วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

"อานา" เงาของนักบุญเทเรซา


บุญราศีอานา แห่ง นักบุญบาร์โธโลมิวฺ
Bl. Ana de San Bartolome
ฉลองในวันที่ : 7 มิถุนายน

ปี ค..2015 นับเป็นปีที่คาเมไลท์ทุกแห่งบนโลก ต่างพากันยินดีโมทนาคุณพระเจ้า ในโอกาสที่พระองค์ทรงโปรดประทานให้เด็กหญิงเทเรซากำเนิดขึ้นเมื่อ 500 ปีที่แล้ว เด็กหญิงผู้ที่เปลี่ยนคาร์เมไลท์ไปตลอด เด็กหญิงผู้ที่จะเปลี่ยนโลก แน่นอนทุกคนย่อมรู้ชีวประวัติของนักบุญเทเรซาเป็นอย่างดี แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าในบั้นปลายชีวิต จะมีบุคคลคนหนึ่งที่ปรากฏในชีวิตช่วงสุดท้ายตลอด จนถึงวันสุดท้ายของนักบุญ เธอผู้นั้นก็คือ ซิสเตอร์อานา

ซิสเตอร์อานา มีนามเดิมโดยกำเนิดว่า อิลามาบา อานา การ์เซีย มันซานัส เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค..1549 เป็นลูกคนที่ 5 จากเจ็ดคน ของนายเฟรนันโด การ์เซีย กับนางมารีอา มันซานัส ครอบครัวคริสตชนใจศรัทธาเจ้าของฟาร์ม ในหมู่บ้านอัลเมนดรัล เด ลา กาญาดา เมืองโตเลโด ประเทศสเปน ท่านได้รับศีลล้างบาปในวันเดียวกันกับที่เกิด



ทั้งนายเฟรนันโด และนางมารีอา ต่างเป็นคริสตชนใจศรัทธาดั่งที่เกริ่นไว้ ทั้งสองพาลูกๆทุกคนไปมิสซาทุกวัน และสวดภาวนาร่วมกันเป็นประจำ นอกจากนี้นายเฟรนันโดยังมีนิสัย มักนำเรื่องการดูแลชีวิตฝ่ายจิตของลูกๆของเขา ไปปรึกษากับคุณพ่อวิญญาณของตน คนเดียวกันกับที่คอยสอนคำสอนให้เด็กๆเสมอ นี้แหละเป็นสภาพคร่าวๆ ของชีวิตในครอบครัวที่ท่านถือกำเนิดขึ้น

ในวัยเยาว์ท่านได้รับการสอนให้อ่านภาษาสเปน แต่ไม่รวมไปถึงการเขียน ดังนั้นคำภาวนาของท่านจึงเป็นไปอย่างธรรมชาติ นอกจากนี้แม้จะมีอายุน้อยนัก ท่านก็ได้มอบรักหมดใจแด่พระเยซูเจ้า ท่านปรารถนาจะให้พระองค์ทรงพอพระทัยในทุกสิ่งที่ท่านทำ และมักรู้สึกได้ว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้ๆ ท่านยังชอบพูดคุยกับแม่พระ นักบุญยอแซฟ และบรรดานักบุญทั้งหลาย ทุกๆวันท่านวอนขอให้พวกท่านเหล่านั้น ช่วยท่านให้พ้นจากการเป็นทาสของบาป ซึ่งตามบันทึกได้บันทึกว่าแม้ท่านจะยังพูดไม่ค่อยได้ ท่านก็มีความกลัวต่อบาป และความทุกข์ หากต้องสูญเสียพระหรรษทานของพระไป ชนิดเคยร้องไห้เพราะนี้ตอนอายุได้ห้าขวบ

