วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"ลาซโล" เจ้าชายหมอของคนจน


บุญราศีลาซโล บัทเทียนย์ สตร็อตต์มอนน์
Bl. László Batthyány-Strattmann
ฉลองในวันที่ : 22 มกราคม

ลาซโล เกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค..1870 ณ หมู่บ้านดูนาคีลีตี มณฑลเยอร์-โมโชน-โซโพรน ในประเทศฮังการี ท่านเป็นลูกคนที่หกจากสิบคนของครอบครัวตระกูลขุนนางเก่าแก่ ชีวิตช่างดูมีความสุขสำหรับชีวิตใหม่นี้ แต่อนิจจามันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย เริ่มจากบิดาของท่านที่ตัดสินใจหย่ากับมารดาของท่าน และทิ้งครอบครัวไป ทำให้เหลือแต่มารดาคนเดียว ผู้แปลไม่แน่ใจว่าบิดาท่านทิ้งครอบครัวไปตอนไหน อาจก่อนหรือหลังที่ครอบครัวท่านจำต้องย้ายหนีน้ำท่วมไปยังประเทศออสเตรีย ในปี ค..1876

แต่ที่แน่กว่านั้นคือหลังจากป่วยมานานในวัย 39 ปี มารดาท่านมาทิ้งท่านในวัย 12 ปี ไปอีกคน แต่การจากไปของมารดาท่านนั้นไม่ได้สูญเปล่า เพราะเธอได้ทิ้งสิ่งสำคัญไว้ในใจของลูกชายคนนี้ของเธอ สิ่งที่จะชี้นำท่านถึงอนาคตของท่านเอง เธอได้ทิ้งจุดหมายที่บุตรน้อยของเธอจะก้าวไปนั่นก็คือ การเป็นหมอ เมื่อผมโตขึ้น ผมจะเป็นหมอและรักษาผู้ป่วยและยากไร้ฟรีๆ ท่านมักกล่าวบ่อยๆ ถึงความฝันที่จะเป็น หมอของคนจน


ในวัยเยาว์ท่านยังแสดงออกชัดถึงความศรัทธาให้เป็นที่ประจักษ์ ท่านรักการเรียนพระคัมภีร์ และประวัตินักบุญในพระศาสนจักรองค์ต่างๆ และยังไปร่วมมิสซาบ่อยๆ แต่ชีวิตของท่านก็ไม่ใช่แบบนักบุญ เมื่อจบมัธยม ตามความต้องการของบิดาที่ต้องการให้ท่านดูแลทรัพย์สินของตระกูล ท่านจึงลงเรียนในคณะเกษตรศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัย แห่ง กรุงเวียนนา และที่เดียวกันท่านก็ลงเรียนในภาควิชาเคมี ภาควิชาฟิสิกส์ ภาควิชาปรัชญา ภาควิชาวรรณกรรมและดนตรี แต่ก็ไม่จบซักอัน

ช่วงชีวิตนี้ดั่งที่เกริ่นไว้ ท่านดำเนินชีวิตเหมือนคนไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง ชนิดถึงขั้นไปได้เสียกับหญิงคนหนึ่ง จนนางตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรสาวแก่ท่าน ที่ท่านก็รับดูแล แต่ที่สุดหลังผ่านชีวิตไร้จุดหมายมา ในวัย 25 ปี ที่สุดท่านก็พบจุดหมายที่แน่นอนของท่าน นั่นก็คือความฝันในวัยเยาว์ที่จะเป็น หมอ ดังนั้นในปี ค..1896 ท่านจึงลงเรียนในภาควิชาแพทยศาสตร์ และสำเร็จการศึกษาในปี ค..1900



ซึ่งในระหว่างเรียนนั่นเอง ท่านก็ได้จูงมือโกเร็ธ มาเรีย เทเรเซีย หญิงสาวใจศรัทธาเข้าประตูวิวาห์ไปในวันที่ 10 พฤศจิกายน ค..1898 หญิงสาวผู้จะมีส่วนสำคัญตลอดชีวิตที่เหลือของท่าน ทั้งท่านและเธอ ต่างร่วมกันสร้างครอบครัวแห่งพระพร ที่ภายหลังพระเจ้าก็ทรงอวยพระพร ให้มีชีวิตใหม่กำเนิดถึงสิบสามชีวิต มันเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างใกล้ชิด อบอวลไปด้วยบรรยากาศของความรัก และความสนุกสนานอย่างไร้กังวลใด ชนิดที่ฉันไม่เคยในที่ใดเลย หนึ่งในลูกๆทั้งสิบสามคนบรรยายถึงบรรยากาศในครอบครัวของท่าน

