นักบุญ
มารีอา แบรทิลลา โบสการ์ดิน
St. Maria
Bertilla Boscardin
ฉลองในวันที่ : 20 ตุลาคม
อันนา
ฟรังเชสกา โบสการ์ดิน คือนามเดิมของนักบุญองค์แรกของคณะภคินีครูแห่งนักบุญโดโรธี , ธิดาแห่งพระหฤทัย มีบางคนพูดกันว่ามารีอา เบรทิลดา , นักบุญแบร์นาแด็ต ซูบิรูส์ และนักบุญเทเรซา แห่ง
พระกุมารเยซู เป็นพี่น้องฝ่ายจิตกัน จะจริงหรือไม่ตามที่เขาพูดต่อๆกันมา เราก็คงต้องลองศึกษาชีวประวัติของนักบุญหญิงผู้นี้ไปพร้อมๆกัน
อันนา
หรือ อันเน็ตเต เกิดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ.1888
ในครอบครัวชาวนาที่ยากจนที่มีหัวหน้าครอบครัวที่เป็นคนชอบใช้ความรุนแรง ขี้อิจฉาและเป็นพวกขี้เหล้าอย่างนายอังเจโล
ในเมืองแบรนโดลา แคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรเลย ที่บางเวลาจะมีเสียงเอ็ดตะโกนของบิดาท่านดังลั่นบ้าน มันดังชนิดเพื่อนบ้านทุกคนต่างได้ยินเสียงอันชวนขวัญผยองนั้นเสมอ
แต่ทุกคนก็ไม่สามารถที่จะยื่นมือของพวกเขาเข้าไปช่วยได้เลย ฝั่งลูกหลานของชาวบ้าน เมื่อได้ยินเสียงนี้ก็จะต่างรีบวิ่งไปหลบตามมุมครัว
พร้อมๆกับใช้มือน้อยๆปิดหน้าไว้ พลางร้องกระจองอแงด้วยความกลัว
ไม่เพียงแต่ส่งเสียงเอ็ดตะโร ในบางครั้งบางคราวนายอังเยโลก็จับอันนาลูกน้อย โยนไปบนตักภรรยา ผู้ที่จะโอบกอดลูกน้อยไว้แนบอก เพื่อปกป้องลูกน้อยโดยใช้ตัวเองเป็นดุจโล่กันสามีจอมเจ้าอารมณ์ แต่ในบางคราวนางก็สามารถจะพาลูกน้อยหลบสามีขึ้นไปอยู่ในห้องใต้หลังคาบ้านหรือพาเดินเท้าออกจากบ้านไปทางวิเซนซา ก่อนจะไปพักอยู่ที่ซุ้มโค้งของสักการสถานแม่พระแห่งภูเขาเบริโก พลางร้องไห้ต่อหน้าแม่พระอยู่ตลอดคืน
เมื่ออายุได้พอที่จะเข้ารับการศึกษา
ท่านก็ได้เข้ารับการศึกษา แต่ก็เป็นแบบบางครั้งบางคราวเพราะท่านต้องคอยช่วยงานบ้านและงานในทุ่ง
แม้ในขณะมี่เข้าเรียนในโรงเรียนแล้ว ท่านก็ยังคงไปทำงานเป็นหญิงรับใช้ในบ้านบริเวณใกล้เคียง
ที่โรงเรียนท่านเป็นเด็กขี้อาย งุ่มง่าม ที่มีผลการเรียนที่จัดได้ว่าแย่ขนาดมีคำแนะนำดีๆ ซึ่งตัวท่านเองก็ตระหนักดีถึงความจริงในเรื่องนี้ “ฉันไม่เข้าใจจริงๆ” ท่านจะตอบอย่างถ่อมตนโดยไม่มีความโกธรเคืองพวกเขาใดๆเลย
ท่านจึงถูกเพื่อนๆในชั้นเรียน ผู้ใหญ่ เย้ยหยันว่า “นังห่าน”
มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ครูของท่านรู้สึกไม่สบายใจที่จะเยาะเย้ยท่าน
เรื่องนี้เกิดในช่วงสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ครูของท่านได้เล่าถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าและทันทีที่ท่านได้ฟัง