ข้อมูลหนึ่งได้กล่าวอีกว่าพระสวามีเจ้า ทรงปรากฏมาหาท่านครั้งแรกเมื่อท่านมีวัยได้เพียงสามปี ในลักษณะเป็นพระกุมาร และดูเหมือนว่าทุกๆครั้งที่ทรงประจักษ์มาอีกในภายหลัง จะทรงปรากฏองค์คล้ายดั่งเติบโตไปพร้อมๆกับท่าน ซึ่งทำให้ตลอดชีวิตของท่าน ท่านได้ตระหนักเสมอถึงความศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า และแม้ชีวิตของท่านจะเป็นเช่นนี้ ท่านก็มีแง่มุมเช่นเด็กหญิงธรรมดาทั่วไป ท่านมีความสุขกับการเล่นกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ โดยเฉพาะกับลูกพี่ลูกน้องของท่านที่ชื่อ ฟรังเชสกา การ์เซีย ที่ภายหลังก็ได้เข้าอารามคาร์แมลเช่นกัน

แต่เมื่อท่านมีวัยได้เก้าปี มารดาของท่านก็มาด่วนสิ้นใจไปด้วยโรคระบาด ดังนั้นท่านจึงต้องกำพร้ามารดา แต่ก็ดั่งเคราะห์ซ้ำกำซัดไม่นานเมื่อท่านอายุได้สิบปี บิดาของท่านก็มาจากไปอีกคนด้วยโรคระบาดเช่นกัน ดังนั้นท่านจึงต้องอยู่กับพี่ชายและพี่สาวในบ้าน โดยรับหน้าที่เป็นคนเลี้ยงแกะ ให้แกะของพี่ชายของท่านเอง ซึ่งท่านก็รับมันด้วยความเต็มใจและทำมันด้วยความเอาใจใส่ และก็มีหลายต่อหลายครั้งที่พระกุมารทรงประจักษ์มาเล่นกับท่าน


กาลเวลาล่วงผ่านไปจากเด็กน้อยวัยสิบปี ก็กลายเป็นเด็กสาววัยยี่สิบเอ็ดปี ที่พี่ๆต่างเชียร์ให้ออกเหย่าออกเรือนเสีย แต่ท่านก็ปฏิเสธ เพราะท่านมีกระแสเรียกการเป็นซิสเตอร์ ท่านกล่าวว่าท่านได้ถวายตัวเป็นข้ารับใช้ของพระองค์ และได้ความบริสุทธิ์แด่พระองค์ตลอดนิรันดร์แล้ว แต่ด้วยเหตุผลมากมายของบรรดาพี่ๆ ท่านก็ยอมรับข้อเสนอหากท่านพบ ชายที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ร่ำรวยมาก ดีมาก และช่วยให้ท่านรับใช้พระได้ดีขึ้น ท่านก็จะแต่ง และทันทีมิตรสหายวัยเยาว์ของท่าน ก็ตรัสที่ข้างหูท่านว่า เรานี้แหละที่ลูกต้องการ และลูกจะต้องแต่งงานกับเรา ก่อนหายไป

แต่นั้นมาใจท่านก็มุ่งไปยังการเป็นนักบวชเท่านั้น และต้องเป็นที่อารามนักบุญยอแซฟ ของคุณแม่เทเรซาเท่านั้น แต่พี่ชายของท่านไม่ยอม จนทำให้ท่านถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ ดังนั้นด้วยความเป็นห่วงพี่ชายจึงทำนพวารต่อนักบุญบาร์โธโลมิว อัครสาวก กระทั้งในวันฉลองนักบุญบาร์โธโลมิวซึ่งคือ วันที่ 24 สิงหาคม ค..1570 ขณะเข้าไปยังวัดน้อยที่สร้างถวายเกียรติแด่ท่านนักบุญ จู่ๆท่านก็ได้รับการรักษาให้หายขาดอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้นับจากนั้นท่านจึงยกนักบุญบาร์โธโลมิวเป็นองค์อุปถัมภ์ของท่าน และมักสวดขอนักบุญองค์นี้อยู่บ่อยๆ



