วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา
Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña
วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน


ผู้ใหญ่ในคณะคนแรก ๆ ที่ท่านแสวงหาการสนับสนัน คือ คุณพ่อฆวน เด บิลลาฟาเญ อธิการวิทยาลัยนักบุญอิกญาซิโอ บิดาของชาวเรา เมืองบายาโดลิด ผู้พึ่งได้ดำรงตำแหน่งเป็นอธิการเจ้าคณะแขวงคณะเยซูอิตที่ท่านอยู่ โดยท่านได้อาศัยโอกาสที่คุณพ่อเด บิลลาฟาเญเดินทางมาวิทยาลัยนักบุญอัมโบรสซิโอ ในการเข้าไปแจ้งเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงเผยแสดงให้ท่านทราบ ฝั่งคุณพ่อเด บิลลาฟาเญ เมื่อทราบเรื่องที่ท่านประสบมาคุณพ่อไม่ได้มีท่าทีต่อต้านหรือไม่เห็นด้วยกับท่าน ตรงกันข้ามคุณพ่อกลับรู้สึกประทับใจในสิ่งที่ท่านเล่า และได้แจ้งว่าคุณพ่อได้ทราบเรื่องความเคลื่อนไหวต่อความศรัทธานี้ในกรุงโรม รวมถึงได้พบคุณพ่อเดอ กัลลิเฟตที่กรุงโรม ทั้งยังได้อ่านข้อเขียนของคุณพ่อเดอ กัลลิเฟตถึงสมณกระทรวงว่าด้วยพิธีกรรมในเรื่องการฉลองพระหฤทัยมาก่อนแล้ว คุณพ่อเด บิลลาฟาเญยังได้เล่าอีกหลายสิ่งที่คุณพ่อทราบให้ท่านฟัง และทิ้งท้ายด้วยการให้กำลังใจท่านในการดำเนินงานนี้ต่อไป ด้วยการวางใจในพระเจ้า และการคุ้มครองของคุณพ่อวิญญาณณารักษ์ของท่าน ฝั่งท่านที่ได้เห็นท่าทีเชิงบวกเช่นนี้ของคุณพ่อเด บิลลาฟาเญ ก็มีกำลังใจในการทำงานชิ้นนี้มากขึ้น และเพื่อให้เรื่องนี้เป็นไปโดยรอบคอบ ท่านยังได้ยอมรับการสอบสวนจากเป็นระยะเวลาสองเดือนในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1733 เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของนิมิตท่านเพิ่มเติม ตามคำสั่งของคุณพ่อเด บิลลาฟาเญอีกด้วย

บุคคลอีกท่านที่ท่านได้แจ้งความประสงค์ของพระเยซูเจ้าให้ทราบ เพื่อหวังการสนับสนุนการทำงานชิ้นใหญ่นี้ คือ คุณพ่อฟรังซิสโก อิกญาซีโอ เด เอกุยลุส อดีตอธิการนวกสถานและนวกจารย์ของท่าน ซึ่งท่านเคารพรักและไว้ใจให้เป็นผู้หนึ่งที่คอยสอดส่องวิญญาณของท่านให้เติบโตในทางที่เหมาะสม และในทำนองเดียวกับคุณพ่อเด บิลลาฟาเญ คุณพ่อเด กุยลุสได้กล่าวจะสนับสนุนท่านตามที่คุณพ่อสามารถทำได้ ไม่เพียงเท่านั้นคุณพ่อยังได้กล่าวคำสนับสนุนอีกจำนวนหนึ่งที่ทำให้ท่านมีกำลังใจเพิ่มขึ้นในการทำงานนี้ รวมถึงยังได้ให้คำแนะนำถึงแนวทางที่เหมาะสมในการทำงานชิ้นนี้ และในเวลาต่อมาด้วยความรู้สึกร้อนรนในวิญญาณจากเรื่องที่ท่านได้แจ้งให้ทราบ คุณพ่อเด กุยลุสจึงได้ถวายตัวต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าตามบทถวายตัวที่แต่งโดยนักบุญโกล้ด เดอ ลา โกลอมบีแอร์ ซึ่งท่านได้ส่งไปให้คุณพ่ออีกด้วย ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้มาในกรณีนี้ ในขณะที่ท่านได้รับเชื้อเพิ่มพูนไฟที่จะทำงานต่อจากคุณพ่อ ท่านยังได้ส่งต่อเชื้อไฟแห่งความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยไปสู่คุณพ่อในเวลาเดียวกัน ลักษณะเช่นนี้เองอาจกล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบสำคัญที่ท่านใช้เผยแพร่ความศรัทธาพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าที่ท่านค้นพบว่า ตัวท่านสามารถทำได้ในฐานะ ‘สามเณรใหญ่’ นั่นคือการแสวงหาการสนับสนุนจากผู้ที่มีความสามารถมากกว่าท่าน และจุดประกายเปลวไฟแห่งความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยในใจของพวกเขา เพื่อให้พวกเขาเป็นกลไกสำคัญในการทำงานในส่วนอื่น ๆ ที่ท่านในฐานะปัจจุบันไม่สามารถทำได้


ในเวลาเดียวกันกับที่ท่านเริ่มแสวงหาการสนับสนุนการดำเนินงานที่ได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่ในคณะ ในวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1733 ท่านก็ยังได้เริ่มงานที่รับมอบหมายจากสวรรค์นี้ในส่วนของท่านเอง ด้วยการถวายตัวต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าตามบทถวายตัวที่แต่งโดยนักบุญโกล้ด เดอ ลา โกลอมบีแอร์ เพื่อให้พระเจ้าทรงใช้ท่านเป็นเครื่องมือได้อย่างเต็มที่ หลังจากนั้นท่านจึงได้เริ่มร่างแผนปฏิบัติการ 7 ประการเพื่อทำให้พระประสงค์ของพระเยซูเจ้าในการเผยแพร่ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระองค์ให้สำเร็จไปในดินแดนสเปนประกอบด้วย
ประการที่ 1 ระดมการสนับสนุนความศรัทธาพิเศษนี้จากสมาชิกคณะเยซูอิต โดยเฉพาะจากกลุ่มที่มีบทบาทและอำนาจในแขวงต่าง ๆ
ประการที่ 2 ตีพิมพ์หนังสือที่อธิบายถึงแก่นแท้และความถูกต้องต่อความศรัทธาพิเศษนี้
ประการที่ 3 แจกรูปดวงพระหฤทัยเพื่อช่วยกระตุ้นสัตบุรุษจำนวนมากที่ไม่รู้หนังสือ
ประการที่ 4 จัดทำบทนพวารอย่างง่ายต่อดวงพระหฤทัย เพราะรูปแบบการนพวารเป็นกิจศรัทธาพิเศษที่ผู้คนที่นิยมทำในเวลานั้น
ประการที่ 5 ชักชวนให้บรรดาธรรมทูตที่ออกเดินทางไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ในแผ่นดินสเปนเพื่อเทศนาสั่งสอน ให้มีความรับผิดชอบในการเทศนาถึงเรื่องความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัยในพันธกิจที่พวกท่านได้รับ
ประการที่ 6 กระตุ้นให้บรรดาพระสังฆราชในสเปนร่วมกันทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อองค์สมเด็จพระสันตะปาปาให้ทรงโปรดอนุญาตให้มีพิธีมิสซาและบททำวัตรเพื่อถวายเกียรติแด่ดวงพระหฤทัย ดังที่มีการทำแล้วในบางประเทศ เพื่อให้ความศรัทธานี้แพร่ขยายไปทั่วดินแดนสเปน
ประการที่ 7 กระตุ้นให้บรรดาพระราชวงศ์สเปน โดยเฉพาะพระเจ้าเฟลีเป ที่ 5 ให้ทูลต่อสมเด็จพระสันตะปาปาให้ทรงอนุมัติคำร้องของบรรดาพระสังฆราชทั้งหลาย ไม่เพียงแต่ในสเปนแต่ยังรวมไปถึงอาณานิคมในลาตินอเมริกาและฟิลิปปินส์
นอกจากนี้ท่านยังได้ริเริ่มกลุ่มเครือข่ายภายในคณะเยซูอิตที่ต่อมาเป็นที่รู้จักกันว่า ‘กลุ่มห้าสหาย’ ขึ้นเพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติการนี้ กลุ่มเครือข่ายนี้ประกอบคุณพ่อฆวน เด โลโยลา อายุ 47 ปี คุณพ่อวิญญาณณารักษ์ของท่าน คุณพ่อเปโดร เด กาลาตายุด อายุ 44 ปี พระสงฆ์ธรรมทูตผู้ทำหน้าที่เทศนาตั้งแต่แผ่นดินสเปนไปถึงแผ่นดินโปรตุเกส หนึ่งในผู้ใหญ่ที่ท่านได้ส่งจดหมายไปขอการสนับสนุนและได้รับการสนับสนุน ซึ่งนำความบรรเทาใจมาให้ท่านเพราะด้วยหน้าที่ของคุณพ่อจะสามารถทำให้ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยแพร่ขยายไปได้ทั่วสเปนรวมถึงในโลกใหม่ได้ไม่ยาก คุณพ่อเปโดร เด เปญาโลซา อายุ 38 ปี พระสงฆ์นักเทศน์ผู้ติดตามคุณพ่อเด กาลาตายุดไปเทศน์เป็นครั้งคราว คุณพ่ออากุสติน เด กาดาเวรัซ อายุ 32 ปี สหายสนิทผู้มีทำให้ท่านได้รู้จักกับความศรัทธาพิเศษนี้ บราเดอร์ฆวน โลเรนโซ ฆิเมเนส อายุ 23 ปี เพื่อนร่วมชั้นเทววิทยาของท่าน และน้องเล็กสุดคือท่านในวัย 22 ปี สมาชิกในกลุ่มจะติดต่อกันผ่านจดหมายลูกโซ่และการนัดประชุม ในขณะทำงานตามหน้าที่ของตนด้วยความไว้วางใจพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าจะมีชัยเหนือทุกสิ่ง

ในแผนปฏิบัติการประการที่ 1 ประการที่ 5 และประการที่ 6 ดูเหมือนว่าเครือข่ายที่ท่านก่อตั้งขึ้นได้ใช้การสนทนาและจดหมายเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดขึ้นสิ่งนี้ขึ้น (โดยดูเหมือนว่าจะมีการใช้เครือข่ายส่วนตัวของแต่ละคนเข้ามาช่วยด้วย) โดยผู้ร่วมอุดมการณ์ทุกคนต่างได้รับการจุดประกายเปลวไฟแห่งความร้อนรนจากตัวของท่าน เช่นเดียวกับบุคคลอีกจำนวนหนึ่งที่ท่านได้ติดต่อด้วย ดังที่คุณพ่อฆวน เด โลโยลาเขียนในชีวประวัติของท่านว่า “ข้าพเจ้าถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ทีเดียว ที่นักบวชรุ่นเยาว์คนหนึ่งสามารถจุดประกายเปลวไฟแห่งความร้อนรนให้กับกิจศรัทธาที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก แก่บรรดาผู้แก่เรียนแก่วิชา ผู้มีปัญญาสุขุมลุ่มลึก ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ผู้มีมันสมองเป็นเลิศสุดในอาณาจักร ทั้งในคณะเยซูอิตไล่มาตั้งแต่เจ้าคณะแขวง อธิการ นวกจารย์ นักเทศน์ เรื่อยมาจนถึงธรรมทูต หรืออาจกล่าวอย่างกระชับว่าคือบรรดาคุณพ่อที่มีชื่อเสียงในแคว้นกาสตีล เหตุว่าดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนั้นเองที่เป็นผู้จุดประกายเปลวไฟในถ้อยคำและข้อเขียนของอัครสาวกผู้เยาว์วัยของพวกเรา ความเฉลียวฉลาดและปรีชาญาณของมนุษย์จึงไม่อาจจะต้านทานเขาได้” ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่ท่านได้ลงมือทำประการหนึ่งเพื่อให้แผนปฏิบัติการทั้งสามข้อเป็นจริง จึงคือการส่งต่อเปลวไฟแห่งความร้อนรนที่ท่านได้รับจากพระเยซูเจ้าไปยังหัวใจดวงอื่น ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังที่ได้กล่าวไปในย่อหน้าก่อนหน้านี้แล้ว

พระเจ้าเฟลีเป ที่ 5 แห่งสเปน

ส่วนในแผนประการที่ 7 ท่านได้ใช้สายสัมพันธ์ของพระสงฆ์เยซูอิตองค์หนึ่ง (เข้าใจว่าน่าจะคือ คุณพ่อฆวน เด โลโยลา) ที่มีสายสัมพันธ์กับพระสงฆ์เยซูอิต ซึ่งทำหน้าที่เป็นพระสงฆ์ฟังแก้บาปของพระเจ้าเฟลีเป ที่ 5 เพื่อขอให้ทูลเรื่องความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าและการร้องขอให้สมเด็จพระสันตะปาปาทรงอนุมัติให้มีการทำพิธีมิสซาและการทำวัตรเพื่อเป็นเกียรติต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าในดินแดนสเปนกับพระเจ้าเฟลีเปที่ 5 ผลปรากฏว่าพระสงฆ์ผู้ทำแก้บาปองค์นั้นเห็นด้วยกับความคิดนี้และยินดีจะช่วยทูลเรื่องนี้ให้ พระสงฆ์เยซูอิตองค์นั้นจึงได้เขียนแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านทราบ ฝั่งท่านเมื่อทราบก็มีความยินดี และได้เขียนตอบกลับไปว่า “ที่นี่ปล่อยให้ดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าทรงทำงานไปเถิด คุณพ่อที่รัก บัดนี้สิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้มากที่สุดในแผนปฏิบัติการนี้ได้เริ่มแล้ว ตอนนี้ขอให้เราวอนขอต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าว่า ‘ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดลพระราชหฤทัยขององค์กษัตริย์ให้เป็นไปตามพระองค์ประสงค์เถิด’ เราจงปล่อยให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำงานไป เราไม่จำเป็นต้องทำในส่วนของเราเกินไปกว่าส่วนที่พระองค์ทรงดลใจเราไว้ ดังคติพจน์ของคุณพ่อเกาซิโนที่มาจากคำพูดของท่านผู้ชี้นำอันศักดิ์สิทธิ์ (นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์) ที่ลูกประทับใจว่า อย่าเร่งรีบในเวลาแห่งพระญาณสอดส่อง”

ในขณะที่แผนประการที่ 2 ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นแผนที่ท่านให้ความสำคัญมากที่สุดอย่างการจัดพิมพ์หนังสือ ซึ่งท่านมองว่าจะช่วยทำให้ความศรัทธายิ่งหยั่งรากแก้วลงในดินแห่งสเปนได้อย่างมั่นคงมากขึ้นในท่ามกลางภาวะที่ความศรัทธานี้ยังไม่เป็นที่รู้จักเสียเท่าไรในดินแดนแห่งนี้ ในเบื้องต้นท่านปรารถนาให้มีการแปลหนังสือของคุณพ่อเดอ กัลลิเฟตจากภาษาละตินเป็นภาษาสเปน และเมื่อท่านทราบว่าเวลานี้คุณพ่อเด เปญาโลซากำลังแปลหนังสือ ‘ความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัยของพระสวามีเยซูคริสตเจ้า’ (La dévotion au Sacré-Cœur de Notre-Seigneur Jésus-Christ, ค.ศ. 1691) ของคุณพ่อฌอง ครัวส์เสต พระสงฆ์เยซูอิตชาวฝรั่งเศสผู้ที่นักบุญมาร์การิตา มารีอา อาลาก๊อก มอบความไว้วางใจให้เขียนหนังสืออธิบายถึงความศรัทธานี้ในช่วงบั้นปลายชีวิตของท่านนักบุญจากภาษาฝรั่งเศส ท่านจึงมีความยินดี รวมถึงเฝ้ารอให้หนังสือเล่มนี้แล้วเสร็จโดยไว โดยไม่ได้มีความกังวลใจว่าหากในอนาคตมีการแปลหนังสือของคุณพ่อเดอ กัลลิเฟตออกมาอีก หนังสือสองเล่มนี้จะทำให้เกิดความสับสน แต่เมื่อการแปลของคุณพ่อเด เปญาโลซาที่เป็นไปอย่างล่าช้า (หนังสือเล่มนี้แปลเสร็จและตีพิมพ์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1734 ที่เมืองปัมโปลนา) ท่านจึงตัดสินใจว่าการรอการแปลหนังสือจากภาษาต่างประเทศไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดเพื่อทำให้แผนประการที่ 2 สำเร็จไป แต่จะต้องมีหนังสือคู่มือเล่มเล็ก ๆ เขียนขึ้นด้วยภาษาสเปน ที่ให้ความรู้ด้านเทววิทยาสำหรับผู้คนในประเด็นเรื่องความศรัทธานี้โดยไวที่สุด ดังนั้นด้วยวิสัยทัศน์ที่มองว่าสื่ออย่างหนังสือเป็น ‘สิ่งจำเป็น’ ท่านจึงได้ขอให้คุณพ่อฆวน เด โลโยลาช่วยทำงานนี้ให้สำเร็จไป