น้ำตาแห่งความเสียใจก็พรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่นั้นของท่าน “หนูร้องไห้สำหรับพระมหาทรมานขององค์พระผู้เป็นเจ้า
และเพื่อบรรดาชายผู้โหดร้ายค่ะ” ท่านกล่าวด้วยภาษาของท่านเอง
แม้จะไม่ได้ฉลาดอะไรมาก ท่านก็เรียนรู้จากมารดาว่าหากยามใดก็ตามบิดาของท่านเกิดโกธรขึ้นมา ท่านก็จะหลบไปอยู่ที่วัดซาน มิเกเล ใกล้บ้านๆของท่าน หรือไม่ก็ตามทางเกวียนเก่า และยังเข้าใจดีถึงสภาพของครอบครัว ท่านจึงสามารถวางตนอยู่ในสันติกับทุกคนได้ ถึงแม้ท่านว่าจะมีบิดาที่เข้าใจไม่ได้ซึ่งเอาแต่บ่นๆ
แม้จะไม่ได้ฉลาดอะไรมาก ท่านก็เรียนรู้จากมารดาว่าหากยามใดก็ตามบิดาของท่านเกิดโกธรขึ้นมา ท่านก็จะหลบไปอยู่ที่วัดซาน มิเกเล ใกล้บ้านๆของท่าน หรือไม่ก็ตามทางเกวียนเก่า และยังเข้าใจดีถึงสภาพของครอบครัว ท่านจึงสามารถวางตนอยู่ในสันติกับทุกคนได้ ถึงแม้ท่านว่าจะมีบิดาที่เข้าใจไม่ได้ซึ่งเอาแต่บ่นๆ
เมื่ออายุได้
15 ปี ท่านก็ปรารถนาที่จะบวชเป็นซิสเตอร์
เพื่อจะได้อุทิศตัวเองอย่างเต็มที่แด่พระองค์
และพอนำเรื่องนี้ไปบอกกับคุณพ่อเจ้าวัด
แม้คุณพ่อจะเห็นดีว่าวิญญาณของท่านงดงามแค่ไหน
ก็ถึงกับประหลาดใจเพราะคุณพ่อมิได้คิดเรื่องนี้ไว้เลย “ลูกทำอะไรไม่เป็นเลย พวกซิสเตอร์จะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับลูกดี” เขาอุทานขึ้นเมื่อทราบ “ก็จริงค่ะ คุณพ่อ”
ท่านตอบเขาไปด้วยความตรงไปตรงมา
และน้อมรับคำแนะนำของคุณพ่อว่าให้อยู่บ้านและทำงานอยู่ในทุ่งนาต่อไป
แต่อย่างไรก็ตามคืนนั้น เมื่อคุณพ่อลองคิดเรื่องนี้ดู เขาก็เชื่อว่าท่านมีกระแสเรียกจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงตามท่านมาพบ และถามท่านว่า “ลูกยังคิดจะเข้าอารามอยู่ไหน บอกพ่อที่ว่าอย่างน้อยๆ ลูกรู้วิธีปลอกเปลือกมันฝรั่งใช่ไหม”
ท่านจึงตอบไปว่า “โอ้ ได้สิค่ะ คุณพ่อ ลูกสามารถทำสิ่งเล็กน้อยนั้นได้ค่ะ”
แรกๆ
บิดาท่านก็รำคาญที่ต้องจ่ายเงิน 100 ลีร์ เพื่อเป็นค่าสินสอดเข้าอารามคณะภคินีครูแห่งนักบุญโดโรธี
อย่างไรก็ตามเขาก็ยอม
ท่านจึงได้เข้าอารามคณะภคินีครูแห่งนักบุญโดโรธี และเมื่อมาถึงนวกสถาน ท่านก็ได้กล่าวต่อนวกจารย์ว่า “ดิฉันมิสามารถทำสิ่งใดได้เลย
ดิฉันเป็นห่านที่น่าสงสาร โปรดสอนดิฉัน ดิฉันต้องการจะเป็นนักบุญ” หลังจากนั้นท่านก็รับมอบหมายให้ท่านทำงานเกี่ยวกับครัวและซักผ้าเป็นระยะเวลาถึง
3 ปี ซึ่งช่วงท้ายของปีแรกการเป็นนวกะ ท่านในฐานะมารีอา
แบรทิลลา ซึ่งเป็นนามใหม่ ก็ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเมืองเทรวิโซ
โรงพยาบาลเมืองเทรวิโซ
เป็นโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยปัญหาด้านโครงสร้างอย่างต่อเนื่องอาทิ แผนกไม่พอบ้าง
ที่นั่นท่านถูกส่งให้ไปทำงานในห้องครัวของภคินี สถานที่ที่ไม่มีโอกาสได้พบปะกับแพทย์หรือผู้ป่วย
ดังนั้นทั้งปีท่านจึงคลุกอยู่แต่หน้าหม้อและอ่างล้างจานเท่านั้น ซึ่งแทนที่ท่านจะเสียใจ
ในทางกลับกันท่านกลับมีความสุขกับมัน ดังปรากฏในบันทึกของท่าน ท่านได้เขียนคำภาวนาต่อไปนี้
“ข้าแต่พระเยซูเจ้าข้า ลูกวิงวอนพระองค์เดชะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
โปรดให้ลูกตายเสียพันๆครั้ง ดีเสียกว่าที่จะให้ลูกทำงานที่คนมอเห็น”
ในความจริงแล้วท่านมีความปรารถนาที่จะดูแลผู้ป่วยอยู่ลึกๆ
แต่ถามว่าท่านได้ทำอย่างนั้นไหม คำตอบคือ ‘ไม่’ ท่านยังคงรับหน้าที่อยู่ในห้องครัวเพื่อเตรียมอาหาร
แต่ขณะล้างจานไป ท่านก็เรียนรู้ที่จะภาวนาว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงชำระวิญญาณลูกและเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ด้วยเทอญ”
หลังจากนั้นท่านก็ได้ย้ายจากโรงพยาบาลเมืองเทรวิโซไปที่อื่น
ก่อนจะได้กลับมาอีกครั้งหลังจากท่านได้เป็นภคินีเต็มตัว “พระเจ้า เธอยังอยู่ที่นี่” คุณแม่อธิการกล่าวขึ้นเมื่อได้พบท่าน
เช่นเดิมท่านถูกส่งให้กลับมาทำหน้าที่เดิมต่อ ก่อนที่ไม่นานขณะอายุ 20 ปี ท่านก็ได้ย้ายไปทำงานในแผนกเด็กติดเชื้อ
ซึ่งเกือบทั้งหมดป่วยด้วยโรคคอตีบ
ที่ในสมัยก่อนจะต้องถูกแยกจากครอบครัวมาและส่วนมากก็จะสภาพเกเรและหมดหวัง มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้พวกเขาสงบ
บางทีมันก็อาจต้องใช้เวลาถึงสองสามวันเลยทีเดียว ด้วยพวกเขาช่างเหมือนสัตว์ประหลาดตัวน้อย
ที่ทั้งเตะ ทั้งต่อย ทั้งกลิ้งอยู่ใต้เตียงบ้าง ทั้งไม่ยอมกินอาหารบ้าง
แต่สำหรับท่านแล้ว เพียงแค่สองสามชั่วโมง เจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อยก็จะมายืนจับชายกระโปรงของท่านดังจับชายกระโปงมารดาด้วยความสงบ
และหากมีบิดามารดาของเด็กมารับทราบถึงการตายของบุตรน้อย
ท่านก็สามารถที่จะสรรหาคำมาปลอบโยนพวกเขาได้เสมอ บางครั้งเมื่อเด็กๆต้องกลับบ้าน เจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อยก็จะเริ่มงอแงที่ต้องจากท่านเสมอ
แพทย์บางคนยังจำได้เสมอว่าทุกครั้งที่พบท่าน พวกเขาจะไม่เคยพบความกังวล ความเมื่อยล้าและความไม่สบายใจใดในตัวท่านเลย ท่านทำงานเหล่านี้ด้วยความอ่อนโยน