ที่สุดความฝันท่านสำฤทธิ์ผล ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค..1570 ท่านก็ได้เข้าอารามคาร์แมลนักบุญยอแซฟ อาวิลา ดั่งใจปรารถนา และกลายเป็นภคินีแผนกสงเคราะห์(สวมผ้าคลุมสีขาว)คนแรกของคณะปฏิรูปนี้ ด้วยนามใหม่ในวันรับชุดคณะว่า ภคินีอานา แห่ง นักบุญบาร์โธโลมิว”  ซึ่งในฐานะนวกะใหมีนักบุญเทเรซาก็จำต้องสั่งให้ท่านเพลาๆการพลีกรรมและสวดลงหน่อย เพราะกลัวท่านจะล้มป่วยหนัก นอกจากนี้นักบุญเทเรซายังได้ลองใจดูความถ่อมตนของท่าน โดยแสร้งมองไม่เห็นความมหัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวธิดาคนโปรด และส่งไปทำงานที่ต่ำต้อยอาทิ คนเปิดประตู คนปรุงอาหาร และพยาบาล

ท่านได้เข้าพิธีปฏิญาณตนในอีกสองปีถัดมา ในวันที่ 15 สิงหาคม ค..1572 พร้อมรับหน้าที่เป็นพยาบาลคอยดูแลซิสเตอร์ที่ล้มป่วยและชราภาพในอาราม ท่านมีโอกาสติดตามนักบุญเทเรซาครั้งแรกในปี ค..1574  เมื่อนักบุญเทเรซาเดินทางไปยังเมืองบายาโดลิด และเมืองเมดินา เดล กัมโป แต่ก็มาล้มป่วยจนเดินทางมาได้ถึงสองปี และเมื่อนักบุญเทเรซาตกบันได จนแขนซ้ายหักในวันพระคริสตสมภพ ปี ค..1577 แม้ท่านจะไม่เขียนได้เลย นักบุญเทเรซาก็ได้เลือกให้ท่านเป็น เลขานุการของเธอ และพยาบาลของเธอ



ซึ่งตลอดช่วงห้าปีสุดท้ายของนักบุญเทเรซา หลายต่อหลายครั้งนักบุญเทเรซาก็ต้องการความช่วยเหลือ ในการเขียนจดหมายโต้ตอบต่างๆ เพราะมีหลายครั้งนักบุญเทเรซาก็เหนื่อยอ่อนหรือป่วยไข้เกินกว่าจะเขียนได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ยังมีกำลังพอจะพูดได้ ดังนั้นท่านจึงมารับหน้าที่นี้ แม้จะมีปัญหาคือท่านเขียนหนังสือไม่เป็น นักบุญเทเรซาก็เลยเขียนให้ท่านสองบรรทัดและบอกว่าให้ท่านเรียนรู้ กระทั้งบ่ายวันหนึ่งท่านก็ลองพยายามนบนอบต่อคำสั่งของนักบุญเทเรซา และก็เกิดอัศจรรย์ขึ้น เพราะจู่ๆท่านก็สามารถเขียนหนังสือได้ (อัศจรรย์นี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นอัศจรรย์ของนักบุญเทเรซา ในระหว่างขั้นตอนเป็นบุญราศีของนักบุญเทเรซา)

ประการฉะนี้ท่านจึงรับหน้าที่เป็นผู้เขียนจดหมายตามคำสั่งของนักบุญเทเรซาตลอด และกลายมาเป็นคู่หูที่แยกกันไม่ได้ แบบไปไหนไปด้วยกันตลอด คือนักบุญเทเรซาไปเยี่ยมอารามที่ไหนท่านก็ไป โดยไม่ว่าจะเรื่องอาหาร เรื่องสุขภาพ เรื่องการเขียน ท่านก็เป็นคนดูแลทั้งสิ้น นอกจากนี้ท่านยังดั่งคนสนิทและคนคอยสนับสนุนการตั้งอารามตามที่บิลลานูเอบา เด ลา ฆารา , ปาเลนเซีย , โซเรียและบูร์โกสของนักบุญเทเรซาเสมอ จนเปรียบได้เหมือน เงาของนักบุญเทเรซา เลยทีเดียว