หากถามว่าสภาพครอบครัวของท่านเป็นอย่างไร คำตอบก็คือทุกๆเช้าครอบครัวของท่านจะเริ่มด้วยการไปมิสซา หลังจากการนั้นท่านก็สอนคำสอน และกำหนดให้ลูกๆแต่ละคน ไปทำกิจการเมตตาในวันนั้นมา กระทั้งสิ้นสุดวันด้วยการสวดสายประคำในตอนเย็น ก็จะเป็นการทบทวนเรื่องที่ผ่านมาทั้งวันและกิจการเมตตาที่ได้รับมอบหมายไป เออเดิน บุตรชายหัวปลีเขียนในบันทึกว่า คุณพ่อของผมมีคุณสมบัติที่ดีทุกประการ เท่าที่เราจะจินตนาการได้ถึงบิดาในอุดมคติ  ท่านเป็นคนยุติธรรมและใจดี เป็นนักวิทยาศาสตร์และคนถ่อมตน  เป็นคนจริงจังและขี้เล่น เป็นคนกล้าหาญและเป็นนักบุญตัวจริง ในความจริงแล้วท่านไม่เป็นแต่เพียงบิดาที่เหมาะสม แต่เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์มากที่สุดของพวกเรา


ย้อนกลับมาที่หน้าที่การงานของท่าน ภายหลังจากท่านจบมาได้สองปี คือ ในปี ค..1902 ท่านก็ได้เปิดโรงพยาบาลขนาด 25 เตียงขึ้นที่เมืองกิตต์ซี ประเทศออสเตรีย โดยเริ่มจากเป็นแพทย์ทั่วไป ก่อนที่จะค่อยๆพัฒนาตนจนเป็นศัลยแพทย์ กระทั้งในปี ค..1906 ท่านจึงได้ใบรับรองการเป็นจักษุแพทย์ ทีละนิดจากปากต่อปากความเชี่ยวชาญและความใจดีของท่านก็เป็นที่กล่าวขานไปทั่ว มีคนป่วยจำนวนมากต่างเดินทางมาหาท่าน จนถึงขั้นการรถไฟฮังการีต้องจัดขบวนพยาบาลขึ้นมาเพื่อการนี้

ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แทนที่ท่านจะหนีหลบภัย ตรงกันข้ามไม่เพียงแต่ทำงานในโรงพยาบาลที่มีงานล้นมือ ท่านยังสมัครเป็นแพทย์อาสาให้เมืองและพื้นที่โดยรอบ ท่านไม่เคยบ่นแม้จะถูกปลุกมากลางดึกขณะหลับสนิท ทั้งไม่ลังเลแม้จะมีหิมะ หรือโคลนเปรอะรถ ท่านก็จะนั่งไปเพื่อช่วยทำคลอด ท่านได้เปลี่ยนโรงพยาบาลเอกชนของท่านให้กลายเป็นสถานพยาบาล พร้อมขยายมันเพื่อรองรับผู้ป่วยเป็นขนาด 120 เตียง ไม่พอท่านยังดูแลครอบครัวทหารเหล่านั้นที่มาพึ่งอีกด้วย


ท่านอยู่ที่กิตต์ซีกระทั้งปี ค..1915 เมื่อคุณลุงของท่านเสียชีวิต ท่านจึงได้รับมรดกเป็นปราสาทที่เมืองเคอรแม็งด์ ประเทศฮังการี พร้อมตำแหน่ง เจ้าชาย ดังนั้นในปี ค..1920 ท่านก็อพยพครอบครัวย้ายมาอยู่ที่ปราสาทแห่งนี้ พร้อมได้ดัดแปลงปีกขางหนึ่งของปราสาทเป็นโรงพยาบาลตาแห่งแรก บัดนี้ท่านเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นจักษุแพทย์ชั้นนำผู้มีฝีมือเป็นที่ยอมรับทั้งในและนอกประเทศ เช่นเดียวกันท่านก็เป็นที่รู้จักกันในนาม หมอของคนจน

เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะท่านรักษาให้ฟรีๆสำหรับคนยากจน แม้จะมีค่ารักษาและค่าที่พักมันก็เป็นเพียงแค่ บทข้าแต่พระบิดาสักบทให้ท่านก็พอแล้ว นอกนั้นใบสั่งยาของท่านยังแนบเงินเป็นค่าเดินทางมาให้พวกเขาเสมอ จึงไม่แปลกอะไรที่คนยากไร้ส่วนมากจะแวะเวียนมาหาท่าน


ผู้ป่วยที่มาหาฉัน ก็คือเพื่อนของฉัน แม้ไม่เคยเจอกันมาก่อนก็ตาม ท่านมักหาเวลาไปเยี่ยมผู้ป่วยทุกคน เพื่อฟังสิ่งที่พวกเขาพูดอย่างอ่อนโยนและระมัดระวัง ไม่ว่าเขาจะดีใส่ท่านหรือร้ายใส่ท่านก็ตาม ท่านตระหนักดีว่ากระแสเรียกของท่านคือการนำพระเจ้าไปยังทุกคน

ไม่เพียงฝ่ายกายเท่านั้นที่ท่านเห็นความจำเป็น ท่านยังเห็นความสำคัญฝ่ายวิญญาณของผู้ป่วย ท่านจะสวดภาวนาทุกครั้งที่ทำการผ่าตัด ท่านมักกล่าวเสมอว่าไม่ใช่ท่านที่เป็นคนผ่าตัด แต่เป็นพระเจ้าต่างหาก ท่านแค่เป็นเพียงเครื่องมือของพระองค์เท่านั้น นอกจากนี้ก่อนผู้ป่วยจะกลับบ้านท่านก็จะมอบภาพศักดิ์สิทธิ์ไม่ก็หนังสือฝ่ายจิตเล่มเล็กๆชื่อ จงลืมตาและดูเถิด” ให้เขาไป เพราะท่านมั่นใจว่าผ่านคำสอนและคำแนะนำในหนังสือนี้จะช่วยวิญญาณของผู้ป่วย


ท่านไม่ใช่คนที่ชอบอะไรที่ฉาบฉวย น้องสาวของท่านเขียนว่า เขาเกลียดการสนทนาแบบไม่มีแก่นสาร ดิฉันขอบอกเลยว่า เขาไม่เคยผู้ไม่ดีถึงคนอื่น แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้ใครพูดไม่ดีถึงคนอื่น หากมีสิ่งนี้ขึ้นในการล้อมวงคุยกันในครอบครัว ในงานเลี้ยงถ้าไม่เลี่ยงมานอกห้อง เขาก็จะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น ท่านเขียนในบันทึกว่า ในความจริงแล้วมนุษย์ทุกคนเป็นคนดี เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า…”

ชีวิตประจำวันของท่านประกอบถวายเกียรติแด่แม่พระและความรักต่อศีลมหาสนิท สำหรับท่านแล้วพระเจ้าไม่ใช่สิ่งอันเป็นความคิดนามธรรมหรือแนวคิด แต่พระองค์ทรงเป็นความเที่ยงแท้และปัจจุบัน ท่านยังให้ความสนใจต่อการสวดสายประคำ ท่านซ่อนสายประคำไว้ในมือ เพื่อไม่ใครมองเห็น แต่ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงความร้อนรนในการสวดภาวนาของท่าน ซึ่งสอนผู้คนรักและเชื่อมพวกเขาไว้กับพระเจ้า


