วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

"อานา" เงาของนักบุญเทเรซา


บุญราศีอานา แห่ง นักบุญบาร์โธโลมิวฺ
Bl. Ana de San Bartolome
ฉลองในวันที่ : 7 มิถุนายน

ปี ค..2015 นับเป็นปีที่คาเมไลท์ทุกแห่งบนโลก ต่างพากันยินดีโมทนาคุณพระเจ้า ในโอกาสที่พระองค์ทรงโปรดประทานให้เด็กหญิงเทเรซากำเนิดขึ้นเมื่อ 500 ปีที่แล้ว เด็กหญิงผู้ที่เปลี่ยนคาร์เมไลท์ไปตลอด เด็กหญิงผู้ที่จะเปลี่ยนโลก แน่นอนทุกคนย่อมรู้ชีวประวัติของนักบุญเทเรซาเป็นอย่างดี แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าในบั้นปลายชีวิต จะมีบุคคลคนหนึ่งที่ปรากฏในชีวิตช่วงสุดท้ายตลอด จนถึงวันสุดท้ายของนักบุญ เธอผู้นั้นก็คือ ซิสเตอร์อานา

ซิสเตอร์อานา มีนามเดิมโดยกำเนิดว่า อิลามาบา อานา การ์เซีย มันซานัส เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค..1549 เป็นลูกคนที่ 5 จากเจ็ดคน ของนายเฟรนันโด การ์เซีย กับนางมารีอา มันซานัส ครอบครัวคริสตชนใจศรัทธาเจ้าของฟาร์ม ในหมู่บ้านอัลเมนดรัล เด ลา กาญาดา เมืองโตเลโด ประเทศสเปน ท่านได้รับศีลล้างบาปในวันเดียวกันกับที่เกิด



ทั้งนายเฟรนันโด และนางมารีอา ต่างเป็นคริสตชนใจศรัทธาดั่งที่เกริ่นไว้ ทั้งสองพาลูกๆทุกคนไปมิสซาทุกวัน และสวดภาวนาร่วมกันเป็นประจำ นอกจากนี้นายเฟรนันโดยังมีนิสัย มักนำเรื่องการดูแลชีวิตฝ่ายจิตของลูกๆของเขา ไปปรึกษากับคุณพ่อวิญญาณของตน คนเดียวกันกับที่คอยสอนคำสอนให้เด็กๆเสมอ นี้แหละเป็นสภาพคร่าวๆ ของชีวิตในครอบครัวที่ท่านถือกำเนิดขึ้น

ในวัยเยาว์ท่านได้รับการสอนให้อ่านภาษาสเปน แต่ไม่รวมไปถึงการเขียน ดังนั้นคำภาวนาของท่านจึงเป็นไปอย่างธรรมชาติ นอกจากนี้แม้จะมีอายุน้อยนัก ท่านก็ได้มอบรักหมดใจแด่พระเยซูเจ้า ท่านปรารถนาจะให้พระองค์ทรงพอพระทัยในทุกสิ่งที่ท่านทำ และมักรู้สึกได้ว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้ๆ ท่านยังชอบพูดคุยกับแม่พระ นักบุญยอแซฟ และบรรดานักบุญทั้งหลาย ทุกๆวันท่านวอนขอให้พวกท่านเหล่านั้น ช่วยท่านให้พ้นจากการเป็นทาสของบาป ซึ่งตามบันทึกได้บันทึกว่าแม้ท่านจะยังพูดไม่ค่อยได้ ท่านก็มีความกลัวต่อบาป และความทุกข์ หากต้องสูญเสียพระหรรษทานของพระไป ชนิดเคยร้องไห้เพราะนี้ตอนอายุได้ห้าขวบ

ข้อมูลหนึ่งได้กล่าวอีกว่าพระสวามีเจ้า ทรงปรากฏมาหาท่านครั้งแรกเมื่อท่านมีวัยได้เพียงสามปี ในลักษณะเป็นพระกุมาร และดูเหมือนว่าทุกๆครั้งที่ทรงประจักษ์มาอีกในภายหลัง จะทรงปรากฏองค์คล้ายดั่งเติบโตไปพร้อมๆกับท่าน ซึ่งทำให้ตลอดชีวิตของท่าน ท่านได้ตระหนักเสมอถึงความศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า และแม้ชีวิตของท่านจะเป็นเช่นนี้ ท่านก็มีแง่มุมเช่นเด็กหญิงธรรมดาทั่วไป ท่านมีความสุขกับการเล่นกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ โดยเฉพาะกับลูกพี่ลูกน้องของท่านที่ชื่อ ฟรังเชสกา การ์เซีย ที่ภายหลังก็ได้เข้าอารามคาร์แมลเช่นกัน

แต่เมื่อท่านมีวัยได้เก้าปี มารดาของท่านก็มาด่วนสิ้นใจไปด้วยโรคระบาด ดังนั้นท่านจึงต้องกำพร้ามารดา แต่ก็ดั่งเคราะห์ซ้ำกำซัดไม่นานเมื่อท่านอายุได้สิบปี บิดาของท่านก็มาจากไปอีกคนด้วยโรคระบาดเช่นกัน ดังนั้นท่านจึงต้องอยู่กับพี่ชายและพี่สาวในบ้าน โดยรับหน้าที่เป็นคนเลี้ยงแกะ ให้แกะของพี่ชายของท่านเอง ซึ่งท่านก็รับมันด้วยความเต็มใจและทำมันด้วยความเอาใจใส่ และก็มีหลายต่อหลายครั้งที่พระกุมารทรงประจักษ์มาเล่นกับท่าน