ความประสงค์อีกสิ่งของนักบุญเทเรซาก็คือให้ท่านได้เป็นซิสเตอร์สวมผ้าคลุมสีดำ แต่ท่านขอเป็นซิสเตอร์แผนกสงเคราะห์ดั่งเดิม ด้วยท่านไม่รู้ลาตินอันเป็นสิ่งจำเป็น ท่านบอกกับนักบุญเทเรซาว่าท่านชอบลงแรงทำงาน มากกว่านั่งบริหารนู่นบริหารนี่ ดังนั้นนักบุญเทเรซาจึงอนุญาตให้ท่านเป็นซิสเตอร์แผนกสงเคราะห์ต่อ แต่ก็ได้ทำนายไว้ว่าวันหนึ่งในอนาคตท่านจะได้รับผ้าคลุมหน้าสีดำ ท่านจึงยังคงปฏิบัติหน้าที่ในแผนกสงเคราะห์ไปตลอด

ท่านติดตามนักบุญเทเรซา จวบจนนักบุญเทเรซาสิ้นใจลงในอ้อมแขนของท่านเอง ในปี ค..1582 ที่อารามคาร์แมลเมืองอัลบา เด ตอร์เมส ท่านจึงเดินทางกลับไปยังอารามเมืองอาวิลลา และได้มีโอกาสเดินทางไปตั้งอารามที่เมืองโอกาญา ก่อนในปี ค..1595 ก่อนในปี ค..1604 พร้อมคารวียะอันนา แห่ง พระเยซูเจ้า และซิสเตอร์อีกจำนวนหนึ่ง ท่านก็ได้ออกเดินทางในเดือนตุลาคม มุ่งหน้าไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อตั้งอารามคณะ และ ณ อารามแห่งแรกของฝรั่งเศสใน ปารีส นั่นเอง ที่คำทำนายของนักบุญเทเรซาเป็นจริง ด้วยท่านได้รับผ้าคลุมสีดำด้วยความนบนอบ เพื่อปูทางในการเป็นอธิการของท่าน ในการตั้งอารามที่ปงตวซ ในเดือนมกราคม ค..1605


แต่เพียงแปดเดือนท่านปกครอง ท่านก็ถูกเรียกตัวกลับมายังปารีส เพื่อรับตำแหน่งอธิการของอาราม ก่อนในเดือนพฤษภาคม ค..1608 ท่านจะเดินทางไปตั้งอารามที่ทัวร์และดำรงตำแหน่งเป็นอธิการที่นั่นได้สามปี ท่านจึงประสบความทุกข์ครั้งใหญ่จากทั้งการยึดมั่นในพระพรพิเศษของคณะ และการต่อต้านต่างๆจากบรรดาคุณแม่อธิการชาวฝรั่งเศส ที่ไม่ใช่คณะเดียวกัน ที่พยายามมีอิทธิพลเหนือคณะ จนนับเป็นเวลาแห่งความทุกข์ยากที่ท่านเปรียบดั่งคืนมืดของนักบุญยอห์น แห่ง ไม้กาเขนเลยทีเดียว

ที่สุดในปี ค..1611 ท่านจึงออกเดินทางจาฝรั่งเศส มุ่งหน้าไปยังตอนเหนือของประเทศเบลเยียม และได้ก่อตั้งอารามคาร์แมลขึ้นที่เมืองแอนต์เวิร์ปในปีถัดมา พร้อมตำแหน่งอธิการจวบจนสิ้นชีวิต ซึ่งแม้ท่านจะเจริญชีวิตอย่างสันโดษแค่ไหนในเวลานี้ ผู้คนมากมายก็ต่างพากันแวะเวียนเปลี่ยนหน้ากันมาขอคำแนะนำจากท่าน ตั้งแต่คนธรรมดาๆยันเจ้าขุนมูลนายต่างๆ หนึ่งในนั้นทำให้ท่านเป็นผู้มีอิทธิพลในสังคมเบลเยียมตอนเหนือนั่นคือเจ้าหญิงอิซาเบลลา คลารา ยูเจเนียแห่งสเปน และกองทัพ เพราะท่านเป็นทั้งสหายและที่ปรึกษา



และถึงสองครั้งเมื่อกองทัพโปรเตสแตนต์บุกโจมตีเมืองแอนต์เวิร์ป ผ่านคำภาวนาของท่าน ผู้รับรู้ได้ภายในว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงบังเกิดขึ้น จึงได้รีบตื่นแต่เช้าไปสวดภาวนาอย่างร้อนรนที่ห้องภาวนา ก็ทำให้ในปี .. 1622 และ ค..1624 เพราะฝ่ายศัตรูพิจารณาแล้วว่าไม่มีทหารในเมือง เมืองจึงรอดพ้นจากการโจมตี ทำให้ชาวเมืองยิ่งเคารพท่านมากขึ้น

