นักบุญมิเกล เฟเดรส โกรเบโร
St.Miguel
Febres Cordero
ฉลองวันที่ : 9 กุมภาพันธ์
วันหนึ่งเด็กชายตัวน้อยวัย
5 ขวบกำลังมองดูบรรดากอกกุหลาบที่กำลังเบ่งบานแข่งกันในสวนของบ้านของเขา
ทันใดเด็กน้อยก็พลันตะโกนขึ้นว่า “ดูซิ
สิ่งที่สวยงามคือผู้หญิงที่อยู่บนดอกกุหลาบ” ทันใดนั้นญาติๆก็พากันมารุมล้อมเด็กน้อย
และพากันมองตามที่เด็กน้อยบอก
แต่พวกเขาพบแต่ความว่างเปล่าและอีกครั้งเด็กน้อยยังคงกล่าวว่า “ดูเธอคนสวยซิ
เธอมีชุดสีขาวและเสื้อคลุมสีฟ้าและเธอกำลังเรียกผม” ฉัพพลันทันใดญาติๆก็ต่างพากันตกตะลึงเมื่อเด็กน้อยลุกขึ้นและเริ่มเดิน
เหตุการณ์นี้คงไม่แปลกอะไรถ้าเด็กน้อยคนนี้ไม่ใช่ฟรานซิสโก เฟเดรส โกรเบโร(Francisco Febres-Cordero) ผู้ป่วยด้วยโรคเท้าปุกมาตั้งแต่วันแรดที่เขาถือกำเนิดมาในวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ.1854
ในครอบครัวที่มีความเข้มแข็งทางการเมืองในเกวงกา ประเทศเอกวาดอร์
หลังจากการรักษาอัศจรรย์ของแม่พระต่อท่าน
ในปีค.ศ.ท่านก็ได้เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนของคณะภารดาโรงเรียนคริสตังหรือที่เรารู้จักกันดีในนามคณะลาซาลที่พึ่งเข้ามาเปิดโรงเรียนในเกวงกา
ที่นั่นในทุกๆเย็นขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่กำลังจะเดินทางกลับบ้าน
ท่านจะยังคงอยู่ในโรงเรียนเพื่อทบทวนบทเรียนในวันนี้และเช่นกันที่นั่นท่านได้เห็นแบบอย่างที่ดีของอาจารย์ที่ทำให้ท่านมีกระแสเรียกการเป็นภารดา
แต่กระนั้นงานของพระย่อมมีศัตรูเสมอ
ท่านก็เช่นกันท่านก็มีศัตรูสำคัญที่สุดของท่านที่ขัดขวางการเป็นภารดาของท่านและไม่ใช่ใครที่ไหนเลยคือครอบครัวของท่านเอง
เมื่อพวกเขาทราบถึงความต้องการของท่าน
พวกเขาก็ย้ายท่านไปศึกษาที่อื่น
แต่ไม่นานท่านก็ล้มป่วยและจำเป็นต้องกลับมาบ้านและในไม่นานหลังจากความอดทนของท่าน
ที่สุดขณะที่ท่านอายุได้ 13 ปี ในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ.1868
มารดาของท่านก็อนุญาตให้ท่านก็ได้เข้าเป็นเณรในคณะลาซาลและได้รับชุดของคณะพร้อมชื่อใหม่ว่า
“ภารดามิเกล”ก่อนถูกย้ายไปยังเมืองกีโต
เมืองกีโตหรือชื่อทางการคือซานฟรันซิสโกเดกีโต
เมืองหลวงของประเทศเอกวาดอร์ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ มันตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศในแอ่งแม่น้ำกวายาบัมบาบนเนินเขาปีชินชา
ภูเขาไฟที่ยังทรงพลังในเทือกเขาแอนดีสและด้วยความสูง 2,850 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
จึงทำให้มันเป็นเมืองที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองในโลก ในโรงเรียนเอล เซโบลลาร์ (El
Cebollar School) ในฐานะภารดาท่านเริ่มงานเป็นอาจารย์ที่นั่น
ท่านมีพรสวรรค์ด้านการสอน และเป็นคนที่อ่อนโยน และทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น
ทุกๆชั่วโมงเรียนท่านก็จะคอยสอนคำสอนและดูแลผู้เรียนภาษาที่ป่วยเพราะด้วยเหตุที่ว่าท่านพูดได้ถึง
5 ภาษาคือเยอรมัน, อังกฤษ, อิตาลี, ฝรั่งเศสและละติน
และเช่นกันที่นั่นท่านค้นพบว่าที่โรงเรียนยังไม่มีคู่มือและตำราที่เหมาะสมต่อการเรียน
ดังนั้นด้วยเหตุนี้ท่านจึงตัดสินใจเขียนมันขึ้นมาด้วยตัวเอง
ซึ่งท่านจะดัดแปลงมาจากหนังสือประเทศต่างๆแล้วนำมาเขียนในสไตล์การเรียนการสอนของท่านเอง