กาลเวลาล่วงผ่านไปจากเด็กน้อยวัยสิบปี ก็กลายเป็นเด็กสาววัยยี่สิบเอ็ดปี ที่พี่ๆต่างเชียร์ให้ออกเหย่าออกเรือนเสีย แต่ท่านก็ปฏิเสธ เพราะท่านมีกระแสเรียกการเป็นซิสเตอร์ ท่านกล่าวว่าท่านได้ถวายตัวเป็นข้ารับใช้ของพระองค์ และได้ความบริสุทธิ์แด่พระองค์ตลอดนิรันดร์แล้ว แต่ด้วยเหตุผลมากมายของบรรดาพี่ๆ ท่านก็ยอมรับข้อเสนอหากท่านพบ ชายที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ร่ำรวยมาก ดีมาก และช่วยให้ท่านรับใช้พระได้ดีขึ้น ท่านก็จะแต่ง และทันทีมิตรสหายวัยเยาว์ของท่าน ก็ตรัสที่ข้างหูท่านว่า เรานี้แหละที่ลูกต้องการ และลูกจะต้องแต่งงานกับเรา ก่อนหายไป

แต่นั้นมาใจท่านก็มุ่งไปยังการเป็นนักบวชเท่านั้น และต้องเป็นที่อารามนักบุญยอแซฟ ของคุณแม่เทเรซาเท่านั้น แต่พี่ชายของท่านไม่ยอม จนทำให้ท่านถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ ดังนั้นด้วยความเป็นห่วงพี่ชายจึงทำนพวารต่อนักบุญบาร์โธโลมิว อัครสาวก กระทั้งในวันฉลองนักบุญบาร์โธโลมิวซึ่งคือ วันที่ 24 สิงหาคม ค..1570 ขณะเข้าไปยังวัดน้อยที่สร้างถวายเกียรติแด่ท่านนักบุญ จู่ๆท่านก็ได้รับการรักษาให้หายขาดอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้นับจากนั้นท่านจึงยกนักบุญบาร์โธโลมิวเป็นองค์อุปถัมภ์ของท่าน และมักสวดขอนักบุญองค์นี้อยู่บ่อยๆ



ที่สุดความฝันท่านสำฤทธิ์ผล ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค..1570 ท่านก็ได้เข้าอารามคาร์แมลนักบุญยอแซฟ อาวิลา ดั่งใจปรารถนา และกลายเป็นภคินีแผนกสงเคราะห์(สวมผ้าคลุมสีขาว)คนแรกของคณะปฏิรูปนี้ ด้วยนามใหม่ในวันรับชุดคณะว่า ภคินีอานา แห่ง นักบุญบาร์โธโลมิว”  ซึ่งในฐานะนวกะใหมีนักบุญเทเรซาก็จำต้องสั่งให้ท่านเพลาๆการพลีกรรมและสวดลงหน่อย เพราะกลัวท่านจะล้มป่วยหนัก นอกจากนี้นักบุญเทเรซายังได้ลองใจดูความถ่อมตนของท่าน โดยแสร้งมองไม่เห็นความมหัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวธิดาคนโปรด และส่งไปทำงานที่ต่ำต้อยอาทิ คนเปิดประตู คนปรุงอาหาร และพยาบาล

ท่านได้เข้าพิธีปฏิญาณตนในอีกสองปีถัดมา ในวันที่ 15 สิงหาคม ค..1572 พร้อมรับหน้าที่เป็นพยาบาลคอยดูแลซิสเตอร์ที่ล้มป่วยและชราภาพในอาราม ท่านมีโอกาสติดตามนักบุญเทเรซาครั้งแรกในปี ค..1574  เมื่อนักบุญเทเรซาเดินทางไปยังเมืองบายาโดลิด และเมืองเมดินา เดล กัมโป แต่ก็มาล้มป่วยจนเดินทางมาได้ถึงสองปี และเมื่อนักบุญเทเรซาตกบันได จนแขนซ้ายหักในวันพระคริสตสมภพ ปี ค..1577 แม้ท่านจะไม่เขียนได้เลย นักบุญเทเรซาก็ได้เลือกให้ท่านเป็น เลขานุการของเธอ และพยาบาลของเธอ



ซึ่งตลอดช่วงห้าปีสุดท้ายของนักบุญเทเรซา หลายต่อหลายครั้งนักบุญเทเรซาก็ต้องการความช่วยเหลือ ในการเขียนจดหมายโต้ตอบต่างๆ เพราะมีหลายครั้งนักบุญเทเรซาก็เหนื่อยอ่อนหรือป่วยไข้เกินกว่าจะเขียนได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ยังมีกำลังพอจะพูดได้ ดังนั้นท่านจึงมารับหน้าที่นี้ แม้จะมีปัญหาคือท่านเขียนหนังสือไม่เป็น นักบุญเทเรซาก็เลยเขียนให้ท่านสองบรรทัดและบอกว่าให้ท่านเรียนรู้ กระทั้งบ่ายวันหนึ่งท่านก็ลองพยายามนบนอบต่อคำสั่งของนักบุญเทเรซา และก็เกิดอัศจรรย์ขึ้น เพราะจู่ๆท่านก็สามารถเขียนหนังสือได้ (อัศจรรย์นี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นอัศจรรย์ของนักบุญเทเรซา ในระหว่างขั้นตอนเป็นบุญราศีของนักบุญเทเรซา)

ประการฉะนี้ท่านจึงรับหน้าที่เป็นผู้เขียนจดหมายตามคำสั่งของนักบุญเทเรซาตลอด และกลายมาเป็นคู่หูที่แยกกันไม่ได้ แบบไปไหนไปด้วยกันตลอด คือนักบุญเทเรซาไปเยี่ยมอารามที่ไหนท่านก็ไป โดยไม่ว่าจะเรื่องอาหาร เรื่องสุขภาพ เรื่องการเขียน ท่านก็เป็นคนดูแลทั้งสิ้น นอกจากนี้ท่านยังดั่งคนสนิทและคนคอยสนับสนุนการตั้งอารามตามที่บิลลานูเอบา เด ลา ฆารา , ปาเลนเซีย , โซเรียและบูร์โกสของนักบุญเทเรซาเสมอ จนเปรียบได้เหมือน เงาของนักบุญเทเรซา เลยทีเดียว