ดุจเดียวกับที่งานในห้องครัวและห้องซักล้าง “คุณแม่อธิการค่ะ
มันเหมือนว่าลูกรับใช้พระเจ้าค่ะ” ท่านกล่าวต่อคุณแม่อธิการที่ขอให้ท่านทำงานให้นิดหน่อย
ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งกำลังระบาดในปี
ค.ศ.1915 ระเบิดถูกปล่อยยังเมืองมากมายดุจสายฝน ท่ามกลางผู้คนในโรงพยาบาลกำลังวิ่งหนีไปหลบด้วยความกลัว
ท่านเลือกที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยการช่วยย้ายพวกเขา
ป้อนไวน์มาร์ซารากับผู้ที่เป็นลมเพราะความกลัว “เธอไม่กลัวบ้างเลยหรือ
ซิสเตอร์เบรทิลลา” คุณแม่อธิการถามท่าน “ไม่เคยเลยค่ะคุณแม่
เพราะพระเจ้าทรงทำให้ลูกมีกำลังพอที่จะไม่กลัวมัน” ท่านกล่าวตอบ
ดังนั้นด้วยความที่ท่านไม่กลัวอะไรนี่เอง ท่านจึงถูกย้ายไปเมืองลาซาเรตโตเพื่อไปแทนภคินีคนหนึ่ง
เพราะเหตุว่าสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ๆกับจุดโจมตีทางอากาศนั่นเอง จนต่อมาในปี ค.ศ.1917 หลังจากการบุกฟริวลีโรงพยาบาลจึงต้องทำการอพยพ
ด้วยการแบ่งเป็นสามกลุ่ม ท่านจึงได้รับหมอบหมายให้อยู่กับผู้ป่วยนับสองร้อยคนที่ไม่สามารถจะย้ายไปไหนได้
นอกจากนี้แล้วท่านยังคอยดูแลบรรดาทหารที่ป่วยด้วยวัณโรคซึ่งนอนพักอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม
ที่ถูกดัดแปลงสภาพเป็นโรงพยาบาล จนวันๆหนึ่งท่านต้องคอยเดินขึ้นๆลงๆบันไดมากกว่าร้อยขั้นเสมอเพื่อคอยดูแลผู้ป่วยเลยทีเดียว
ปีต่อมาไข้หวัดสเปนก็ได้ถาโถมเข้ามายังโรงพยาบาลท่าน
ผู้คนมากมายล้มป่วยและเสียชีวิตลง และในสภาพที่กลางคืนมีอากาศหนาว กระติกน้ำร้อนจึงกลายมาเป็นสิ่งจำเป็นมากในเวลานั้น
แต่แล้วในเย็นหนึ่งในเดือนตุลาคม หม้อไอน้ำเจ้ากรรมก็เกิดพัง
ทำให้เกิดการจลาจลขึ้น แต่ภายนั้นคืนนั้นเอง ทุกคนก็ต้องแปลกใจในภาพที่พวกเขาเห็น
นั่นคือภาพของซิสเตอร์ตัวน้อยวิ่งส่งกระติกน้ำร้อนที่ต้มขึ้นจากหม้อใบเล็กๆที่กลางลานไปตามเตียงต่างๆ
ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ก็คือตัวท่านนั่นเอง นอกนี้แม้จะต้องเหนื่อยแค่ไหนตลอดคืน
เช้าวันถัดมาท่านก็กลับมาทำงานเช่นเดิมโดยที่มิได้หยุดพัก
และเหมือนการดูแลของท่านต่อผู้ป่วยจะมากเกินไป ทางผู้ใหญ่จึงเกิดความระแวงในตัวท่าน
และได้ตัดสินใจส่งท่านกลับไปทำงานซักรีดในโรงพยาบาลเช่นเดิม หลังจากนั้นท่านจึงถูกส่งตัวไปยังบ้านที่อยู่ใกล้ๆภูเขาเบริโกเพื่อดูแลนวกะที่ป่วย
ท่านอยู่ที่นั่นเป็นเวลาห้าเดือนซึ่งตลอดระยะเวลานั้นบันทึกของท่านก็เต็มไปด้วยความรักต่อแม่พระ
ราวกับว่าท่านยังคงอยู่ในช่วงเวลาแห่งการหลบภัยกับมารดาที่ใต้ซุ้มโค้งนี้ เมื่อพ้นห้าเดือนแล้ว