นอกจากนี้เมื่อข่าวการบันทึกนามนักบุญเทเรซาเป็นบุญราศี(24 เมษายน ค..1614)และนักบุญ(12 เมษายน ค..1622)มาถึงยังเมืองแอนต์เวิร์ป ก็สร้างความยินเป็นยิ่งนักแก่ท่าน เพราะท่านเชื่อเสมอว่านักบุญเทเรซาเป็นนักบุญตั้งแต่ยังไม่ตาย เราอาจกล่าวได้เลยว่าท่านผู้นี้แหละ เด็กหญิงจากกาญาดา แม่ชีชราภาพหลังซี่กรงของแอนต์เวิร์ป เป็นผู้นำความศรัทธาเป็นพิเศษต่อมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์(ชื่อเรียกนักบุญเทเรซาของชาวคาร์เมไลท์) มาสู่โลกของคาร์เมไลท์ และเป็นความจริงที่ว่าอารามที่นี่ก็สร้างถวายแด่นักบุญเทเรซาภายใต้ความศรัทธาเป็นพิเศษต่อนักบุญยอแซฟ ดังนั้นเมื่อมีการสถาปนาบุญราศีเทเรซา อารามจึงเพิ่มชื่อเป็น อารามนักบุญยอแซฟและนักบุญเทเรซา


งานเขียน ภายหลังจากนักบุญเทเรซาสิ้นใจลงแล้ว ท่านก็ได้ประพันธ์ไว้ทั้งเรื่องราวของนักบุญเทเรซาแบบเจาะลึกถึงวิญญาณตามที่ท่านได้สัมผัส เรื่องราวการปฏิรูปคณะทั้งในประเทศสเปนและประเทศฝรั่งเศส เรื่องการสืบทอดจิตตารมณ์ของนักบุญเทเรซา นอกจากนี้ยังมีอัตชีวประวัติของท่านเอง ตำราฝ่ายจิต การรำพึง และจดหมายที่มีมากถึง 665 ฉบับที่ค้นพบ

ท่านเจริญชีวิตอย่างที่เป็นมาตลอด คือ พยายามที่จะทำตามน้ำพระทัย ถ่อมตนแม้ในเวลาที่ยากลำบาก และเป็นแบบฉบับของคาร์เมไลท์ ข้อเขียนหนึ่งของท่านในหนังสือรำพึง ที่ท่านร้อยเรียงขึ้นมาในการรำพึงถึงพระมหาทรมานด้วยความรักเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้อ่าน ได้บอกเล่าถึงความงดงามของความเงียบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวคาร์เมไลท์พยายามจะเลียนแบบ แบบฉบับบความเงียบที่ท่านได้สรรเสริญในพระองค์ เอาไว้ว่า สิ่งใดกันที่ความรักอันมิรู้สิ้นสุดแผดเผาในดวงหทัยของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โดยไม่ต้องเปล่งแม้เพียงคำเดียวทรงตรัสกับพวกลูก โดยไม่ต้องมีแม้นคำใดทรงกระทำกิจการน่าพิศวงซึ่งจะประสพผล ทรงสอนคุณธรรมผู้ขลาดเขลาและผู้มองไม่เห็น



กระทั้งต้นปี ค..1626 ท่านก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ จนใกล้ประตูมรณาเต็มที เวลานี้ความปรารถนาของท่านคือการจากไปอย่างเงียบๆ ไร้ซึ่งเสียงรบกวนใดๆของหมอหลวงส่วนพระองค์ ที่เจ้าหญิงจะรีบทรงส่งมาเมื่ออาการท่านทรุดหนักทุกครั้ง หรือความกังวลของคนในราชสำนัก และก็ดูเหมือนพระองค์จะสดับความปรารถนานี้

