิดสิ่งมหัศจรรย์ที่กลายมาเป็นสมัญญานามของท่านในเวลาต่อมา

แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ให้เรากลับมาที่ชีวิตของท่านต่อ ด้วยผลการเจริญชีวิตอย่างเข้มงวดของท่าน ทำให้ในไม่ช้าท่านมีสุขภาพที่ไม่สู้แข็งแรง รวมถึงมีรูปร่างผอมแห้งลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งรูปร่างที่เปลี่ยนไปนี้เองทำให้ชาวเมืองกีโตหลายคน ที่เคยครหาต่อการกระทำของท่านเริ่มยกย่องว่าท่านเป็นนักบุญ  ท่านที่ทราบดังนี้ ด้วยความถ่อมตนและปรารถนาจะดำเนินชีวิตอย่างซ่อนเร้น ท่านจึงได้วิงวอนขอพระเป็นเจ้าให้ทรงช่วยให้ท่านพ้นจากการตกเป็นเป้าความคิดนี้ ซึ่งไม่นานท่านก็กลับมาดูแข็งแรง  ใบหน้ามีเลือดฝาดเหมือนคนที่ไม่เคยผ่านการทำพลีกรรมอย่างหนัก สมตามอายุของท่าน

 

ความร้อนรนในการเจริญชีวิตคริสตชนของท่าน ซึ่งสวนทางกับค่านิยมของสังคมรอบข้างท่านในเวลานั้น เป็นดั่งกลิ่นหอมไปยังบรรดาผู้คนภายในเมืองกีโต แต่เป็นกลิ่นเหม็นไปยังบรรดาปีศาจ ที่จับจ้องช่วงชิงวิญญาณมากมายไปยังขุมนรก พวกมันจึงไม่สบอารมณ์ต่อวัตรปฏิบัติของท่าน ซึ่งได้มีส่วนในการช่วงชิงดวงวิญญาณจำนวนมากไปจากมัน หลายครั้งมันจึงได้ปรากฏตัวมาเพื่อทำร้ายท่าน ด้วยจุดประสงค์จะทำให้เกิดความท้อแท้ในการดำเนินชีวิต บางครั้งก็เป็นความสิ้นหวัง  แต่ท่านก็สามารถเอาชนะมัน และยิ่งทวีการพลีกรรมที่ช่วยให้วิญญาณจำนวนมากได้รับความรอดมากขึ้น

ยิ่งท่านพยายามดำเนินชีิวิตอย่างถ่อมตนและซ่อนเร้นเพียงไร กลิ่นหอมจากฤทธิ์กุศลของท่านก็ยิ่งขจรขจายไปทั่วเมือง ซึ่งนอกจากผู้คนจะต่างเล่าลือถึงวัตรปฏิบัติอันเข้มข้นของท่านแล้ว พวกเขายังเล่าลือถึงเหตุอัศจรรย์มากมายที่พระเป็นเจ้าทรงกระทำผ่านข้ารับใช้พระเจ้าผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ท่านเดินตากฝนและไม่เปียก เรื่องพระกุมารเยซูได้ทรงประจักษ์มาในอ้อมแขนของท่าน และทรงหยอกล้อกับท่าน รวมถึงคำทำนายที่น่าเหลือเชื่อ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ คำทำนายที่ว่าบ้านของท่านจะกลายมาเป็นอาราม โดยที่ห้องของท่านจะเป็นส่วนของวัดน้อยสำหรับบรรดาภคินีได้ใช้สอย


นอกจากนี้ยังมีเรื่องอัศจรรย์การชุบชีวิตคนตายถึงสองคนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยเรื่องแรกมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งนางฆัวนา ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานสาวของท่าน มีธุระต้องเดินทางออกไปนอกเมือง นางจึงได้ฝากบุตรสาวของนางให้ท่านดูแล ในระหว่างนั้นเองมีวันหนึ่งเด็กน้อยก็ได้ไปเล่นอยู่ใกล้ฝูงล่อตามประสาเด็ก ทันใดก็มีล่อตัวหนึ่งเตะเข้าที่ศีรษะของเด็กน้อยอย่างจัง จนเด็กน้อยล้มลงเสียชีวิตในทันที ท่านที่เห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงรับรีบอุ้มร่างเหลนน้อยวิ่งตรงเข้าไปในห้อง เพื่อสวดภาวนา  ไม่นานหลังจากนั้นเด็กน้อยก็กลับฟื้นคืนชีวิตได้อย่างน่ามหัศจรรย์