แต่ทีแรกที่ท่านแจ้งความประสงค์นี้กับคุณพ่อเด โลโยลา คุณพ่อก็ได้ปฏิเสธเนื่องจากคุณพ่อมองว่าตัวเองไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น รวมถึงไม่มีเวลาพอที่จะทำงานชิ้นนี้ได้ตามที่ท่านหวัง แต่ด้วยการรบเร้าหลายครั้งเข้าท่านก็สามารถโน้มน้าวให้คุณพ่อเด โลโยลายอมที่จะทำงานชิ้นนี้ ด้วยการส่งแนวคิดรวมถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาให้คุณพ่อใช้เป็นต้นทางในการเขียน (จึงอาจกล่าวได้ว่าผลงานชิ้นนี้ท่านเป็นผู้วางโครงต่าง ๆ ในขณะคุณพ่อเด โลโยลาเป็นผู้เขียนให้ทุกสิ่งที่ท่านต้องการออกมาเป็นรูปเล่มหนังสือ) และเป็นอีกครั้งที่พระเยซูเจ้าทรงทำพระราชกิจอันน่าพิศวง เมื่อเอาเข้าจริง ถึงแม้จะรับปากไปที่จะเขียนแล้ว คุณพ่อเด โลโยลาก็ยังคงมีความกังวลว่าตนจะสามารถทำงานชิ้นนี้ได้อย่างไร คุณพ่อจึงมอบถวายความวางใจไว้ในดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า และในไม่ช้าเพียงสัปดาห์ถึงสองสัปดาห์ให้หลัง คุณพ่อก็สามารถจัดส่งต้นฉบับหนังสือ ‘ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง’ ไปให้ท่านตรวจทานได้

เมื่อได้ต้นฉบับมาแล้ว ท่านก็ไม่ได้ลงมือตรวจทานในทันที เนื่องจากท่านได้รับคำสั่งให้เดินทางไปเป็นเพื่อนสามเณรคนหนึ่งที่ต้องกลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน ท่านจึงจำต้องละจากงานที่มุ่งมั่นตั้งใจนี้และนบนอบเชื่อฟังคำสั่งของผู้ใหญ่ติดตามเพื่อคนดังกล่าวกลับบ้านไป การติดตามครั้งนี้กินเวลาทั้งสิ้นยี่สิบวัน ท่านจึงสามารถกลับมาที่เมืองบายาโดลิด และเริ่มทำการตรวจทานต้นฉบับหนังสือที่ค้างไว้จนแล้วเสร็จ หลังจากนั้นท่านจึงได้ส่งต้นฉบับหนังสือไปรับการตรวจสอบจากทางผู้ใหญ่ในคณะเยซูอิตและในสังฆมณฑลบายาโดลิดและได้รับอนุญาตให้ตีพิมพ์ได้ แต่เมื่อใกล้จะส่งต้นฉบับที่ได้รับการแก้ไขไปตีพิมพ์ ทางเจ้าคณะเยซูอิตก็ขอให้ส่งต้นฉบับไปให้สันตะสำนักตรวจอีกแห่ง เนื่องจากเป็นกิจศรัทธาพิเศษใหม่ ทำให้ต้องใช้เวลาอีกประมาณสองถึงสามเดือนเพื่อรอคำตอบ ซึ่งก็นับเป็นพระพรที่ทางสันตะสำนักให้คำตอบมาว่ามิได้ข้อขัดข้องประการใดที่จะมีการตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ รวมถึงมีความเห็นในเชิงบวก

หนังสือขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ฯ 
ฉบับตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1735

ดังนั้นท่านที่ทราบคำตอบเช่นนี้ก็มีความยินดี และได้เร่งไปแจ้งให้คุณพ่อเจ้าคณะแขวงทราบ แต่อุปสรรคใหม่ก็ปรากฏมาอีกครั้ง เมื่อท่านได้รับแจ้งว่าในเวลานี้มีหนังสือที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันจะถูกตีพิมพ์ขึ้นพร้อม ๆ กัน คือ หนังสือคู่มือการสวดภาวนาต่อดวงพระหฤทัยซึ่งเขียนโดยคุณพ่อเปโดร เด กาลาตายุด หนึ่งสมาชิกกลุ่มสหายทั้งห้า ทำใหทางผู้ใหญ่ก็มีความเห็นว่าด้วยเนื้อหาที่ใกล้กันการตีพิมพ์หนังสือทั้งสองเล่มจะมากไปหรือไม่ แต่ในขณะที่หนังสือที่ท่านคาดหวังไว้มีแววจะเป็นหมัน ก็เป็นอีกครั้งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำกิจการอันน่าพิศวผ่านการทรงดลใจให้ทางผู้ใหญ่ในคณะเยซูอิตเล็งเห็นว่าเนื้อหาของหนังสือทั้งสองเล่มที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือในขณะที่หนังสือของคุณพ่อเด กาลาตายุด เป็นคู่มือสำหรับการสวดภาวนาภายใต้ความศรัทธาพิเศษนี้ หนังสือของคุณพ่อเด โลโยลา จะเป็นหนังสืออธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจรากฐานทางเทววิทยาต่อความศรัทธาพิเศษนี้ เหตุฉะนี้จึงไม่มีข้อขัดข้องที่หนังสือทั้งสองจะถูกตีพิมพ์ออกมาพร้อมกันได้

ด้วยมูลเหตุนี้เองที่สุดในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1734 หนังสือขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ยิ่งก็ได้รับการตีพิมพ์ในเมืองบายาโดลิด โดยระบุเพียงว่าคุณพ่อเด โลโยลาเป็นผู้แต่ง และได้รับทุนสนับสนุนการพิมพ์จากพระคุณเจ้ามานูเอล เด ซามาเนียโก พระอัครสังฆราชแห่งบูร์โกส หนึ่งในพระสังฆราชที่ได้ตอบรับการรณรงค์เผยแพร่ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยในสเปน ส่วนท่านที่ทำงานอยู่เบื้องหลังหนังสือเล่มเล็ก ๆ นี้อย่างร้อนรนและซ่อนเร้นจากสายตาของคนภายนอก เมื่อท่านได้หนังสือที่ถูกตีพิมพ์อย่างเป็นทางการมา ท่านก็มิได้ลำพองใจว่าตนเองเป็นเพียงสามเณรใหญ่ แต่กลับทำงานชิ้นนี้ออกมาได้ ตรงกันข้ามด้วยความถ่อมใจ ท่านโมทนาคุณพระเจ้าและได้แอบนำหนังสือดังกล่าวซ่อนไว้ในเครื่องแบบนักบวชในเวลาไปรับศีลมหาสนิท เพื่อยกถวายผลงานชิ้นนี้ให้แด่ดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ผู้เป็นต้นทางแห่งเปลวไฟที่สุมอยู่ในหัวใจของท่าน และเพื่อให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการทั้ง 7 ประการ หนังสือที่ถูกตีพิมพ์ในครั้งนี้จำนวนหนึ่งจึงได้ถูกนำไปทูลเกล้าฯ ถวายให้พระเจ้าฟิลิปที่ 5 และพระราชวงศ์จำนวนหนึ่งในสเปน ในขณะที่หนังสืออีกส่วนหนึ่งได้ถูกส่งกระจายไปยังอารามและศูนย์กลางทางศาสนาตามหัวเมืองสำคัญในดินแดนสเปน และดูเหมือนว่าผลตอบรับต่อหนังสือเล่มนี้จะเป็นไปในทิศทางที่ดี เพราะเพียงไม่กี่ปีที่มีการพิมพ์ครั้งแรกในเมืองบายาโดลิด ก็ปรากฏการตีพิมพ์หนังสือเล่มดังกล่าวอีกถึงแปดครั้งในแปดเมือง

หนังสือนพวารต่อดวงพระหฤทัยฯ พิมพ์โดยคณะเยซูอิต 
ที่ประเทศโคลอมเบีย ที่ต้องการเผยแพร่ความศรัทธาพิเศษนี้

เมื่อหนังสือซึ่ง ‘อธิบายถึงแก่นแท้และความถูกต้องต่อความศรัทธาพิเศษนี้’ สำเร็จไปแล้ว ท่านจึงได้เริ่มปฏิบัติการตามแผนประการที่ 4 คือ การจัดทำนพวารต่อดวงพระหฤทัยขึ้น โดยอาศัยความช่วยเหลือจากคุณพ่อเด โลโยลา และภายหลังท่านได้รับศีลบวชได้ 6 เดือน จึงมีการจัดพิธีนพวารนี้เป็นครั้งแรกที่วิทยาลัยนักบุญอัมโบรสซิโอ เมืองบายาโดลิด มีข้อมูลว่าบทนพวารที่ใช้ในคราวนั้นได้ถูกตีพิมพ์ขึ้นและหมดลงอย่างรวดเร็ว ส่วนในแผนปฏิบัติการข้อที่ 3 ท่านได้นำรูปพระหฤทัยที่ตีพิมพ์อยู่ที่หน้ารูปภาพพิเศษหรือหน้ารูปภาพตรงข้ามหน้าปกใน (frontispiece) ของคุณพ่อเดอ กัลลิเฟตซึ่งเป็นรูปดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าถูกแทงด้วยหอก มีมงกุฏหนามล้อมรอบ และมีไม้กางเขนปักอยู่มาตีพิมพ์เป็นการ์ดศักดิ์สิทธิ์จำนวนหลายพันใบเพื่อแจกจ่ายไปยังผู้คน เป็นพิเศษกลุ่มผู้ไม่รู้หนังสือซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของแผนปฏิบัติการนี้ โดยในเบื้องต้นท่านได้สั่งแม่พิมพ์ภาพมาจากอิตาลีโดยตรง ก่อนที่ในเวลาต่อจะมีการทำแม่พิมพ์ขึ้นที่สเปน และด้วยการเข้าถึงง่ายของสื่อประเภทรูปภาพ ทำให้ในไม่ช้าภาพพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นที่แพร่หลายในสังคมสเปนไม่ว่าจะชนชั้นไหน

นอกจากการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ 7 ประการ ในช่วงระยะแรกของการดำเนินแผนเหล่านี้ คุณพ่อเปโดร เด กาลาตายุดยังได้มีความคิดจะก่อตั้งกลุ่มฆราวาสเพื่อรณรงค์เรื่องความศรัทธาพิเศษนี้ในนาม ‘คณะพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระเยซูเจ้า’  ขึ้นตามที่ต่าง ๆ ที่คุณพ่อเดินทางไป แต่ในทีแรกที่ท่านทราบความคิดนี้ของคุณพ่อเด กาลาตายุด ท่านได้รบเร้าให้คุณพ่อฆวน เด โลโยลาเขียนจดหมายไปสอบถามแนวทางจากคุณพ่อเดอ กัลลิเฟต ซึ่งบัดนี้ลาเกษียณอยู่โรงเรียนของคณะเยซูอิตในเมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส คุณพ่อเด โลโยลาจึงได้ยอมทำตามแม้คุณพ่อจะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรที่จะต้องทำเช่นนี้ เป็นเวลาเดียวกันกับที่คุณพ่อเด กาลาตายุดเองก็ได้เขียนจดหมายไปสอบถามเรื่องนี้กับคุณพ่อเดอ กัลลิเฟตเช่นกัน แต่แม้คุณพ่อเดอ กัลลิเฟตจะยินดีกับการเริ่มลงหลักปักฐานในแผ่นดินสเปนของดวงพระหฤทัยเมื่อได้รับจดหมายทั้งสองฉบับ แต่คุณพ่อก็มิได้ให้แนวทางอะไรอย่างที่ท่านต้องการมา คุณพ่อเพียงแนะนำว่าต้องวางธรรมนูญของคณะนี้ให้สอดคล้องกับประเทศและสมาชิกของคณะ


ดังนั้นด้วยความร้อนรนซึ่งเป็นนิสัยของคุณพ่อเด กาลาตายุด คุณพ่อจึงไม่รั้งรอสิ่งใดอีกและได้เริ่มคณะพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระเยซูเจ้าเป็นครั้งแรกในเมืองโลร์กา ประเทศสเปนใน ค.ศ. 1733 ในทันที โดยในจดหมายที่คุณพ่อแจ้งกับท่านในวันที่ 25 ตุลาคม ปีเดียวกัน คุณพ่อได้แจ้งว่าสมาชิกกลุ่มแรกเป็นชาย 36 และหญิง 36 คนจากโรงเรียนของคณะเยซูอิต เรื่องนี้เมื่อท่านทราบ ในเบื้องต้นท่านไม่เห็นด้วยเท่าไรกับการตัดสินใจของคุณพ่อเด กาลาตายุด ที่ดูเหมือนคุณพ่อเด โลโยลาจะเห็นชอบด้วยเท่าไร เพราะท่านมองว่าคุณพ่อควรเริ่มวางรากฐานกลุ่มดังกล่าวที่กรุงมาดริดที่คุณพ่อมีเครือข่ายที่ดี โดยเริ่มจากภายในราชสำนักก่อน เพราะท่านมองว่าการทำเช่นนี้จะไม่เพียงจะทำให้การก่อตั้งกลุ่มดังกล่าวในเมืองอื่นเป็นไปโดยง่าย แต่ยังจะช่วยสนับสนุนให้แผนปฏิการข้อที่ 7 สามารถเป็นไปได้อีกด้วย แต่เอาเข้าจริงแล้วท่านไม่เห็นด้วยที่จะเร่งรัดการตั้งกลุ่มนี้โดยไม่มีแนวทางจากคุณพ่อเดอ กัลลิเฟตในเวลานี้ เพราะท่านมองว่าการขาดแนวทางจากทางฝรั่งเศสจะทำให้กลุ่มที่ได้ดำเนินไปอย่างไม่มีทิศทางและไม่มีความมั่นคง รวมถึงเวลานี้ยังไม่เหมาะสมเท่าใดที่จะทำการเช่นนี้ ทั้งเสนอว่าควรสนับสนุนให้ผู้คนหันมามีความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัย ซึ่งจะทำให้พวกเขาปรารถนาที่จะรวมกลุ่มกันมากกว่าการไปจัดตั้งกลุ่มให้พวกเขา ดังนั้นท่านจึงเขียนข้อคิดเห็นที่ท่านมีไปหาคุณพ่อเด โลโยลาเพื่อขอให้คุณพ่อช่วยไปคุยกับคุณพ่อเด กาลาตายุดให้ในประเด็นที่ท่านเป็นกังวลในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1733

แต่ที่สุดองค์พระเยซูเจ้าก็ทำให้ท่านเข้าใจว่า การกระทำเช่นนี้ของคุณพ่อเด กาลาตายุดไม่ใช่ผลงานจากปรีชาญาณของมนุษย์ หากแต่เป็นปรีชาญาณของพระเจ้าที่ได้ทรงใช้อุปนิสัยอันร้อนรนของคุณพ่อให้เป็นประโยชน์แก่งานที่พระองค์ทรงทำในแผ่นดินสเปน ท่านจึงเปลี่ยนความคิดจากที่เดิมท่านมองว่า สิ่งที่จำเป็นต้องทำในระยะแรกคือการสร้างความร้อนรนในเรื่องพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าให้กับบรรดาธรรมทูตก่อน แล้วจึงค่อยทำการจัดตั้งกลุ่มฆราวาส เป็นการมองว่าการทำทั้งสองสิ่งสามารถทำไปได้พร้อม ๆ กัน ดังที่ท่านเขียนยอมรับในเวลาต่อมาว่า “ในเรื่องของคุณพ่อกาลาตายุดลูกได้เล็งเห็นพระจิตเจ้า ‘ผู้ไม่รู้จักความล่าช้า’ เป็นองค์พระสวามีเจ้าเองที่ได้ทรงอวยพระพรให้แก่ความกล้าหาญในความร้อนรนอันศักดิ์สิทธิ์นี้ หากดวงพระหฤทัยนั้นก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็วกว่าความคิดอ่านของเรา เราควรจะทำอย่างไรเพื่อไล่ตามการจัดวางอันแสนน่ารักของพระองค์เล่า ด้วยความรู้สึกประหลาดใจกับความเร่งรีบนี้ลูกได้ยินเสียงตรัสว่า ‘ลูกคิดว่านี่เป็นผลงานของมนุษย์ดอกหรือ ไม่ใช่เลย สิ่งนี้มาจากพระบิดานิรันดรของเรา ผู้ทรงพอพระทัยดวงหทัยของเรา’ นี่แหละคือคำตอบสำหรับสิ่งที่ปัญญาไม่อาจตอบได้” ดังนั้นจากเหตุการณ์นี้เอง จึงทำให้เห็นว่าเมื่อได้รับมอบหมายภารกิจจากพระเยซูเจ้า ท่านเองก็ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่ยังคงมีสายตาสั้นกว่าสายตาของพระเจ้า