ความประสงค์อีกสิ่งของนักบุญเทเรซาก็คือให้ท่านได้เป็นซิสเตอร์สวมผ้าคลุมสีดำ แต่ท่านขอเป็นซิสเตอร์แผนกสงเคราะห์ดั่งเดิม ด้วยท่านไม่รู้ลาตินอันเป็นสิ่งจำเป็น ท่านบอกกับนักบุญเทเรซาว่าท่านชอบลงแรงทำงาน มากกว่านั่งบริหารนู่นบริหารนี่ ดังนั้นนักบุญเทเรซาจึงอนุญาตให้ท่านเป็นซิสเตอร์แผนกสงเคราะห์ต่อ แต่ก็ได้ทำนายไว้ว่าวันหนึ่งในอนาคตท่านจะได้รับผ้าคลุมหน้าสีดำ ท่านจึงยังคงปฏิบัติหน้าที่ในแผนกสงเคราะห์ไปตลอด

ท่านติดตามนักบุญเทเรซา จวบจนนักบุญเทเรซาสิ้นใจลงในอ้อมแขนของท่านเอง ในปี ค..1582 ที่อารามคาร์แมลเมืองอัลบา เด ตอร์เมส ท่านจึงเดินทางกลับไปยังอารามเมืองอาวิลลา และได้มีโอกาสเดินทางไปตั้งอารามที่เมืองโอกาญา ก่อนในปี ค..1595 ก่อนในปี ค..1604 พร้อมคารวียะอันนา แห่ง พระเยซูเจ้า และซิสเตอร์อีกจำนวนหนึ่ง ท่านก็ได้ออกเดินทางในเดือนตุลาคม มุ่งหน้าไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อตั้งอารามคณะ และ ณ อารามแห่งแรกของฝรั่งเศสใน ปารีส นั่นเอง ที่คำทำนายของนักบุญเทเรซาเป็นจริง ด้วยท่านได้รับผ้าคลุมสีดำด้วยความนบนอบ เพื่อปูทางในการเป็นอธิการของท่าน ในการตั้งอารามที่ปงตวซ ในเดือนมกราคม ค..1605


แต่เพียงแปดเดือนท่านปกครอง ท่านก็ถูกเรียกตัวกลับมายังปารีส เพื่อรับตำแหน่งอธิการของอาราม ก่อนในเดือนพฤษภาคม ค..1608 ท่านจะเดินทางไปตั้งอารามที่ทัวร์และดำรงตำแหน่งเป็นอธิการที่นั่นได้สามปี ท่านจึงประสบความทุกข์ครั้งใหญ่จากทั้งการยึดมั่นในพระพรพิเศษของคณะ และการต่อต้านต่างๆจากบรรดาคุณแม่อธิการชาวฝรั่งเศส ที่ไม่ใช่คณะเดียวกัน ที่พยายามมีอิทธิพลเหนือคณะ จนนับเป็นเวลาแห่งความทุกข์ยากที่ท่านเปรียบดั่งคืนมืดของนักบุญยอห์น แห่ง ไม้กาเขนเลยทีเดียว

ที่สุดในปี ค..1611 ท่านจึงออกเดินทางจาฝรั่งเศส มุ่งหน้าไปยังตอนเหนือของประเทศเบลเยียม และได้ก่อตั้งอารามคาร์แมลขึ้นที่เมืองแอนต์เวิร์ปในปีถัดมา พร้อมตำแหน่งอธิการจวบจนสิ้นชีวิต ซึ่งแม้ท่านจะเจริญชีวิตอย่างสันโดษแค่ไหนในเวลานี้ ผู้คนมากมายก็ต่างพากันแวะเวียนเปลี่ยนหน้ากันมาขอคำแนะนำจากท่าน ตั้งแต่คนธรรมดาๆยันเจ้าขุนมูลนายต่างๆ หนึ่งในนั้นทำให้ท่านเป็นผู้มีอิทธิพลในสังคมเบลเยียมตอนเหนือนั่นคือเจ้าหญิงอิซาเบลลา คลารา ยูเจเนียแห่งสเปน และกองทัพ เพราะท่านเป็นทั้งสหายและที่ปรึกษา



และถึงสองครั้งเมื่อกองทัพโปรเตสแตนต์บุกโจมตีเมืองแอนต์เวิร์ป ผ่านคำภาวนาของท่าน ผู้รับรู้ได้ภายในว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงบังเกิดขึ้น จึงได้รีบตื่นแต่เช้าไปสวดภาวนาอย่างร้อนรนที่ห้องภาวนา ก็ทำให้ในปี .. 1622 และ ค..1624 เพราะฝ่ายศัตรูพิจารณาแล้วว่าไม่มีทหารในเมือง เมืองจึงรอดพ้นจากการโจมตี ทำให้ชาวเมืองยิ่งเคารพท่านมากขึ้น

นอกจากนี้เมื่อข่าวการบันทึกนามนักบุญเทเรซาเป็นบุญราศี(24 เมษายน ค..1614)และนักบุญ(12 เมษายน ค..1622)มาถึงยังเมืองแอนต์เวิร์ป ก็สร้างความยินเป็นยิ่งนักแก่ท่าน เพราะท่านเชื่อเสมอว่านักบุญเทเรซาเป็นนักบุญตั้งแต่ยังไม่ตาย เราอาจกล่าวได้เลยว่าท่านผู้นี้แหละ เด็กหญิงจากกาญาดา แม่ชีชราภาพหลังซี่กรงของแอนต์เวิร์ป เป็นผู้นำความศรัทธาเป็นพิเศษต่อมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์(ชื่อเรียกนักบุญเทเรซาของชาวคาร์เมไลท์) มาสู่โลกของคาร์เมไลท์ และเป็นความจริงที่ว่าอารามที่นี่ก็สร้างถวายแด่นักบุญเทเรซาภายใต้ความศรัทธาเป็นพิเศษต่อนักบุญยอแซฟ ดังนั้นเมื่อมีการสถาปนาบุญราศีเทเรซา อารามจึงเพิ่มชื่อเป็น อารามนักบุญยอแซฟและนักบุญเทเรซา