อารามคาร์แมลเมืองกีโต ที่ตั้งอยู่บนที่ตั้งบ้านของกัปตันคอสเมในอดีต

ส่วนเรื่องที่สองเกิดขึ้นกับภรรยาของชาวอินเดียน ซึ่งเป็นคนงานในบ้านของท่าน วันหนึ่งเขาคิดว่าภรรยาของเขานอกใจไปมีชายอื่น เขาจึงบันดาลโทสะลากภรรยาของเขาเข้าไปในป่า แล้วใช้กำลังทุบตีทำร้ายเธอ ก่อนจะลงมือบีบคอเธอจนถึงแก่ชีวิต แล้วจัดการทิ้งศพเธอไว้ที่ตรงหน้าผา ชะตาหญิงสาวผู้เคราะห์คงดับสูญไปอย่างไม่มีใครล่วงรู้แน่ หากไม่โดยวิถีทางอันน่าอัศจรรย์ท่านได้แลเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านนิมิต ท่านจึงได้ให้คนไปตามพ่อค้าคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนกับครอบครัวท่าน เพื่อวานให้เขาแอบไปนำร่างของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายมายังห้องของท่าน โดยไม่ให้ใครรู้  และเมื่อท่านได้ร่างของหญิงสาวผู้นั้นมาแล้ว ท่านก็ประคองตัวเธอไว้ พลางใช้กลีบกุหลาบถูไปตามตัวหญิงสาว ไม่นานร่างที่แน่นิ่งก็กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง และเธอก็ได้เปิดเผยในภายหลังว่า ในระหว่างที่เธอเผชิญกับเหตุการณ์ร้าย เธอได้เห็นท่านได้มาบอกกับให้เธอมีความกล้าหาญไว้

 

เรื่องเล่าของท่านมากมาย ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้ผู้อ่านอดคิดว่า ท่านช่างไม่เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ที่กำลังอ่านชีวประวัติของท่านอยู่ แต่แท้จริงท่านก็มีมุมที่เหมือนท่านที่อ่านอยู่นี้เลย ในชีวประวัติหนึ่งของท่าน ผู้เขียนได้ยกย่องว่าท่านเป็น แบบฉบับของลูกครึ่งชาวกีโต ท่านเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและความร่าเริง เป็นหญิงสาวผู้มีไหวพริบ เฉลียวฉลาด รู้แจ้งวิธีการดำเนินชีวิต และมีความนึกคิดที่โตกว่าวัย ท่านมีทักษะในงานทอผ้า และงานเย็บปักถักร้อย เวลาเดียวกันท่านก็มีความรักในเสียงดนตรี ท่านเล่นวีฮูเอลา(กีตาร์แบบสเปน) ฮาร์ปซิคอร์ด(เปียโนประเภทหนึ่ง) และเปียโนเป็น

วีฮูเอลาของท่าน
บางครั้งระหว่างทำงานเล็กน้อย ๆ ในช่วงว่างเว้นจากการสวดภาวนา ซึ่งช่วยให้ท่านไม่ตกอยู่ในบาปของความเกลียดคร้าน ท่านก็มักร้องเพลงและท่องบทกวีซึ่งเกี่ยวเนื่องกับศาสนา ซึ่งช่วยให้ท่านมีสมาธิและช่วยให้จิตใจของท่านล่องลอยขึ้นไปหาพระองค์อยู่ตลอด บางคราวระหว่างการหย่อนใจ ไม่มีภาระงานใด ท่านเลือกใช้เสียงดนตรีช่วยยกจิตใจของท่าน เช่นเดียวกับที่ช่วยไม่ให้ท่านต้องอยู่เฉย ๆ และเสียเวลาที่มีค่าไปกับเรื่องไร้สาระ นอกนี้ท่านยังชอบทำอาหาร บางคราวท่านก็ทำขนมท้องถิ่นแนบไปพร้อมจดหมายถึงคุณพ่อวิญญาณารักษ์ของท่านอีกด้วย

 

ท่านดำเนินชีวิตอันน่ามหัศจรรย์ จนมีวัยล่วงเข้า 25 ปี ก็ปรากฏว่าในช่วงต้น ค..1645 เอกวาดอร์หรือขณะนั้นยังคงเป็นเพียงเขตปกครองกีโต ก็ต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 3 เหตุการณ์ ประกอบด้วย หนึ่งการแพร่ระบาดของโรคหัดและโรคซางชนิดร้ายแรง ซึ่งฆ่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมากถึง 12,000 คน  ดังที่มีบันทึกว่า เด็กถึงเก้าสิบคนที่อาศัยที่โรงเรียนซานลุยส์ มีเพียงสามคนเท่านั้นที่ไม่ป่วยด้วยโรคนี้ สองเหตุการณ์แผ่นดินไหวหลายระลอกที่ฆ่าชีวิตผู้คนไปอีก 2,000 คน เริ่มจากเมืองริโอบัมบา ก่อนจะเกิดตามหัวเมืองต่าง ๆ และสามเหตุการณ์การปะทุครั้งแรกของภูเขาไฟปิชินชา ภายหลังการมาถึงชาวสเปน ซึ่งเมืองกีโตตั้งอยู่บนเชิงเขานี้ ดังนั้นเมืองกีโตในเวลานั้น ทั้งวัดและสุสานจึงต่างเนืองแน่นไปด้วยร่างของผู้เสียชีวิตจากโรคร้ายและภัยพิบัติ ทั่วทั้งเมืองไม่มีเสียงใด นอกจากเสียงระฆังแจ้งการเสียชีวิตที่ดังอยู่เป็นระยะ ระคนเสียร่ำไห้ด้วยความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยที่ยากไร้ รวมไปถึงความหวาดกลัวต่อหายนะที่เกิดอยู่เนือง ๆ

ท่ามกลางความหลาดกลัวที่ดำเนินไปทั่ว ในบ่ายวันอาทิตย์ที่สี่ของเทศกาลมหาพรตในปีนั้น ซึ่งตรงกับวันที่ 26 มีนาคม คุณพ่ออลอนโซ เด โรฆาส คุณพ่อวิญญาณองค์ปัจจุบันของท่าน ซึ่งรับหน้าที่ประกอบพิธีมิสซาประจำวัน จึงได้ชี้ให้บรรดาสัตบุรุษที่มาร่วมมิสซาเห็นว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นการลงทัณฑ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อความอธรรมของชาวกีโต ดังนั้นวิธีทางเดียวที่จะช่วยให้ทุกคนรอดพ้น ทุกคนต้องกลับใจ ใช้โทษบาป  ปฏิบัติพลีกรรมวอนขอพระเมตตาพระเจ้า เพื่อระงับพระพิโรธดังกล่าว  และคุณพ่อก็ได้ประกาศให้สัตบุรุษรับรู้ในตอนท้ายของบทเทศน์ว่า ท่านยินดีถวายตนเป็น ยัญบูชา เพื่อการนี้ ด้วยคำอธิษฐานดังนี้ ข้าแต่พระเจ้า ลูกขอถวายชีวิตของลูกเพื่อให้เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ยุติลงด้วยเทอญ

 

เมื่อสิ้นเสียงประกาศเจตจำนงของคุณพ่อ ในหมู่ของบรรดาสัตบุรุษที่ร่วมมิสซาอยู่นั้น หญิงผู้แต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำ ซึ่งนั่งสงบนิ่งมาตลอดการเทศน์อยู่ที่หน้าธรรมาสน์ ก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า ตนยินดีจะสละชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องอย่างไม่คิดเสียดาย ดวงใจที่ระอุไปด้วยไฟแห่งความเมตตาสงสารต่อชะตากรรมที่ผู้คนมากมายต้องได้รับ กระตุ้นด้วยแรงขับเคลื่อนจากองค์พระจิตเจ้า ทำให้ร่างนั้นผลุดลุกยืนขึ้น และประกาศกับทุกคนในวัดอย่างกล้าหาญ ดุจวีรสตรีหญิงโยนออฟอาร์คในสนามรบเล ตูเรลล์ ว่า อย่าเลย ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตของนักบวชคนนี้ยังจำเป็นต้องช่วยสรรพชีวิตอีกเป็นจำนวนมาก แต่กลับกันแล้วตัวลูกหาได้มีความจำเป็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้นลูกจึงขอมอบถวายชีวิตของลูกแด่พระองค์ เพื่อให้เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ จงยุติลงด้วยเทอญ

สิ้นเสียงประกาศด้วยความตั้งใจอันแรงกล้า พระเป็นเจ้าผู้ทรงถวายพระองค์บนพระแท่นบูชา ก็ทรงรับเครื่องถวายบูชานี้ แต่ก็มิได้ทรงรับเครื่องบูชาน้อยไปในทันที มีรายงานว่าหลังจากนั้นไม่นาน โรคระบาดร้ายแรงที่กำลังแพร่อยู่ทั่วกีโตก็ค่อยทุเลาลง จนถึงช่วงของเทศกาลปัสกา โรคระบาดที่ฆ่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมากก็หายไปจากกีโตโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับสถานการณ์แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดก็สงบลง ทุกชีวิตในกีโตจึงกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ ยกเว้นเพียงแต่ข้ารับใช้พระเจ้านามมารีอานา

 

ภายหลังมิสซาในวันนั้น ท่านที่รีบตรงกลับบ้านตามปกติ ก็เริ่มมีอาการไข้ และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ท่านก็ล้มป่วยหนักจนไม่ออกมาข้างนอกบ้านอีกเลย อาการที่ท่านเผชิญเพื่อแลกกับความรอดของเพื่อนพี่น้องของท่าน ประกอบด้วยอาการไข้ ที่ทำให้ท่านกระหายน้ำมากกว่าปกติ และอาการเจ็บศีรษะ สีข้าง ลามไปจนถึงกระดูกทั้งหมด ท่านน้อมรับความทุกข์ทรมานเหล่านี้ด้วยน้ำใจที่กล้าหาญ และไม่ได้ใช้อาการเหล่านี้เป็นข้ออ้างในการละเว้นวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดของท่าน ท่านยังคงสวมเข็มขัดหนามที่สะเอวและมงกุฎหนามที่ศีรษะเพื่อทรมานตนอย่างที่เคยปฏิบัติ

ในไม่ช้าข่าวการประกาศตนเป็นยัญบูชาของท่านก็แพร่ไปปากต่อปาก จนลือไปทั่วเมืองกีโต เช่นเดียวกับข่าวการล้มป่วยของท่าน ทำให้แม้จะมีความยินดีเพียงใด ที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติต่าง ๆ ผู้คนในเมืองกีโตก็ต่างกังวลกับอาการป่วยของท่าน หลายคนอยากจะมาพบท่านด้วยวัตถุประสงค์ต่างกันไป บ้างเพื่อเยี่ยมอาการป่วย บ้างเพื่อพบเจอนักบุญที่มีชีวิต และบ้างก็เพียงเพื่อดูอาการการของท่าน แต่ก็ไม่มีใครได้รับอนุญาตนอกจากพระสังฆราช ชาวเมืองกีโตหลายคนจึงทำได้เพียงสวดภาวนาและทำนพวารอย่างร้อนรน เพื่อหวังว่าพระเป็นเจ้าจะมิทรงพรากนักบุญของพวกเขาไป และคืนพลานามัยที่สมบูรณ์ให้ท่านโดยเร็ววัน

 

ท่านล้มป่วยหนักมาได้สองเดือน ในวันที่ 22 พฤษภาคม พระสงฆ์ก็ได้เดินทางมาโปรดศีลเสบียง เพื่อเตรียมตัวท่านสู่การเดินทาง ท่านที่ขณะนั้นอ่อนแรงเต็มที ก็พยายามชันกายจนสามารถลุกขึ้นมา คุกเข่ารับพระวรกายของพระคริสตเจ้าด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความยินดี หลังจากนั้นให้หลังสี่วัน ท่านที่ล่วงรู้ถึงวาระแห่งการเดินทางบนโลกนั้นจะใกล้จบสิ้นลงเต็มที จึงได้ขอให้ช่วยย้ายท่านไปนอนในห้องของหลานสาว เพื่อว่าท่านจะได้จากโดยที่ไม่มีอะไรเป็นของตนเอง แม้แต่เตียงที่ท่านนอน ประมาณสามชั่วโมงต่อมา ท่านก็ไม่สามารถเปล่งเสียงได้ สิ่งนี้เป็นตามคำขอของท่าน ที่ให้เหตุผลว่า ยามนั้นหาใช้เวลาที่มีเพื่อสนทนากับมนุษย์ แต่มีเพื่ออยู่กับพระเจ้า ได้ระยะหนึ่งองค์พระเยซูเจ้า พระนางมารีย์ พร้อมด้วยท่านนักบุญเทเรซา แห่ง อาบิลา และท่านนักบุญกาเตรีนา แห่ง เซียนาจึงได้ประจักษ์มาหาท่าน และได้รับเครื่องบูชาน้อยนี้ไปอย่างสงบ ด้วยอายุ 25 ปี ในวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษาภาคม ค..1645 หรือสองเดือนให้หลังท่านได้มอบตนเป็นยัญบูชา

คุณพ่อเฮอร์นันโด เด ลา ครูซ ลงมือวาดรูปท่าน
รุ่งขึ้นรูที่สาวใช้มักเอาเลือดจากการรักษาของท่านไปเทไว้ ก็ปรากฏมี ดอกลิลลี่ สีขาวงอกขึ้นมา ท่านจึงได้รับสมัญญาจากชาวกีโตว่า ลิลลี่แห่งกีโต อัศจรรย์นี้เป็นเสมือนเครื่องหมายย้ำเตือนถึงความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวกีโตทั้งหลาย เช่นเดียวกับคำกล่าวของคุณพ่อเฮอร์นันโด เด ลา ครูซ ซึ่งได้รับการไขแสดงจากพระเจ้าในทันทีที่ท่านสิ้นใจ ว่าดวงวิญญาณของท่านนั้นได้มุ่งตรงสู่สวรรค์ พวกเรามีผู้ช่วงวิงวอนองค์ใหม่ในสวรรค์แล้ว เพราะมารีอานาได้อยู่ที่นั่นแล้ว และได้แนะนำถึงแนวทางการจัดพิธีปลงศพท่านไว้ว่า จงอย่าได้ไว้ทุกข์และอย่าได้คลุมบ้านด้วยผ้าสีดำ วันนี้คือวันแห่งการเฉลิมฉลอง เป็นวันแห่งชัยชนะของมารีอันนา ดังนั้นจงประดับประดาห้องหับด้วยพรมหลากสี เช่นที่พวกลูกปฏิบัติในวันฉลองอื่น ๆ จงตกแต่งแท่นวางศพด้วยผ้าสีแดงเข้มและประดับด้วยดอกไม้หลากชนิด ซึ่งอารามจะจัดส่งมา อวดสีอวดพันธุ์เพื่อถวายให้แด่เครื่องบูชาที่งดงามที่สุด ข้ารับใช้พระเจ้าบัดนี้ชื่นชมยินดีอยู่ในที่พำนักของพระองค์แล้ว” ก่อนที่คุณพ่อจะลงมือวาดรูปของท่าน ซึ่งเป็นต้นแบบรูปเขียนของท่านจนถึงปัจจุบัน

 

ในพิธีปลงศพของท่านฝูงชนมากมายจากทุกชนชั้นทางสังคม ต่างเบียดเสียดกันเข้ามาเพื่ออำลานักบุญของพวกเขา จนต้องมีการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้ร่างของท่านถึงสามครั้ง เพราะบรรดาชาวเมืองต่างพากันต้องการเก็บพระธาตุของท่านไว้เป็นที่ระลึก และนับเป็นโชคดีที่มีการจัดเวรยามอย่างเข้มงวด จึงทำให้ร่างกายของท่านไม่ได้รับอันตรายจากความต้องการเหล่านี้ และได้รับการฝังไว้ใต้พระแท่นพระนางมารีย์แห่งโลเรโตที่ท่านศรัทธา ตามคำสั่งเสียของท่านที่วัดคณะเยซูอิต ในเมืองกีโต ท่ามกลางความเศร้าใจของบรรดาชาวกีโต ที่ได้สูญเสียนักบุญที่มีชีวิตของพวกเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

ภาพเขียนของท่านโดยคุณพ่อเฮอร์นันโด
ด้วยการเจริญชีวิตที่เป็นแบบอย่างและน่าเลื่อมใส หลังมรณกรรมราว 25 ปี กระบวนการขอแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญก็ได้ดำเนินขึ้น ตามคำสั่งของพระคุณเจ้าอัลฟอนโซ เด ลา เปญา อี มอนเตเนโกร พระสังฆราชแห่งกีโต โดยได้รับการสนันสนุนจากพระสงฆ์คณะเยซูอิต โดยในกระบวนการดังกล่าวได้มีการเปิดกระบวนการหลานสาวของท่านชื่อ เซบัสตีอานา เด กัสโซ ไปพร้อมกัน แต่สืบเนื่องปัญหาต่าง ๆ ได้แก่ปัญหาการเมืองและการเดินทาง ก็ทำให้กระบวนการของท่าน ซึ่งได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีทั้งจากฝ่ายฆราวาสและนักบวชคาราคาซังอยู่นานนับร้อยปี กว่าที่ในวันที่ 19 มีนาคม ค..1776 พระสันตะปาปาปีโอที่ 6 จึงได้ทรงรับรองคุณธรรมขั้นคารวียะให้กับท่าน อันเป็นก้าวสำคัญสำหรับการสถาปนาท่านเป็นนักบุญ