เราจะขึ้นเป็นกษัตริย์ครองดินแดนสเปน 

อาจกล่าวได้ว่าในระหว่างการดำเนินงานเพื่อการเผยแพร่พระหฤทัยของพระเยซูเจ้าให้เป็นรู้จักในสเปนเริ่มต้นขึ้นในกลาง ค.ศ. 1733 แม้ท่านจะได้รับการเตรียมวิญญาณให้พร้อมมาก่อนหน้า ท่านก็ไม่ได้พร้อมไปเสียทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็น ‘ฐานะ’ หรือ ‘ความคิด’ แต่พระเยซูเจ้าผู้แสดงดวงพระหฤทัยอันลุกร้อนไปด้วยเปลวไฟแห่งความรักของพระองค์ก็ได้ทรงใช้เวลาเดียวกันนี้ค่อย ๆ สอนท่านให้เข้าใจ ‘ความน่าพิศวง’ ที่พระองค์ทรงสามารถทำได้ดุจถ้อยคำในหนังสือสดุดี และด้วยการเปิดหัวใจของท่านให้พระองค์ทรงทำงาน สอนสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และเงี่ยหูอย่างตั้งใจเพื่อเข้าใจความมหัศจรรย์ของพระเจ้า นี่เองทำให้ท่านค่อย ๆ เอาชนะความเป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ ซึ่งก่อเกิดให้ความกังวลและความกลัว ต่อสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ ความเข้าใจตามประสามนุษย์ และความอ่อนแอในธรรมชาติมนุษย์ และสามารถทำหน้าทั้งในฐานะ ‘นักเรียน’ และ ‘ธรรมทูตแห่งดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า’ ได้ในเวลาเดียวกันได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ดังที่ท่านเขียนในตอนหนึ่งของจดหมายที่ท่านแสดงความกังวลใจต่อเรื่องกลุ่มที่คุณพ่อเด กาลาตายุตรีบจัดตั้งขึ้นว่า “คุณพ่อที่รัก ลูกไม่ทราบเช่นกันว่าความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะลูกคิดถึงเรื่องนี้เพียงเล็กน้อย และไม่ทันจะได้คิดมากไป ลูกก็พบว่ามันสำเร็จลงไปเป็นที่เรียบร้อย บางทีอาจเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงดลใจเขาเพื่อให้คารวะกิจของพระองค์เป็นที่รู้จัก และลูกก็ยังคงอยู่ในสันติและความสงบในหัวใจกับการเรียน ซึ่งไม่เคยลดน้อยถอยลงไป ที่จริงเมื่อท่านนักบุญลูกาได้ประจักษ์มาเยี่ยมเยียนลูก ลูกก็พบว่าลูกได้รับความรู้มากเท่ากับที่ลูกเรียนในสามเดือนเลยทีเดียว เป็นดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้านั่นเองที่ทรงบันดาลให้เกิดทุกสิ่งและประทานกำลังแก่ทุกสิ่ง”

และในเวลาเดียวกันกับที่ทรงสอนท่านให้เข้าใจว่า พระเจ้าทรงเป็น ‘ผู้ทรงกระทำกิจการอันล้ำลึกเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจได้’ (ผู้วินิจฉัย 13 : 19) พระองค์ก็ทรงคอยเติมเชื้อไฟแห่งความร้อนรนที่จะประกาศถึงความรักของพระเจ้า ผ่านดวงพระหฤทัยของพระองค์ให้มนุษย์ได้รับรู้ให้กับท่าน เพื่อให้ท่านมีกำลังที่จะส่งต่อความรักของพระองค์ที่แสดงผ่านดวงพระหฤทัยไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย สิ่งนี้ได้ทำให้ท่านยิ่งพบความกล้าหาญที่จะเอาชนะข้อจำกัดที่ท่านมีเพื่อทำงานชิ้นนี้ ท่านเคยเขียนเล่าให้คุณพ่อเด โลโยลาฟังในจดหมายฉบับเดียวกันกับที่ท่านแสดงความกังวลเรื่องคุณพ่อเด กาลาตายุตว่า
    “สิ่งที่ดวงพระหฤทัยได้ทำกับลูกนั้นไม่อาจพรรณนาหรืออธิบายได้ ลูกถูกจู่โจมด้วยความรักของพระองค์ และถูกปล่อยไว้ในกองเพลิงอันลุกโชนของบรรดาเซราฟีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันอาทิตย์ เมื่อลูกได้รับศีลมหาสนิท ลูกรู้สึกได้ถึงชีวิตอยู่ภายในตัวลูก ชีวิตที่เป็นศูนย์กลางแห่งความปรารถนาทั้งหลายของลูก ลูกรู้สึกเหมือนตัวลูกจะระเบิดออกด้วยพลังอันร้อนแรงจากความรักและความสุขอันอ่อนโยนที่เอ่อท่วม และหากในเวลาลูกโมทนาคุณพระองค์ หัวใจของลูกไม่พองโตด้วยเปลวไฟแห่งรักที่ลุกโชนและแผดเผา ลูกก็คงจะม้วยมรณาจากโลกนี้ไปอย่างไม่ต้องสงสัย พระองค์ทรงไขให้เสียงกำสรวลประกาศก้องถึงวิญญาณของสิ่งสร้างทั้งหลายให้มารักดวงพระหฤทัยที่แสนน่ารักขององค์พระเยซูเจ้าของลูกระเบิดออกมาจากอกของลูก และด้วยความร้อนรนเหนือมนุษย์ลูกกู่ร้องเช่นเดียวกับท่านนักบุญออกัสตินว่า ‘จงวิ่งมาเถิดท่านผู้ชอบธรรม จงวิ่งมาเถิดท่านผู้เป็นคนบาป จงวิ่งมาเถิดท่านผู้เป็นประชากรทั้งหลาย จงวิ่งมา วิ่งมาหาดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า’
    ในเวลานั้นลูกได้ยินเสียงอันอ่อนละมุลดังอยู่ภายในใจ ตรัสสิ่งเดียวกับที่ทรงตรัสกับข้ารับใช้ผู้ยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือเด กูลตู กอร์ดิส (หนังสือของคุณพ่อเดอ กัลลิเฟต) ‘จงวอนขอสิ่งที่ลูกปรารถนาผ่านทางดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระบุตรของเราเถิด และเราจะประทานสิ่งนั้นให้แก่ลูก’ และโดยไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ลูกได้ทูลให้ทรงขยายอาณาจักรแห่งดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์เดียวในแผ่นดินสเปน และลูกก็เข้าใจสิ่งที่ลูกได้รับมอบหมาย ซึ่งด้วยความยินดีอันหวานชื่นต่อพระวาจานี้ วิญญาณของลูกเหมือนถูกฝังไว้ในดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เหมือนร่างไร้ชีวิตได้ถูกฝัง หลายครั้งหลายคราในแต่ละวันรู้สึกถูกจู่โจมด้วยความรัก มันทวีความปรารถนา ความปรารถนาที่จะเผยแพร่ความรักของดวงพระหฤทัยอันแสนน่ารักของพระเยซูเจ้าไปยังโลกใหม่ ไปจนทั่วทั้งจักรวาลให้หัวใจที่น่าสมเพชของลูก สิ่งนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งเมื่อลูกอยู่เบื้องหน้าศีลศักดิ์สิทธิ์”
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า เมื่อท่านได้มอบทุกสิ่งที่ท่านมีให้พระเจ้า พระเจ้าจึงสามารถส่งผ่านความรักของพระองค์ลงมาในวิญญาณของท่านได้อย่างเต็มที่ ความรักนี้เองทำให้ท่านทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เหมือนที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำเมื่อทรงจะต้องรับทรมานในสวนเกทเสมนี นั่นคือการเอาชนะความอ่อนแอตามประสามนุษย์ ซึ่งหวาดกลัวต่อความไม่รู้และความอ่อนแอของตัวเอง เพื่อจะส่งความรักของพระเจ้าให้โลกได้รู้  


ไม่เพียงพระเยซูเจ้าจะทรงเป็นกำลังให้ท่านในการดำเนินงาน ในระหว่างนี้พระองค์ยังโปรดส่งผู้รับใช้ของพระองค์จากสวรรค์จำนวนหนึ่งให้มาเป็นกำลังใจให้ท่าน เพื่อท่านมีความมั่นใจว่าท่านกำลังทำในสิ่งที่พอพระทัย คราวหนึ่งในวันฉลองพระนางมารีย์เสด็จเยี่ยมนางเอลิซาเบธ ( 2 กรกฎาคม ) นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ และนักบุญมาร์การิตา มารีอา อาลาก๊อก ได้ประจักษ์มาหาท่าน นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ได้ขอบคุณสำหรับการอุทิศตนเพื่อการเผยแพร่ความศรัทธาต่อพระหฤทัยของท่านและบอกให้ท่านหมั่นวอนขอความปรารถนต่อดวงพระหฤทัย เพื่อประโยชน์ของการดำเนินงานนี้ ในขณะที่นักบุญมาร์การิตามิได้กล่าวอะไร แต่ท่านทราบในภายในว่าท่านนักบุญมีความยินดีเพียงใดที่ท่านได้เป็นกำลังในการเผยแพร่ความศรัทธา ที่ท่านนักบุญรักและปรารถนาส่งต่อให้มนุษย์ทุกคน

อีกครั้งหนึ่งในวันฉลองนักบุญอิกญาซีโอ (31 กรกฎาคม) เมื่อกำลังจะรับศีลมหาสนิทท่านได้เห็นนักบุญอิกญาซิโอและนักบุญฟรังสซิส เซเวียร์ขนาบข้างท่าน และเมื่อท่านรับศีลมหาสนิทแล้ว นักบุญอิกญาซีโอได้ย้ำสิ่งเดียวกับที่แม่พระได้ไขแสดงแก่นักบุญมารีอา มาร์การิตา อาลาก๊อก ในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1688 คือ พระเป็นเจ้าได้ทรงประสงค์ให้คณะเยซูอิตและคณะพระนางมารีย์เสด็จเยี่ยมนางเอลิซาเบธเป็นผู้ทำงานเผยแพร่ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระองค์ อันจะเป็นท่อธารนำความศักดิ์สิทธิ์มาสู่พระศาสนจักร โดยที่ท่านมีหน้าที่เป็น ‘คนกลาง’ เพื่อส่งเสริมคารวะกิจนี้ให้แพร่หลาย ผ่านการสวดภาวนาและการร่วมงานกับคารวะกิจนี้ และเมื่อเวลาที่สมควรมากถึงท่านจะได้ทำมากกว่านี้ แต่ในเวลานี้สิ่งที่ท่านต้องทำมีเพียงการประกาศถึงคารวะกิจนี้ต่อไปก่อน (คำกล่าวเช่นนี้ของนักบุญอิกญาซีโอทำให้ยิ่งตระหนักได้ว่าในฐานะสามเณรใหญ่ท่านจะทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์อย่างไร ท่านจึงยกถวายตัวเองทั้งครบและทุกสิ่งที่มีเพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์นี้) และเมื่อท่านนักบุญจะจากไป ท่านนักบุญได้ฝากให้ท่านบอกกับคุณพ่ออากุสติน เด กาดาเวรัซ (พ.น.) ให้ร่วมในภารกิจนี้ และได้ให้ท่านไปบอกกับคุณพ่อเด โลโยลา (ว.ร.) ว่าเป็นท่านนักบุญเองในฐานะบิดา ที่ได้เลือกคุณพ่อให้ทำภารกิจนี้ตามกำลังที่คุณพ่อจะทำได้ อาศัยความช่วยเหลือของดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า


อัครเทวดามีคาแอลยังเป็นผู้หนึ่งที่ได้ประจักษ์มาหาท่าน ท่านบันทึกว่าในวันฉลองอัครเทวดามีคาแอล (29 กันยายน) ครั้งหนึ่งซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ปีนั้นพอดี หลังจากท่านรับศีลมหาสนิท ท่านได้เห็นอัครเทวดามีคาแอลประจักษ์มาอยู่ข้าง ๆ ท่าน อัครเทวดาได้บอกวิถีทางที่ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระเป็นเจ้าจะแพร่หลายไปในดินแดนสเปน รวมไปถึงทั่วพระศาสนจักรได้อย่างไร แม้ในวันหนึ่งการเผยแพร่คารวะกิจนี้จะต้องประสบกับการต่อต้าน แต่ที่สุดคารวะกิจนี้ก็จะมีชัยชนะ อัครเทวดามีคาแอลยังได้กล่าวหนุนใจท่านอีกว่า ในฐานะเจ้าชายแห่งพระศาสนจักร อัครเทวดาจะคอยช่วยเหลือพันธกิจนี้ “พันธกิจที่องค์พระสวามีเจ้ามีพระประสงค์ทำผ่านพวกเรา ความยากลำบากจะเกิดขึ้นเช่นกัน แต่พวกเราจะได้รับความช่วยเหลือจากท่าน” ท่านเขียนสรุป

ในการดำเนินงานเพื่อทำให้ความรักของพระเจ้าที่แสดงผ่านดวงพระหฤทัยที่เผยออก จากสิ่งที่ท่านได้ปฏิบัติ อาจกล่าวได้อีกว่าในขณะที่สวรรค์ทำสิ่งพิศวงให้เกิดขึ้น โดยการสอนและหนุนนำใจท่าน ตัวท่านเองก็ทำในสิ่งเดียวกันกับที่อัครสาวกแห่งดวงพระหฤทัยของพระองค์อย่างนักบุญโกล้ด เดอ ลา โกลอมบีแอร์ได้ปฏิบัติเช่นเดียวกันที่ฝรั่งเศสเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา คือ การตระหนักถึงความว่างเปล่าของวิญญาณ ความว่างที่มีความหมายถึงการตระหนักถึงความเป็นจริงที่ว่า วิญญาณทุกดวงไม่สามารถทำทุกสิ่งได้ โดยเฉพาะการบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์ โดยปราศจากความช่วยเหลือของพระเจ้า ดังนั้นวิญญาณจึงต้องต่อสนิทกับพระเจ้าและยอมให้พระเจ้าดำรงอยู่ในวิญญาณ และเมื่อวิญญาณตระหนักรวมถึงทำดังนี้ วิญญาณจึงมีพื้นที่ว่างพอที่พระเจ้าจะทรงเติมพระหรรษทานที่จำเป็นที่ทรงเตรียมไว้สำหรับวิญญาณดวงนั้น ซึ่งไม่เพียงทำให้วิญญาณดวงนั้นบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังกลายเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยวิญญาณดวงอื่น ๆ ให้บรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนว่าด้วยความตระหนักรู้ในลักษณะเช่นนี้ ทำให้ท่านเลือกที่จะมอบถวายทุกสิ่งให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ด้วยการยินยอมให้พระเจ้าทรงเข้ามาทำงานในชีวิตต่อไปของท่านผ่านการมอบทุกสิ่งที่มีเพื่อทำตามน้ำพระทัย โดยเฉพาะเมื่อได้รับมอบหมายให้ต้องทำให้สเปนรู้จักกับความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัย อันเป็นเครื่องหมายถึงการยอมรับว่าวิญญาณนั้นไม่มีความสามารถใดหากไร้พระเจ้า ความเข้าใจเช่นนี้เองทำให้พระเยซูเจ้าได้ค่อย ๆ แสดงให้ท่านเห็นว่า พระองค์จะทรงทำให้ความรักของพระองค์ ที่แสดงผ่านรูปลักษณ์ของดวงพระหฤทัยแพร่ขยายไปทั่วสเปนและทั่วโลกได้อย่างไร และทำให้ท่านก้าวข้ามความกลัวตามประสามนุษย์ไปเป็นเครื่องมือที่ประสิทธิภาพของดวงพระหฤทัยได้ในที่สุด


วันเวลาของการทำงานเพื่อขยายความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าล่วงเลยมาได้ปีกว่า ในขณะที่งานต่าง ๆ กำลังดำเนินไปตามแผนปฏิบัติการทั้ง 7 ด้วยความร่วมมือของกลุ่มสหายทั้งห้าดังที่ได้เล่ามาก่อนหน้า ท่านก็เรียนจบการศึกษาด้านเทววิทยาและเข้าใกล้ความฝันที่จะเป็นพระสงฆ์เพื่อทำงานในท้องทุ่งแห่งวิญญาณ แต่ในขณะที่กำลังจะได้ยินดีกับศักดิ์ศรีของผู้รับใช้บนพระแท่นบูชา ท่านก็ต้องพบกับอุปสรรคใหญ่เหมือนคราวท่านจะเข้าคณะเยซูอิต เมื่ออายุท่านในเวลานั้นซึ่งคือ 23 ปี เป็นอายุที่ต่ำกว่าเกณฑ์อายุขั้นต่ำของผู้จะได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ในเวลานั้นที่กำหนดไว้ที่ 24 ปี ทำให้ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะบวชเป็นพระสงฆ์พร้อมกับบรรดาเพื่อนร่วมชั้นของท่านที่จบการศึกษาในปีเดียวกันใน ค.ศ. 1734 บรรดาเพื่อนของท่านที่ทราบเช่นนี้ก็ต่างไม่เห็นด้วย และได้พากันคะยั้นคะยอขอให้ท่านไปขออนุญาตจากผู้ใหญ่ให้ท่านได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ แต่ท่านก็ได้ปฏิเสธและเลือกที่จะนบนอบต่อกฏที่ถูกวางไว้นี้อย่างกล้าหาญ และนี่เป็นอีกคราวที่ “การกระทำของพระองค์ต่อมนุษย์ช่างน่าพิศวง” (สดุดี 66 : 5)