ท่านจึงได้กลับมาดูแลบรรดาเด็กๆอีกครั้งที่เมืองเทรวิโซ
“เพื่อที่จะอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ ลูกต้องการจะร่วมกับพระองค์ในความขมขื่นของหุบเขาแห่งน้ำตา ลูกต้องการที่จะรักพระองค์มากๆ ด้วยการเสียสละตนและโดยกางเขนแห่งพระมหาทรมาน” ขณะที่ถูกย้ายไปย้ายมานี้เอง ท่านก็เริ่มล้มป่วยลงด้วยอาการเนื้องอก จนในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ.1922 ภายหลังตรวจท่านในตอนเที่ยง แพทย์ก็ลงมติว่าจะผ่าตัดท่านในวันถัดไป แต่อนิจจาการผ่าตัดครั้งนี้ ก็กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำให้อีกสามวันต่อมา คือในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ.1922 ด้วยวัย 34 ปี ห่านตัวน้อยก็ได้กลายเป็นหงส์ก่อนโบยบินไปสู่สวรรค์ พร้อมๆกับการเปลี่ยนแปลงของดวงใจน้อยๆของด็อกเตอร์ซูกการดิ เมรลิ นักคิดฟรีเมอซัน
ไม่นานหลังจากนั้นหลุมศพของท่านก็กลายเป็นที่แสวงบุญของผู้คนมากมาย
จนก่อเกิดเป็นอัศจรรย์อาศัยคำเสนอวิงวอนของท่านมากมาย จนนำไปสู่การบันทึกนามของท่านในสารบบบุญราศีในวันที่
8 มิถุนายน
ค.ศ.1952
โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 และในสารบบนักบุญ ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ.1961 โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ท่ามกลางสักขีพยานคือผู้ป่วยในคณะและผู้ป่วยของท่านเอง
“แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่
ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้นในพวกท่าน
ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้รับใช้ของพวกท่าน” (มัทธิว 20:26 - 27) ในช่วงชีวิตแรกของท่านท่านเป็นเพียงเด็กที่งุ่มง่ามจนๆ
ที่ใครก็ต่างล้อว่า “ห่าน” เสมอ แต่ท่านก็ได้พิสูจน์ว่ามันไม่จริงด้วยการบริการผู้ป่วยของท่าน
ท่านรับใช้พวกเขาด้วยใจเสมอ จนกระท่านท่านจากไปจากโลกนี้
จนถึงวันที่ท่านได้รับการบันทึกนามในฐานะนักบุญ ห่านที่ทุกคนเห็นก็ผงาดขึ้นมาในฐานะหงส์ผู้ยิ่งใหญ่
ตามพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ได้กล่าวไว้เบื้องต้น พี่น้องที่รักพระวาจากวันนี้พระเยซูเจ้าทรงได้บอกให้เรารู้ว่าการจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสวรรค์นั้น
ต้องมีใจบริการทุกคนเหมือนท่านนักบุญมารีอาที่บริการผู้ป่วยของเธอ
“นักบุญ มารีอา เบรทิลลา โบสการ์ดิน
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง