วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา
Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña
วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน


ผู้ใหญ่ในคณะคนแรก ๆ ที่ท่านแสวงหาการสนับสนัน คือ คุณพ่อฆวน เด บิลลาฟาเญ อธิการวิทยาลัยนักบุญอิกญาซิโอ บิดาของชาวเรา เมืองบายาโดลิด ผู้พึ่งได้ดำรงตำแหน่งเป็นอธิการเจ้าคณะแขวงคณะเยซูอิตที่ท่านอยู่ โดยท่านได้อาศัยโอกาสที่คุณพ่อเด บิลลาฟาเญเดินทางมาวิทยาลัยนักบุญอัมโบรสซิโอ ในการเข้าไปแจ้งเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงเผยแสดงให้ท่านทราบ ฝั่งคุณพ่อเด บิลลาฟาเญ เมื่อทราบเรื่องที่ท่านประสบมาคุณพ่อไม่ได้มีท่าทีต่อต้านหรือไม่เห็นด้วยกับท่าน ตรงกันข้ามคุณพ่อกลับรู้สึกประทับใจในสิ่งที่ท่านเล่า และได้แจ้งว่าคุณพ่อได้ทราบเรื่องความเคลื่อนไหวต่อความศรัทธานี้ในกรุงโรม รวมถึงได้พบคุณพ่อเดอ กัลลิเฟตที่กรุงโรม ทั้งยังได้อ่านข้อเขียนของคุณพ่อเดอ กัลลิเฟตถึงสมณกระทรวงว่าด้วยพิธีกรรมในเรื่องการฉลองพระหฤทัยมาก่อนแล้ว คุณพ่อเด บิลลาฟาเญยังได้เล่าอีกหลายสิ่งที่คุณพ่อทราบให้ท่านฟัง และทิ้งท้ายด้วยการให้กำลังใจท่านในการดำเนินงานนี้ต่อไป ด้วยการวางใจในพระเจ้า และการคุ้มครองของคุณพ่อวิญญาณณารักษ์ของท่าน ฝั่งท่านที่ได้เห็นท่าทีเชิงบวกเช่นนี้ของคุณพ่อเด บิลลาฟาเญ ก็มีกำลังใจในการทำงานชิ้นนี้มากขึ้น และเพื่อให้เรื่องนี้เป็นไปโดยรอบคอบ ท่านยังได้ยอมรับการสอบสวนจากเป็นระยะเวลาสองเดือนในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1733 เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของนิมิตท่านเพิ่มเติม ตามคำสั่งของคุณพ่อเด บิลลาฟาเญอีกด้วย

บุคคลอีกท่านที่ท่านได้แจ้งความประสงค์ของพระเยซูเจ้าให้ทราบ เพื่อหวังการสนับสนุนการทำงานชิ้นใหญ่นี้ คือ คุณพ่อฟรังซิสโก อิกญาซีโอ เด เอกุยลุส อดีตอธิการนวกสถานและนวกจารย์ของท่าน ซึ่งท่านเคารพรักและไว้ใจให้เป็นผู้หนึ่งที่คอยสอดส่องวิญญาณของท่านให้เติบโตในทางที่เหมาะสม และในทำนองเดียวกับคุณพ่อเด บิลลาฟาเญ คุณพ่อเด กุยลุสได้กล่าวจะสนับสนุนท่านตามที่คุณพ่อสามารถทำได้ ไม่เพียงเท่านั้นคุณพ่อยังได้กล่าวคำสนับสนุนอีกจำนวนหนึ่งที่ทำให้ท่านมีกำลังใจเพิ่มขึ้นในการทำงานนี้ รวมถึงยังได้ให้คำแนะนำถึงแนวทางที่เหมาะสมในการทำงานชิ้นนี้ และในเวลาต่อมาด้วยความรู้สึกร้อนรนในวิญญาณจากเรื่องที่ท่านได้แจ้งให้ทราบ คุณพ่อเด กุยลุสจึงได้ถวายตัวต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าตามบทถวายตัวที่แต่งโดยนักบุญโกล้ด เดอ ลา โกลอมบีแอร์ ซึ่งท่านได้ส่งไปให้คุณพ่ออีกด้วย ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้มาในกรณีนี้ ในขณะที่ท่านได้รับเชื้อเพิ่มพูนไฟที่จะทำงานต่อจากคุณพ่อ ท่านยังได้ส่งต่อเชื้อไฟแห่งความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยไปสู่คุณพ่อในเวลาเดียวกัน ลักษณะเช่นนี้เองอาจกล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบสำคัญที่ท่านใช้เผยแพร่ความศรัทธาพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าที่ท่านค้นพบว่า ตัวท่านสามารถทำได้ในฐานะ ‘สามเณรใหญ่’ นั่นคือการแสวงหาการสนับสนุนจากผู้ที่มีความสามารถมากกว่าท่าน และจุดประกายเปลวไฟแห่งความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยในใจของพวกเขา เพื่อให้พวกเขาเป็นกลไกสำคัญในการทำงานในส่วนอื่น ๆ ที่ท่านในฐานะปัจจุบันไม่สามารถทำได้


ในเวลาเดียวกันกับที่ท่านเริ่มแสวงหาการสนับสนุนการดำเนินงานที่ได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่ในคณะ ในวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1733 ท่านก็ยังได้เริ่มงานที่รับมอบหมายจากสวรรค์นี้ในส่วนของท่านเอง ด้วยการถวายตัวต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าตามบทถวายตัวที่แต่งโดยนักบุญโกล้ด เดอ ลา โกลอมบีแอร์ เพื่อให้พระเจ้าทรงใช้ท่านเป็นเครื่องมือได้อย่างเต็มที่ หลังจากนั้นท่านจึงได้เริ่มร่างแผนปฏิบัติการ 7 ประการเพื่อทำให้พระประสงค์ของพระเยซูเจ้าในการเผยแพร่ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระองค์ให้สำเร็จไปในดินแดนสเปนประกอบด้วย
ประการที่ 1 ระดมการสนับสนุนความศรัทธาพิเศษนี้จากสมาชิกคณะเยซูอิต โดยเฉพาะจากกลุ่มที่มีบทบาทและอำนาจในแขวงต่าง ๆ
ประการที่ 2 ตีพิมพ์หนังสือที่อธิบายถึงแก่นแท้และความถูกต้องต่อความศรัทธาพิเศษนี้
ประการที่ 3 แจกรูปดวงพระหฤทัยเพื่อช่วยกระตุ้นสัตบุรุษจำนวนมากที่ไม่รู้หนังสือ
ประการที่ 4 จัดทำบทนพวารอย่างง่ายต่อดวงพระหฤทัย เพราะรูปแบบการนพวารเป็นกิจศรัทธาพิเศษที่ผู้คนที่นิยมทำในเวลานั้น
ประการที่ 5 ชักชวนให้บรรดาธรรมทูตที่ออกเดินทางไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ในแผ่นดินสเปนเพื่อเทศนาสั่งสอน ให้มีความรับผิดชอบในการเทศนาถึงเรื่องความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัยในพันธกิจที่พวกท่านได้รับ
ประการที่ 6 กระตุ้นให้บรรดาพระสังฆราชในสเปนร่วมกันทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อองค์สมเด็จพระสันตะปาปาให้ทรงโปรดอนุญาตให้มีพิธีมิสซาและบททำวัตรเพื่อถวายเกียรติแด่ดวงพระหฤทัย ดังที่มีการทำแล้วในบางประเทศ เพื่อให้ความศรัทธานี้แพร่ขยายไปทั่วดินแดนสเปน
ประการที่ 7 กระตุ้นให้บรรดาพระราชวงศ์สเปน โดยเฉพาะพระเจ้าเฟลีเป ที่ 5 ให้ทูลต่อสมเด็จพระสันตะปาปาให้ทรงอนุมัติคำร้องของบรรดาพระสังฆราชทั้งหลาย ไม่เพียงแต่ในสเปนแต่ยังรวมไปถึงอาณานิคมในลาตินอเมริกาและฟิลิปปินส์
นอกจากนี้ท่านยังได้ริเริ่มกลุ่มเครือข่ายภายในคณะเยซูอิตที่ต่อมาเป็นที่รู้จักกันว่า ‘กลุ่มห้าสหาย’ ขึ้นเพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติการนี้ กลุ่มเครือข่ายนี้ประกอบคุณพ่อฆวน เด โลโยลา อายุ 47 ปี คุณพ่อวิญญาณณารักษ์ของท่าน คุณพ่อเปโดร เด กาลาตายุด อายุ 44 ปี พระสงฆ์ธรรมทูตผู้ทำหน้าที่เทศนาตั้งแต่แผ่นดินสเปนไปถึงแผ่นดินโปรตุเกส หนึ่งในผู้ใหญ่ที่ท่านได้ส่งจดหมายไปขอการสนับสนุนและได้รับการสนับสนุน ซึ่งนำความบรรเทาใจมาให้ท่านเพราะด้วยหน้าที่ของคุณพ่อจะสามารถทำให้ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยแพร่ขยายไปได้ทั่วสเปนรวมถึงในโลกใหม่ได้ไม่ยาก คุณพ่อเปโดร เด เปญาโลซา อายุ 38 ปี พระสงฆ์นักเทศน์ผู้ติดตามคุณพ่อเด กาลาตายุดไปเทศน์เป็นครั้งคราว คุณพ่ออากุสติน เด กาดาเวรัซ อายุ 32 ปี สหายสนิทผู้มีทำให้ท่านได้รู้จักกับความศรัทธาพิเศษนี้ บราเดอร์ฆวน โลเรนโซ ฆิเมเนส อายุ 23 ปี เพื่อนร่วมชั้นเทววิทยาของท่าน และน้องเล็กสุดคือท่านในวัย 22 ปี สมาชิกในกลุ่มจะติดต่อกันผ่านจดหมายลูกโซ่และการนัดประชุม ในขณะทำงานตามหน้าที่ของตนด้วยความไว้วางใจพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าจะมีชัยเหนือทุกสิ่ง

ในแผนปฏิบัติการประการที่ 1 ประการที่ 5 และประการที่ 6 ดูเหมือนว่าเครือข่ายที่ท่านก่อตั้งขึ้นได้ใช้การสนทนาและจดหมายเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดขึ้นสิ่งนี้ขึ้น (โดยดูเหมือนว่าจะมีการใช้เครือข่ายส่วนตัวของแต่ละคนเข้ามาช่วยด้วย) โดยผู้ร่วมอุดมการณ์ทุกคนต่างได้รับการจุดประกายเปลวไฟแห่งความร้อนรนจากตัวของท่าน เช่นเดียวกับบุคคลอีกจำนวนหนึ่งที่ท่านได้ติดต่อด้วย ดังที่คุณพ่อฆวน เด โลโยลาเขียนในชีวประวัติของท่านว่า “ข้าพเจ้าถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ทีเดียว ที่นักบวชรุ่นเยาว์คนหนึ่งสามารถจุดประกายเปลวไฟแห่งความร้อนรนให้กับกิจศรัทธาที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก แก่บรรดาผู้แก่เรียนแก่วิชา ผู้มีปัญญาสุขุมลุ่มลึก ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ผู้มีมันสมองเป็นเลิศสุดในอาณาจักร ทั้งในคณะเยซูอิตไล่มาตั้งแต่เจ้าคณะแขวง อธิการ นวกจารย์ นักเทศน์ เรื่อยมาจนถึงธรรมทูต หรืออาจกล่าวอย่างกระชับว่าคือบรรดาคุณพ่อที่มีชื่อเสียงในแคว้นกาสตีล เหตุว่าดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนั้นเองที่เป็นผู้จุดประกายเปลวไฟในถ้อยคำและข้อเขียนของอัครสาวกผู้เยาว์วัยของพวกเรา ความเฉลียวฉลาดและปรีชาญาณของมนุษย์จึงไม่อาจจะต้านทานเขาได้” ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่ท่านได้ลงมือทำประการหนึ่งเพื่อให้แผนปฏิบัติการทั้งสามข้อเป็นจริง จึงคือการส่งต่อเปลวไฟแห่งความร้อนรนที่ท่านได้รับจากพระเยซูเจ้าไปยังหัวใจดวงอื่น ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังที่ได้กล่าวไปในย่อหน้าก่อนหน้านี้แล้ว

พระเจ้าเฟลีเป ที่ 5 แห่งสเปน

ส่วนในแผนประการที่ 7 ท่านได้ใช้สายสัมพันธ์ของพระสงฆ์เยซูอิตองค์หนึ่ง (เข้าใจว่าน่าจะคือ คุณพ่อฆวน เด โลโยลา) ที่มีสายสัมพันธ์กับพระสงฆ์เยซูอิต ซึ่งทำหน้าที่เป็นพระสงฆ์ฟังแก้บาปของพระเจ้าเฟลีเป ที่ 5 เพื่อขอให้ทูลเรื่องความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าและการร้องขอให้สมเด็จพระสันตะปาปาทรงอนุมัติให้มีการทำพิธีมิสซาและการทำวัตรเพื่อเป็นเกียรติต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าในดินแดนสเปนกับพระเจ้าเฟลีเปที่ 5 ผลปรากฏว่าพระสงฆ์ผู้ทำแก้บาปองค์นั้นเห็นด้วยกับความคิดนี้และยินดีจะช่วยทูลเรื่องนี้ให้ พระสงฆ์เยซูอิตองค์นั้นจึงได้เขียนแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านทราบ ฝั่งท่านเมื่อทราบก็มีความยินดี และได้เขียนตอบกลับไปว่า “ที่นี่ปล่อยให้ดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าทรงทำงานไปเถิด คุณพ่อที่รัก บัดนี้สิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้มากที่สุดในแผนปฏิบัติการนี้ได้เริ่มแล้ว ตอนนี้ขอให้เราวอนขอต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าว่า ‘ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดลพระราชหฤทัยขององค์กษัตริย์ให้เป็นไปตามพระองค์ประสงค์เถิด’ เราจงปล่อยให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำงานไป เราไม่จำเป็นต้องทำในส่วนของเราเกินไปกว่าส่วนที่พระองค์ทรงดลใจเราไว้ ดังคติพจน์ของคุณพ่อเกาซิโนที่มาจากคำพูดของท่านผู้ชี้นำอันศักดิ์สิทธิ์ (นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์) ที่ลูกประทับใจว่า อย่าเร่งรีบในเวลาแห่งพระญาณสอดส่อง”

ในขณะที่แผนประการที่ 2 ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นแผนที่ท่านให้ความสำคัญมากที่สุดอย่างการจัดพิมพ์หนังสือ ซึ่งท่านมองว่าจะช่วยทำให้ความศรัทธายิ่งหยั่งรากแก้วลงในดินแห่งสเปนได้อย่างมั่นคงมากขึ้นในท่ามกลางภาวะที่ความศรัทธานี้ยังไม่เป็นที่รู้จักเสียเท่าไรในดินแดนแห่งนี้ ในเบื้องต้นท่านปรารถนาให้มีการแปลหนังสือของคุณพ่อเดอ กัลลิเฟตจากภาษาละตินเป็นภาษาสเปน และเมื่อท่านทราบว่าเวลานี้คุณพ่อเด เปญาโลซากำลังแปลหนังสือ ‘ความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัยของพระสวามีเยซูคริสตเจ้า’ (La dévotion au Sacré-Cœur de Notre-Seigneur Jésus-Christ, ค.ศ. 1691) ของคุณพ่อฌอง ครัวส์เสต พระสงฆ์เยซูอิตชาวฝรั่งเศสผู้ที่นักบุญมาร์การิตา มารีอา อาลาก๊อก มอบความไว้วางใจให้เขียนหนังสืออธิบายถึงความศรัทธานี้ในช่วงบั้นปลายชีวิตของท่านนักบุญจากภาษาฝรั่งเศส ท่านจึงมีความยินดี รวมถึงเฝ้ารอให้หนังสือเล่มนี้แล้วเสร็จโดยไว โดยไม่ได้มีความกังวลใจว่าหากในอนาคตมีการแปลหนังสือของคุณพ่อเดอ กัลลิเฟตออกมาอีก หนังสือสองเล่มนี้จะทำให้เกิดความสับสน แต่เมื่อการแปลของคุณพ่อเด เปญาโลซาที่เป็นไปอย่างล่าช้า (หนังสือเล่มนี้แปลเสร็จและตีพิมพ์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1734 ที่เมืองปัมโปลนา) ท่านจึงตัดสินใจว่าการรอการแปลหนังสือจากภาษาต่างประเทศไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดเพื่อทำให้แผนประการที่ 2 สำเร็จไป แต่จะต้องมีหนังสือคู่มือเล่มเล็ก ๆ เขียนขึ้นด้วยภาษาสเปน ที่ให้ความรู้ด้านเทววิทยาสำหรับผู้คนในประเด็นเรื่องความศรัทธานี้โดยไวที่สุด ดังนั้นด้วยวิสัยทัศน์ที่มองว่าสื่ออย่างหนังสือเป็น ‘สิ่งจำเป็น’ ท่านจึงได้ขอให้คุณพ่อฆวน เด โลโยลาช่วยทำงานนี้ให้สำเร็จไป


แต่ทีแรกที่ท่านแจ้งความประสงค์นี้กับคุณพ่อเด โลโยลา คุณพ่อก็ได้ปฏิเสธเนื่องจากคุณพ่อมองว่าตัวเองไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น รวมถึงไม่มีเวลาพอที่จะทำงานชิ้นนี้ได้ตามที่ท่านหวัง แต่ด้วยการรบเร้าหลายครั้งเข้าท่านก็สามารถโน้มน้าวให้คุณพ่อเด โลโยลายอมที่จะทำงานชิ้นนี้ ด้วยการส่งแนวคิดรวมถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาให้คุณพ่อใช้เป็นต้นทางในการเขียน (จึงอาจกล่าวได้ว่าผลงานชิ้นนี้ท่านเป็นผู้วางโครงต่าง ๆ ในขณะคุณพ่อเด โลโยลาเป็นผู้เขียนให้ทุกสิ่งที่ท่านต้องการออกมาเป็นรูปเล่มหนังสือ) และเป็นอีกครั้งที่พระเยซูเจ้าทรงทำพระราชกิจอันน่าพิศวง เมื่อเอาเข้าจริง ถึงแม้จะรับปากไปที่จะเขียนแล้ว คุณพ่อเด โลโยลาก็ยังคงมีความกังวลว่าตนจะสามารถทำงานชิ้นนี้ได้อย่างไร คุณพ่อจึงมอบถวายความวางใจไว้ในดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า และในไม่ช้าเพียงสัปดาห์ถึงสองสัปดาห์ให้หลัง คุณพ่อก็สามารถจัดส่งต้นฉบับหนังสือ ‘ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง’ ไปให้ท่านตรวจทานได้

เมื่อได้ต้นฉบับมาแล้ว ท่านก็ไม่ได้ลงมือตรวจทานในทันที เนื่องจากท่านได้รับคำสั่งให้เดินทางไปเป็นเพื่อนสามเณรคนหนึ่งที่ต้องกลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน ท่านจึงจำต้องละจากงานที่มุ่งมั่นตั้งใจนี้และนบนอบเชื่อฟังคำสั่งของผู้ใหญ่ติดตามเพื่อคนดังกล่าวกลับบ้านไป การติดตามครั้งนี้กินเวลาทั้งสิ้นยี่สิบวัน ท่านจึงสามารถกลับมาที่เมืองบายาโดลิด และเริ่มทำการตรวจทานต้นฉบับหนังสือที่ค้างไว้จนแล้วเสร็จ หลังจากนั้นท่านจึงได้ส่งต้นฉบับหนังสือไปรับการตรวจสอบจากทางผู้ใหญ่ในคณะเยซูอิตและในสังฆมณฑลบายาโดลิดและได้รับอนุญาตให้ตีพิมพ์ได้ แต่เมื่อใกล้จะส่งต้นฉบับที่ได้รับการแก้ไขไปตีพิมพ์ ทางเจ้าคณะเยซูอิตก็ขอให้ส่งต้นฉบับไปให้สันตะสำนักตรวจอีกแห่ง เนื่องจากเป็นกิจศรัทธาพิเศษใหม่ ทำให้ต้องใช้เวลาอีกประมาณสองถึงสามเดือนเพื่อรอคำตอบ ซึ่งก็นับเป็นพระพรที่ทางสันตะสำนักให้คำตอบมาว่ามิได้ข้อขัดข้องประการใดที่จะมีการตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ รวมถึงมีความเห็นในเชิงบวก

หนังสือขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ฯ 
ฉบับตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1735

ดังนั้นท่านที่ทราบคำตอบเช่นนี้ก็มีความยินดี และได้เร่งไปแจ้งให้คุณพ่อเจ้าคณะแขวงทราบ แต่อุปสรรคใหม่ก็ปรากฏมาอีกครั้ง เมื่อท่านได้รับแจ้งว่าในเวลานี้มีหนังสือที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันจะถูกตีพิมพ์ขึ้นพร้อม ๆ กัน คือ หนังสือคู่มือการสวดภาวนาต่อดวงพระหฤทัยซึ่งเขียนโดยคุณพ่อเปโดร เด กาลาตายุด หนึ่งสมาชิกกลุ่มสหายทั้งห้า ทำใหทางผู้ใหญ่ก็มีความเห็นว่าด้วยเนื้อหาที่ใกล้กันการตีพิมพ์หนังสือทั้งสองเล่มจะมากไปหรือไม่ แต่ในขณะที่หนังสือที่ท่านคาดหวังไว้มีแววจะเป็นหมัน ก็เป็นอีกครั้งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำกิจการอันน่าพิศวผ่านการทรงดลใจให้ทางผู้ใหญ่ในคณะเยซูอิตเล็งเห็นว่าเนื้อหาของหนังสือทั้งสองเล่มที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือในขณะที่หนังสือของคุณพ่อเด กาลาตายุด เป็นคู่มือสำหรับการสวดภาวนาภายใต้ความศรัทธาพิเศษนี้ หนังสือของคุณพ่อเด โลโยลา จะเป็นหนังสืออธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจรากฐานทางเทววิทยาต่อความศรัทธาพิเศษนี้ เหตุฉะนี้จึงไม่มีข้อขัดข้องที่หนังสือทั้งสองจะถูกตีพิมพ์ออกมาพร้อมกันได้

ด้วยมูลเหตุนี้เองที่สุดในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1734 หนังสือขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ยิ่งก็ได้รับการตีพิมพ์ในเมืองบายาโดลิด โดยระบุเพียงว่าคุณพ่อเด โลโยลาเป็นผู้แต่ง และได้รับทุนสนับสนุนการพิมพ์จากพระคุณเจ้ามานูเอล เด ซามาเนียโก พระอัครสังฆราชแห่งบูร์โกส หนึ่งในพระสังฆราชที่ได้ตอบรับการรณรงค์เผยแพร่ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยในสเปน ส่วนท่านที่ทำงานอยู่เบื้องหลังหนังสือเล่มเล็ก ๆ นี้อย่างร้อนรนและซ่อนเร้นจากสายตาของคนภายนอก เมื่อท่านได้หนังสือที่ถูกตีพิมพ์อย่างเป็นทางการมา ท่านก็มิได้ลำพองใจว่าตนเองเป็นเพียงสามเณรใหญ่ แต่กลับทำงานชิ้นนี้ออกมาได้ ตรงกันข้ามด้วยความถ่อมใจ ท่านโมทนาคุณพระเจ้าและได้แอบนำหนังสือดังกล่าวซ่อนไว้ในเครื่องแบบนักบวชในเวลาไปรับศีลมหาสนิท เพื่อยกถวายผลงานชิ้นนี้ให้แด่ดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ผู้เป็นต้นทางแห่งเปลวไฟที่สุมอยู่ในหัวใจของท่าน และเพื่อให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการทั้ง 7 ประการ หนังสือที่ถูกตีพิมพ์ในครั้งนี้จำนวนหนึ่งจึงได้ถูกนำไปทูลเกล้าฯ ถวายให้พระเจ้าฟิลิปที่ 5 และพระราชวงศ์จำนวนหนึ่งในสเปน ในขณะที่หนังสืออีกส่วนหนึ่งได้ถูกส่งกระจายไปยังอารามและศูนย์กลางทางศาสนาตามหัวเมืองสำคัญในดินแดนสเปน และดูเหมือนว่าผลตอบรับต่อหนังสือเล่มนี้จะเป็นไปในทิศทางที่ดี เพราะเพียงไม่กี่ปีที่มีการพิมพ์ครั้งแรกในเมืองบายาโดลิด ก็ปรากฏการตีพิมพ์หนังสือเล่มดังกล่าวอีกถึงแปดครั้งในแปดเมือง

หนังสือนพวารต่อดวงพระหฤทัยฯ พิมพ์โดยคณะเยซูอิต 
ที่ประเทศโคลอมเบีย ที่ต้องการเผยแพร่ความศรัทธาพิเศษนี้

เมื่อหนังสือซึ่ง ‘อธิบายถึงแก่นแท้และความถูกต้องต่อความศรัทธาพิเศษนี้’ สำเร็จไปแล้ว ท่านจึงได้เริ่มปฏิบัติการตามแผนประการที่ 4 คือ การจัดทำนพวารต่อดวงพระหฤทัยขึ้น โดยอาศัยความช่วยเหลือจากคุณพ่อเด โลโยลา และภายหลังท่านได้รับศีลบวชได้ 6 เดือน จึงมีการจัดพิธีนพวารนี้เป็นครั้งแรกที่วิทยาลัยนักบุญอัมโบรสซิโอ เมืองบายาโดลิด มีข้อมูลว่าบทนพวารที่ใช้ในคราวนั้นได้ถูกตีพิมพ์ขึ้นและหมดลงอย่างรวดเร็ว ส่วนในแผนปฏิบัติการข้อที่ 3 ท่านได้นำรูปพระหฤทัยที่ตีพิมพ์อยู่ที่หน้ารูปภาพพิเศษหรือหน้ารูปภาพตรงข้ามหน้าปกใน (frontispiece) ของคุณพ่อเดอ กัลลิเฟตซึ่งเป็นรูปดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าถูกแทงด้วยหอก มีมงกุฏหนามล้อมรอบ และมีไม้กางเขนปักอยู่มาตีพิมพ์เป็นการ์ดศักดิ์สิทธิ์จำนวนหลายพันใบเพื่อแจกจ่ายไปยังผู้คน เป็นพิเศษกลุ่มผู้ไม่รู้หนังสือซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของแผนปฏิบัติการนี้ โดยในเบื้องต้นท่านได้สั่งแม่พิมพ์ภาพมาจากอิตาลีโดยตรง ก่อนที่ในเวลาต่อจะมีการทำแม่พิมพ์ขึ้นที่สเปน และด้วยการเข้าถึงง่ายของสื่อประเภทรูปภาพ ทำให้ในไม่ช้าภาพพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นที่แพร่หลายในสังคมสเปนไม่ว่าจะชนชั้นไหน

นอกจากการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ 7 ประการ ในช่วงระยะแรกของการดำเนินแผนเหล่านี้ คุณพ่อเปโดร เด กาลาตายุดยังได้มีความคิดจะก่อตั้งกลุ่มฆราวาสเพื่อรณรงค์เรื่องความศรัทธาพิเศษนี้ในนาม ‘คณะพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระเยซูเจ้า’  ขึ้นตามที่ต่าง ๆ ที่คุณพ่อเดินทางไป แต่ในทีแรกที่ท่านทราบความคิดนี้ของคุณพ่อเด กาลาตายุด ท่านได้รบเร้าให้คุณพ่อฆวน เด โลโยลาเขียนจดหมายไปสอบถามแนวทางจากคุณพ่อเดอ กัลลิเฟต ซึ่งบัดนี้ลาเกษียณอยู่โรงเรียนของคณะเยซูอิตในเมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส คุณพ่อเด โลโยลาจึงได้ยอมทำตามแม้คุณพ่อจะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรที่จะต้องทำเช่นนี้ เป็นเวลาเดียวกันกับที่คุณพ่อเด กาลาตายุดเองก็ได้เขียนจดหมายไปสอบถามเรื่องนี้กับคุณพ่อเดอ กัลลิเฟตเช่นกัน แต่แม้คุณพ่อเดอ กัลลิเฟตจะยินดีกับการเริ่มลงหลักปักฐานในแผ่นดินสเปนของดวงพระหฤทัยเมื่อได้รับจดหมายทั้งสองฉบับ แต่คุณพ่อก็มิได้ให้แนวทางอะไรอย่างที่ท่านต้องการมา คุณพ่อเพียงแนะนำว่าต้องวางธรรมนูญของคณะนี้ให้สอดคล้องกับประเทศและสมาชิกของคณะ


ดังนั้นด้วยความร้อนรนซึ่งเป็นนิสัยของคุณพ่อเด กาลาตายุด คุณพ่อจึงไม่รั้งรอสิ่งใดอีกและได้เริ่มคณะพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระเยซูเจ้าเป็นครั้งแรกในเมืองโลร์กา ประเทศสเปนใน ค.ศ. 1733 ในทันที โดยในจดหมายที่คุณพ่อแจ้งกับท่านในวันที่ 25 ตุลาคม ปีเดียวกัน คุณพ่อได้แจ้งว่าสมาชิกกลุ่มแรกเป็นชาย 36 และหญิง 36 คนจากโรงเรียนของคณะเยซูอิต เรื่องนี้เมื่อท่านทราบ ในเบื้องต้นท่านไม่เห็นด้วยเท่าไรกับการตัดสินใจของคุณพ่อเด กาลาตายุด ที่ดูเหมือนคุณพ่อเด โลโยลาจะเห็นชอบด้วยเท่าไร เพราะท่านมองว่าคุณพ่อควรเริ่มวางรากฐานกลุ่มดังกล่าวที่กรุงมาดริดที่คุณพ่อมีเครือข่ายที่ดี โดยเริ่มจากภายในราชสำนักก่อน เพราะท่านมองว่าการทำเช่นนี้จะไม่เพียงจะทำให้การก่อตั้งกลุ่มดังกล่าวในเมืองอื่นเป็นไปโดยง่าย แต่ยังจะช่วยสนับสนุนให้แผนปฏิการข้อที่ 7 สามารถเป็นไปได้อีกด้วย แต่เอาเข้าจริงแล้วท่านไม่เห็นด้วยที่จะเร่งรัดการตั้งกลุ่มนี้โดยไม่มีแนวทางจากคุณพ่อเดอ กัลลิเฟตในเวลานี้ เพราะท่านมองว่าการขาดแนวทางจากทางฝรั่งเศสจะทำให้กลุ่มที่ได้ดำเนินไปอย่างไม่มีทิศทางและไม่มีความมั่นคง รวมถึงเวลานี้ยังไม่เหมาะสมเท่าใดที่จะทำการเช่นนี้ ทั้งเสนอว่าควรสนับสนุนให้ผู้คนหันมามีความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัย ซึ่งจะทำให้พวกเขาปรารถนาที่จะรวมกลุ่มกันมากกว่าการไปจัดตั้งกลุ่มให้พวกเขา ดังนั้นท่านจึงเขียนข้อคิดเห็นที่ท่านมีไปหาคุณพ่อเด โลโยลาเพื่อขอให้คุณพ่อช่วยไปคุยกับคุณพ่อเด กาลาตายุดให้ในประเด็นที่ท่านเป็นกังวลในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1733

แต่ที่สุดองค์พระเยซูเจ้าก็ทำให้ท่านเข้าใจว่า การกระทำเช่นนี้ของคุณพ่อเด กาลาตายุดไม่ใช่ผลงานจากปรีชาญาณของมนุษย์ หากแต่เป็นปรีชาญาณของพระเจ้าที่ได้ทรงใช้อุปนิสัยอันร้อนรนของคุณพ่อให้เป็นประโยชน์แก่งานที่พระองค์ทรงทำในแผ่นดินสเปน ท่านจึงเปลี่ยนความคิดจากที่เดิมท่านมองว่า สิ่งที่จำเป็นต้องทำในระยะแรกคือการสร้างความร้อนรนในเรื่องพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าให้กับบรรดาธรรมทูตก่อน แล้วจึงค่อยทำการจัดตั้งกลุ่มฆราวาส เป็นการมองว่าการทำทั้งสองสิ่งสามารถทำไปได้พร้อม ๆ กัน ดังที่ท่านเขียนยอมรับในเวลาต่อมาว่า “ในเรื่องของคุณพ่อกาลาตายุดลูกได้เล็งเห็นพระจิตเจ้า ‘ผู้ไม่รู้จักความล่าช้า’ เป็นองค์พระสวามีเจ้าเองที่ได้ทรงอวยพระพรให้แก่ความกล้าหาญในความร้อนรนอันศักดิ์สิทธิ์นี้ หากดวงพระหฤทัยนั้นก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็วกว่าความคิดอ่านของเรา เราควรจะทำอย่างไรเพื่อไล่ตามการจัดวางอันแสนน่ารักของพระองค์เล่า ด้วยความรู้สึกประหลาดใจกับความเร่งรีบนี้ลูกได้ยินเสียงตรัสว่า ‘ลูกคิดว่านี่เป็นผลงานของมนุษย์ดอกหรือ ไม่ใช่เลย สิ่งนี้มาจากพระบิดานิรันดรของเรา ผู้ทรงพอพระทัยดวงหทัยของเรา’ นี่แหละคือคำตอบสำหรับสิ่งที่ปัญญาไม่อาจตอบได้” ดังนั้นจากเหตุการณ์นี้เอง จึงทำให้เห็นว่าเมื่อได้รับมอบหมายภารกิจจากพระเยซูเจ้า ท่านเองก็ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่ยังคงมีสายตาสั้นกว่าสายตาของพระเจ้า

เราจะขึ้นเป็นกษัตริย์ครองดินแดนสเปน 

อาจกล่าวได้ว่าในระหว่างการดำเนินงานเพื่อการเผยแพร่พระหฤทัยของพระเยซูเจ้าให้เป็นรู้จักในสเปนเริ่มต้นขึ้นในกลาง ค.ศ. 1733 แม้ท่านจะได้รับการเตรียมวิญญาณให้พร้อมมาก่อนหน้า ท่านก็ไม่ได้พร้อมไปเสียทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็น ‘ฐานะ’ หรือ ‘ความคิด’ แต่พระเยซูเจ้าผู้แสดงดวงพระหฤทัยอันลุกร้อนไปด้วยเปลวไฟแห่งความรักของพระองค์ก็ได้ทรงใช้เวลาเดียวกันนี้ค่อย ๆ สอนท่านให้เข้าใจ ‘ความน่าพิศวง’ ที่พระองค์ทรงสามารถทำได้ดุจถ้อยคำในหนังสือสดุดี และด้วยการเปิดหัวใจของท่านให้พระองค์ทรงทำงาน สอนสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และเงี่ยหูอย่างตั้งใจเพื่อเข้าใจความมหัศจรรย์ของพระเจ้า นี่เองทำให้ท่านค่อย ๆ เอาชนะความเป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ ซึ่งก่อเกิดให้ความกังวลและความกลัว ต่อสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ ความเข้าใจตามประสามนุษย์ และความอ่อนแอในธรรมชาติมนุษย์ และสามารถทำหน้าทั้งในฐานะ ‘นักเรียน’ และ ‘ธรรมทูตแห่งดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า’ ได้ในเวลาเดียวกันได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ดังที่ท่านเขียนในตอนหนึ่งของจดหมายที่ท่านแสดงความกังวลใจต่อเรื่องกลุ่มที่คุณพ่อเด กาลาตายุตรีบจัดตั้งขึ้นว่า “คุณพ่อที่รัก ลูกไม่ทราบเช่นกันว่าความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะลูกคิดถึงเรื่องนี้เพียงเล็กน้อย และไม่ทันจะได้คิดมากไป ลูกก็พบว่ามันสำเร็จลงไปเป็นที่เรียบร้อย บางทีอาจเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงดลใจเขาเพื่อให้คารวะกิจของพระองค์เป็นที่รู้จัก และลูกก็ยังคงอยู่ในสันติและความสงบในหัวใจกับการเรียน ซึ่งไม่เคยลดน้อยถอยลงไป ที่จริงเมื่อท่านนักบุญลูกาได้ประจักษ์มาเยี่ยมเยียนลูก ลูกก็พบว่าลูกได้รับความรู้มากเท่ากับที่ลูกเรียนในสามเดือนเลยทีเดียว เป็นดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้านั่นเองที่ทรงบันดาลให้เกิดทุกสิ่งและประทานกำลังแก่ทุกสิ่ง”

และในเวลาเดียวกันกับที่ทรงสอนท่านให้เข้าใจว่า พระเจ้าทรงเป็น ‘ผู้ทรงกระทำกิจการอันล้ำลึกเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจได้’ (ผู้วินิจฉัย 13 : 19) พระองค์ก็ทรงคอยเติมเชื้อไฟแห่งความร้อนรนที่จะประกาศถึงความรักของพระเจ้า ผ่านดวงพระหฤทัยของพระองค์ให้มนุษย์ได้รับรู้ให้กับท่าน เพื่อให้ท่านมีกำลังที่จะส่งต่อความรักของพระองค์ที่แสดงผ่านดวงพระหฤทัยไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย สิ่งนี้ได้ทำให้ท่านยิ่งพบความกล้าหาญที่จะเอาชนะข้อจำกัดที่ท่านมีเพื่อทำงานชิ้นนี้ ท่านเคยเขียนเล่าให้คุณพ่อเด โลโยลาฟังในจดหมายฉบับเดียวกันกับที่ท่านแสดงความกังวลเรื่องคุณพ่อเด กาลาตายุตว่า
    “สิ่งที่ดวงพระหฤทัยได้ทำกับลูกนั้นไม่อาจพรรณนาหรืออธิบายได้ ลูกถูกจู่โจมด้วยความรักของพระองค์ และถูกปล่อยไว้ในกองเพลิงอันลุกโชนของบรรดาเซราฟีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันอาทิตย์ เมื่อลูกได้รับศีลมหาสนิท ลูกรู้สึกได้ถึงชีวิตอยู่ภายในตัวลูก ชีวิตที่เป็นศูนย์กลางแห่งความปรารถนาทั้งหลายของลูก ลูกรู้สึกเหมือนตัวลูกจะระเบิดออกด้วยพลังอันร้อนแรงจากความรักและความสุขอันอ่อนโยนที่เอ่อท่วม และหากในเวลาลูกโมทนาคุณพระองค์ หัวใจของลูกไม่พองโตด้วยเปลวไฟแห่งรักที่ลุกโชนและแผดเผา ลูกก็คงจะม้วยมรณาจากโลกนี้ไปอย่างไม่ต้องสงสัย พระองค์ทรงไขให้เสียงกำสรวลประกาศก้องถึงวิญญาณของสิ่งสร้างทั้งหลายให้มารักดวงพระหฤทัยที่แสนน่ารักขององค์พระเยซูเจ้าของลูกระเบิดออกมาจากอกของลูก และด้วยความร้อนรนเหนือมนุษย์ลูกกู่ร้องเช่นเดียวกับท่านนักบุญออกัสตินว่า ‘จงวิ่งมาเถิดท่านผู้ชอบธรรม จงวิ่งมาเถิดท่านผู้เป็นคนบาป จงวิ่งมาเถิดท่านผู้เป็นประชากรทั้งหลาย จงวิ่งมา วิ่งมาหาดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า’
    ในเวลานั้นลูกได้ยินเสียงอันอ่อนละมุลดังอยู่ภายในใจ ตรัสสิ่งเดียวกับที่ทรงตรัสกับข้ารับใช้ผู้ยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือเด กูลตู กอร์ดิส (หนังสือของคุณพ่อเดอ กัลลิเฟต) ‘จงวอนขอสิ่งที่ลูกปรารถนาผ่านทางดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระบุตรของเราเถิด และเราจะประทานสิ่งนั้นให้แก่ลูก’ และโดยไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ลูกได้ทูลให้ทรงขยายอาณาจักรแห่งดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์เดียวในแผ่นดินสเปน และลูกก็เข้าใจสิ่งที่ลูกได้รับมอบหมาย ซึ่งด้วยความยินดีอันหวานชื่นต่อพระวาจานี้ วิญญาณของลูกเหมือนถูกฝังไว้ในดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เหมือนร่างไร้ชีวิตได้ถูกฝัง หลายครั้งหลายคราในแต่ละวันรู้สึกถูกจู่โจมด้วยความรัก มันทวีความปรารถนา ความปรารถนาที่จะเผยแพร่ความรักของดวงพระหฤทัยอันแสนน่ารักของพระเยซูเจ้าไปยังโลกใหม่ ไปจนทั่วทั้งจักรวาลให้หัวใจที่น่าสมเพชของลูก สิ่งนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งเมื่อลูกอยู่เบื้องหน้าศีลศักดิ์สิทธิ์”
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า เมื่อท่านได้มอบทุกสิ่งที่ท่านมีให้พระเจ้า พระเจ้าจึงสามารถส่งผ่านความรักของพระองค์ลงมาในวิญญาณของท่านได้อย่างเต็มที่ ความรักนี้เองทำให้ท่านทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เหมือนที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำเมื่อทรงจะต้องรับทรมานในสวนเกทเสมนี นั่นคือการเอาชนะความอ่อนแอตามประสามนุษย์ ซึ่งหวาดกลัวต่อความไม่รู้และความอ่อนแอของตัวเอง เพื่อจะส่งความรักของพระเจ้าให้โลกได้รู้  


ไม่เพียงพระเยซูเจ้าจะทรงเป็นกำลังให้ท่านในการดำเนินงาน ในระหว่างนี้พระองค์ยังโปรดส่งผู้รับใช้ของพระองค์จากสวรรค์จำนวนหนึ่งให้มาเป็นกำลังใจให้ท่าน เพื่อท่านมีความมั่นใจว่าท่านกำลังทำในสิ่งที่พอพระทัย คราวหนึ่งในวันฉลองพระนางมารีย์เสด็จเยี่ยมนางเอลิซาเบธ ( 2 กรกฎาคม ) นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ และนักบุญมาร์การิตา มารีอา อาลาก๊อก ได้ประจักษ์มาหาท่าน นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ได้ขอบคุณสำหรับการอุทิศตนเพื่อการเผยแพร่ความศรัทธาต่อพระหฤทัยของท่านและบอกให้ท่านหมั่นวอนขอความปรารถนต่อดวงพระหฤทัย เพื่อประโยชน์ของการดำเนินงานนี้ ในขณะที่นักบุญมาร์การิตามิได้กล่าวอะไร แต่ท่านทราบในภายในว่าท่านนักบุญมีความยินดีเพียงใดที่ท่านได้เป็นกำลังในการเผยแพร่ความศรัทธา ที่ท่านนักบุญรักและปรารถนาส่งต่อให้มนุษย์ทุกคน

อีกครั้งหนึ่งในวันฉลองนักบุญอิกญาซีโอ (31 กรกฎาคม) เมื่อกำลังจะรับศีลมหาสนิทท่านได้เห็นนักบุญอิกญาซิโอและนักบุญฟรังสซิส เซเวียร์ขนาบข้างท่าน และเมื่อท่านรับศีลมหาสนิทแล้ว นักบุญอิกญาซีโอได้ย้ำสิ่งเดียวกับที่แม่พระได้ไขแสดงแก่นักบุญมารีอา มาร์การิตา อาลาก๊อก ในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1688 คือ พระเป็นเจ้าได้ทรงประสงค์ให้คณะเยซูอิตและคณะพระนางมารีย์เสด็จเยี่ยมนางเอลิซาเบธเป็นผู้ทำงานเผยแพร่ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระองค์ อันจะเป็นท่อธารนำความศักดิ์สิทธิ์มาสู่พระศาสนจักร โดยที่ท่านมีหน้าที่เป็น ‘คนกลาง’ เพื่อส่งเสริมคารวะกิจนี้ให้แพร่หลาย ผ่านการสวดภาวนาและการร่วมงานกับคารวะกิจนี้ และเมื่อเวลาที่สมควรมากถึงท่านจะได้ทำมากกว่านี้ แต่ในเวลานี้สิ่งที่ท่านต้องทำมีเพียงการประกาศถึงคารวะกิจนี้ต่อไปก่อน (คำกล่าวเช่นนี้ของนักบุญอิกญาซีโอทำให้ยิ่งตระหนักได้ว่าในฐานะสามเณรใหญ่ท่านจะทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์อย่างไร ท่านจึงยกถวายตัวเองทั้งครบและทุกสิ่งที่มีเพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์นี้) และเมื่อท่านนักบุญจะจากไป ท่านนักบุญได้ฝากให้ท่านบอกกับคุณพ่ออากุสติน เด กาดาเวรัซ (พ.น.) ให้ร่วมในภารกิจนี้ และได้ให้ท่านไปบอกกับคุณพ่อเด โลโยลา (ว.ร.) ว่าเป็นท่านนักบุญเองในฐานะบิดา ที่ได้เลือกคุณพ่อให้ทำภารกิจนี้ตามกำลังที่คุณพ่อจะทำได้ อาศัยความช่วยเหลือของดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า


อัครเทวดามีคาแอลยังเป็นผู้หนึ่งที่ได้ประจักษ์มาหาท่าน ท่านบันทึกว่าในวันฉลองอัครเทวดามีคาแอล (29 กันยายน) ครั้งหนึ่งซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ปีนั้นพอดี หลังจากท่านรับศีลมหาสนิท ท่านได้เห็นอัครเทวดามีคาแอลประจักษ์มาอยู่ข้าง ๆ ท่าน อัครเทวดาได้บอกวิถีทางที่ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระเป็นเจ้าจะแพร่หลายไปในดินแดนสเปน รวมไปถึงทั่วพระศาสนจักรได้อย่างไร แม้ในวันหนึ่งการเผยแพร่คารวะกิจนี้จะต้องประสบกับการต่อต้าน แต่ที่สุดคารวะกิจนี้ก็จะมีชัยชนะ อัครเทวดามีคาแอลยังได้กล่าวหนุนใจท่านอีกว่า ในฐานะเจ้าชายแห่งพระศาสนจักร อัครเทวดาจะคอยช่วยเหลือพันธกิจนี้ “พันธกิจที่องค์พระสวามีเจ้ามีพระประสงค์ทำผ่านพวกเรา ความยากลำบากจะเกิดขึ้นเช่นกัน แต่พวกเราจะได้รับความช่วยเหลือจากท่าน” ท่านเขียนสรุป

ในการดำเนินงานเพื่อทำให้ความรักของพระเจ้าที่แสดงผ่านดวงพระหฤทัยที่เผยออก จากสิ่งที่ท่านได้ปฏิบัติ อาจกล่าวได้อีกว่าในขณะที่สวรรค์ทำสิ่งพิศวงให้เกิดขึ้น โดยการสอนและหนุนนำใจท่าน ตัวท่านเองก็ทำในสิ่งเดียวกันกับที่อัครสาวกแห่งดวงพระหฤทัยของพระองค์อย่างนักบุญโกล้ด เดอ ลา โกลอมบีแอร์ได้ปฏิบัติเช่นเดียวกันที่ฝรั่งเศสเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา คือ การตระหนักถึงความว่างเปล่าของวิญญาณ ความว่างที่มีความหมายถึงการตระหนักถึงความเป็นจริงที่ว่า วิญญาณทุกดวงไม่สามารถทำทุกสิ่งได้ โดยเฉพาะการบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์ โดยปราศจากความช่วยเหลือของพระเจ้า ดังนั้นวิญญาณจึงต้องต่อสนิทกับพระเจ้าและยอมให้พระเจ้าดำรงอยู่ในวิญญาณ และเมื่อวิญญาณตระหนักรวมถึงทำดังนี้ วิญญาณจึงมีพื้นที่ว่างพอที่พระเจ้าจะทรงเติมพระหรรษทานที่จำเป็นที่ทรงเตรียมไว้สำหรับวิญญาณดวงนั้น ซึ่งไม่เพียงทำให้วิญญาณดวงนั้นบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังกลายเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยวิญญาณดวงอื่น ๆ ให้บรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนว่าด้วยความตระหนักรู้ในลักษณะเช่นนี้ ทำให้ท่านเลือกที่จะมอบถวายทุกสิ่งให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ด้วยการยินยอมให้พระเจ้าทรงเข้ามาทำงานในชีวิตต่อไปของท่านผ่านการมอบทุกสิ่งที่มีเพื่อทำตามน้ำพระทัย โดยเฉพาะเมื่อได้รับมอบหมายให้ต้องทำให้สเปนรู้จักกับความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัย อันเป็นเครื่องหมายถึงการยอมรับว่าวิญญาณนั้นไม่มีความสามารถใดหากไร้พระเจ้า ความเข้าใจเช่นนี้เองทำให้พระเยซูเจ้าได้ค่อย ๆ แสดงให้ท่านเห็นว่า พระองค์จะทรงทำให้ความรักของพระองค์ ที่แสดงผ่านรูปลักษณ์ของดวงพระหฤทัยแพร่ขยายไปทั่วสเปนและทั่วโลกได้อย่างไร และทำให้ท่านก้าวข้ามความกลัวตามประสามนุษย์ไปเป็นเครื่องมือที่ประสิทธิภาพของดวงพระหฤทัยได้ในที่สุด


วันเวลาของการทำงานเพื่อขยายความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าล่วงเลยมาได้ปีกว่า ในขณะที่งานต่าง ๆ กำลังดำเนินไปตามแผนปฏิบัติการทั้ง 7 ด้วยความร่วมมือของกลุ่มสหายทั้งห้าดังที่ได้เล่ามาก่อนหน้า ท่านก็เรียนจบการศึกษาด้านเทววิทยาและเข้าใกล้ความฝันที่จะเป็นพระสงฆ์เพื่อทำงานในท้องทุ่งแห่งวิญญาณ แต่ในขณะที่กำลังจะได้ยินดีกับศักดิ์ศรีของผู้รับใช้บนพระแท่นบูชา ท่านก็ต้องพบกับอุปสรรคใหญ่เหมือนคราวท่านจะเข้าคณะเยซูอิต เมื่ออายุท่านในเวลานั้นซึ่งคือ 23 ปี เป็นอายุที่ต่ำกว่าเกณฑ์อายุขั้นต่ำของผู้จะได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ในเวลานั้นที่กำหนดไว้ที่ 24 ปี ทำให้ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะบวชเป็นพระสงฆ์พร้อมกับบรรดาเพื่อนร่วมชั้นของท่านที่จบการศึกษาในปีเดียวกันใน ค.ศ. 1734 บรรดาเพื่อนของท่านที่ทราบเช่นนี้ก็ต่างไม่เห็นด้วย และได้พากันคะยั้นคะยอขอให้ท่านไปขออนุญาตจากผู้ใหญ่ให้ท่านได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ แต่ท่านก็ได้ปฏิเสธและเลือกที่จะนบนอบต่อกฏที่ถูกวางไว้นี้อย่างกล้าหาญ และนี่เป็นอีกคราวที่ “การกระทำของพระองค์ต่อมนุษย์ช่างน่าพิศวง” (สดุดี 66 : 5)

เมื่อผู้ใหญ่ที่ได้เฝ้ามองพฤติกรรมของท่านมาโดยตลอด จนเล็งเห็นถึงนิสัยใจคอและความศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องประกายอยู่ภายในตัวท่าน ได้ตัดสินใจอนุญาตให้ท่านที่อายุเพียง 23 ปี ได้รับการยกเว้นให้บวชเป็นพระสงฆ์ได้พร้อมเพื่อน ๆ ในปีนั้น ทำให้ในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1734 ท่านจึงได้บวชเป็นรองสังฆานุกร (subdeacon) ก่อนที่ในวันที่ 31 ธันวาคม ปีเดียวกัน ท่านจึงได้บวชเป็นสังฆานุกร และในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1735 พระคุณเจ้าฆูเลียน โดมินเกซ เด โตเลโด พระสังฆราชแห่งบายาโดลิด จึงได้โปรดศีลบวชเป็นพระสงฆ์ให้ท่านพร้อมเพื่อนสังฆานุกรอีกสองคน ที่วัดน้อยภายในบ้านพักพระสังฆราช หลังจากนั้นให้หลังสี่วันในวันสมโภชพระคริสต์แสดงองค์ที่ 6 มกราคม ท่านจึงได้ทำพิธีมิสซาแรกที่วัดน้อยประจำวิทยาลัยนักบุญอิกญาซีโอ บิดาของชาวเรา เมืองบายาโดลิด และเพื่อเป็นสมาชิกคณะเยซูอิตโดยสมบูรณ์ ภายหลังจากที่ท่านได้ร่วมพิธีนพวารต่อดวงพระหฤทัยอย่างสง่าที่วิทยาลัยนักบุญอัมโบรสซิโอ เมืองบายาโดลิด ในเดือนกันยายนปีเดียวกัน ท่านจึงได้ย้ายมาพักที่วิทยาลัยนักบุญอิกญาซิโอ บิดาของชาวเรา เมืองบายาโดลิด เพื่อ ‘เข้าเงียบใหญ่ครั้งที่ 3’ (Tertianship) ซึ่งเป็นขั้นตอนการเตรียมตัวครั้งสุดท้ายของสมาชิกคณะเยซูอิต ก่อนจะเข้าพิธีปฏิญาณตนตลอดชีวิตตามธรรมนูญของคณะเยซูอิต แต่แล้ว... ในขณะที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอนนี้เอง องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียวกับที่ทรงส่งท่านมายังโลก ก็ทรงเห็นว่าถึงเวลา ‘อันสมควรแล้ว’ สำหรับท่าน


สองเดือนครึ่งหลังการเริ่มเข้าเงียบใหญ่ครั้งที่ 3 ท่านก็เริ่มมีอาการไข้ขึ้นสูงจนลุกไปไหนมาไหนไม่ได้ จนล่วงถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ท่านจึงได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคไข้รากสาดใหญ่ และเพียง 11 วันให้หลังหรือ 15 วันหลังจากล้มป่วย หรือ 10 เดือนให้หลังจากที่ท่านบวชเป็นพระสงฆ์ และเพียง 2 ปีหลังจากท่านเริ่มต้นงานอันยิ่งใหญ่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ.1735 ท่านที่ได้รับศีลเจิมผู้ป่วย จึงได้ยกถวายคืนวิญญาณให้กับพระเจ้าด้วยอายุเพียง 24 ปี ภายหลังจากกล่าวว่า “โอ้ การได้พักพิงในดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าช่างประเสริฐยิ่งนัก” นับเป็นการปิดฉากชีวิตธรรมทูตแห่งดวงพระหฤทัยผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินสเปน ผู้ที่พระเจ้ามิได้ทรงเตรียมเพียงเพื่อเป็นเครื่องมือสื่อความรักของพระองค์ให้โลกรู้ แต่ยังได้ทรงตระเตรียมไว้เพื่อแสดงให้โลกได้เห็นถึงความน่าพิศวงอัศจรรย์ของพระราชกิจของพระองค์ลงอย่างงดงาม ในท่ามกลางความศักดิ์สิทธิ์และความสำเร็จในการเริ่มต้นความศรัทธาพิเศษต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าในแผ่นดินสเปน ซึ่งยืนยันได้ด้วยการที่ในเวลาให้หลังท่านจากไป บรรดาพระสังฆราชและพระเจ้าฟิลิป ที่ 5 ได้พร้อมใจทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอให้สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ทรงอนุญาตให้มีการฉลองพระหฤทัยทั่วแผ่นดินสเปน อันเป็นสิ่งที่อยู่ในแผนปฏิการทั้ง 7 ประการสองข้อสุดท้ายที่ท่านไม่มีโอกาสได้เห็นบนโลกใบนี้

ร่างของท่านถูกฝังไว้ภายในวัดน้อยประจำวิทยาลัย สถานที่แรกที่ท่านได้ประกอบพิธีมิสซาในฐานะพระสงฆ์ และอีก 7 วันต่อมา คุณพ่อมานูเอล เด ปราโด คุณพ่ออธิการและอดีตนวกจารย์ของท่านได้เขียนจดหมายแจ้งข่าวการเสียชีวิตของท่านไปยังบ้านคณะในแคว้นกาสตีลที่ท่านอาศัยอยู่ โดยได้เน้นว่า “ความสมบูรณ์แบบของเขานั้นเหนือกว่าความสมบูรณ์โดยทั่วไป หลายปีที่ผ่านมาพระเจ้าได้ทรงเผยธรรมล้ำลึกอันเร้นลับแห่งสภาวะของพระเจ้าของพระองค์ พร้อมด้วยความศรัทธาพิเศษอันอ่อนละมุลต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแก่เขา นี่ช่างเป็นของขวัญแห่งคำภาวนาที่แสนพิเศษ” ไม่เพียงเท่านั้นคุณพ่ออธิการเจ้าคณะแขวงที่ท่านอยู่ภายใต้ปกครอง ยังมีคำสั่งให้คุณพ่ออธิการของท่านเผยแพร่ชีวประวัติสั้น ๆ ของท่านไปตามบ้านคณะภายในแขวง เพื่อให้สมาชิกได้อ่านกันตามแนวทางที่สงวนไว้สำหรับสมาชิกเยซูอิตที่มีชื่อเสียง นี่เองจึงทำให้ท่านได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับบรรดานวกะเยซูอิตรุ่นใหม่ เช่นเดียวกับที่นักบุญยาน แบร็คมันส์ได้เคยเป็นแรงบันดาลใจให้กับท่านเมื่อครั้งท่านยังเป็นนวกะโดยวิถีทางเช่นเดียวกัน

วัดอัครเทวดามีอาแอลและนักบุญฆูเลียน บายาโดลิด
ซึ่งเดิมเป็นวัดน้อยของวิทยาลัยนักบุญอิกญาซีโอที่ถูกปิดไป

ชะรอยด้วยตระหนักว่าบัดนี้ไม่เพียงแต่คณะเยซูอิตจะได้นักบุญองค์ใหม่ แต่ประเทศสเปนเองก็มีนักบุญองค์ใหม่ เป็นหน่ออ่อนจากคณะเยซูอิตผู้ใช้ชีวิตบนโลกเพียงช่วงสั้น ๆ คุณพ่อฆวน เด โลโยลา คุณพ่อวิญญาณณารักษ์ของท่าน ผู้ทราบดีถึงวิญญาณอันงดงามของท่าน จึงได้เริ่มลงมือรวบรวมจดหมายที่มีจำนวนหลายร้อยฉบับซึ่งส่วนใหญ่จ่าหน้าถึงตัวคุณพ่อเอง บันทึกส่วนตัว และข้อเขียนต่าง ๆ ที่ท่านเขียนไว้ตลอดชีวิต เพื่อนำมาเรียบเรียงเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งคุณพ่อใช้เวลาสี่ปีหลังท่านสิ้นใจ คุณพ่อจึงสามารถตีพิมพ์หนังสือชีวประวัติของท่านในชื่อ ‘ประวัติผู้น่ายกย่องและพระสงฆ์หนุ่มเทวดา คุณพ่อเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส คณะเยซูอิต’  นอกจากนี้คุณพ่อยังได้รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับชีวประวัติของท่านทั้งหมดไว้ที่วิทยาลัยนักบุญอิกญาซีโอ บิดาของชาวเรา เมืองบายาโดลิด เพื่อเป็นพยานด้านเอกสารร่วมกับพยานบุคคลทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่สำหรับบุคคลที่สงสัยใคร่รู้ถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับท่านได้มาแสวงหาคำตอบ ณ ที่แห่งนี้ แต่ในขณะที่ทุกอย่างมีพร้อมไม่ว่าจะเป็นประจักษ์พยานด้านเอกสาร หรือด้านบุคคล กลับไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวใด ๆ เพิ่มเติมหลังมรณกรรมของท่าน ที่แสดงให้เห็นถึงการเริ่มดำเนินเรื่องขอแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ

จนเวลาล่วงเลยถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1767 หรือ 32 ปีหลังมรณกรรมของท่าน พระเจ้าการ์โลส ที่ 3 ก็ทรงมีคำสั่งขับไล่คณะเยซูอิตออกไปจากดินแดนสเปน เนื่องจากสถานภาพของคณะเยซูอิตในเวลานั้นที่ไม่เพียงสามารถครอบครองทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ผ่านบทบาทของการเป็นผู้ให้การศึกษาไปพร้อม ๆ กับหน้าที่ของธรรมทูต แต่ยังมีอำนาจในการทำสิ่งต่าง ๆ จากสิทธิที่ได้จากสมเด็จพระสันตะปาปา จนดูเหมือนสมาชิกคณะดังกล่าวจะลอยตัวจากอำนาจของกษัตริย์ในดินแดนที่คณะดังกล่าวเข้าไปทำงาน รวมถึงมีฐานอำนาจที่มากในการทำสิ่งต่าง ๆ สถานภาพเช่นนี้สร้างความสั่นคลอนในเรื่องพระราชอำนาจของกษัตริย์จำนวนหนึ่งในช่วงเวลานั้น ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ พระเจ้าการ์โลส ที่ 3 จนนำไปสู่ ‘เหตุการณ์การปราบปรามคณะเยซูอิต’ (Suppression of the Society of Jesus) ที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรปฟากตะวันตกและอาณานิคมในโลกใหม่ โดยเริ่มจากโปรตุเกสเป็นแห่งแรกใน ค.ศ. 1759 ก่อนจะตามมาด้วยฝรั่งเศส สเปน มอลตา และอิตาลีบางส่วน ก่อนจะจบลงด้วยการออกข้อสรุปของพระสันตะปาปา (papal brief) ชื่อ ‘องค์พระเจ้าและพระผู้ไถ่’ (Dominus ac Redemptor) โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ ที่ 14 ใน ค.ศ. 1773 ซึ่งมีผลให้คณะเยซูอิตถูกยุบ (เหตุการณ์ครั้งนี้จบลงใน ค.ศ. 1814 เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 7 ทรงประกาศฟื้นฟูคณะเยซูอิตใหม่ เมื่ออำนาจของบรรดากษัตริย์ที่กดดันการปราบปรามคณะในช่วงก่อนหน้าที่ลดน้อยลง สมาชิกคณะเยซูอิตที่ยังคงเหลืออยู่ในบางดินแดนที่ไม่ยอมโอนอ่อนตามคำสั่งนี้ จึงร่วมกันฟื้นฟูคณะเยซูอิตขึ้นมา จนทำให้คณะเยซูอิตคงอยู่ถึงปัจจุบัน)

การขับไล่คณะเยซูอิตจากดินแดนสเปนในสมัยพระเจ้าการ์โลส ที่ 3

ผลของคำสั่งขับไล่คณะเยซูอิตของพระเจ้าการ์โลส ที่ 3 ที่ทำให้คณะเยซูอิตต้องออกจากดินแดนสเปน ส่งผลโดยตรงให้การที่จะดำเนินเรื่องของแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญไม่สามารถทำได้ด้วยสถานภาพความเป็นเยซูอิตที่ผูกติดกับตัวท่าน ไม่เพียงเท่านั้นผลของคำสั่งนี้ยังทำให้วิทยาลัยของคณะในเมืองบายาโดลิดถูกปิดตายเป็นเวลาถึง 7 ปี ก่อนจะถูกดัดแปลงให้เป็นวัดธรรมดา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อร่างของท่าน เพราะในการดัดแปลงคราวนั้นได้มีการขุดย้ายร่างของสมาชิกคณะเยซูอิตที่ฝังอยู่ภายในอดีตวัดน้อยของวิทยาลัยออกทั้งหมด เพื่อเตรียมที่ฝังใหม่สำหรับพระสงฆ์ที่จะมาดูแลที่นี่ เป็นผลให้ร่างของท่านสูญหายไปตราบถึงทุกวันนี้… แต่กระนั้นก็ตาม ถึงแม้ร่างกายอันไม่ถาวรของท่านจะหายไป พร้อมกับพยานจำนวนมาก ๆ ที่ต่างพากันล่วงหลับไปในกระแสธารของเวลาที่เคลื่อนผ่านไปภายหลังเหตุการณ์นี้ จนดูคล้ายว่าพระเจ้าจะมิประสงค์ยกนามของข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยผู้นี้ไว้เคียงสองผู้รับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่คณะเยซูอิตได้กลับมายังแผ่นดินสเปนอีกครั้งและทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทาง องค์พระผู้เป็นก็ได้ทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์มิได้ประสงค์เช่นนั้น