เมื่อผู้ใหญ่ที่ได้เฝ้ามองพฤติกรรมของท่านมาโดยตลอด จนเล็งเห็นถึงนิสัยใจคอและความศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องประกายอยู่ภายในตัวท่าน ได้ตัดสินใจอนุญาตให้ท่านที่อายุเพียง 23 ปี ได้รับการยกเว้นให้บวชเป็นพระสงฆ์ได้พร้อมเพื่อน ๆ ในปีนั้น ทำให้ในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1734 ท่านจึงได้บวชเป็นรองสังฆานุกร (subdeacon) ก่อนที่ในวันที่ 31 ธันวาคม ปีเดียวกัน ท่านจึงได้บวชเป็นสังฆานุกร และในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1735 พระคุณเจ้าฆูเลียน โดมินเกซ เด โตเลโด พระสังฆราชแห่งบายาโดลิด จึงได้โปรดศีลบวชเป็นพระสงฆ์ให้ท่านพร้อมเพื่อนสังฆานุกรอีกสองคน ที่วัดน้อยภายในบ้านพักพระสังฆราช หลังจากนั้นให้หลังสี่วันในวันสมโภชพระคริสต์แสดงองค์ที่ 6 มกราคม ท่านจึงได้ทำพิธีมิสซาแรกที่วัดน้อยประจำวิทยาลัยนักบุญอิกญาซีโอ บิดาของชาวเรา เมืองบายาโดลิด และเพื่อเป็นสมาชิกคณะเยซูอิตโดยสมบูรณ์ ภายหลังจากที่ท่านได้ร่วมพิธีนพวารต่อดวงพระหฤทัยอย่างสง่าที่วิทยาลัยนักบุญอัมโบรสซิโอ เมืองบายาโดลิด ในเดือนกันยายนปีเดียวกัน ท่านจึงได้ย้ายมาพักที่วิทยาลัยนักบุญอิกญาซิโอ บิดาของชาวเรา เมืองบายาโดลิด เพื่อ ‘เข้าเงียบใหญ่ครั้งที่ 3’ (Tertianship) ซึ่งเป็นขั้นตอนการเตรียมตัวครั้งสุดท้ายของสมาชิกคณะเยซูอิต ก่อนจะเข้าพิธีปฏิญาณตนตลอดชีวิตตามธรรมนูญของคณะเยซูอิต แต่แล้ว... ในขณะที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอนนี้เอง องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียวกับที่ทรงส่งท่านมายังโลก ก็ทรงเห็นว่าถึงเวลา ‘อันสมควรแล้ว’ สำหรับท่าน


สองเดือนครึ่งหลังการเริ่มเข้าเงียบใหญ่ครั้งที่ 3 ท่านก็เริ่มมีอาการไข้ขึ้นสูงจนลุกไปไหนมาไหนไม่ได้ จนล่วงถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ท่านจึงได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคไข้รากสาดใหญ่ และเพียง 11 วันให้หลังหรือ 15 วันหลังจากล้มป่วย หรือ 10 เดือนให้หลังจากที่ท่านบวชเป็นพระสงฆ์ และเพียง 2 ปีหลังจากท่านเริ่มต้นงานอันยิ่งใหญ่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ.1735 ท่านที่ได้รับศีลเจิมผู้ป่วย จึงได้ยกถวายคืนวิญญาณให้กับพระเจ้าด้วยอายุเพียง 24 ปี ภายหลังจากกล่าวว่า “โอ้ การได้พักพิงในดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าช่างประเสริฐยิ่งนัก” นับเป็นการปิดฉากชีวิตธรรมทูตแห่งดวงพระหฤทัยผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินสเปน ผู้ที่พระเจ้ามิได้ทรงเตรียมเพียงเพื่อเป็นเครื่องมือสื่อความรักของพระองค์ให้โลกรู้ แต่ยังได้ทรงตระเตรียมไว้เพื่อแสดงให้โลกได้เห็นถึงความน่าพิศวงอัศจรรย์ของพระราชกิจของพระองค์ลงอย่างงดงาม ในท่ามกลางความศักดิ์สิทธิ์และความสำเร็จในการเริ่มต้นความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าในแผ่นดินสเปน ซึ่งยืนยันได้ด้วยการที่ในเวลาให้หลังท่านจากไป บรรดาพระสังฆราชและพระเจ้าฟิลิป ที่ 5 ได้พร้อมใจทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอให้สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ทรงอนุญาตให้มีการฉลองพระหฤทัยทั่วแผ่นดินสเปน อันเป็นสิ่งที่อยู่ในแผนปฏิการทั้ง 7 ประการสองข้อสุดท้ายที่ท่านไม่มีโอกาสได้เห็นบนโลกใบนี้

ร่างของท่านถูกฝังไว้ภายในวัดน้อยประจำวิทยาลัย สถานที่แรกที่ท่านได้ประกอบพิธีมิสซาในฐานะพระสงฆ์ และอีก 7 วันต่อมา คุณพ่อมานูเอล เด ปราโด คุณพ่ออธิการและอดีตนวกจารย์ของท่านได้เขียนจดหมายแจ้งข่าวการเสียชีวิตของท่านไปยังบ้านคณะในแคว้นกาสตีลที่ท่านอาศัยอยู่ โดยได้เน้นว่า “ความสมบูรณ์แบบของเขานั้นเหนือกว่าความสมบูรณ์โดยทั่วไป หลายปีที่ผ่านมาพระเจ้าได้ทรงเผยธรรมล้ำลึกอันเร้นลับแห่งสภาวะของพระเจ้าของพระองค์ พร้อมด้วยความศรัทธาพิเศษอันอ่อนละมุลต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแก่เขา นี่ช่างเป็นของขวัญแห่งคำภาวนาที่แสนพิเศษ” ไม่เพียงเท่านั้นคุณพ่ออธิการเจ้าคณะแขวงที่ท่านอยู่ภายใต้ปกครอง ยังมีคำสั่งให้คุณพ่ออธิการของท่านเผยแพร่ชีวประวัติสั้น ๆ ของท่านไปตามบ้านคณะภายในแขวง เพื่อให้สมาชิกได้อ่านกันตามแนวทางที่สงวนไว้สำหรับสมาชิกเยซูอิตที่มีชื่อเสียง นี่เองจึงทำให้ท่านได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับบรรดานวกะเยซูอิตรุ่นใหม่ เช่นเดียวกับที่นักบุญยาน แบร็คมันส์ได้เคยเป็นแรงบันดาลใจให้กับท่านเมื่อครั้งท่านยังเป็นนวกะโดยวิถีทางเช่นเดียวกัน

วัดอัครเทวดามีอาแอลและนักบุญฆูเลียน บายาโดลิด
ซึ่งเดิมเป็นวัดน้อยของวิทยาลัยนักบุญอิกญาซีโอที่ถูกปิดไป

ชะรอยด้วยตระหนักว่าบัดนี้ไม่เพียงแต่คณะเยซูอิตจะได้นักบุญองค์ใหม่ แต่ประเทศสเปนเองก็มีนักบุญองค์ใหม่ เป็นหน่ออ่อนจากคณะเยซูอิตผู้ใช้ชีวิตบนโลกเพียงช่วงสั้น ๆ คุณพ่อฆวน เด โลโยลา คุณพ่อวิญญาณณารักษ์ของท่าน ผู้ทราบดีถึงวิญญาณอันงดงามของท่าน จึงได้เริ่มลงมือรวบรวมจดหมายที่มีจำนวนหลายร้อยฉบับซึ่งส่วนใหญ่จ่าหน้าถึงตัวคุณพ่อเอง บันทึกส่วนตัว และข้อเขียนต่าง ๆ ที่ท่านเขียนไว้ตลอดชีวิต เพื่อนำมาเรียบเรียงเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งคุณพ่อใช้เวลาสี่ปีหลังท่านสิ้นใจ คุณพ่อจึงสามารถตีพิมพ์หนังสือชีวประวัติของท่านในชื่อ ‘ประวัติผู้น่ายกย่องและพระสงฆ์หนุ่มเทวดา คุณพ่อเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส คณะเยซูอิต’  นอกจากนี้คุณพ่อยังได้รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับชีวประวัติของท่านทั้งหมดไว้ที่วิทยาลัยนักบุญอิกญาซีโอ บิดาของชาวเรา เมืองบายาโดลิด เพื่อเป็นพยานด้านเอกสารร่วมกับพยานบุคคลทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่สำหรับบุคคลที่สงสัยใคร่รู้ถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับท่านได้มาแสวงหาคำตอบ ณ ที่แห่งนี้ แต่ในขณะที่ทุกอย่างมีพร้อมไม่ว่าจะเป็นประจักษ์พยานด้านเอกสาร หรือด้านบุคคล กลับไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวใด ๆ เพิ่มเติมหลังมรณกรรมของท่าน ที่แสดงให้เห็นถึงการเริ่มดำเนินเรื่องขอแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ

จนเวลาล่วงเลยถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1767 หรือ 32 ปีหลังมรณกรรมของท่าน พระเจ้าการ์โลส ที่ 3 ก็ทรงมีคำสั่งขับไล่คณะเยซูอิตออกไปจากดินแดนสเปน เนื่องจากสถานภาพของคณะเยซูอิตในเวลานั้นที่ไม่เพียงสามารถครอบครองทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ผ่านบทบาทของการเป็นผู้ให้การศึกษาไปพร้อม ๆ กับหน้าที่ของธรรมทูต แต่ยังมีอำนาจในการทำสิ่งต่าง ๆ จากสิทธิที่ได้จากสมเด็จพระสันตะปาปา จนดูเหมือนสมาชิกคณะดังกล่าวจะลอยตัวจากอำนาจของกษัตริย์ในดินแดนที่คณะดังกล่าวเข้าไปทำงาน รวมถึงมีฐานอำนาจที่มากในการทำสิ่งต่าง ๆ สถานภาพเช่นนี้สร้างความสั่นคลอนในเรื่องพระราชอำนาจของกษัตริย์จำนวนหนึ่งในช่วงเวลานั้น ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ พระเจ้าการ์โลส ที่ 3 จนนำไปสู่ ‘เหตุการณ์การปราบปรามคณะเยซูอิต’ (Suppression of the Society of Jesus) ที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรปฟากตะวันตกและอาณานิคมในโลกใหม่ โดยเริ่มจากโปรตุเกสเป็นแห่งแรกใน ค.ศ. 1759 ก่อนจะตามมาด้วยฝรั่งเศส สเปน มอลตา และอิตาลีบางส่วน ก่อนจะจบลงด้วยการออกข้อสรุปของพระสันตะปาปา (papal brief) ชื่อ ‘องค์พระเจ้าและพระผู้ไถ่’ (Dominus ac Redemptor) โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ ที่ 14 ใน ค.ศ. 1773 ซึ่งมีผลให้คณะเยซูอิตถูกยุบ (เหตุการณ์ครั้งนี้จบลงใน ค.ศ. 1814 เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 7 ทรงประกาศฟื้นฟูคณะเยซูอิตใหม่ เมื่ออำนาจของบรรดากษัตริย์ที่กดดันการปราบปรามคณะในช่วงก่อนหน้าที่ลดน้อยลง สมาชิกคณะเยซูอิตที่ยังคงเหลืออยู่ในบางดินแดนที่ไม่ยอมโอนอ่อนตามคำสั่งนี้ จึงร่วมกันฟื้นฟูคณะเยซูอิตขึ้นมา จนทำให้คณะเยซูอิตคงอยู่ถึงปัจจุบัน)

การขับไล่คณะเยซูอิตจากดินแดนสเปนในสมัยพระเจ้าการ์โลส ที่ 3

ผลของคำสั่งขับไล่คณะเยซูอิตของพระเจ้าการ์โลส ที่ 3 ที่ทำให้คณะเยซูอิตต้องออกจากดินแดนสเปน ส่งผลโดยตรงให้การที่จะดำเนินเรื่องของแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญไม่สามารถทำได้ด้วยสถานภาพความเป็นเยซูอิตที่ผูกติดกับตัวท่าน ไม่เพียงเท่านั้นผลของคำสั่งนี้ยังทำให้วิทยาลัยของคณะในเมืองบายาโดลิดถูกปิดตายเป็นเวลาถึง 7 ปี ก่อนจะถูกดัดแปลงให้เป็นวัดธรรมดา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อร่างของท่าน เพราะในการดัดแปลงคราวนั้นได้มีการขุดย้ายร่างของสมาชิกคณะเยซูอิตที่ฝังอยู่ภายในอดีตวัดน้อยของวิทยาลัยออกทั้งหมด เพื่อเตรียมที่ฝังใหม่สำหรับพระสงฆ์ที่จะมาดูแลที่นี่ เป็นผลให้ร่างของท่านสูญหายไปตราบถึงทุกวันนี้… แต่กระนั้นก็ตาม ถึงแม้ร่างกายอันไม่ถาวรของท่านจะหายไป พร้อมกับพยานจำนวนมาก ๆ ที่ต่างพากันล่วงหลับไปในกระแสธารของเวลาที่เคลื่อนผ่านไปภายหลังเหตุการณ์นี้ จนดูคล้ายว่าพระเจ้าจะมิประสงค์ยกนามของข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยผู้นี้ไว้เคียงสองผู้รับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่คณะเยซูอิตได้กลับมายังแผ่นดินสเปนอีกครั้งและทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทาง องค์พระผู้เป็นก็ได้ทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์มิได้ประสงค์เช่นนั้น

160 ปี หลังมรณกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ พระคุณเจ้าอันโตนีโอ มารีอา กัสกาฆาเรส พระอัครสังฆราชแห่งบายาโดลิด จึงได้เปิดกระบวนการไต่สวนเรื่องราวของท่านเพื่อขอแต่งตั้งเป็นนักบุญโดยสังฆมณฑลขึ้นในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1895 กระบวนการใช้เวลาทั้งสิ้น 4 ปีจึงสามารถปิดกระบวนการลงและส่งเอกสารชีวประวัติของท่านไปยังสมณกระทรวงพิธีกรรม ซึ่งในเวลานั้นดูแลเรื่องการสถาปนานักบุญใน ค.ศ. 1899 ต่อมาเมื่อสมณะกระทรวงมีความเห็นในเชิงบวกต่อการแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ จึงได้มีการสอบสวนเรื่องของท่านอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1914 แต่เนื่องจากระยะเวลาของการเปิดกระบวนการของท่านที่ล่วงเลยมาอย่างยาวนาน จึงทำให้ขาดพยานบุคคลที่จะมาให้เป็นพยานถึงชีวิตของท่าน ดังนั้นในกรณีของท่านจึงใช้การตรวจสอบหลักฐานทางประวัติศาสตร์แทนการสืบพยาน แต่แล้วในขณะที่กำลังดำเนินการสืบหลักฐานต่าง ๆ กระบวนการของท่านก็ต้องหยุดชะงักลงเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามกลางเมืองสเปนจนเมื่อเหตุการณ์ทั้งสองสงบลงแล้ว กระบวนการของท่านจึงได้รับการรื้อฟื้นขึ้นมาดำเนินการต่อในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1961 แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกถึง 29 ปี เอกสารไต่สวนถึงชีวิตของท่านจึงถูกส่งมายังสมณะกระทรวงว่าด้วยการสถาปนานักบุญเพื่อทำการตรวจสอบเป็นขั้นสุดท้าย จนที่สุดแล้วในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1995 นักบุญสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 จึงประกาศให้ท่านเป็นคารวียะ

คารวียะเมร์เซเดส กาเบซัส เตร์เรโร ผู้ได้รับอัศจรรย์

เมื่อขั้นตอนการพิจารณาเรื่องของท่านสำเร็จลงว่า ตัวท่านถึงพร้อมด้วยฤทธิ์กุศลเหมาะสมกับการเป็นนักบุญอย่างไม่มีข้อกังขา กรณีการหายจากโรคมะเร็งอย่างอัศจรรย์ที่ จ. ซาลามังกา ของคารวียะเมร์เซเดส กาเบซัส เตร์เรโร ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1946 ขณะเธออายุ 23 ปี ภายหลังจากที่เธอทำนพวารต่อท่านสองครั้ง ที่ได้รับการตรวจสอบเบื้องต้นจากทางสังฆมณฑลที่เกิดเหตุการณ์ในระหว่าง ค.ศ. 1947 – 1949 จึงได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาประกอบการสถาปนาเป็นบุญราศี โดยมีการตรวจสอบเพิ่มว่าการเสียชีวิตของคารวียะเมร์เซเดสที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนการพิจารณาอัศจรรย์ ภายหลังจากที่เธอมีชีวิตยืนยาวจนถึง 81 ปี และได้ก่อตั้งคณะนักบวชที่ทำงานกับคนยากไร้ในนาม ‘คณะธรรมทูตปฏิบัติการแห่งพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า’ เป็นการเสียชีวิตจากโรคอื่น

ที่สุดใน ค.ศ. 2008 สมณะกระทรวงว่าด้วยการสถาปนานักบุญจึงมีความเห็นว่าการหายจากโรคของคารีวะเมร์เซเดสเป็นอัศจรรย์อย่างแท้จริงที่เกิดผ่านคำเสนอวิงวอนของท่าน ทำให้ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2010 หรือ 274 ปี หลังพระเจ้าทรงยกวิญญาณของท่านขึ้นไปรับบำเหน็จในสวรรค์ในท่ามกลางกลิ่นหอมของความศักดิ์สิทธิ์ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 จึงได้ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี โดยมีผู้แทนพระองค์คือ พระคุณเจ้าอังเยโล อมาโต ประธานสมณะกระทรวงว่าด้วนการสถาปนานักบุญในเวลานั้นเป็นผู้แทนพระองค์ ประกอบพิธีอย่างสง่า ณ ปรำพิธีชั่วคราว ที่จตุรัสกลางเมืองบายาโดลิด ประเทศสเปน นับเป็นก้าวสำคัญอีกครั้งของกระบวนการที่ดำเนินมาอย่างทุลักทุเลเป็นเวลานาน 