ซึ่งต่อมางานเขียนของท่านก็กลายมาเป็นแบบแผนของทุกโรงเรียนในเอกวาดอร์และนอกจากนั้นจากการงานเขียนของท่านทำให้ท่านได้เป็นสมาชิกในวิทยาลัยแห่งชาติแห่งประเทศเอกวาดอร์และสเปน(the
National Academies of Ecuador and Spain.)และกลายเป็นแบบข้อความมาตรฐาน แต่กระนั้นท่านก็ก็ยังคงให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกและไม่ละเลยการสอนคำสอนแก่เด็กๆในชั้นของท่านและคอยเตรียมตัวให้พวกเขาพร้อมกับการรับศีลมหาสนิทครั้งแรกของพวกเขา
ซึ่งท่านทำหน้าที่เตรียมตัวให้พวกเขานี้จนกระทั้งปีค.ศ.1907ที่ท่านเดินทางไปยุโรป
แน่นอนพวกเขาต่างมีความทรงจำดีๆกลับท่านเพราะพวกเขาต่างยกย่องท่านในความเรียบง่าย
ความตรงไปตรงมา ความห่วงใยที่ท่านมอบแด่พวกเขาและความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อพระหฤทัยและแม่พระ
ในปีค.ศ.1904
ประเทศฝรั่งเศสผลจากกฎหมายที่เป็นปรปักษ์กับคริสตชน
กิจกรรมทางศาสนาต่างๆของคณะลาซาลถูกห้าม
ด้วยเหตุนี้เองทางคณะจึงย้ายออกจากประเทศแม่ของพวกเขาฝรั่งเศส
ซึ่งก็มีหลายคนที่เลือกประเทศสเปนและลาตินอเมริกา
และด้วยความจำเป็นท่านจึงถูกส่งไปยังยุโรปในปีค.ศ.1907เพื่อมีส่วนร่วมในการประพันธ์หนังสือสำหรับการศึกษาเป็นภาษาสเปนอย่างเร่งด่วนเพื่อที่จะนำมาใช้กับบรรดาภารดาของคณะที่ถูกขับออกมาจากประเทศฝรั่งเศส
ที่นั่นไม่กี่เดือนจากปารีสท่านก็ย้ายไปอยู่บ้านของคณะในเลมเบซ์ค เลซ ฮาล(Lembecq-lez-Hal)
ประเทศเบลเยี่ยม
แต่เนื่องด้วยสุขภาพที่บอบบางของท่านและภูมิอากาศที่หนาวเย็นที่แตกต่างกับบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน
ทำให้สุดท้ายท่านก็ล้มป่วยลง ดังนั้นในปีค.ศ.1909 ท่านจึงถูกย้ายไปอยู่ในศูนย์ลาซานนานาชาติหรือลาซานอินเทอแนชเชินเนิลเซนเตอร์ในพีรเมีย
เด มาร์ (Premiá de Mar) ในเมืองชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของคาบสมุทรไอบีเรียนาม
“บาร์เซโลนา” แคว้นคาเทโลเนีย ประเทศสเปน และยังคงทำหน้าที่อบรมเยาวชน
ซึ่งทุกคนต่างชื่นชมในความเรียบง่ายของท่านที่มีไม่น้อยไปกว่าความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
แต่แล้วในกรกฎาคมปีเดียวกันก็เกิดการปฏิวัติที่พีรเมีย
เด มาร์ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ “สัปดาห์วิปโยค” เกหตการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจนทำให้บรรดาสงฆ์ต้องลี้ภัยออกจากพีรเมีย
เด มาร์ ไปปบาเซโลนา และอาศัยซ่อนตัวอยู่และฝึกอบรมในท่าเรือและโรงเรียนเอ็นเอสในโบนาโนวา(Bonanova) ฝั่งท่านนั้นทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลวัดในพีรเมียและดูแลเรื่องค่าใช่จ่ายการลี้ภัยของบรรดาเยาวชนข้ามอ่าวไปเพื่อความปลอดภัยของพวกเขา
ไม่นานหลังเหตุการณ์สงบลงทุกอย่างจึงกลับมาเป็นปกติ
พระเจ้าก็ได้ทรงเรียกผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์แล้ว เพราะต่อมาในช่วงปลายเดือนมกราคม
ค.ศ.1910 ท่านก็เริ่มล้มป่วยลงด้วยโรคปอดบวมซึ่งมันทำให้ร่างกายของท่านอ่อนแอลงและหลังจาก
3 วันของความทุกข์ทรมานท่านก็ได้คืนวิญญาณของท่านแด่พระเจ้าซึ่งวันนั้นตรงกับวันที่
9 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1910 ขณะอายุ 55 ปี หลังจากข่าวการจากไปของท่านแพร่ไปทั่วพร้อมกับความตื่นเต้นและน้ำตา
ฝั่งเอกวาดอร์ก็ประกาศไว้ทุกข์แห่งชาติแด่ท่าน อีกทั้งบรรดาพี่น้องคณะ ศิษย์เก่าและคู่แข่งของท่านก็ต่างชื่นชมคุณธรรมท่าน
ร่างของท่านถูกฝังไว้ ณ พีรเมีย เด มาร์ ประเทศสเปนก่อนในช่วงการปฏิวัติสเปนจะมีการค้นย้ายร่างของท่านไปฝังไว้
ณ กีโต ประเทศเอกวาดอร์ซึ่งในตอนนั้นปรากฏว่าร่างของท่านไม่เน่าเปื่อยและที่นั่นหลุมศพของท่านก็กลายเป็นที่แสวงบุญ
จนกระทั้งอัศจรรย์ผ่านการร้องขอท่านในการรักษาภคินีเคลเมนทินา ฟรอเรส โครเดโร(Sor
Clementina Flores Cordero)สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่6
ก็ได้ประกอบพิธีสถาปนาท่านเป็นบุญราศีพร้อมบุญราศีภารดาชาวเบลเยี่ยม ในวันที่ 30
ตุลาคม ค.ศ.1977
และในที่สุดความเปรมปรีย์ก็มาสู่นประเทศในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ที่นามตามเส้นสูงสูตรในภาษาสเปนว่า
“เอกวาดอร์”อีกครั้ง เมื่อเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ของนางสาว
เบอาตรีซ โกเมซ เด นูเนซ(Señora Beatriz Gómez de Núñez)
ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่ด้วยการเสนอคำวิงวอนผ่านท่าน
เธอได้รับการรักษาอย่างน่าอัศจรรย์
ดังนั้นเรื่องราวอัศจรรย์ครั้งนี้จึงถูกส่งไปยังโรมเพื่อพิจารณาการเป็นนักบุญของท่าน
ซึ่งหลังจากการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน สุดท้ายสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ก็ทรงอนุมัติการสถาปนาท่านเป็นนักบุญและทรงประกอบพิธีสถาปนาท่านเป็นนักบุญ
ในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ.1984 ณ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ กรุงวาติกัน
มีครั้งหนึ่งพี่น้องในคณะของท่านได้ชมท่านว่ากิจการของท่านช่างมหัศจรรย์และถามท่านว่าจะทำกิจกรรมอะไรเพื่อคณะของเรา
ซึ่งท่านก็ตอบไปว่า “คนอื่นๆจะทำได้ดีกว่าฉัน
และจำคำแนะนำขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า เช่นเดียวกัน
เมื่อพวกท่านทำสิ่งสารพัดที่เราบัญชาไว้กับท่านแล้ว ก็จงพูดด้วยว่า 'เราเป็นบ่าวที่ไม่ได้มีบุญคุณต่อนาย
เราเพียงแต่ทำตามหน้าที่ ที่ควรจะทำเท่านั้น(ลูกา 17:10)” ("Otros lo harán mejor
que yo", y recuerda aquel consejo de Jesucristo: "Cuando hayáis hecho
lo que se os ha encomendado, decid: siervos inútiles somos. Solamente hicimos
lo que teníamos el deber de hacer" (Luc. 17,10).)
คุณพ่อมิเกลเป็นแบบอย่างที่ดีของอาจารย์ที่มีความกระตือรือร้นในการสอน
ถึงขนาดที่คุณพ่อได้ดิบได้ดีแล้วคุณพ่อก็ยังคงเห็นการสอนในห้องของท่านคือสิ่งแรกสุด
คุณพ่อเลือกที่จะใส่ใจนักเรียนมากกว่าสิ่งล้ำค่าทั้งหลาย
เมื่อคุณพ่อพบว่าไม่มีตำราที่เหมาะสมแก่นักเรียนคุณพ่อก็กล้าที่จะแปลและเขียนมันเพื่อนักเรียนของท่านจะได้มีแบบเรียน
ซึ่งต่อมามันกลายเป็นแบบแผนการเรียนของเอกวาดอร์จนทำให้หลังจากการสิ้นใจของท่านรัฐบาลเอกวาดอร์ก็ยกให้ท่านเป็นวีรบุรุษของชาติ
ไม่ใช่ในด้านสงครามแต่เป็นด้านศาสนาและความสำเร็จของท่าน ท่านเป็นวีรบุรุษที่ไม่ถือดาบฟาดฟันศัตรู แต่กลับกันท่านกลับถือปากกาที่จะคอยเขียนเพื่อสันติภาพ ท่านใช้ปากกาเป็นอาวุธในการต่อสู่การมารซาตานความโง่ทั้งหลาย
ข้อมูลอ้างอิง