งานเขียน ภายหลังจากนักบุญเทเรซาสิ้นใจลงแล้ว ท่านก็ได้ประพันธ์ไว้ทั้งเรื่องราวของนักบุญเทเรซาแบบเจาะลึกถึงวิญญาณตามที่ท่านได้สัมผัส เรื่องราวการปฏิรูปคณะทั้งในประเทศสเปนและประเทศฝรั่งเศส เรื่องการสืบทอดจิตตารมณ์ของนักบุญเทเรซา นอกจากนี้ยังมีอัตชีวประวัติของท่านเอง ตำราฝ่ายจิต การรำพึง และจดหมายที่มีมากถึง 665 ฉบับที่ค้นพบ

ท่านเจริญชีวิตอย่างที่เป็นมาตลอด คือ พยายามที่จะทำตามน้ำพระทัย ถ่อมตนแม้ในเวลาที่ยากลำบาก และเป็นแบบฉบับของคาร์เมไลท์ ข้อเขียนหนึ่งของท่านในหนังสือรำพึง ที่ท่านร้อยเรียงขึ้นมาในการรำพึงถึงพระมหาทรมานด้วยความรักเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้อ่าน ได้บอกเล่าถึงความงดงามของความเงียบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวคาร์เมไลท์พยายามจะเลียนแบบ แบบฉบับบความเงียบที่ท่านได้สรรเสริญในพระองค์ เอาไว้ว่า สิ่งใดกันที่ความรักอันมิรู้สิ้นสุดแผดเผาในดวงหทัยของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โดยไม่ต้องเปล่งแม้เพียงคำเดียวทรงตรัสกับพวกลูก โดยไม่ต้องมีแม้นคำใดทรงกระทำกิจการน่าพิศวงซึ่งจะประสพผล ทรงสอนคุณธรรมผู้ขลาดเขลาและผู้มองไม่เห็น



กระทั้งต้นปี ค..1626 ท่านก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ จนใกล้ประตูมรณาเต็มที เวลานี้ความปรารถนาของท่านคือการจากไปอย่างเงียบๆ ไร้ซึ่งเสียงรบกวนใดๆของหมอหลวงส่วนพระองค์ ที่เจ้าหญิงจะรีบทรงส่งมาเมื่ออาการท่านทรุดหนักทุกครั้ง หรือความกังวลของคนในราชสำนัก และก็ดูเหมือนพระองค์จะสดับความปรารถนานี้

4 มิถุนายน ท่านมีอาการกำเริบแต่ดูเหมือนไม่ร้ายแรงถึงตาย ซึ่งผิดคาดเพราะเพียงไม่กี่วันถัดมา ท่านก็มีอาการแย่ลง และท่ามกลางความเงียบสงบ ท่านขอพระธาตุของมารดาที่รักของท่าน นักบุญเทเรซา ก่อนในเย็นวันอาทิตย์สมโภชพระตรีเอกภาพ ที่ 7 มิถุนายน ค..1626 รายล้อมด้วยบรรดาซิสเตอร์ ด้วยอายุ 67 ปี ท่านก็ถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบ ในวันที่ถวายเป็นพิเศษต่อสิ่งที่ท่านศรัทธาเป็นพิเศษ พระตรีเอกภาพ สิ่งที่สนิทเป็นหนึ่งเดียวกับความรักและการภาวนาอย่างร้อนรน สิ่งอีกสิ่งที่ชาวคาร์เมไลท์มุ่งเลียนแบบท่าน

ข่าวการจากไปของท่าน ผู้เป็นที่รักของชาวเมือง ทำให้ทุกคนต่างพากันหลั่งไหลมายังอาราม เพื่อมาแสดงความเคารพต่อนักบุญของพวกเขา หลังจากนั้นก็เกิดอัศจรรย์อีกมากมายที่ปูทางในการเปิดกระบวนการของท่าน นับตั้งแต่วันที่ท่านสิ้นใจเลยทีเดียว แต่อัศจรรย์ที่สำคัญก็คือการหายจากอาการป่วยของพระนางมารี เดอ เมดีซิส สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส ในปี ค..1633 โดยเพียงแค่พระนางได้บรรทมบนเสื้อคลุมของท่าน  และการรักษาซิสเตอร์ในอารามแอนต์เวิร์ป ในปี ค..1731

อานา อานา ลูกจะเป็นนักบุญ ส่วนแม่จะมีชื่อเสียง นี่เป็นคำกล่าวครั้งหนึ่งของนักบุญเทเรซา แม้กระบวนการของท่านล่าช้ามาก เพราะ ปัญหาการเมือง ที่สุดในวันที่ 6 พฤษภาคม ค..1917 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 15 ก็ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี


แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้น จะไม่กระหายอีกเลย(ยอห์น 4:14 ) บุญราศีอานา แม้จะต้องฝ่าฟันอุปสรรค ก็ได้เลือกพระคริสตเจ้าเป็นเจ้าบ่าวหนึ่งเดียว ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะท่านตระหนักดีว่า พระคริสตเจ้าทรงเป็นน้ำทรงชีวิต ที่ไม่มีวันจะเหือดแห้งไป เมื่อเทียบกับน้ำฝ่ายโลก ที่วันหนึ่งก็ต้องสูญสิ้นไปแล้ว ท่านจึงตระหนักดีว่าจะมีประโยชน์อันใดเล่า ที่จะขุดบ่อเก็บน้ำละ ทำไมไม่ไปหาต้นน้ำเสียเลย ดังนั้นท่านจึงไม่กลัวที่จะกระโดดโผเข้าหาพระองค์ เช่นคนตาบอดที่เมืองเยรีโค ที่เมื่อได้ยินพระองค์ทรงตรัสเรียก ก็สลัดเสื้อคลุมทิ้ง แล้วกระโดดเข้าหาพระองค์ ชีวิตของท่านในการติดตามพระคริสต์ บอกเราว่า ให้เรากล้าที่จะไปหาพระองค์ สละทิ้งซึ้งบ่อฝ่ายโลก แล้วพุ่งสู่ตาน้ำฝ่ายจิต นั่นก็คือพระคริสตเจ้า


ข้าแต่ท่านบุญราศีอานา แห่ง นักบุญบาร์โธโลมิว ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง


วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2558

"ลินดัลวา" ชีวิตเธอเพื่อรับใช้



บุญราศีลินดัลวา จูสโต เด โอรีเวียรา
Bl. Lindalva Justo de Oliveira
ฉลองในวันที่ :  7 มกราคม

เพลง พระเจ้านั้นแสนดี ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของความอาลัย ในตัวภคินีนางหนึ่งที่ได้สิ้นใจลงไปเมื่อวานอย่างกะทันหัน จากเสียงของบรรดาภคินีร่วมอาราม ที่มาพร้อมกับผู้คนที่ต้องการมาส่งซิสเตอร์ที่เขารักเป็นครั้งสุดท้าย พระเจ้านั้นแสนดี พระเมตตาพระองค์อยู่เป็นนิจ ทำนองนี้เคยดังจากริมปากที่ปิดสนิทคู่นั้น ให้พวกเขาในบ้านของซิสเตอร์เมตตาธรรมได้ฟัง ช่างชวนให้นึกถึงวันวานที่เธอผู้นี้ยังมีลมหายใจอยู่

ลินดัลวา จูซโต เด โอลิวีรา เกิดในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ.1953 ในครอบครัวของเกษตรกรนาม ยวง จูสโท ดา เฟ กับ มาเรีย ลูเซีย ดา เฟ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ยากจนของรัฐรีโอกรันดีโดนอร์เต ประเทศบราซิล ท่านเป็นบุตรคนที่คนหกจากสิบสามคนของครอบครัว อันที่จริงก่อนหน้านี้บิดาของท่านเคยสมรสแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนกลายเป็นพ่อหม้ายลูกติดสามคนแล้วจึงมาสมรสใหม่กับมารดาท่าน ดังนั้นท่านจึงมีพี่น้องต่างมารดาสามคนและเมื่อรวมกับพี่น้องร่วมบิดามารดาของท่านแล้วท่านจึงมีพี่น้องรวมทั้งสิ้นสิบห้าคน   ท่านได้รับศีลล้างบาปในวันที่ 7 มกราคม ปีเดียวกัน โดยคุณพ่อจูลิโอ อัลวีส เบเซร์รา ในวัดน้อยโอลโฮ ดากัว เขตวัดนักบุญยอห์น บัพติส


ครอบครัวไม่เล็กมากของท่าน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นมหาเศรษฐี แต่ครอบครัวของท่านก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาและวิถีชีวิตของคริสตชน ดังนั้นบิดามารดาจึงกลายเป็นครูคนแรกของจิตวิญญาณน้อยๆของท่าน มารดาของท่านคอยสอนท่านเรื่องพื้นฐานความเชื่อและบทภาวนาต่างๆ เช่นกันบิดาของท่านก็จะคอยอ่านพระคัมภีร์ให้ท่านและพี่น้องของท่านฟังเสมอ และเพื่อให้เด็กๆได้รับการศึกษาอย่าสม่ำเสมอในโรงเรียน ครอบครัวของท่านจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่อซู ในปี ค.ศ.1961 ที่นั่นด้วยความวิริยะอุสาหะ ครอบครัวของท่านก็สามารถที่จะซื้อบ้านที่ครอบครัวของท่านอยู่ที่นั่นจนถึงปัจจุบัน

ตั้งแต่วัยเยาว์ท่านก็ถูกดึงดูดเป็นพิเศษจากเด็กเล็กและใช้เวลาส่วนใหญ่ของท่านที่จะช่วยพวกเขา รักษาพวกเขา ดังนั้นมารดาของท่านจึงกลายมาเป็นต้นแบบที่ดีของท่านในการดูแลและช่วยเหลือเด็กผู้ยากไร้ ต่อมาในช่วงปลายระดับชั้นประถมศึกษา ขณะอายุประมาณ 12 ปี ท่านก็ได้รับศีลมหาสนิทเป็นครั้งแรก ในช่วงวัยรุ่นท่านจะใช้เวลาส่วนมากอยู่ในโรงเรียน คอยให้ความช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือมิตรสหายของท่านและในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของท่านก็จะหมดไปกลับการเก็บรวบรวมสินค้าเกษตรกรรมที่จะได้เงินบางส่วนกับการช่วยเหลืองานของครอบครัวท่าน



และถึงแม้ว่าท่านจะเป็นคนที่พร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือเด็ก ผู้สูงอายุและผู้ป่วย ท่านก็ไม่เคยลืมที่จะอุทิศตัวอย่างจริงจังเพื่อการศึกษาของท่านเลย ในปี ค.ศ.1979 ท่านจึงได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพของ ผู้ช่วยฝ่ายบริหาร  จากโรงเรียนมัธยมเฮลเวซิโอ ดายท์ (Scuola Superiore Helvécio Dahe) ใน  นาตาล ขณะที่ท่านอาศัยอยู่กับครอบครัวของพี่ชายท่าน