4 มิถุนายน ท่านมีอาการกำเริบแต่ดูเหมือนไม่ร้ายแรงถึงตาย ซึ่งผิดคาดเพราะเพียงไม่กี่วันถัดมา ท่านก็มีอาการแย่ลง และท่ามกลางความเงียบสงบ ท่านขอพระธาตุของมารดาที่รักของท่าน นักบุญเทเรซา ก่อนในเย็นวันอาทิตย์สมโภชพระตรีเอกภาพ ที่ 7 มิถุนายน ค..1626 รายล้อมด้วยบรรดาซิสเตอร์ ด้วยอายุ 67 ปี ท่านก็ถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบ ในวันที่ถวายเป็นพิเศษต่อสิ่งที่ท่านศรัทธาเป็นพิเศษ พระตรีเอกภาพ สิ่งที่สนิทเป็นหนึ่งเดียวกับความรักและการภาวนาอย่างร้อนรน สิ่งอีกสิ่งที่ชาวคาร์เมไลท์มุ่งเลียนแบบท่าน

ข่าวการจากไปของท่าน ผู้เป็นที่รักของชาวเมือง ทำให้ทุกคนต่างพากันหลั่งไหลมายังอาราม เพื่อมาแสดงความเคารพต่อนักบุญของพวกเขา หลังจากนั้นก็เกิดอัศจรรย์อีกมากมายที่ปูทางในการเปิดกระบวนการของท่าน นับตั้งแต่วันที่ท่านสิ้นใจเลยทีเดียว แต่อัศจรรย์ที่สำคัญก็คือการหายจากอาการป่วยของพระนางมารี เดอ เมดีซิส สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส ในปี ค..1633 โดยเพียงแค่พระนางได้บรรทมบนเสื้อคลุมของท่าน  และการรักษาซิสเตอร์ในอารามแอนต์เวิร์ป ในปี ค..1731

อานา อานา ลูกจะเป็นนักบุญ ส่วนแม่จะมีชื่อเสียง นี่เป็นคำกล่าวครั้งหนึ่งของนักบุญเทเรซา แม้กระบวนการของท่านล่าช้ามาก เพราะ ปัญหาการเมือง ที่สุดในวันที่ 6 พฤษภาคม ค..1917 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 15 ก็ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี


แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้น จะไม่กระหายอีกเลย(ยอห์น 4:14 ) บุญราศีอานา แม้จะต้องฝ่าฟันอุปสรรค ก็ได้เลือกพระคริสตเจ้าเป็นเจ้าบ่าวหนึ่งเดียว ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะท่านตระหนักดีว่า พระคริสตเจ้าทรงเป็นน้ำทรงชีวิต ที่ไม่มีวันจะเหือดแห้งไป เมื่อเทียบกับน้ำฝ่ายโลก ที่วันหนึ่งก็ต้องสูญสิ้นไปแล้ว ท่านจึงตระหนักดีว่าจะมีประโยชน์อันใดเล่า ที่จะขุดบ่อเก็บน้ำละ ทำไมไม่ไปหาต้นน้ำเสียเลย ดังนั้นท่านจึงไม่กลัวที่จะกระโดดโผเข้าหาพระองค์ เช่นคนตาบอดที่เมืองเยรีโค ที่เมื่อได้ยินพระองค์ทรงตรัสเรียก ก็สลัดเสื้อคลุมทิ้ง แล้วกระโดดเข้าหาพระองค์ ชีวิตของท่านในการติดตามพระคริสต์ บอกเราว่า ให้เรากล้าที่จะไปหาพระองค์ สละทิ้งซึ้งบ่อฝ่ายโลก แล้วพุ่งสู่ตาน้ำฝ่ายจิต นั่นก็คือพระคริสตเจ้า


ข้าแต่ท่านบุญราศีอานา แห่ง นักบุญบาร์โธโลมิว ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง


ลำนำ ณ นั่งร้านของ 'มรณสักขีแห่งกมเปียญ' ตอนแรก

  นักบุญมรณสักขีแห่งกมเปียญ St. Martyrs of Compiègne วันฉลอง: 17 กรกฎาคม ‘เลาดาเต โดมินัม โอมเนส เซนเทส’ (นานาชาติเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์...