เมื่อมองผ่านชีวิตสั้น ๆ ของท่านบุญราศีเบร์นาร์โด เราจะพบว่าพระเจ้าทรงมีหนทางอันน่าพิศวงที่ทำให้แผนการณ์ของพระองค์สำเร็จไปผ่านตัวท่าน โดยเฉพาะในเวลาที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ท่านทำประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จไป อย่างการหว่านเมล็ดแห่งความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระองค์ในดินแห่งสเปน พระเจ้าก็มีหนทางในการทำให้ท่านที่เป็นเพียง ‘สามเณรใหญ่’ สามารถทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่งความช่วยเหลือจากสวรรค์ หรือความช่วยเหลือจากบุคคลรอบข้าง เราจึงกล่าวได้ว่าชีวิตของบุญราศีเบร์นาร์โดคือประจักษ์พยานถึง ‘ความน่าพิศวงของพระเจ้า’ ซึ่งเกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์ดังที่หนังสือเพลงสดุดีที่ 139 ได้เขียนว่า “ความรู้ของพระองค์น่าพิศวงเกินกำลังข้าพเจ้า” (สดุดี 139 : 6) และกล่าวได้มากไปกว่านั้นอีกว่า ชีวิตสั้น ๆ เพียง 24 ปี เมื่อ 288 ปีของท่านบุญราศีเบร์นาร์โด เด โอโยส กำลังท้าทายบางสิ่งจากเราคริสตชนในวันนี้ และนี่เป็นสาส์นหนึ่งที่วันนี้ชีวิตสั้น ๆ นี้ได้ส่งถึงพวกเรา พร้อม ๆ เสียงเรียกให้เรามนุษย์กลับมาหาดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นต้นธารแห่งชีวิต

ชีวิตของบุญราศีเบร์นาร์โดกำลังบอกอะไรกับเราในวันนี้ สิ่งนี้อยู่ในถ้อยคำจากสดุดีบทที 139 เช่นกัน นั่นคือ “ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงสร้างข้าพเจ้าให้เป็นดังปาฏิหาริย์ พระราชกิจของพระองค์น่าพิศวง พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าอย่างดี โครงร่างของข้าพเจ้าไม่เป็นสิ่งลึกลับสำหรับพระองค์” (สดุดี 139 : 14 - 15) ชีวิตสั้น ๆ ของท่านได้ฝากแบบฉบับของผู้ที่ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตคริสตชนที่ไม่เพียงถูกเรียกให้มาเป็นศิษย์ติดตามพระคริสตเจ้า แต่ยังถูกเรียกให้เป็น ‘เครื่องมือสื่อรัก’ ของพระเจ้าและเป็น ‘ปาฏิหาริย์’ ไปยังเพื่อนร่วมโลก ดั่งถ้อยสดุดีส่วนแรก “ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงสร้างข้าพเจ้าให้เป็นดังปาฏิหาริย์” ซึ่งตระหนักตามข้อความสดุดีต่อมาว่า “พระราชกิจของพระองค์น่าพิศวง พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าอย่างดี โครงร่างของข้าพเจ้าไม่เป็นสิ่งลึกลับสำหรับพระองค์” คือตระหนักถึงความพิศวงของพระเจ้าที่ทรงทราบหนทางที่เหมาะสมกับแต่ละชีวิตในการเป็นเครื่องมือสื่อรักของพระองค์ การตระหนักเช่นนี้เองทำให้ท่านค้นพบวิถีทางในการดำเนินชีวิตคริสตชนที่มีคุณค่า คือ ค้นพบว่าคริสตชนไม่เพียงถูกเรียกให้ติดตามพระคริสตเจ้า แต่ยังถูกเรียกให้ดำรงตนเป็น ‘สะพานนำรักพระองค์ไป’ สู่คนรอบข้าง อันคือการวางชีวิตด้านหนึ่งสนิทชิดกับพระเจ้าด้วยความเชื่อและวางใจ ในขณะที่วางปลายชีวิตอีกด้านไปยังผู้คน เพื่อให้ความรักจากดวงพระหฤทัยเคลื่อนผ่านไปยังหัวใจดวงอื่น ๆ ผ่านตัวของเราด้วยหนทางอันพิศวงของพระองค์ การค้นพบเช่นนี้เองทำให้ท่านที่เป็นเพียงสามเณรใหญ่ธรรมดาสามารถทำให้ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยเป็นที่รู้จักในดินแดนสเปนในเวลาเพียงสามปีบนโลก และเป็นสิ่งที่ชีวิตสั้น ๆ เมื่อเกือบสามร้อยปีได้ท้าทายและเรียกร้องเราคริสตชนให้เลียนแบบ ดังนั้นสุดท้ายนี้ขอให้ชีวิตสั้น ๆ ของท่านบุญราศีได้รุนเร้าจิตใจเราให้ตระหนักถึงความพิศวงของพระเจ้าในการใช้เราแต่ละคนเป็นเครื่องมือสื่อรักของพระองค์ เพื่อเราจะได้วางใจและวางตัวเป็นสะพานนำรักพระองค์ไปในแบบที่ตะลันต์เรามีในโลกที่พระองค์ทรงส่งเรามา อาแมน

รูทราย, เทเรซีโอของพระเยซู
วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2024
วันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์

“พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ทรงเมตตาเทอญ”

“ข้าแต่ท่านบุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา
 ช่วยวิงวอนเทอญ”

ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนแรก

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา
Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña
วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน

ในโอกาสที่วันฉลองพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าใกล้จะเวียนมาถึงในปีนี้ ผู้เขียนได้นึกย้อนไปถึงบทความเก่าชิ้นหนึ่งที่เคยเขียนไว้ด้วยปัญญาอันน้อยนิด ซึ่งเกี่ยวข้องกับวันฉลองดังกล่าว ที่ผู้เขียนต้องกล่าวยอมรับว่าได้เริ่มลงมือปัดฝุ่นบทความชิ้นนั้นเสียใหม่มาตั้งแต่ก่อนวันฉลองพระหฤทัยฯ ปีที่แล้ว เพื่อจะลงบทความที่ปรับปรุงใหม่ให้ทันในช่วงนั้น แต่ด้วยจังหวะต่าง ๆ กว่าผู้เขียนจะสามารถเรียบเรียงปัดฝุ่นบทความนี้ได้สำเร็จลง ก็ใช้เวลาลากยาวมาจนใกล้ถึงวันฉลองพระหฤทัยในปีนี้ และเมื่อพิจารณาบทความที่ความตั้งใจแรกสุดเป็นเพียงการเกลาคำตรวจทานคำผิดเสียใหม่ กลับมีเนื้อหาที่เพิ่มขึ้นจนมีความยาวมากกว่าบทความเดิมถึงเท่าตัว ผู้เขียนจึงตัดสินใจลงเป็นบทความใหม่ และขอลบบทความเดิมที่ชื่อว่า “‘เบร์นาโด ฟรานซิสโก’ นักสร้างสะพานและธรรมทูตพระหฤทัย” ซึ่งเผยแพร่ครั้งแรกในวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 2013 ไป เพื่อให้ผู้อ่านได้อ่านฉบับที่ดีที่สุดที่ปัญญาของผู้เขียนในเวลานี้จะทำได้ - รูทราย เทเรซีโอของพระเยซู

21 ปีภายหลังมรณกรรมของนักบุญมาร์การิตา มารีอา อาลาก๊อก ธรรมทูตผู้ยิ่งใหญ่แห่งดวงพระฤทัยของพระเยซูเจ้า หรือ 29 ปีหลังมรณกรรมของนักบุญโกล้ด เดอ ลา โกลอมบีแอร์ ผู้ได้รับเกียรติว่าเป็น ‘อัครสาวกแห่งดวงพระหฤทัย’ องค์พระผู้เป็นทรงผู้ทรงประสงค์จะประกาศถึงความรักความเมตตาอันไม่มีขอบเขตและไม่มีแบ่งแยก ผ่านธรรมล้ำลึกแห่งดวงพระหฤทัยที่เผยออกให้มนุษย์ทุกคนและลุกร้อนไปด้วยเปลวไฟแห่งความรัก ก็ทรงส่งธรรมทูตผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้นในโลกเพื่อประกาศถึงความจริงในเรื่องนี้อีกครั้งในแผ่นดินคริสตังที่สำคัญอีกหนึ่งที่อย่าง ‘สเปน’ โดยพระองค์ได้ทรงเลือกสรรครอบครัวคริสตังใจศรัทธาหนึ่งซึ่งมีชายผู้เป็นสามีมีตำแหน่งเป็นถึงเลขาธิการในสภาเมืองโตรเรโลบานตอน เมืองที่ตั้งอยู่ในการปกครอง จ. บายาโดลิด และสังฆมณฑลปาเลนเซีย แคว้นกัสติล อี เลออน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสเปนในปัจจุบัน ให้เป็นที่กำเนิดของธรรมทูตผู้นี้ ผู้ที่พระองค์ได้ทรงกำหนดให้ทำพันธกิจเดียวกันกับเจ้าสาวและผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อทั้งสองคนของพระองค์ในประเทศฝรั่งเศสอีกครั้งที่ประเทศสเปน

บ้านที่บุญราศีเบร์นาโดเกิด ซึ่งได้รับการบูรณะและทำพิธีเปิด
ใน ค.ศ. 2021 ที่ผ่านมา

เรื่องราวในวันนี้ของเราเริ่มขึ้นในวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1711 เมื่อนางดอญา ฟรานซิสกา เด เซญา ภรรยาของนายดอน มานูเอล เด โอโยซ เลขาธิการสภาเมืองโตรเรโลบานตอนให้กำเนิดทารกเพศชาย ซึ่งในวันที่ 16 กันยายน ปีเดียวกัน ทั้งสองได้พาไปรับศีลล้างบาปที่วัดพระนางมารีย์ โตรเรโลบาตอน โดยทั้งสองได้ตั้งชื่อให้ทารกน้อยตามนามของนักบุญที่ฉลองในวันก่อนหน้าที่หนูน้อยจะเกิด คือ นักบุญเบอร์นาร์ด แห่ง แคลร์แว็กซ์ (ฉลองวันที่ 20 สิงหาคม) นักพรตผู้ยิ่งใหญ่และนักปราชญ์ของพระศาสนจักรชาวฝรั่งเศส ส่วนพระสงฆ์ผู้ทำพิธีโปรดศีลล้างบาปก็ประสงค์ให้ทารกผู้นี้ได้รับความคุ้มครองจากท่านนักบุญฟรังซิส เซเวียร์ พระสงฆ์ธรรมทูตเยซูอิตชาวสเปนผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีรูปแกะสลักที่วัดและเป็นที่ศรัทธากันมาในเขตวัดนี้ จึงอยากให้เพิ่มนามของนักบุญองค์ดังกล่าวไป ดังนั้นหนูน้อยที่พึ่งลืมตาดูโลกได้ 26 วันจึงได้รับนามของสองนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ว่า ‘เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก’ ด้วยประการละฉะนี้

เมื่อได้รับศีลล้างบาปแล้วทั้งนายมานูเอลและนางฟรานซิสกาก็ได้เฝ้าเลี้ยงดูบุตรชายคนนี้เป็นอย่างดี เพราะหนูน้อยมีสุขภาพที่ไม่สู้จะแข็งแรงเท่าไรนัก จากชีวประวัติของท่านที่เขียนโดยคุณพ่อฆวน เด โลโยลา คุณพ่อวิญญาณณารักษ์ของท่านได้บรรยายว่า “นางฟรังซิสกาได้คอยดูแลและเอาใจใส่เขาเป็นพิเศษ นางเล่าว่าในบางคราวนางก็เคร่งครัดมากแม้ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะหากนางสูญเสียบุตรชายคนนี้ไป สวรรค์ก็เผยให้นางทราบว่านางได้พรากนักบุญที่ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งไปจากโลก” นอกจากทั้งสองจะเอาใจใส่ในการดูแล ด.ช. เบร์นาร์โด ให้เติบโตในชีวิตฝ่ายกายอย่างดีแล้ว ในชีวิตฝ่ายจิตเองทั้งสองก็ได้เอาใจใส่อบรมให้บุตรชายเติบโตเป็นคริสตังที่ดีเช่นกัน เราอาจพอจะจินตนาการว่าทั้งสองอบรมอะไรได้บ้างจากข้อความบางตอนของพินัยกรรมของนายมานูเอลที่ว่า “ข้าพเจ้าขอให้แนะนำบรรดาลูก ๆ ของข้าพเจ้าดังนี้ ขอให้พวกเขาจงยำเกรงพระเจ้าและมโนธรรมของตนเอง อีกทั้งรับผิดชอบงานและหน้าที่ได้รับมอบหมายให้จงดี เพราะด้วยวิถีทางนี้ พวกเขาจะได้รับความบรรเทาใจเป็นอันมาก และมากยิ่งไปกว่านั้นที่พวกเขาจะได้ ก็คือความยินดีในพระเมตตาของพระองค์ผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงชี้นำและส่องสว่างทางให้พวกเขาในการทำหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์และดำรงอยู่ในพระองค์จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ขอให้พวกเขาจงรักษาความนอบน้อม ความยำเกรง และความเคารพต่อมารดา ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอาของพวกเขา รวมถึงคนอื่น ๆ ด้วย เพื่อว่าพวกเขาจะเป็นที่รักของทุกคนและได้รับการพักผ่อนตลอดนิรันดร”

ภาพเขียนเมืองเมดินา เดล กัมโปในช่วงกลางศตวรรษที่ 19

วันเวลาล่วงผ่านมาได้ 9 ปี ทั้งสองก็ได้ให้ ด.ช. เบร์นาร์โด รับศีลกำลังจาก ฯพณฯ ฟรานซิสโก เด โอชัว ในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1720 และในปีต่อมาทั้งสองก็ได้ตัดสินใจส่ง ด.ช. เบร์นาร์โดไปอยู่กับคุณน้าที่เมืองเมดินา เดล กัมโป จ. บายาโดลิด ซึ่งเป็นบ้านเกิดของนางฟรานซิสกาและอยู่ลงไปทางตอนใต้เมืองโตรเรโลบานตอนประมาณ 40 กิโลเมตร เพื่อเข้าเรียนภาษาละตินในโรงเรียนของคณะเยซูอิตในเมืองดังกล่าวอยู่หนึ่งปี (ค.ศ. 1721 - ค.ศ. 1722) ก่อนที่ทั้งสองจะเปลี่ยนใจพาท่านย้ายไปเรียนที่โรงเรียนของคณะเยซูอิตที่เมืองวีลลาการ์เซีย เด กัมโปส จ. บายาโดลิด ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองโตรเรโลบานตอนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 20 กิโลเมตร ตั้งแต่ ค.ศ. 1722 เป็นต้นมาแทน เราอาจกล่าวได้ว่าการตัดสินใจของสามีภรรยาที่ส่ง ด.ช. เบร์นาโดเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดำเนินการโดยคณะเยซูอิตแห่งนี้ ส่งผลต่อความคิดอ่านถึงอนาคตของบุตรชายคนนี้อย่างไม่อาจจะปฏิเสธไม่ได้ เพราะผ่านระเบียบปฏิบัติของโรงเรียนที่ไม่เพียงมุ่งปลูกฝังความรู้ทางวิชาการ แต่ยังรวมถึงความเชื่อในพระศาสนจักร ได้ค่อย ๆ หล่อหลอมความคิดของหนูน้อยให้มองเห็นกระแสเรียกที่พระเจ้าได้ทรงเรียก จนเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่นำไปสู่ ‘การตัดสินใจสำคัญ’ ของท่าน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับนักบุญโกล้ด เดอ ลา โกลอมบีแอร์ในที่สุด

ตั้งแต่เล็ก ๆ นอกจากจะเป็นเด็กสุขภาพไม่ค่อยดี ท่านยังเป็นคนตัวเล็ก ค่อนข้างผอมและสูงไม่มาก แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้ท่านกลายเป็นเด็กเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นไปเสีย เพราะถึงแม้ร่างกายของท่านจะอ่อนแอ แต่จิตใจและวิญญาณของท่านนั้นกลับแข็งแรงและสดใสอยู่เสมอ ท่านจึงเป็นเด็กที่ชอบเข้าสังคม ที่โดดเด่นจากเพื่อน ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันด้วยความสดใส ความกล้าได้กล้าเสีย ความรู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย และความศรัทธาต่อพระเป็นเจ้า ท่านตรงเวลาเสมอในเวลาที่ต้องไปแก้บาปและรับศีลมหาสนิทซึ่งจัดขึ้นทุกเดือนตามระเบียบของโรงเรียน ท่านเป็นมิตรและมีจิตใจโอบอ้อมอารีโดยเนื้อแท้ รวมถึงเป็นเด็กหัวดีอีกคนหนึ่ง จึงทำให้เมื่อท่านจบการศึกษาในโรงเรียนมัธยมที่วีลลาการ์เซีย เด กัมโปส ใน ค.ศ. 1726 ท่านทั้งสามารถพูดและเขียนภาษาละตินได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งแน่นอนด้วยความรู้ความสามารถและมันสมองเช่นนี้ หากท่านตัดสินใจศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นไป ท่านก็คงได้มีโอกาสในการทำงานในตำแหน่งที่ดี มีเกียรติยศ และทรัพย์สินเป็นอันมาก แต่ด้วยประสบการณ์ภายในจากการที่โรงเรียนที่วีลลาการ์เซีย เด กัมโปส ตั้งอยู่ไม่ไกลจากนวกสถานของคณะเยซูอิต เป็นเหตุให้ท่านได้เห็นบรรดานวกะของคณะเยซูอิตมาโดยตลอด ก็ทำให้ท่านตัดสินใจหันหลังให้อนาคตในทางโลก และมุ่งติดตามรับใช้องค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระสงฆ์แทน

วัดประจำนวกสถานคณะเยซูอิตที่วีลลาการ์เซีย เด กัมโปส 
สิ่งปลูกสร้างเดียวที่ยังเหลืออยู่ของนวกสถานที่บุญราศีเบร์นาโด
เข้ารับการฝึกอบรมในฐานะนวกะคณะ

เวลานั้นท่านในวัย 14 ปีจึงได้นำเรื่องนี้ไปแจ้งกับครอบครัว ฝั่งนางฟรานซิสกาที่แม้จะพึ่งเสียผู้นำครอบครัวอย่างนายมานูเอลไปตอนท่านอายุได้ 13 ปี นางก็มิได้ขัดขวางความประสงค์นี้ และยินดีที่จะยกถวายบุตรชายที่เฝ้าดูแลด้วยความใกล้ชิดให้เป็นสิทธิ์ขาดของพระเจ้าไป แต่เนื่องจากอายุของท่านยังไม่ถึงเกณฑ์ของคณะเยซูอิตในเวลานั้น ที่กำหนดให้ผู้สมัครจะต้องมีอายุ 15 ปีขึ้นไป ผู้ใหญ่ของคณะเยซูอิตที่วีลลาการ์เซีย เด กัมโปสจึงขอให้ท่านรอไปก่อน แต่ “จงดูพระราชกิจของพระเจ้า การกระทำของพระองค์ต่อมนุษย์ช่างน่าพิศวง” (สดุดี 66 : 5) เพราะเพียงหนึ่งเดือนก่อนท่านจะอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ทางผู้ใหญ่ของคณะเยซูอิตก็ได้อนุญาตให้ท่านเข้านวกสถานของคณะได้ ดังนั้นในวันที่ วันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1726 ท่านจึงเข้าเป็นนวกะของคณะเยซูอิตเพื่อเตรียมตัวเป็นพระสงฆ์ของคณะต่อไปในอนาคต เช่นเดียวกับนามนักบุญองค์อุปถัมภ์ของท่านอย่างท่านนักบุญฟรังซิส เซเวียร์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะบรรลุถึงความครบครันบริบูรณ์ในพระเจ้า

ในฐานะนวกะของคณะเยซูอิต ท่านได้รับการอบรมตามจิตตารมณ์ที่นักบุญอิกญาซีโอได้วางเอาไว้ และถูกทดสอบกระแสเรียกว่าเหมาะสมกับคณะนี้เพียงไหน ซึ่งท่านก็สามารถผ่านไปได้และเป็นที่ยอมรับในหมู่นวกะด้วยกันรวมถึงในหมู่นวกจารย์ว่าเป็นผู้ถือตามกฏคณะได้อย่างครบถ้วน เวลาที่มีการจัด ‘เวลาฤทธิ์กุศล’ (Charity Classes) ซึ่งนวกะจะได้ฝึกที่จะถ่อมตนผ่านการถูกวิจารย์ความประพฤติของพวกเขาอยู่เป็นระยะ ๆ เมื่อถึงตาของท่านที่จะต้องถูกวิจารย์ ก็ปรากฏว่าไม่มีเพื่อนร่วมนวกสถานคนใดจะสามารถหาเรื่องมาตำหนิติเตือนท่านได้ เพราะท่านไม่เคยแม้แต่จะละเลยกฏข้อใดของหมู่คณะเลย แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ไม่มี เอาเข้าจริงเราอาจกล่าวได้ว่า ท่านเป็นนวกะที่โตเกินวัยและเป็นแบบอย่างของนวกะที่ดีเลยทีเดียว และเป็นด้วยเหตุผลเช่นนี้เองที่ทำให้ในปีต่อมา คือ ค.ศ. 1727 แม้จะมีอายุน้อยกว่าเพื่อนหลาย ๆ คน ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็น ‘ผู้ช่วยนวกจารย์’ (beadle) ที่มีหน้าที่เป็นคนกลางคอยรับคำสั่งจากนวกจารย์มากระจายให้บรรดาเพื่อน ๆ นวกะได้ปฏิบัติโดยทั่วกัน ท่านจึงได้รับเป็นโอกาสในการฝึกจัดการกับภาระความรับผิดชอบต่าง ๆ ที่รับมอบหมายมา รวมถึงวิธีรักษาที่ทางของตนระหว่างผู้ใหญ่และผู้น้อย อันจะเป็นประโยชน์ต่อแผนการณ์ในอนาคตที่จะพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับท่าน และในหน้าที่นี้ด้วยอายุเพียง 15 ปีท่านก็สามารถปฏิบัติหน้าที่นี้ให้เป็นที่พอใจทั้งหมู่นวกจารย์และเพื่อน ๆ นวกะ

นักบุญยาน แบร็คมันส์

ท่านได้เลือกเอา ‘ยาน แบร็คมันส์’ สามเณรคณะเยซูอิตชาวเบลเยี่ยมผู้เจริญชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1599 - ค.ศ. 1621 หรือ 100 ปีที่แล้ว เป็นแบบฉบับในการเจริญชีวิตและเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์อีกองค์ของท่านสำหรับการดำเนินชีวิตในคณะเยซูอิต โดยในเวลานั้นประวัติของยาน แบร็คมันส์ยังไม่มีการเผยแพร่อย่างเป็นทางการ มีแต่ฉบับที่เขียนและคัดลอกส่งต่อกันอ่านภายในนวกสถานวีลลาการ์เซียอย่างกระตือรือร้น (พระศาสนจักรสถาปนายาน แบร็คมันส์เป็นบุญราศี ใน ค.ศ. 1865 และเป็นนักบุญใน ค.ศ. 1888) จึงพอเข้าใจได้ว่าท่านได้รับทราบประวัติของอนาคตนักบุญองค์นี้จากชีวประวัติฉบับที่คัดลอกส่งต่อกันอ่าน ท่านมีความศรัทธาต่อสมาชิกเยซูอิตท่านนี้มาก จนท่านได้ขอรูปของสมาชิกผู้นี้จากคุณพ่อมานูเอล เด ปราโด นวกจารย์ของท่านมาเสริมด้วยกระดาษหนา และแต้มสีแดงลงไปบนรูปเพื่อให้ภาพของยาน แบร็คมันส์ชัดขึ้น ก่อนจะนำไปตั้งไว้ที่โต๊ะในห้องพักของตน เพื่อเป็นเครื่องกระตุ้นเตือนใจในการเลือนแบบชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ของยาน และด้วยความศรัทธานี้เองคุณพ่อฆวน เด โลโยลาจึงได้เขียนในชีวประวัติของท่านว่า ท่านเป็น “ผู้เอาอย่างยาน แบร็คมันส์โดยสมบูรณ์ และได้กลายมาเป็นแบบฉบับที่ใกล้ตัวเราและควรค่าแก่การเอาอย่าง”

ในเวลาของการอบรมเป็นนวกะนี้เอง พระเจ้าผู้ทรงเตรียมท่านไว้เพื่อสานงานที่เริ่มด้วยนักบุญมาร์การิตา มารีอา อาลาก๊อก และนักบุญโกล้ด เดอ ลา โกลอมบีแอร์ในประเทศฝรั่งเศส ก็ทรงได้นำท่านสู่ ‘ชีวิตแบบรหัสนิก’ หรือ ‘ชีวิตเหนือธรรมชาติ’ ซึ่งด้วยลักษณะสำคัญประการหนึ่งของท่านในระหว่างการเป็นนวกะคณะเยซูอิต คือ การเปิดเผยทุกสิ่งในวิญญาณต่อพระเจ้าและต่อพระสงฆ์ผู้ดูแลวิญญาณของท่านอย่างซื่อตรง สิ่งนี้เป็นไปตามข้อแนะนำของนักบุญอิกญาซีโอ และความมุ่งมั่นของท่านที่จะปกป้องวิญญาณให้พ้นจากการล่อลวงของจิตชั่วร้าย ท่านจึงอธิบายสภาพวิญญาณของตนอย่างตรงไปตรงมาและละเอียดละออให้กับพวกท่านเหล่านั้นได้ช่วยชี้ทางในการรับมือ ไม่ว่าจะเป็นการถูกทดลองและการมีชัยชนะเหนือการทดลอง หรือความทุกข์ทรมานและความยินดีในวิญญาณ โดยมิได้ปิดบังสิ่งใดที่ได้ประสบพบเจอ เว้นเสียเรื่องบางประการที่ท่านนิยามว่าเป็น “ความลับอันน่ารักยิ่งที่ทรงไขแสดงให้กับลูก แต่ลูกไม่อาจบรรยายหรืออธิบายได้” ท่านให้ความสำคัญการปฏิบัติดังนี้มาก ยิ่งในช่วงที่ท่านพบเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอยู่บ่อย ๆ ท่านจะไปพบคุณพ่อที่ดูแลวิญญาณไม่เพียงทุกวัน แต่หลายครั้งต่อวัน เพื่อแจกแจงความคิด อารมณ์ความรู้สึก และความกังวลในใจของท่านให้คุณพ่อได้ทราบ เพราะท่านมีความถ่อมใจและระลึกเสมอว่า ตัวเองไม่ได้มีประสบการณ์ต่อเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นท่านจึงเกรงตัวเองจะหลงเข้าใจผิดว่าบรรดาศัตรูวิญญาณแห่งความมืดเป็นทูตสวรรค์แห่งความสว่าง


นี่เองทำให้นวกจารย์ผู้ดูแลวิญญาณของท่านสามารถมองเห็นวิญญาณของท่านได้อย่างทะลุปุโปร่งแทบจะทุกเวลา ดุจเป็นหนังสือที่เปิดไว้ตลอดเวลา นวกจารย์ผู้หนึ่งจึงได้ให้ ‘หมายสำคัญ 6 ประการ’ เพื่อให้ท่านให้ใช้ตรวจสอบประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่พบว่ามีต้นทางมาจากสวรรค์หรือไม่ ประกอบด้วย ประการที่ 1 ไม่นำไปสู่การหลงมัวเมาในสิ่งสร้าง ประการที่ 2 นำไปสู่ความรังเกียจเดียจฉันท์บาป ประการที่ 3 นำไปสู่การนบนอบเชื่อฟัง ประการที่ 4 นำไปสู่ความปรารถนาที่จะเป็นผู้ต่ำต้อย ประการที่ 5 นำไปสู่ความร้อนรนที่เก็บเกี่ยววิญญาณ และประการที่ 6 นำไปสู่ความปรารถนาที่จะรับความทุกข์ยากเพื่อความรักบนไม้กางเขน ดังนั้นด้วยวัตรปฏิบัติที่ได้กล่าวไปแล้ว เมื่อผนวกกับหมายสำคัญที่นวกจารย์ได้สอนท่าน ทำให้เมื่อท่านพบกับประสบการณ์เหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะการมีภาพนิมิต ท่านจึงสามารถรับมือกับปรากฏการณ์เหล่านี้ได้อย่างดี ไม่ใช่ด้วยความเดียงสาไม่รู้ความ แต่ด้วยความรอบคอบถี่ถ้วนระแวดระวังที่จะตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา และเมื่อตระหนักแยกแยะได้ว่าสิ่งที่พบเป็นความจริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัย ท่านก็มิได้คิดลำพองใจว่าตนนั้นประเสริฐกว่าคนอื่น ๆ ตรงกันข้ามท่านกลับยิ่งระมัดระวังตัวในการปฏิบัติตามพระหรรษทานที่ได้รับนี้มากยิ่งขึ้น

ในเวลาเดียวกันกับที่ท่านเปิดเผยประสบการณ์เหนือธรรมชาติโดยไม่ปิดบังกับผู้ใหญ่ที่ดูแลวิญญาณของท่าน ท่านก็ได้เก็บซ่อนสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้พ้นจากสายตาเพื่อน ๆ ของท่าน กระนั้นก็ตามเพื่อนของท่านก็ได้แลเห็นประกายบนใบหน้าของท่านและสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากความรักของท่าน รวมถึงสังเกตุเห็นอาการชอบปลีกตัวเป็นครั้งคราวของท่าน แต่ทุกคนก็แทบจะไม่มีข้อสงสัยถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ท่านประสบอยู่ภายในเลย เพราะภายนอกท่านได้เจริญชีวิตหมู่คณะอย่างเรียบง่าย ปฏิบัติตัวเหมือนคนอื่น ๆ มุ่งยึดถือธรรมนูญของคณะอย่างเถรตรงดุจเดียวกับนักบุญยาน แบร็คมันส์ เป็นความจริงที่ว่าพระหรรษทานพิเศษที่พระเจ้าประทานให้ท่านในระหว่างการภาวนาไม่เคยทำให้ท่านเสียการเรียน รวมถึงมีเพียงไม่กี่คนที่ทราบว่าท่านได้รับพระหรรษทานพิเศษ ดังนั้นภาพลักษณ์ภายนอกของท่านในเวลาต่อ ๆ มา จึงคือภาพลักษณ์ของนักศึกษาจากคณะเยซูอิต ผู้สัตย์ซื่อทั้งในเวลาเรียนและเวลาฝึกจิตภาวนา แม้ในเวลาต่อมาพระเจ้าจะทรงเผยภารกิจอันยิ่งใหญ่ให้ท่านทราบ ท่านก็มิได้ทิ้งการเรียน เพราะมีแบบฉบับในการแสวงหาความบริบูรณ์ในทุกสิ่งเหมือนบรรดาโหราจารย์ที่แสวงหาความรู้และพระกุมาร

วัดนักบุญเปโตรและเปาโลของวิทยาลัยนักบุญเปโตรและเปาโล
เมืองเมดินา เดล กัมโป ปัจจุบันภายหลังเหตุการณ์การปราบปราม
คณะเยซูอิต วัดแห่งนี้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดนักบุญยากอบ องค์ใหญ่

ใน ค.ศ. 1728 เมื่ออบรมเป็นนวกะคณะเป็นเวลาสองปี ขณะท่านอายุได้ 17 ปี ท่านจึงได้เข้าพิธีปฏิญาณครั้งแรกตนตามระเบียบของคณะ ท่านบันทึกว่า “เมื่อลูกเริ่มอ่านคำปฏิญาณตน ลูกได้เห็นพระเยซูคริสตเจ้าในศีลมหาสนิท พระองค์ประทับสดับฟังลูกอย่างอ่อนโยน เหมือนตุลาการบนบัลลังค์ผู้พิพากษา ในหนแรกลูกเหมือนสติหลุดไป เมื่อได้เห็นจอมกษัตริย์ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกให้คนอื่น ๆ เห็นมากนัก ลูกได้เห็นพระองค์ทรงพระดำเนินเข้ามาในปากที่เปี่ยมความยินดีของลูก เมื่อได้มองเห็นพระองค์เสด็จมาและประทับบนลิ้นของลูกเช่นนี้ ก็บันดาลให้ความรักที่ยำเกรงและความยำเกรงด้วยความรักเกิดทวีมากขึ้น และเมื่อพระวรกายของพระองค์อันตรธานหายไป ลูกได้ยินองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสพระวาจาที่เปี่ยมด้วยปรีชาญาณว่า ‘แต่นี้ไป เราจะชิดสนิทกับลูกมากยิ่งขึ้น เพราะความรักที่เรามีให้ลูก” และเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปฏิญาณตนแล้ว ในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันทางคณะจึงได้ส่งท่านเข้าศึกษาต่อด้านปรัชญาที่วิทยานักบุญเปโตรและเปาโล เมืองเมดินา เดล กัมโป เพื่อเตรียมบวชเป็นพระสงฆ์ต่อไป

ที่นี่ในฐานะสามเณรใหญ่ ท่านมีผลการเรียนที่ดีและได้เฉิดฉายออกมาจากหมู่สามเณรด้วยกัน ท่านมุมานะไม่เพียงในการพัฒนาความรู้ที่จำเป็นในชั้นเรียน แต่ยังในการพัฒนาวิญญาณให้เติบโตอยู่ตลอด ท่านร้อนรนที่จะยกจิตใจและวิญญาณของท่านให้สูงขึ้นไปหาสวรรค์ด้วยการอ่านหนังสือประเภทต่าง ๆ และการไตร่ตรอง ท่านมีสำเนาพระคัมภีร์อยู่ที่โต๊ะตลอดเวลา และไม่เคยปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันหนึ่งโดยไม่ได้คุกเข่าลงอ่านพระคัมภีร์สักบท และนอกจากพระคัมภัร์แล้ว ท่านยังอ่านหนังสือของนักบุญอิกญาซีโอ ผู้ก่อตั้งคณะ นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ และนักบุญเทเรซา แห่ง อาบิลา รวมถึงงานเขียนของนักเขียนที่มีชื่อเสียงในเวลานั้น และชีวประวัติของนักบุญองค์ต่าง ๆ ดังแสดงให้เห็นในงานเขียนจำนวนมากของท่านมีการกล่าวอ้างถึงหนังสือเหล่านี้ อาทิ จดหมายให้คำแนะนำของท่านที่เขียนถึงอิกญาซีโอ เอนริโก โอโซริโอ ที่ถูกค้นพบใน ค.ศ. 1948 ซึ่งเขียนขึ้นในขณะท่านอายุได้ 21 ปี จดหมายฉบับนี้นอกจากแสดงบุคลิกสุขุมลุ่มลึกไปพร้อม ๆ กับความเป็นกันเองและความถ่อมใจของท่าน ยังปรากฏการอ้างข้อพระคัมภีร์ไม่ต่ำกว่า 160 จุดจากพระคัมภีร์พันธสัญญาเก่าและพันธสัญญาใหม่จำนวน 32 เล่ม ดังนั้นจึงอาจกล่าวสรุปได้ว่า ด้วยวัตรปฏิบัติเช่นนี้ คือ การอ่านและไตร่ตรอง ได้มีส่วนทำให้วิญญาณของท่านล้ำหน้าเพื่อน ๆ ในรุ่นเดียวกัน จนเป็นที่ประจักษ์แก่คุณพ่ออธิการนวกสถานและคุณพ่อวิญญาณารักษ์ของท่าน ทั้งสองจึงลงความเห็นความเห็นและมอบหมายให้ท่านคอยสอนเรื่องชีวิตฝ่ายจิตและการทำพลีกรรมแก่บรรดาเพื่อนนวกะรุ่นเยาว์ แม้ในเวลานั้นท่านจะยังไม่ได้รับศีลบวชก็ตาม