160 ปี หลังมรณกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ พระคุณเจ้าอันโตนีโอ มารีอา กัสกาฆาเรส พระอัครสังฆราชแห่งบายาโดลิด จึงได้เปิดกระบวนการไต่สวนเรื่องราวของท่านเพื่อขอแต่งตั้งเป็นนักบุญโดยสังฆมณฑลขึ้นในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1895 กระบวนการใช้เวลาทั้งสิ้น 4 ปีจึงสามารถปิดกระบวนการลงและส่งเอกสารชีวประวัติของท่านไปยังสมณกระทรวงพิธีกรรม ซึ่งในเวลานั้นดูแลเรื่องการสถาปนานักบุญใน ค.ศ. 1899 ต่อมาเมื่อสมณะกระทรวงมีความเห็นในเชิงบวกต่อการแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ จึงได้มีการสอบสวนเรื่องของท่านอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1914 แต่เนื่องจากระยะเวลาของการเปิดกระบวนการของท่านที่ล่วงเลยมาอย่างยาวนาน จึงทำให้ขาดพยานบุคคลที่จะมาให้เป็นพยานถึงชีวิตของท่าน ดังนั้นในกรณีของท่านจึงใช้การตรวจสอบหลักฐานทางประวัติศาสตร์แทนการสืบพยาน แต่แล้วในขณะที่กำลังดำเนินการสืบหลักฐานต่าง ๆ กระบวนการของท่านก็ต้องหยุดชะงักลงเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามกลางเมืองสเปนจนเมื่อเหตุการณ์ทั้งสองสงบลงแล้ว กระบวนการของท่านจึงได้รับการรื้อฟื้นขึ้นมาดำเนินการต่อในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1961 แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกถึง 29 ปี เอกสารไต่สวนถึงชีวิตของท่านจึงถูกส่งมายังสมณะกระทรวงว่าด้วยการสถาปนานักบุญเพื่อทำการตรวจสอบเป็นขั้นสุดท้าย จนที่สุดแล้วในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1995 นักบุญสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 จึงประกาศให้ท่านเป็นคารวียะ

คารวียะเมร์เซเดส กาเบซัส เตร์เรโร ผู้ได้รับอัศจรรย์

เมื่อขั้นตอนการพิจารณาเรื่องของท่านสำเร็จลงว่า ตัวท่านถึงพร้อมด้วยฤทธิ์กุศลเหมาะสมกับการเป็นนักบุญอย่างไม่มีข้อกังขา กรณีการหายจากโรคมะเร็งอย่างอัศจรรย์ที่ จ. ซาลามังกา ของคารวียะเมร์เซเดส กาเบซัส เตร์เรโร ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1946 ขณะเธออายุ 23 ปี ภายหลังจากที่เธอทำนพวารต่อท่านสองครั้ง ที่ได้รับการตรวจสอบเบื้องต้นจากทางสังฆมณฑลที่เกิดเหตุการณ์ในระหว่าง ค.ศ. 1947 – 1949 จึงได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาประกอบการสถาปนาเป็นบุญราศี โดยมีการตรวจสอบเพิ่มว่าการเสียชีวิตของคารวียะเมร์เซเดสที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนการพิจารณาอัศจรรย์ ภายหลังจากที่เธอมีชีวิตยืนยาวจนถึง 81 ปี และได้ก่อตั้งคณะนักบวชที่ทำงานกับคนยากไร้ในนาม ‘คณะธรรมทูตปฏิบัติการแห่งพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า’ เป็นการเสียชีวิตจากโรคอื่น

ที่สุดใน ค.ศ. 2008 สมณะกระทรวงว่าด้วยการสถาปนานักบุญจึงมีความเห็นว่าการหายจากโรคของคารีวะเมร์เซเดสเป็นอัศจรรย์อย่างแท้จริงที่เกิดผ่านคำเสนอวิงวอนของท่าน ทำให้ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2010 หรือ 274 ปี หลังพระเจ้าทรงยกวิญญาณของท่านขึ้นไปรับบำเหน็จในสวรรค์ในท่ามกลางกลิ่นหอมของความศักดิ์สิทธิ์ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 จึงได้ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี โดยมีผู้แทนพระองค์คือ พระคุณเจ้าอังเยโล อมาโต ประธานสมณะกระทรวงว่าด้วนการสถาปนานักบุญในเวลานั้นเป็นผู้แทนพระองค์ ประกอบพิธีอย่างสง่า ณ ปรำพิธีชั่วคราว ที่จตุรัสกลางเมืองบายาโดลิด ประเทศสเปน นับเป็นก้าวสำคัญอีกครั้งของกระบวนการที่ดำเนินมาอย่างทุลักทุเลเป็นเวลานาน 


เมื่อมองผ่านชีวิตสั้น ๆ ของท่านบุญราศีเบร์นาร์โด เราจะพบว่าพระเจ้าทรงมีหนทางอันน่าพิศวงที่ทำให้แผนการณ์ของพระองค์สำเร็จไปผ่านตัวท่าน โดยเฉพาะในเวลาที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ท่านทำประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จไป อย่างการหว่านเมล็ดแห่งความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระองค์ในดินแห่งสเปน พระเจ้าก็มีหนทางในการทำให้ท่านที่เป็นเพียง ‘สามเณรใหญ่’ สามารถทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่งความช่วยเหลือจากสวรรค์ หรือความช่วยเหลือจากบุคคลรอบข้าง เราจึงกล่าวได้ว่าชีวิตของบุญราศีเบร์นาร์โดคือประจักษ์พยานถึง ‘ความน่าพิศวงของพระเจ้า’ ซึ่งเกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์ดังที่หนังสือเพลงสดุดีที่ 139 ได้เขียนว่า “ความรู้ของพระองค์น่าพิศวงเกินกำลังข้าพเจ้า” (สดุดี 139 : 6) และกล่าวได้มากไปกว่านั้นอีกว่า ชีวิตสั้น ๆ เพียง 24 ปี เมื่อ 288 ปีของท่านบุญราศีเบร์นาร์โด เด โอโยส กำลังท้าทายบางสิ่งจากเราคริสตชนในวันนี้ และนี่เป็นสาส์นหนึ่งที่วันนี้ชีวิตสั้น ๆ นี้ได้ส่งถึงพวกเรา พร้อม ๆ เสียงเรียกให้เรามนุษย์กลับมาหาดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นต้นธารแห่งชีวิต

ชีวิตของบุญราศีเบร์นาร์โดกำลังบอกอะไรกับเราในวันนี้ สิ่งนี้อยู่ในถ้อยคำจากสดุดีบทที 139 เช่นกัน นั่นคือ “ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงสร้างข้าพเจ้าให้เป็นดังปาฏิหาริย์ พระราชกิจของพระองค์น่าพิศวง พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าอย่างดี โครงร่างของข้าพเจ้าไม่เป็นสิ่งลึกลับสำหรับพระองค์” (สดุดี 139 : 14 - 15) ชีวิตสั้น ๆ ของท่านได้ฝากแบบฉบับของผู้ที่ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตคริสตชนที่ไม่เพียงถูกเรียกให้มาเป็นศิษย์ติดตามพระคริสตเจ้า แต่ยังถูกเรียกให้เป็น ‘เครื่องมือสื่อรัก’ ของพระเจ้าและเป็น ‘ปาฏิหาริย์’ ไปยังเพื่อนร่วมโลก ดั่งถ้อยสดุดีส่วนแรก “ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงสร้างข้าพเจ้าให้เป็นดังปาฏิหาริย์” ซึ่งตระหนักตามข้อความสดุดีต่อมาว่า “พระราชกิจของพระองค์น่าพิศวง พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าอย่างดี โครงร่างของข้าพเจ้าไม่เป็นสิ่งลึกลับสำหรับพระองค์” คือตระหนักถึงความพิศวงของพระเจ้าที่ทรงทราบหนทางที่เหมาะสมกับแต่ละชีวิตในการเป็นเครื่องมือสื่อรักของพระองค์ การตระหนักเช่นนี้เองทำให้ท่านค้นพบวิถีทางในการดำเนินชีวิตคริสตชนที่มีคุณค่า คือ ค้นพบว่าคริสตชนไม่เพียงถูกเรียกให้ติดตามพระคริสตเจ้า แต่ยังถูกเรียกให้ดำรงตนเป็น ‘สะพานนำรักพระองค์ไป’ สู่คนรอบข้าง อันคือการวางชีวิตด้านหนึ่งสนิทชิดกับพระเจ้าด้วยความเชื่อและวางใจ ในขณะที่วางปลายชีวิตอีกด้านไปยังผู้คน เพื่อให้ความรักจากดวงพระหฤทัยเคลื่อนผ่านไปยังหัวใจดวงอื่น ๆ ผ่านตัวของเราด้วยหนทางอันพิศวงของพระองค์ การค้นพบเช่นนี้เองทำให้ท่านที่เป็นเพียงสามเณรใหญ่ธรรมดาสามารถทำให้ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยเป็นที่รู้จักในดินแดนสเปนในเวลาเพียงสามปีบนโลก และเป็นสิ่งที่ชีวิตสั้น ๆ เมื่อเกือบสามร้อยปีได้ท้าทายและเรียกร้องเราคริสตชนให้เลียนแบบ ดังนั้นสุดท้ายนี้ขอให้ชีวิตสั้น ๆ ของท่านบุญราศีได้รุนเร้าจิตใจเราให้ตระหนักถึงความพิศวงของพระเจ้าในการใช้เราแต่ละคนเป็นเครื่องมือสื่อรักของพระองค์ เพื่อเราจะได้วางใจและวางตัวเป็นสะพานนำรักพระองค์ไปในแบบที่ตะลันต์เรามีในโลกที่พระองค์ทรงส่งเรามา อาแมน

รูทราย, เทเรซีโอของพระเยซู
วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2024
วันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์

“พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ทรงเมตตาเทอญ”

“ข้าแต่ท่านบุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา
 ช่วยวิงวอนเทอญ”

ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...