ในขณะเดียวกันนั้นเองระหว่างที่ท่านเรียนและช่วยเหลือผู้อื่น ตั้งแต่ปีค.ศ.1978-ค.ศ.1988 ท่านก็ได้ทำงานเป็นพนักงานขายในร้านและแคชเชียร์ในปั้มน้ำมันตามลำดับ ซึ่งทุกครั้งเมื่อได้เงินเดือนมาท่านก็จะส่งบางส่วนไปให้แก่มารดาท่านและเก็บส่วนที่เหลือไว้ใช้จ่ายส่วนตัวท่าน และในทุกๆวันหลังเลิกงานท่านก็จะแวะไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่บ้านพักในท้องถิ่นอยู่เสมอ



ต่อมาท่านก็เริ่มที่จะเข้าร่วมทำงานกับบรรดาภคินีธิดาเมตตาธรรมและกลุ่มสำหรับผู้สูงอายุที่ทุ่มเทตัวเองอย่างไม่เห็นแก่ตัวที่จะอาสาทำงาน  แต่ทุกอย่างล้วนเป็นสัจธรรมของชีวิตมีเกิดย่อมดับสูญไปเป็นนิจ บิดาของท่านก็เช่นกันหลังจากเขาต้องทนทุกข์จากโรคภัย บิดาของท่านก็เสียชีวิตลงในปีค.ศ.1982 ด้วยโรคมะเร็งในช่องท้อง ในระหว่างที่ท่านดูแลเขาด้วยความรัก บัดนี้เมื่อบิดาสิ้นแล้ว ท่านก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะอุทิศตนเพื่อคนยากไร้

หลังจากนั้น ท่านก็ได้เข้าศึกษาต่อในเรื่องหลักสูตรเทคนิคการพยาบาล เวลาเดียวก็เรียนกีตาร์และวัฒนธรรม จนต่อมาหลังปีค.ศ.1986 คุณแม่อธิการก็ได้ชวนท่านไปค่ายกระแสเรียกของคณะธิดาเมตตาธรรม ซึ่งมันบ่มเพาะให้ดวงใจน้อยๆของท่านมีความปรารถนาที่จะให้บริการแด่ผู้น่าสงสารทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจเข้าคณะธิดาเมตตาธรรมในตอนท้ายของปีค.ศ.1987 และได้รับศีลกำลังโดยพระสังฆราช



ดิฉันปรารถนาความสุขแห่งสวรรค์ ที่เอ่อล้นไปด้วยความยินดีและความปรารถนาที่จะช่วยเหลือคนอื่น โดยไม่รู้จักเบื่อในการทำความดี ในวัย 33 ปี ท่านก็เข้าเป็นโปสตุลันต์ของคณะธิดาเมตตาธรรมในวันฉลองแม่พระเมืองลูร์ด ที่ 11 กุมภาพันธ์ ค..1988 ณ บ้านคณะที่เรซีเฟ ซึ่งในฐานะโปสตุลันต์ ท่านก็ขยันผูกมิตรกับทุกคน ขณะเดียวกันก็ขยันเตรียมตนให้พร้อมรับใช้คนยากไร้ ดั่งที่ท่านเขียนถึงเพื่อนของท่านว่า ความต้องการเพียงเดียวของท่านก็คือ การรับใช้ด้วยความถ่อมใจในพระความรักของพระคริสตเจ้า

และยิ่งย้ำเตือนด้วยการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการไปอยู่กับเด็กๆในสลัม หรือการช่วยขนอิฐเพื่อสร้างบ้านให้คนยากไร้ ไม่มีใครในโลกอยู่ได้โดยปราศจากความรัก ปราศจากเพื่อน ชีวิตของเราคือการเป็นเพื่อน คือการค้นหาอาหารที่ทำให้เราเติบโตในความรักของพระคริสตเจ้า ผู้ทรงรักเรา ท่านเขียนถึงเพื่อนของท่าน  16 กรกฎาคม ค..1989 ท่านพร้อมโปสตุลันต์อีกห้าคนก็เข้าเป็นโนวิสของคณะ และจากจดหมายถึงมารดาและอามารา ก็แสดงชัดถึงความสุข และการอุทิศตนสำหรับพันธกิจใหม่ของท่านอย่างชัดเจน



และนอกจากจดหมายถึงมารดาและเพื่อน ท่านยังส่งจดหมายไปหาบรรดาญาติๆของที่ที่เหินห่างไปจากพระ เพื่อเรียกร้องให้พวกเขาเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบนั้นเสีย โดยเฉพาะอันโตนีโอ พี่ชายของท่าน ที่ติดเหล้างอมแงม ท่านได้เขียนถึงเขาว่า คิดถึงมันและให้รางวัลแก่ตัวเอง น้องสวดให้พี่มากๆและจะยังสวดต่อไป ซึ่งหากจำเป็นจริงๆน้องจะทำพลีกรรมให้พี่สามารถเติมเต็มตัวพี่เองด้วยตัวพี่ ติดตามพระเยซูเจ้า ผู้ต่อสู้จนสิ้นพระชนม์เพื่อชีวิตของคนบาปทั้งหลาย และผู้มอบชีวิตของพระองค์เอง ไม่ใช่ในฐานะพระเจ้าแต่ในฐานะมนุษย์เพื่อยกบาปทั้งหลาย พวกเราต้องแสวงหาที่หลบภัยในพระองค์ ในพระองค์เท่านั้นคือชีวิตที่คุ่มค่า และอัศจรรย์ก็บังเกิด ปีถัดมาพี่ชายของท่านเลิกเหล้าได้ และหนึ่งในเพื่อนของท่านก็ตัดสินใจสัมครเข้าคณะเดียวกัน นับเป็นความยินดีถึงสองเด้งสำหรับท่าน

29 มกราคม ค..1991 ท่านก็เข้าพิธีปฏิญาณตน และถูกส่งบ้านพักคนชราชายชื่อบ้านพักเปดรูที่ 2 เขตเทศบาลซัลวาดอร์ เด บาเฮีย ที่มีคนชราอยู่ถึง 40 คน ท่านรับมันด้วยความนบนอบ และเริ่มมอบความเรียบง่าย มิตรภาพ และความสุขกับทุกคนไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ซิสเตอร์ พนักงานโรงพยาบาล หรือผู้ใช้บริการก็ตาม  แม้ในช่วงที่ทุกข์ยากขนาดไหน ท่านไม่เคยเปลี่ยน ท่านร่าเริง มีความสุข และไม่เคยขออะไรให้ตนเองตลอด



ในฐานะพยาบาลที่ดี ท่านดูแลบรรดาผู้ป่วยชราภาพดั่งเช่นทาสีรับใช้เจ้านาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาตรีทูต ท่านก็จะรับใช้อย่างดีในฝ่ายกาย ส่วนในฝ่ายจิตท่านก็จะคอยกระตุ้นให้เขารับศีลศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนั้นเมื่อได้รับอนุญาตท่านก็จะร้องเพลงและสวดภาวนาร่วมกับพวกเขา บทเพลงหนึ่งในนั้นก็คือ พระเจ้านั้นแสนดี และไม่เพียงเท่านั้น ท่านยังถึงกับลงทุนไปเรียนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่มา เพื่อจะได้ขับพาบรรดาคนชราที่ท่านดูแลออกไปกินลมชมวิว และในฐานะซิสเตอร์คนหนึ่ง ท่านไม่เคยปิดบังอำพรางอะไรคุณแม่อธิการ ท่านเป็นมิตรและน่ารักกับซิสเตอร์ทุกคน วิญญาณของท่านสุกสว่างไปด้วยความสุข ความพร้อม การสวดภาวนา และการมองโลกในแง่ดีอย่างมีชีวิตชีวา

ทุกอย่างดูมีความสุขดี กระทั้งในเดือนมกราคม ค..1993 เมื่อบ้านพักได้รับชายวัย 46 ปี เข้ามาทั้งๆที่เขาไม่มีสิทธิ์เข้าพักใดๆ ชายผู้นี้แหละจะเปลี่ยนชีวิตท่านไปตลอดกาล นามเขาคือ เอากุสโต ดา ซิลวา เปโซโต แต่แม้จะไม่อยู่ในเกณฑ์เท่าไรนัก ท่านก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพเช่นเดียวกับที่ท่านปฏิบัติต่อคนอื่นๆ แต่ไม่รู้เป็นอย่างไร มันกลับทำให้คนประหลาดและไม่เป็นมิตรอย่างเอากุสโต ตกหลุมรักซิสเตอร์สาวคนนี้เข้าเต็มเปาซะแล้ว



ฝ่ายท่านเองก็ทราบเรื่องนี้ดี ท่านจึงเริ่มรักษาระยะห่างจากเขา และเริ่มระแวดระวังตัวท่านเองมากขึ้น ส่วนฝ่ายเอากุสโตนั้นก็ยิ่งประกาศชัดกับหลายๆคนถึงความตั้งใจของเขา เขาจะต้องได้เธอ ทำให้ท่านยิ่งหวาดกลัวเขามากขึ้น จนถึงขั้นต้องไปรับทุกข์กับเพื่อนซิสเตอร์ด้วยกัน เวลานี้คงมีวิธีเดียวที่ง่ายและเร็วก็คือการย้ายไปจากที่นี่ แต่ด้วยความรักต่อบรรดาคนชรา ท่านจึงเลือกที่จะอยู่ต่อ วันหนึ่งท่านปรับทุกข์กับซิสเตอร์คนหนึ่งด้วยความวางใจว่า ฉันชอบที่จะหลั่งเลือดของดิฉันมากกว่าการที่จะออกจากที่นี่

แม้จะไม่ได้รับกาสนใจ เอากุสโตก็ยังคงไม่ละความพยายาม ไม่ว่าจะเวลาไหน จนบังคับให้ซิสเตอร์ต้องนำเรื่องนี้ ไปแจ้งแก่ผู้อำนวยการฝ่ายบริการสังคมของบ้านพักให้ทราบถึงเรื่องนี้ ดังนั้นในวันที่ 30 มีนาคม นางมาร์การิตา มาเรีย ซีวา เด อาเซเวโด จึงเรียกเอากุสโตเข้ามาคุยอย่างเป็นทางการ เพื่อให้เขาได้ปรับทัศนคติของเขาในการให้เกียรติซิสเตอร์และคนอื่น เขารับฟังและสัญญาว่าจะปรับปรุง เวลานี้ทุกอย่างเหมือนจะจบลงด้วยดี แต่เปล่าเลย เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นต่างหากละ



ทันทีหลังจากวันนั้น ความรักที่เคยมีให้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้นชิงชัง ผสมรวมกับความต้องการ ความอับอาย ก็ทำให้เขาคิดแผนการแก้แค้นอย่างสาสมขึ้นมา เริ่มจากในเช้าวันจันทร์ที่ 5 เมษายน ของสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็แอบลอบไปซื้อมีดมาจากพ่อค้าปลา ก่อนนำมาซ่อนไว้และแสร้งทำตนเป็นคนดี เพื่อรอคอยจังหวะที่เขาจะทำมัน

เช้าวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ 9 เมษายน ค..1993 เวลาตีสี่ครึ่ง ท่านออกไปร่วมเดินรูปที่วัดแม่พระแห่งการเดินทางที่ดี พยานรายงานว่า ซิสเตอร์ลินดัลวาเดิน สวดภาวนา ร้องเพลงและร่วมขบวนด้วยความสงบ หลังจากนั้นท่านจึงกลับมาเตรียมตัวและบริการอาหารเช้าผู้สูงอายุในเวลาเจ็ดนาฬิกา มีขนมปัง นมและกาแฟตามปกติ แต่โดยที่ไม่มีใครรู้คือว่าเอากุสโต กำลังเฝ้ารอเวลาที่ท่านจะไปถึงที่ที่เขาวางแผนไว้ อยู่ภายนอกห้องอาหาร กระทั้งเมื่อท่านมาถึงจุดนั้นตามที่เขาคำนวณ เขาก็ตรงขึ้นไปบันไดด้านนอกในทันที



เสียงเปิดประตูดังขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ท่านมาถึงและกำลังเทกาแฟลงในถ้วย เอากุสโตรีบชักมีดที่เตรียมไว้ออกมา ขณะเดียวกันก็คว้าไหล่ของท่าน ฉุดให้ท่านหันไปประจันหน้ากับเขา แต่ยังไม่ทันที่ท่านจะพูดอะไร เขาก็ใช้มีดแทงเข้าที่เหนือไหปลาร้าซ้ายของท่าน บาดแผลลึกตั้งแต่คอไปจนถึงปอด ส่งผลให้ท่านล้มลงและเริ่มร่ำไห้ พร้อมกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าปกป้องลูกด้วย สองถึงสามครั้ง ฝ่ายเอากุสโต เมื่อเห็นท่านล้มลงก็จัดการแทงท่านอย่างบ้าคลั่งไปทั่วทั้งร่างกาย

จนเลือดของท่านอาบไปทั่วบริเวณนั้น ฝั่งคนที่เรียกสติกลับมาได้ ก็รีบตรงดิ่งเข้าไปห้าม แต่ก็ถูกเอากุสโตหันมาขู่พร้อมมีดว่า ใครหน้าไหนเสนอหน้าเข้าไปใกล้ เขาจะฆ่าทิ้งเสียให้หมด ก่อนจะหันมาพูดขึ้นว่า ฉันควรจะทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ผู้ชราทุกคนถูกพากลับห้อง ทิ้งเอากุสโตที่ตอนนี้กำลังบ้าดีเดือดให้แทงท่านต่อไป กระทั้งคุณหมอเฟรรี วิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ เอากุสโตจึงสงบ ประดุจว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้น เขานั่งบนม้านั่ง ขณะเดียวกันก็เช็ดมีดเปื้อนเลือดกับกางเกง แล้วโยนไปที่โต๊ะไปพร้อมอุทานว่า เธอไม่เคยต้องการฉันเลย ก่อนจะหันไปบอกคุณหมอเฟรรีง่ายๆว่า คุณเรียกตำรวจได้เลยนะ ผมไม่หนีหรอก ผมได้ทำในสิ่งที่ต้องทำแล้วละ



ตำรวจมาถึงสถานที่เกิดเหตุและได้คุมตัวเอากุสโตไปสอบสวน ซึ่งภายหลังการตัดสินเอากุสโตถูกส่งไปรักษา ณ โรงพยาบาลจิตเวส ที่เวลาสิบนาฬิกาสามสิบนาที ร่างของท่านก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังสถาบันนิติเวช ผลชันสูตรออกมาพบว่าท่านถูกแทงทั้งสิ้น 44 แผล กระจายอยู่ทั่วตลอดทั้งร่างกาย โลงศพและร่างของท่านถูกวางระหว่างรูปแม่พระมหาทุกข์กับพระรูปพระศพที่ใช้ในการจัดเดินรูปทุกปี ทั้งคืนมีผู้คนจากทั่วสารทิศผลัดเปลี่ยนกันมาสวดภาวนา กระทั้งเช้าของวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์จึงมีพิธีปลงศพวัย 39 ปีของท่าน เพียงไม่กีปีของซิสเตอร์ลินดัลวาก็เพียงพอแล้วสำหรับมงกุฎแห่งผู้ถวายตนและมรณสักขี คำเทศน์ของพระคุณเจ้าพระคาร์ดินัลลูคัส ประธานพิธีปลงศพท่าน และที่สุดในวันที่ 2 ธันวาคม ค..2007 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ก็ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี


แต่เราจงรักกันด้วยการกระทำ และด้วยความจริง(1 ยอห์น 3:18) ชีวิตของท่านโดดเด่นออกมานอกจากการสิ้นใจเพื่อคงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์แล้ว ชีวิตของท่านยังโดดเด่นออกมา ด้วยการรับใช้อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ท่านตระหนักถึงอะไรคงดั่งพระวาจาที่ยกมา ท่านกำลังบอกเราว่างานเมตตาไม่ใช่เพียงแค่งานช่วยเหลือเขา แต่คืองานที่เราเต็มเติมบางสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตของเขา ตามที่เราสามารถจะทำได้ตามพระพรที่เรามีแตกต่างกัน บางทีอาจจะไม่ใช่วัตถุ แต่อาจเป็นเพียงความสุขเล็กๆ ผ่านสิ่งต่างๆ เพราะพันธกิจเมตตานี้คือสิ่งที่พระทรงมอบให้เรานับแต่วันเรารับศีลล้างบาป พระองค์ทรงขอให้เราเป็นพระองค์เองในหมู่พี่น้อง ให้เราเป็นพระเยซูเจ้าในทุกคน เพื่อจะได้นำทุกคนให้ได้สัมผัสพระผ่านเรา ชีวิตท่านคล้ายสอนเราว่า ให้เราก้าวไปเป็นเครื่องมือสื่อความเมตตารักไปยังทุกคน  “ไม่มีใครในโลกอยู่ได้โดยปราศจากความรัก ปราศจากเพื่อน … ชีวิตของเราคือการเป็นเพื่อน คือการค้นหาอาหารที่ทำให้เราเติบโตในความรักของพระคริสตเจ้า ผู้ทรงรักเรา”  ท่านกล่าวไว้


พิธีสถาปนา

มารดาของท่าน






ข้าแต่ท่านบุญราศีลินดัลวา จูสโต เด โอรีเวียรา ช่วยวิงวอนเทอญ



ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...