ด้วยความเฉลียวฉลาดของท่านที่มีมาเป็นทุนเดิม เมื่อรวมกับความขยันหาความรู้ของท่าน ทำให้เมื่อมีการถกปัญหาทางวิชาการ ซึ่งถูกกำหนดให้มีทุกสัปดาห์ขึ้น ท่านจะขึ้นถกด้วยท่าทีมั่นใจ รวมถึงสามารถเก็บอารมณ์ที่พลุ่งพล่านภายในและถกอย่างใจเย็นได้ แม้ตามจริงแล้วท่านจะเป็นคนอารมณ์ร้อนคนหนึ่ง นี่เองทำให้ในช่วงปีท้าย ๆ ของการศึกษาด้านปรัชญา ท่านจึงได้รับการคัดเลือกให้ขึ้นโต้วาทีกับสถานศึกษาแห่งอื่น ๆ ซึ่งแน่นอนว่าท่านก็สามารถทำหน้าที่นี้ได้อย่างดีเยี่ยม คำบรรยายถึงชีวิตในช่วงชั้นปีปรัชญาของท่านที่กล่าวมานี้มิได้เกินเลยไป เพราะในเอกสารรายงานที่ถูกส่งไปยังกรุงโรมใน ค.ศ. 1730 ก็ได้ให้ข้อมูลถึงท่านในทำนองเดียว โดยในเอกสารชิ้นนี้ได้ระบุว่า ท่านเป็นสามเณรที่มีสุขภาพแข็งแรง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด การตัดสินเฉียบขาด และความรอบคอบที่เฉียบแหลมมากจนน่าชื่นชมยิ่งในหมู่เยาวชนรุ่นเดียวกัน มีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะความยากลำบาก มีความสามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วยความจริงใจ มีคุณสมบัติสำหรับทุกหน้าที่ โดยเฉพาะการเทศนา

“แสงสว่างน่าชื่นใจ … แต่เขาจงระลึกว่าจะต้องมีวันมืดหลายวันด้วย” (ปรีชาญาณ 11 : 7 - 8) และในเวลาเดียวกันกับที่วิทยาลัยนักบุญเปโตรและเปาโลได้เตรียมพร้อมวิชาความรู้ด้านปรัชญาให้กับบราเดอร์เบร์นาร์โดเพื่อเป็นพระสงฆ์ที่ดี องค์พระผู้เป็นเจ้าเองก็ทรงเตรียมวิญญาณของบราเดอร์ให้พร้อมเป็น ‘ธรรมทูต’ ผู้จะสานงานที่พระองค์ได้ทรงเริ่มไว้เมื่อหลายสิบปีก่อนที่ฝรั่งเศสให้เกิดผลในแผ่นดินสเปนอีกขั้น โดยทรงปล่อยให้ท่านได้พบ ‘คืนมืดของวิญญาณ’ ที่กินระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1728 ไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1729 ซึ่งตรงกับวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ เป็นเวลาร่วมห้าเดือนที่วิญญาณของท่านประสบกับการชำระด้วยความทุกข์ยากภายใน เวลานั้นวิญญาณของท่านมองไม่เห็นพระเจ้าผู้ทรงพระเมตตา แต่กลับมองเห็นพระเจ้าเป็นพระตุลาการ ผู้ไม่สบพระทัยในตัวท่าน วิญญาณของท่านจึงรู้สึกสิ้นหวังเป็นอันมาก


ท่านพบว่าไม่ว่าจะเป็นการรำพึงภาวนา การร่วมมิสซา การรับศีลมหาสนิท หรือการทำพลีกรรมแทนที่จะเป็นเครื่องบรรเทาความทุกข์ในวิญญาณกลับเป็นเครื่องทวีความทุกข์ในวิญญาณของท่านให้แทน ไม่เพียงเท่านั้นพระหรรษทานพิเศษที่ท่านเคยได้รับมาก่อนหน้านี้ ซึ่งเคยเป็นความชื่นชมชุบชูวิญญาณก็แปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์แสนสาหัส เพราะสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นเครื่องเยาะเย้ยความน่าสมเพศในวิญญาณของท่านไปสิ้น ท่านไม่พบความบรรเทาใจที่ไหนเลยแม้แต่ในหมู่เพื่อนฝูง หรือแม้แต่ในเวลาหย่อนใจหลังทานอาหาร ที่ควรเป็นเวลาที่ร่างกายและวิญญาณได้พักผ่อนจากภาระต่าง ๆ วิญญาณของท่านก็ไม่เคยได้รับการหย่อนใจเลย ตรงกันข้ามกลับยิ่งทุกข์ตรมหนักกว่าเดิม ภาวะสิ้นหวังที่เกาะกุมกัดกินวิญญาณเช่นนี้ ทำให้ท่านรู้สึกหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง จนบางครั้งท่านอยากจะเอาศีรษะโขกกับบางสิ่ง อยากจะกัดริมฝีปากแน่น อยากจะดึงทึ้งผมตัวเอง หรือแม้แต่อยากจะกระโดดทะลุหน้าต่าง

ไม่เพียงเท่านั้นพวกปีศาจก็ยังใช้โอกาสนี้ พากันรุมเยาะเย้ยใส่ท่านว่า “เจ้าคนหน้าซื่อใจคดผู้ศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย บัดนี้เจ้าจะได้เห็นว่าช่างเป็นเรื่องล้อเล่นกับพระเจ้า เมื่อเจ้าล่วงหล่นสู่พระหัตถ์ของพระองค์” พวกมันยังได้ยุแหย่ให้ท่านดูหมิ่นพระเจ้า แม่พระ บรรดาทูตสวรรค์ และบรรดานักบุญที่ท่านรัก และเมื่อใดก็ตามที่ท่านร้องวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พวกมันก็จะพากันเยาะเย้ยใส่ว่าท่านไม่คู่ควรกับพระหรรษทานใด ๆ เพราะพฤติกรรมที่เสื่อมทรามของท่าน การคุกคามของพวกมันที่หนักที่สุด คือ การที่พวกมันพยายามชักจูงให้ท่านละเมิดความเป็นพรหมจรรย์ของท่าน พวกมันใส่ความคิดหยาบโลนในหัวของท่าน จนท่านถึงกับต้องน้ำตาร่วงและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความสุดจะทน ด้วยการผจญเช่นนี้เองส่งผลให้วิญญาณของท่านจึงบอบช้ำเป็นยิ่งนัก และในสภาพวิญญาณที่บอบช้ำท่านยังเริ่มมีความเชื่อมากขึ้นทุกวันว่า พระหรรษทานที่ท่านเคยได้รับในเวลาที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพลวงตา และเป็นบ่วงของพวกปีศาจที่ดักรอดึงตัวท่านลงสู่ขุมนรกที่อยู่ของพวกมัน แต่เดชะอำนาจของพระคริสตเจ้าที่ยังคงสถิตอยู่เหนือท่าน ท่านจึงได้การดลใจไม่ให้หลงทำอะไรที่ร้ายแรงไปด้วยภาวะวิญญาณที่สิ้นหวังในสงครามประสาทภายใน ดังนั้นตลอดห้าเดือนในภายนอก ท่านจึงไม่ได้พูดหรือแสดงอาการแม้เพียงเล็กน้อยที่สุดให้เป็นที่สะดุดในหมู่เพื่อน ๆ แม้แท้จริงท่านจะเผชิญกับความทรมานภายในทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะในเวลาสวดภาวนาและจะไปรับศีลมหาสนิท


เมื่อท่านสามารถผ่านการชำระวิญญาณให้พร้อมเป็นเครื่องมือของพระองค์ในการนำความรักของพระองค์ให้แพร่ไป พระเป็นเจ้าก็เตรียมวิญญาณของท่านอีกขั้นด้วยการทรงหมั้นหมายวิญญาณท่านไว้เป็น ‘เจ้าสาวของพระองค์’ ดุจเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติกับนักบุญหลายองค์ในอดีตกาลที่ผ่านมา โดยวันหนึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสขอท่านเป็นคู่ชีวิตของพระองค์ในวิญญาณของท่านว่า
    “เจ้าวิญญาณที่ได้รับเลือกสรรของเราเอ๋ย เราปรารถนาให้เจ้าเป็นสหายของเรา เราคือพระบุตรของพระบิดานิรันดร์ เป็นผู้เสมอและดำรงอยู่เช่นเดียวกับพระองค์ และเป็นผู้ที่มาจากพระองค์มาตั้งแต่การสร้างในปฐมกาล เราคือหน้าที่สองของพระตรีเอกภาพ ซึ่งมีเนื้อแท้เสมอเดียวกับพระบิดาและพระจิต อำนาจ ความยิ่งใหญ่ ความไม่มีขอบเขต ความเมตตากรุณา ความประเสริฐ และความบริบูรณ์ของเราเสมอเท่าพระบิดาและพระจิต จงตรองดูเถิดว่าลูกปรารถนาให้เราเป็นคู่ชีวิตของลูกหรือไม่ เพราะเราปรารถนาให้ลูกเป็นของเรา
    เราคือพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ เราจึงได้รับการอวยพรให้มีสินสอด เทียมเกียรติศักดิ์ในสวรรค์ เราคือชายรูปงามที่สุด พระคัมภีร์ต่างเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ของเรา อำนาจเหนือสิ่งสร้างทั้งหมดได้ถูกมอบแก่เราแล้ว เราจึงเป็นกษัตริย์เหนือสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นสิ่งสร้าง กลไกอันงดงามแห่งจักรวาลนี้พร้อมด้วยความบริบูรณ์ทั้งหลายได้ทำให้เราเป็นทั้งพระผู้สร้าง เป็นพระเจ้า และเป็นทายาทแห่งรัชสมัยยูดาห์ บรรดาทูตสวรรค์อันสูงส่งต่างคุกเข่าและเคารพยำเกรงอยู่เบื้องหน้าเรา ทั้งทราบดีถึงเกียรติศักดิ์ที่เรามีและระยะห่างอันมิรู้ประมาณระหว่างพวกเขาและเรา
    เจ้าวิญญาณที่รักเอ๋ย ลูกจงตรองดูเถิดว่ามันจะเหมาะสมเพียงใดที่เจ้าจะรับเราเป็นคู่ชีวิตของลูก เพราะเราผู้มีความรักให้ลูกเพียงเท่านั้นปรารถนาจะวิวาห์กับลูก จงตรองให้ดีเถิดและปรารถนาตามความปรารถนาที่ติดอยู่ในใจลูก เพราะยังมีเวลาอีกมาก ในระหว่างนี้เราจะเตรียมลูกให้พร้อมและจะประทานของขวัญอีกมากมายให้แก่ลูก เพื่อเป็นตัวแทนคำมั่นสัญญาที่มั่นคง สิ่งเหล่านี้เป็นความพอพระทัยของเรา และเริ่มแรกด้วยนิมิตนี้ ซึ่งเราได้จุดไฟในหัวใจของลูกแล้ว”
ท่านบันทึกว่าเสียงที่ท่านได้ยินนี้ชัดเจนเหมือนยามกลางวันและดังลึกอยู่ในตัวของท่าน ท่านสดับฟังเสียงนี้ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวแต่ก็หวานล้ำในเวลาเดียวกัน และรู้สึกว่าหากพระเจ้ามิทรงช่วยท่านไว้ให้พ้นจากความตายเมื่อได้ยินคำพูดที่หวานล้ำเช่นนี้ ท่านก็คงต้องมลายไปเป็นแน่ ท่านไม่รู้ว่าท่านจะต้องเอ่ยเอื้อนคำใดตอบ เพราะเวลานี้วิญญาณของท่านรู้สึกสับสนอยู่ภายใน เมื่อระลึกได้ถึงสภาพอันน่าสมเพศและว่างเปล่าของตนเอง ท่านไม่รู้ว่าจะต้องทำสิ่งใดต่อไปเพื่อจะเข้าใจควาหมายของถ้อยคำที่พระเยซูเจ้าตรัสกับท่าน เวลาเดียวกันท่านก็รู้สึกว่าตนช่างไม่คู่ควรกับพระหรรษทานที่พิเศษเช่นนี้ แต่ที่สุดความรักของพระเจ้าก็ได้รุนเร้าหัวใจดวงน้อยของท่าน ทำให้ความกังวลใจที่มีอยู่ของท่านสูญสิ้นไป คงเหลือแต่เพียงคำตอบที่ท่านตอบอย่างไม่รู้ตัว แต่ถูกผลักดันด้วยความรักซื่อ ๆ ว่า “เอชเช อันชิลลา โดมินี ฟีอัต มิฮิ เซกุนดุม แวร์บุม ตูอุม” หรือ “นี่คือผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอจงเป็นไปตามวาจาของพระองค์เทอญ” ท่านอธิบายต่อว่า “ผลของข้อเสนอนี้ช่างศักดิ์สิทธิ์ และยามนี้ลูกเงียบเสียดีกว่า เพราะลูกกำลังถูกตรึงจากความรัก และไม่รู้จะไปต่ออย่างไรแล้ว”

ภายหลังจากพระเยซูเจ้าทรงได้รับคำตอบของท่านแล้ว ในวันสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติเข้าสรรค์ทั้งกายและวิญญาณ ซึ่งในคราวนั้นตรงกับวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1730 พระเยซูเจ้าจึงได้ประจักษ์มาหาท่าน เพื่อทรงเข้าวิวาห์กับท่าน เพื่อกันท่านไว้จากโลกเป็นสิทธิ์ขาดของพระองค์ ท่านบันทึกถึงสิ่งนี้ว่า “ทรงจับมือขวาของผม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำผมให้นั่งลงในบัลลังก์อันว่างเปล่า แล้วพระองค์จึงทรงสวมแหวนสีทองที่นิ้วของผม … ‘ขอให้แหวนนี้เป็นเครื่องเตือนถึงความจริงใจในรักของสองเรา ลูกเป็นของเรา และเราเป็นของลูก ลูกสามารถเรียกตัวลูกและใช้นามว่าเบรนาร์โดแห่งพระเยซูเจ้า เช่นเดียวกับที่เราเคยบอกกับเทเรซา เจ้าสาวของเรา ลูกคือเบรนาร์โดของเยซู และเราคือเยซูของเบรนาร์โด เกียรติมงคลของเราก็คือของลูกฉันใด เกียรติของลูกก็คือของเราฉันนั้น จงพินิจสิริมงคลของเราในฐานะคู่วิวาห์ของลูกเถิด แล้วเราจะพินิจถึงสิริมงคลของลูก ในฐานะคู่วิวาห์ของเราเช่นกัน สิ่งใดที่เรามีล้วนเป็นลูก และสิ่งใดที่ลูกมีก็ล้วนเป็นของเรา เราเชื่อมกับลูกด้วยพระหรรษทาน เราและลูกเป็นหนึ่งเดียวกัน’”

วิทยาลัยนักบุญอัมโบรสซีโอจากแผนที่ ค.ศ. 1738 
นำมาวางทาบกับแผนที่ปัจจุบัน

หลังจากจบการศึกษาด้านปรัชญา ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1731 ทางคณะจึงได้ส่งท่านศึกษาต่อด้านเทววิทยาที่วิทยาลัยนักบุญอัมโบรสซีโอ เมืองบายาโดลิด ที่นี่ท่านยังคงมีวัตรปฏิบัติเช่นเดียวกับสมัยศึกษาอยู่ด้านปรัชญา คือ เป็นสามเณรใหญ่ที่เอาจริงเอาจังกับการเรียน ปฏิบัติตามกฏคณะอย่างเคร่งคัด ดังที่คุณพ่อฆวน โอ บริเอน พระสงฆ์เยซูอิตที่มีโอกาสรู้จักท่านเป็นเวลา 5 ปี เล่าถึงหลังท่านเสียชีวิตว่า “ไม่มีสิ่งใดที่แตกต่างหรือพิเศษปรากฏขึ้นในตัวเขา เขาปรับปรุงตนให้เหมาะสมกับธรรมนูญของพวกเราโดยสมบูรณ์ จนข้าพเจ้าถือว่าเขาทั้งในฐานะนวกะ นักเรียน หรือพระสงฆ์เป็นสำเนาที่มีชีวิตของธรรมนูญก็ตาม” นอกจากนี้คำพรรณนาของคุณพ่อฆวน เด โลโยลา คุณพ่อวิญญาณณารักษ์ของท่าน ที่กล่าวถึงท่านว่า “ก้าวหน้ากว่าคนวัยเดียวกันมาก ด้วยความรู้มากกว่าที่เขาหาได้ในหนังสือ” ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้ระบุช่วงเวลา ก็ช่วยทำให้เราพอนำมาจินตนาการถึงชีวิตในการเรียนของท่านในด้านเทววิทยาได้บ้าง