และเมื่อนักบุญสมเด็จพระสันตะปาปาปีอุส ที่ 10 ทรงอนุญาตให้คริสตชนรับศีลมหาสนิทได้ทุกวัน ในปี ค..1905 ท่านก็ได้เขียนในบันทึกว่า ขอบคุณพระเจ้า วันนี้ในงานฉลองของแม่พระผมก็สามารถไปร่วมมิสซาได้อีกครั้ง และสามารถรับศีล หากเราไม่สามารถรับศีลได้แล้ว  มันก็ไม่ใช่วันอันแท้จริง และอีกอย่างการรับศีลยังเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวันด้วย พระสงฆ์องค์หนึ่งบันทึกว่า ศีลมหาสนิทสำหรับเจ้าชายแล้วไม่ใช่เพียงแค่คารวะกิจ แต่เป็นการสำแดงพระองคือย่างแท้จริงของพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเข้าถึงได้ ผู้ทรงทอดพระเนตรและสดับ ผู้ทรงอุดมไปด้วยความสุขความเคารพ

ความศรัทธาต่อภัสดาแม่พระ นักบุญยอแซฟคืออีกหนึ่งบุคคลที่ท่านยกเป็นองค์อุปถัมภ์เมื่อต้องพบเรื่องการเงินและปัญหาครอบครัว อาทิเช่นในระหว่างความยากลำบากของสงคราม ท่านก็สวดภาวนาวิงวอนต่อท่านนักบุญยอแซฟและได้เขียนที่ภาพเล็กๆของนักบุญยอแซฟ แต่งตั้งด้วยความรักจากหัวใจท่านว่า รัฐมนตรีการคลัง


หากเราสังเกตตราประจำตระกูลบัทเทียนย์ดีๆ จะพบว่าเป็นรูปนกกระทุมกำลังจิกเนื้อตัวเองให้ลูกกิน ดูสิมันช่างเหมือนท่านเสียนี่กระไร ท่านไม่เคยหนีปัญหา ทั้งพร้อมเสมอที่จะเสียสละเพื่อคนอื่น จิตตารมณ์คริสตชนของท่านประจักษ์ชัดในยามทดลองเหล่านี้ ดั่งคราหนึ่งเมื่อท่านต้องสูญเสียบุตรชาวหัวปลีวัย 21 ปีของท่านไปอย่างไม่มีวันกลับ จากโรคไส้ติ่งอักเสบ ทุกคนจำได้ดี ว่าทันทีที่เออเดินปิดตาลง ท่านก็กล่าวกับทุกคนขึ้นว่า บัดนี้ขอให้เราไปที่วัดน้อย และโมทนาพระคุณพระเจ้าสำหรับกิจการดี ที่เออเดินได้ทำให้เรากัน

ท่านประกอบกิจการดีมาเรื่อยๆ กระทั้งอายุล่วงได้ 60 ปี ท่านก็ล้มป่วยลงด้วยโรคเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ ท่านจึงต้องไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลลูฟ ในกรุงเวียนนา ระหว่างการพักรักษาตัวอยู่นั้นท่านก็น้อมรับความทุกข์นี้อย่างอดทนถึง 14 เดือน ท่านเขียนถึงลิลลี่ลูกสาวว่า พ่อไม่รู้หรอกว่านานแค่ไหนกันองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้แสนดีจะให้พ่อทนทรมาน พระองค์ได้ทรงประทานความยินดีมากมายแก่ชีวิตของพ่อ และตอนนี้ ในวัย 60 ปี พ่อต้องน้อมรับเวลาอันน่าลำบากนี้ด้วยกตัญญู


พี่มีความสุขเหลือเกิน พี่กำลังทนทุกข์อันโหดร้าย แต่พี่รักความทุกข์ของพี่และได้รับการปลอบประโลมด้วยความเข้าใจว่าพี่ได้รับมันเพื่อพระคริสตเจ้า ท่านกล่าวกับน้องสาว นักเขียนชีวประวัติของท่านเขียนว่า วอร์ดได้กลายเป็นสถานที่แสวงบุญที่ทุกคนที่เจ็บป่วย ทุกคนที่เสียน้ำตา มาและกลับออกไปด้วยความเชื่อที่มากขึ้น  วันหนึ่งก่อนท่านจะสิ้นใจ ท่านก็ได้บอกกับครอบครัวว่า ช่วยพาพ่อไปที่ระเบียง เพื่อพ่อจะได้มองดูโลก วิธีการอันแสนดีของพระเจ้าที

22 มกราคม ค..1931 ภายหลังจากป่วยมาสิบสี่เดือน ท่านในวัย 60 ปี ก็คืนวิญญาณไปรับบำเหน็จในสวรรค์อย่างสงบ ร่างของท่านถูกส่งกลับไปยังปราสาทและผู้ที่เคยได้รับการรักษาและคนยากไร้จำนวนมากหลั่งไหลกันมาเคารพศพของท่านเป็นครั้งสุดท้าย เสียงร้องไห้ดังระงมถึงสามวัน ทุกคนต่างกล่าวว่าท่านคือนักบุญ ไม่เว้นแม้แต่คุณพ่อเจ้าวัดที่แม้จะล้มป่วยอยู่ก็ลุกขึ้นมาเพื่อร่วมพิธีปลงศพของท่าน พร้อมเหตุผลที่ว่าเป็นโอกาศอันหาได้ยากที่จะได้ร่วมพิธีฝังนักบุญ


ร่างของท่านถูกฝัง ณ สุสานประจำตระกูลที่ใต้อารามฟรังซิสกัน ในเมืองกึสชิง หลังจากนั้นอีก 13 ปี จึงมีการเปิดกระบวนการของท่านโดยความร่วมมือกันของสองสังฆมณฑลในสองประเทศคืออัครสังฆมณฑลเวียนนา(ออสเตรีย)และสังฆมฑลซมบัทเฮย(ฮังการี) และที่สุดหลังจากมีการรื้อฟื้นกระบวนการของท่านอีกครั้งในวันที่ 23 มีนาคม ค..2003 ท่านก็ถูกบันทึกนามในสารบบบุญราศีอย่างสง่า โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2  

แต่เวลาของท่านทั้งหลายนั้นพร้อมอยู่เสมอ(ยอห์น 7:6) ความตายคือสิ่งที่เราไม่อาจจะหลีกหนีได้ไม่ว่าจะยากมีจนแค่ไหน ท้ายสุดของชีวิตของทุกคนก็ต้องล้วนมาสุดที่ประตูแห่งความตาย  ดังนั้นเมื่อเราพิจารณาดูแล้ว ให้พูดตรงๆก็คือ ความตายนั้นอยู่เพียงแค่เอื้อม ดังนั้นในเมื่อเราไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร ระหว่างก่อนจะถึงเวลานั้นเราไม่ควรสร้างสรรค์สิ่งดีงามแก่เพื่อนมนุษย์งั้นหรือ เราไม่ควรฉวยโอกาสที่ผ่านแวะเข้ามาในการเป็นภาพสะท้อนของพระคริสตเจ้าแก่เพื่อนมนุษย์ของเราหรือ เราไม่ควรใช้เวลานี้ปฏิบัติตามบทบัญญัติเอกที่พระคริสตเจ้าทรงสอนหรือ ในเมื่อเราได้ชื่อว่าเป็น คริสตชน หรือผู้ที่เชื่อและปฏิบัติตามพระคริสตเจ้า เฉกเช่นพระคริสตเจ้าที่ทรงกระทำพัธกิจตลอดสามปีสุดท้ายของพระองค์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เราไม่ควรเลียนแบบพระองค์งั้นหรือ


คุณหมอลาซโลเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนอีกท่าน ในการฉวยโอกาสที่มีในทุกๆวันในการเป็นภาพสะท้อนของพระคริสต์ตามกำลังของตน โดยใช้อาศัยอาชีพแพทย์ที่ท่านได้ร่ำเรียนมา มาเป็นเครื่องมือในการนำความรักของพระคริสต์ไปยังทุกคนที่อยู่รอบตัวท่าน ดังนั้นเวลานี้ชีวิตของคุณหมอลาซโลจึงได้เรียกร้องให้เราๆคริสตชน ให้ตระหยักว่าชีวิตของเรานั้นสั้นนะ ดังนั้นจงหยิบฉวยทุกโอกาสที่จะนำความรัก ที่จะเป็นภาพสะท้อนของพระคริสต์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราไว้ ยิ่งในปีศักดิ์สิทธิ์นี้ของพวกเรา หาโอกาสทำตามคำขวัญของปีที่ว่า จงเป็นผู้เมตตากรุณาดั่งพระบิดาของท่าน อัลเลลูยา อัลเลลูยา



ข้าแต่ท่านบุญราศีลาซโล บัทเทียนย์ สตร็อตต์มอนน์ ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง



'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...