 

หลังจากนั้นให้หลัง 77 ปี สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 9 จึงทรงรับรองอัศจรรย์สองเหตุการณ์ผ่านคำเสนอวิงวอนของท่านและได้สถาปนาท่านไว้ในสารบบบุญราศี ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค..1853 นับเป็นบุญราศีองค์แรกของชาวเอกวาดอร์  ระหว่างนั้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค..1946 สภารัฐธรรมนูญแห่งเอกวาดอร์ก็ได้ตระหนักถึงความเสียสละของท่านเพื่อช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องร่วมประเทศ ด้วยการยอมสละชีวิตเป็นยัญบูชา อันนับเป็นวีรกรรมที่น่ายกย่อง จึงได้ออกประกาศเกียตรติคุณของท่านให้ท่านเป็น วีรสตรีแห่งมาตุภูมิ หรือ วีรสตรีแห่งชาติ

ท้ายที่สุดในวันที่ 9 กรกฎาคม ค..1950 หรือกว่า 205 ปีมรณกรรมของท่าน สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ก็ได้ทรงประกอบพิธีสถาปนา ลิลลี่แห่งกีโตไว้ในหมู่ของนักบุญ จึงนับเป็นครั้งแรกที่ชาวเอกวาดอร์ได้มีนักบุญ ซึ่งมาจากประเทศของพวกเขาเอง นับเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญและเกียรติยศศักดิ์ศรีแก่ชาวเอกวาดอร์โดยแท้จริง ในวันนั้นในท่ามกลางผู้ทรงเกียรติมากมาย พระสันตะบิดรได้ทรงยกย่องท่านว่า ท่านไม่ใช่ผู้ก่อตั้งคณะที่มีชื่อเสียงเช่นเท่านักบุญเอมิลี เดอ โคดาท หรือเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์เช่นท่านนักบุญอันโตนิโอ มารีอา กลาเร็ต หรือเป็นอัครสาวกแห่งกิจการเมตตาธรรมเช่นท่านนักบุญบาร์โตโลเมอา กาปิตานิโอและท่านนักบุญวินเซนตา เยโรซา หรือเป็นพระราชินีอย่างท่านนักบุญฌานแห่งฝรั่งเศส หรือเป็นผู้ปกป้องสิทธิของพระศาสนจักรเช่นเดียวกับท่านนักบุญวินเซนโซ มารีอา สตรัมบี หรือเป็นผู้สละชีวิตเพื่อปกป้องพรหมจรรย์เช่นเดียวกับท่านนักบุญมารีอา โกเรตตี ตรงข้ามเรากำลังอยู่เบื้องหน้าของหญิง ผู้เสมือนห้องสุดท้ายของซิมโฟนี ซึ่งได้รวบรวมคุณลักษณะทุกประการของพวกท่านเหล่านี้ อันมีลักษณะจำเพาะต่างกันไปในรายละเอียดยิบย่อย ให้รวมเป็นเสียงประสานอันน่าพิศวงแห่งจิตวิญญาณ


เรามนุษย์ล้วนมีพระพรอันอุดม ทั้งสำหรับ ‘ตัวเรา’ และ ‘คนอื่น’ ดังที่นักบุญเปาโลได้แสดงให้เราเห็นในจดหมายถึงชาวโครินธ์ ว่าเราเป็น “เหมือนกับคนที่ไม่มีอะไรเลย แต่เราก็มีทุกอย่าง” (2 โครินธ์ 6:10) เหตุว่า “พระเจ้าประทานพระหรรษทานทุกประการแก่ท่านได้อย่างอุดม เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งเพียงพอ และยังมีเหลือเฟือสำหรับกิจการดีทุกประการอีกด้วย” (2 โครินธ์ 9:8) แบบฉบับของท่านนักบุญมารีอานา ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ได้ทรงยกย่องว่าคือส่วนผสมอย่างละนิดอย่างละหน่อยของนักบุญหลายองค์ ได้เป็นแบบฉบับของทุกคน เป็นพิเศษกับฆราวาส ในการตระหนักรู้ถึงพระหรรษทานอันมั่งคั่งที่ได้รับ และความจำเป็นที่จะต้องแบ่งปันพระหรรษทานนั้นไปยังคนรอบข้างในเวลาที่จำกัดตามที่นักบุญเปาโลได้สอน

ตลอดชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังท่านอายุได้ 12 ปี ท่านตระหนักดีถึงความไม่แน่นอนของชีวิตมนุษย์ ดังแสดงให้เห็นจากการที่ท่านมีโลงและโครงกระดูกจำลองไว้ในห้อง วัตรปฏิบัติในหนึ่งวันของท่านจึงแสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างยิ่งของท่าน ที่จะทำทุก ๆ วันให้ดีที่สุด อาศัยพระหรรษทานที่ท่านได้รับ เป็นพิเศษพระหรรษทานในการได้ตื่นมาในทุกวันพร้อมลมหายใจ กำลัง และสติปัญญา  ท่านไม่ได้ก่อตั้งคณะนักบวชหรือฆราวาส ไม่ได้ตายอย่างมรณสักขี ไปเป็นธรรมทูตในต่างแดน หรือตั้งโรงเรียน สิ่งที่ทำเป็นเพียงกิจการที่เรียบง่าย เช่น การแบ่งปันอาหาร การทำขนมปัง การสอนหนังสือเด็ก ๆ การทำพลีกรรมเพื่อช่วยคนบาป และการสวดภาวนาเพื่อวิญญาณในไฟชำระ แบบฉบับของท่านจึงสอนเราอีกว่า การทำดังนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นกิจการที่ยิ่งใหญ่อย่างเป็นรูปธรรม แต่เป็นเพียงกิจการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถทำได้ตามกำลังและความสามารถของเราในเวลานั้น ๆ ด้วยหัวใจที่ถวายแด่พระเจ้าก็เพียงพอแล้ว 


ซึ่งหากเราตระหนักได้ดังนี้ ในวันสุดท้ายเราก็จะไม่กลัวที่จะต้องไปพบกับองค์พระตุลาการ เราจะไม่รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา เหมือนท่านนักบุญมารีอานาที่ไม่รู้สึกเสียดายชีวิตที่เหลือ หากพระเป็นเจ้าจะทรงยกท่านไปเสียในเวลานั้น แม้ในเวลานั้นท่านจะมีอายุได้เพียง 25 ปี เมื่อท่านตัดสินใจมอบถวายชีวิตเป็นยัญบูชาเพื่อช่วยผู้คนในเมืองกีโต ก็เพราะท่านนั้นมั่นใจยิ่งว่าท่านได้ทำทุกวันอย่างดีที่สุด และพร้อมสรรพที่จะไปพบองค์พระตุลาการบนสวรรค์ เพื่อรับการพิพากษา และรับบำเหน็จในสวรรค์ สุดท้ายนี้ขอให้ชีวิตของลิลลี่แห่งกีโตได้กระตุ้นเตือนให้พวกเรา ผู้เป็นพลเมืองโลกตระหนักรู้ถึงพระหรรษทานและเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมถึงพันธกิจในการแบ่งปันพระพรไปยังคนรอบข้างตามกำลังความสามารถของเราด้วยเทอญ อาแมน

“ข้าแต่ท่านนักบุญมารีอานา แห่ง พระเยซูเจ้า ช่วยวิงวอนเทอญ”

รายการอ้างอิง

http://www.vatican.va/content/pius-xii/es/speeches/1950/documents/hf_p-xii_spe_19500710_mariana-paredes.html

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Mariana_de_Jesús_de_Paredes

https://es.gaudiumpress.org/content/hoy-celebramos-a-santa-mariana-de-jesus-paredes-azucena-de-quito/

https://www.xhaclub.net/post/2019/10/31/mariana-de-jes-c3-9as-a-woman-of-action

https://es.wikipedia.org/wiki/Mariana_de_Jesús_de_Paredes

https://www.fatima.org.pe/articulo-23-santa-mariana-de-jesus-la-azucena-de-quito

https://www.aciprensa.com/recursos/biografia-4720

http://igvemdor.blogspot.com/2011/08/santa-marianita-de-jesus.html

https://www.ourladyofgoodsuccess.com/pages/why-promote-devotion-to-st-mariana-de-jesus-lily-of-quito

http://revisteriaponchito.com/vidasejemplares/43/


'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...