ส่วนในเรื่องชีวิตฝ่ายจิต จากข้อความตอนหนึ่งในจดหมายของท่านลงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1732 ถึงคุณพ่อเด โลโยลา ที่ว่า “ลูกมองเห็นว่าทุกสิ่งในหัวใจของลูกต่างล้วนกำลังเคลื่อนเข้าหาพระเจ้า เหมือนเหล็กถูกดึงเข้าหาแม่เหล็ก มันปรารถนาเพียงพระเจ้า แสวงหาเพียงพระเจ้า และโหยหาเพียงพระเจ้า…” ได้แสดงเห็นชีวิตฝ่ายจิตของท่านที่ชิดสนิทกับพระเจ้าอย่างแนบแน่ ดังนั้นจึงอาจกล่าวสรุปชีวิตของท่านขณะเป็นสามเณรใหญ่ศึกษาด้านเทววิทยา เป็นช่วงหนึ่งที่นอกจากการเพิ่มพูนความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเป็นพระสงฆ์ที่ดี วิญญาณของท่านยังยิ่งชิดสนิทกับพระเป็นเจ้ามากขึ้นตามลำดับ และเป็นเวลานี้เองที่วิญญาณของท่านได้รับการชำระ จนเหลือเพียงความปรารนาในพระเจ้าเท่านั้น พระเจ้าจึงได้ทรงเปิดเผย ‘พันธกิจ’ ที่ทรงเตรียมไว้ให้ท่านรับรู้ และด้วยภารกิจนี้เองชื่อเสียงเรียงนามของท่านจะเป็นระบือไกลตามถึงปัจจุบัน


ในปลายเดือนเมษายน ค.ศ. 1733 ขณะท่านอายุได้ 21 ปี และกำลังมุ่งมั่นในการเรียนด้านเทววิทยาด้วยความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเป็นพระสงฆ์ ท่านได้รับจดหมายจากสหายชื่อ คุณพ่ออากุสติน เด กาดาเวรัซ ซึ่งเวลานั้นพึ่งได้รับศีลบวชได้ไม่นานและถูกส่งไปทำงานอภิบาลและเป็นครูไวยากรณ์ภาษาอยู่ที่เมืองบิลเบา จ. บิซกายา แคว้นบาสก์ (ห่างจากเมืองบายาโดลิดไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณสองร้อยกิโลเมตร) ในจดหมายฉบับคุณพ่อได้แจ้งว่าตัวเขาได้ถูกขอให้ขึ้นเทศน์ให้ช่วงอัฐมวารพระคริสตวรกาย (the Octave of Corpus Christi, ใน ค.ศ. 1955 สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ได้ทรงยกเลิกธรรมเนียมอัฐมวารนี้ไปพร้อมอัฐมวารในเทศกาลอื่น ๆ คงเหลือไว้เพียงอัฐมวารพระคริสตสมภพ อัฐมวารปัสกา และอัฐมวารพระจิตเจ้า) คุณพ่อจึงนึกถึงหนังสือภาษาละตินเล่มหนึ่งที่ตนเคยอ่านสมัยอยู่เมืองบายาโดลิด คือ ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าและพระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าของชาวเรา (De Cultu Sacrosancti Cordis Dei ac Domini Nostri Jesu Christi) เขียนโดยคุณพ่อโฌเซฟ เดอ กัลลิเฟต พระสงฆ์เยซูอิตาชาวฝรั่งเศสลูกศิษย์ของนักบุญโกล้ด เดอ ลา โกลอมบีแอร์ ใน ค.ศ. 1726 คุณพ่อจึงมีความประสงค์จะเทศน์เรื่องเกี่ยวกับวันฉลองพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า และอยากรบกวนให้ท่านช่วยแปลบางตอนของหนังสือเล่มดังกล่าวในประเด็นที่จะเทศน์ส่งมาให้เพื่อใช้เตรียมบทเทศน์ต่อไป

เมื่อทราบความประสงค์ดังนี้ ในวันที่ 3 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ท่านจึงไปยืมหนังสือเล่มดังกล่าวจากห้องสมุดของวิทยาลัยกลับไปที่ห้องของท่านเพื่อเตรียมคัดข้อความที่คุณพ่อเด กาดาเวรัซต้องการ นี่เองที่ทำให้ท่านได้รู้จักกับ ‘ความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระเยซูเจ้า’ ที่ถูกเริ่มขึ้นจากอารามคณะพระนางมารีย์เสด็จเยี่ยมนางเอลิซาเบธ หมู่บ้านปาเรย์ เลอ โมเนียล ประเทศฝรั่งเศสเมื่อหลายทศวรรษผ่านมา ซึ่งกระตุ้นให้ท่านตระหนักถึง ‘พันธกิจ’ ที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมปรีชาญาณและวิญญาณของท่านให้พร้อมมาตลอดยี่สิบเอ็ดปี จนทำให้ท่านปรารถนาจะมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ความศรัทธานี้ในทันที ดังที่ท่านเขียนไว้ว่า “ลูกไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน เมื่อเริ่มอ่านเรื่องความเป็นของความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าผู้น่ารักของชาวเรา และลูกก็รู้สึกได้ถึงแรงกระเพื่อมอันทรงพลัง แต่ก็นุ่มนวม ไม่รุ่มร้อนหรือทำให้กระวนกระวายใจในวิญญาณของลูก ลูกจึงไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ในศีลมหาสนิทเพื่อถวายตัวลูกเองต่อดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ เพื่อร่วมในพันธกิจครั้งนี้อย่างสุดกำลังเท่าที่จะสามารถทำได้ อย่างน้อยที่สุดก็ด้วยการสวดภาวนาเพื่อให้ความศรัทธานี้แพร่ขยายไปเรื่อย ๆ


ท่านเฝ้าวนเวียนคิดถึงเรื่องความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัยตลอดทั้งคืน จนถึงรุ่งเช้าของวันต่อมาเมื่อท่านไปร่วมพิธีนมัสการศีลมหาสนิท พระเยซูเจ้าก็ทรงตรัสกับท่านด้วยพระสุรเสียงดังชัดว่า พระองค์ทรงประสงค์เผยแพร่ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระองค์ผ่านท่านเพื่อนำพระหรรษทานจากสวรรค์นี้ไปยังวิญญาณจำนวนมาก ท่านจึงเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดว่า นี่เป็นแผนการณ์ของพระองค์ที่ได้ทรงใช้คุณพ่อเด กาดาเวรัซให้มาขอความช่วยเหลือจากท่าน แต่ท่านก็อดกังวลใจไม่ได้ว่าท่านจะสามารถทำสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงร้องขอเช่นนี้ได้อย่างไร ดังที่ท่านเขียนสรุปเหตุการณ์ไว้ว่า “ท่ามกลางความรู้สึกสับสนที่โอบคลุม ลูกจึงรื้อฟื้นการถวายตัวของลูกเมื่อวานอีกครั้ง แม้ลูกจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง เพราะมองเห็นความบกพร่องและความไร้ค่าของเครื่องมือชิ้นนี้ (ท่านหมายถึงตัวท่าน)

กระนั้นก็ตามความรักต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าก็แผ่ซ่านไปทั่ววิญญาณของท่าน ท่านจึงดำเนินชีวิตแต่ละวันหลังจากวันนั้นด้วยความรักต่อดวงพระหฤทัย อันเป็นสิ่งเดียวที่ท่านมั่นใจว่าสามเณรธรรมดา ๆ อย่างท่านทำได้พร้อม ๆ กับความกังวลใจจากการตระหนักดีว่าท่านต้องทำอะไรมากกว่านี้ ดังที่ท่านบันทึกไว้ในวันที่ 10 พฤษภาคม ว่า “หัวใจของลูกยังคงรู้สึกเหมือนอยู่ในโรงอาบน้ำหรือน้ำด่างเข้มข้น ซึ่งเราใช้กันอยู่ทุกวันซึ่งเต็มไปด้วยผงขี้เถ้าลอยปะปน แต่นั้นเป็นต้นมาลูกถูกดูดและจมอยู่ในดวงพระหฤทัยของพระเจ้า ไม่ว่าจะยามกิน ยามนอน ยามพูด ยามเรียน ไปจนถึงยามอื่น ๆ วิญญาณของลูกไม่รู้สึกถึงอะไรนอกเสียจากดวงหทัยของพระองค์ผู้เป็นที่ยอดรักของลูก และเมื่อลูกได้อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในศีลมหาสนิท กระแสธารแห่งความรักอันอ่อนหวานของพระองค์ได้เผยออก”

วัดประจำวิทยาลัยนักบุญอัมโบรสซีโอ 
ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นสักการสถานแห่งพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ 
เพื่อระลึกถึงพระสัญญาของพระคริสตเจ้า

จนวันหนึ่งพระเยซูเจ้าก็ทรงประจักษ์มาหาท่านอีกครั้งระหว่างท่านสวดภาวนาเพื่อชี้ให้ท่านเห็นว่า ทุกสิ่งเป็นไปได้ ขอท่านเพียงวางใจในพระญาณสอดส่องของพระองค์ พระองค์ได้ทรงเลือกท่านไว้แล้วเพื่อทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ “และเมื่อวานนี้ขณะลูกกำลังสวดภาวนา องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงประทานพระหรรษทานพิเศษเช่นเดียวกับที่ทรงเคยประทานแก่ผู้ริเริ่มความศรัทธานี้เป็นผู้แรก ธิดาของผู้ชี้นำอันศักดิ์สิทธิ์ (นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์) ท่าน ว. ม. มาร์การิตา อาลาก๊อก และนักเขียนชีวประวัติของท่านก็ได้เขียนเรื่องนี้ไว้ในชีวประวัติของท่านหน้าที่ 32 แก่ลูก พระองค์ได้ทรงแสดงดวงพระหฤทัยที่ถูกเผาด้วยความรักและเป็นทุกข์เพราะการถูกละเลยให้ลูกเห็น พระองค์ทรงย้ำการเลือกผู้รับใช้ผู้ไม่คู่ควรผู้นี้เพื่อจะทำให้ความศรัทธานี้แพร่ขยายไป และทรงทำให้ความสับสนที่ลูกได้เล่าไปข้างต้นสงบลง ลูกจึงเข้าใจว่าลูกเพียงปล่อยให้พระญาณสอดส่องของพระองค์ชี้นำลูกไป รวมถึงให้หารือทุกเรื่องกับ ว. ร. (คุณพ่อเด โลโยลา) ผู้ซึ่งพระองค์ทรงจะพอพระทัย หากเขตที่ท่านดูแลจะมีการสวดภาวนาและการฉลองวันฉลองดวงพระหฤทัยของพระองค์ เหมือนกับหลาย ๆ แห่ง”

สิบวันต่อมาหลังจากท่านทราบว่าพระเยซูเจ้าทรงประสงค์ให้ท่านสานต่อสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตั้งต้นในดินแดนฝรั่งเศส ผ่านภคินีธรรมดา ๆ จากคณะพระนางมารีย์เสด็จเยี่ยมนางเอลิซาเบธ และพระสงฆ์ธรรมดา ๆ จากคณะเยซูอิตซึ่งถูกหลอมรวมหัวใจให้เป็นหนึ่งในดวงหฤทัยเปี่ยมรักของพระองค์ เพื่อให้ความศรัทธานี้แพร่ขยายไปทั่วทิศาผ่านดินแดนที่นักบุญยากอบ บุตรเศเบดีได้เริ่มต้นไว้ ในวันที่ 14 พฤษภาคมซึ่งปีนั้นตรงกับวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ ในวันเดียวกับพระเยซูเจ้าทรงตรัสบอกบรรดาอัครสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง” (มาระโก 16 : 15) พระเยซูเจ้าจึงทรงย้ำถึงพระประสงค์ที่จะทรงส่งท่านไปเพื่อประกาศถึงดวงพระหฤทัยของพระองค์ให้ผู้คนมากมายได้รู้จักโดยเฉพาะในดินแดนสเปน และได้ทรงประทานสิ่งที่ต่อมาจะถูกเรียกว่า ‘พระสัญญาอันยิ่งใหญ่’ แก่ดินแดนสเปนผ่านท่าน วันนั้นหลังจากรับศีลมหาสนิท ขณะท่านร่วมพิธีมิสซากับเพื่อน ๆ สามเณรด้วยกันอยู่ข้างพระแท่นในวัดประจำวิทยาลัย ท่านก็ได้แลเห็นดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าอีกครั้ง ท่านเขียนเล่าไว้ว่า “ลูกจึงเข้าใจว่าลูกไม่ได้รับอนุญาตให้ลิ้มรสความรุ่มรวยของดวงพระหฤทัยนี้เพียงเพื่อตัวลูกเอง แต่เพื่อให้คนอื่น ๆ ได้ลิ้มรสความมั่งคั่งนี้ผ่านตัวลูก ลูกจึงวอนขอต่อพระตรีเอกภาพ โปรดให้ความปรารถนานี้สำเร็จไป และโปรดให้มีการฉลองนี้เป็นพิเศษในดินแดนสเปน ซึ่งดูเหมือนว่าจะยังไม่รู้จักกับความศรัทธานี้ พระเยซูเจ้าตรัสกับลูกว่า ‘เราจะขึ้นเป็นกษัตริย์ครองดินแดนสเปน ด้วยเกียรติมากกว่าดินแดนอื่น’ ”


แม้จะได้รับทราบเช่นนี้ท่านก็ยังคงกังวลถึงภาระหน้าที่นี้ว่าท่านในฐานะ ‘สามเณรใหญ่’ ธรรมดา ๆ จะทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ได้อย่างไร แต่จากส่วนลึกของวิญญาณท่านก็ตระหนักว่าท่านไม่ควรรอเวลาไปจนกว่าท่านจะได้บวชเป็นพระสงฆ์ แต่นั่นหมายความว่าท่านจะไม่มีทั้ง ‘เวลา’ และ ‘วัยวุฒิ’ ซึ่งจะพร้อมเมื่อท่านบวชเป็นพระสงฆ์พอสำหรับการทำงานชิ้นนี้อย่างเปิดเผย ดังนั้นท่านจึงพบว่าในฐานะสามเณรที่มีหน้าที่หลัก คือ การตั้งใจเรียนเทววิทยาเพื่อเป็นพระสงฆ์ ท่านสามารถเป็น ‘สื่อกลาง’ เป็นเครื่องมือของพระที่ชักนำผู้อื่นที่มีสถานะสูงกว่าและมีโอกาสมากกว่าท่านให้เข้ามาร่วมทำงานนี้ ฉะนั้นท่านจึงเริ่มจากการเรียนแจ้งเรื่องดังกล่าวให้เพียงคุณพ่อเด โลโยลาทราบเป็นผู้แรก และในเวลาเดียวกันก็เริ่มแสวงหาการสนับสนุนที่จำเป็นจากผู้ใหญ่ในคณะ โดยเฉพาะในแคว้นกัสติล อี เลออน ที่ท่านอาศัยอยู่ เพราะท่านเล็งเห็นความจำเป็นที่งานครั้งนี้ จะต้องได้รับการสนับสนุนมากกว่าเพียงจากคุณพ่อเด โลโยลา การทำเช่นนี้ท่านเขียนยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “ช่างเป็นเรื่องยากกว่าการโน้มน้าวท่านนักบุญเทเรซายิ่งนัก” แต่ท่านก็เลือกที่จะวางใจในพระญาณสอดส่องของพระเจ้า และลงมือแสวงหาการสนับสนุนจากผู้ใหญ่

เมื่อได้ตระหนักถึงพันธกิจในการเป็นธรรมทูตประกาศความรักของพระเจ้า ที่แสดงผ่านภาพลักษณ์แห่งดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ในประเทศชาติของท่าน สามเณรใหญ่เช่นท่านที่ตระหนักได้ถึงข้อจำกัดตัวเองจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อเป็น ‘สื่อกลาง’ ระหว่างดวงพระหฤทัยอันร้อนรักต่อมนุษย์กับมนุษยชาติ โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่อยู่ในดินแดนสเปน ซึ่งท่านนักบุญยากอบได้วางรากฐานความเชื่อไว้อาศัยความช่วยเหลือของพระนางมารีย์ พระเจ้าจะทรงทำการอันน่าพิศวงใดต่อไปอีกผ่านชีวิตของสามเณรใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งพระองค์ได้ทรงเตรียมเขาไว้อย่างน่าพิศวงมาตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อให้เขาเป็นดั่ง ‘สะพาน’ ระหว่างมนุษย์และดวงพระหฤทัยของพระองค์ ติดตามเรื่องราวซึ่งจะเป็นหน้าสำคัญของการเผยแพร่ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าได้ต่อใน “‘เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก’ ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ ตอนจบ” (คลิกที่นี่ได้เลย)

“พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ทรงเมตตาเทอญ”

“ข้าแต่ท่านบุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา
 ช่วยวิงวอนเทอญ”

ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...