บุญราศีลินดัลวา
จูสโต เด โอรีเวียรา
Bl. Lindalva
Justo de Oliveira
ฉลองในวันที่ : 7 มกราคม
เพลง “พระเจ้านั้นแสนดี” ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของความอาลัย ในตัวภคินีนางหนึ่งที่ได้สิ้นใจลงไปเมื่อวานอย่างกะทันหัน
จากเสียงของบรรดาภคินีร่วมอาราม ที่มาพร้อมกับผู้คนที่ต้องการมาส่งซิสเตอร์ที่เขารักเป็นครั้งสุดท้าย
“พระเจ้านั้นแสนดี พระเมตตาพระองค์อยู่เป็นนิจ” ทำนองนี้เคยดังจากริมปากที่ปิดสนิทคู่นั้น
ให้พวกเขาในบ้านของซิสเตอร์เมตตาธรรมได้ฟัง
ช่างชวนให้นึกถึงวันวานที่เธอผู้นี้ยังมีลมหายใจอยู่
ลินดัลวา จูซโต
เด โอลิวีรา เกิดในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ.1953 ในครอบครัวของเกษตรกรนาม ยวง จูสโท ดา เฟ กับ
มาเรีย ลูเซีย ดา เฟ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ยากจนของรัฐรีโอกรันดีโดนอร์เต ประเทศบราซิล ท่านเป็นบุตรคนที่คนหกจากสิบสามคนของครอบครัว
อันที่จริงก่อนหน้านี้บิดาของท่านเคยสมรสแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนกลายเป็นพ่อหม้ายลูกติดสามคนแล้วจึงมาสมรสใหม่กับมารดาท่าน
ดังนั้นท่านจึงมีพี่น้องต่างมารดาสามคนและเมื่อรวมกับพี่น้องร่วมบิดามารดาของท่านแล้วท่านจึงมีพี่น้องรวมทั้งสิ้นสิบห้าคน
ท่านได้รับศีลล้างบาปในวันที่ 7 มกราคม ปีเดียวกัน โดยคุณพ่อจูลิโอ อัลวีส เบเซร์รา ในวัดน้อยโอลโฮ
ดากัว เขตวัดนักบุญยอห์น บัพติส
ครอบครัวไม่เล็กมากของท่าน
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นมหาเศรษฐี
แต่ครอบครัวของท่านก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาและวิถีชีวิตของคริสตชน ดังนั้นบิดามารดาจึงกลายเป็นครูคนแรกของจิตวิญญาณน้อยๆของท่าน
มารดาของท่านคอยสอนท่านเรื่องพื้นฐานความเชื่อและบทภาวนาต่างๆ เช่นกันบิดาของท่านก็จะคอยอ่านพระคัมภีร์ให้ท่านและพี่น้องของท่านฟังเสมอ
และเพื่อให้เด็กๆได้รับการศึกษาอย่าสม่ำเสมอในโรงเรียน ครอบครัวของท่านจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่อซู
ในปี ค.ศ.1961 ที่นั่นด้วยความวิริยะอุสาหะ
ครอบครัวของท่านก็สามารถที่จะซื้อบ้านที่ครอบครัวของท่านอยู่ที่นั่นจนถึงปัจจุบัน
ตั้งแต่วัยเยาว์ท่านก็ถูกดึงดูดเป็นพิเศษจากเด็กเล็กและใช้เวลาส่วนใหญ่ของท่านที่จะช่วยพวกเขา
รักษาพวกเขา
ดังนั้นมารดาของท่านจึงกลายมาเป็นต้นแบบที่ดีของท่านในการดูแลและช่วยเหลือเด็กผู้ยากไร้
ต่อมาในช่วงปลายระดับชั้นประถมศึกษา ขณะอายุประมาณ 12 ปี ท่านก็ได้รับศีลมหาสนิทเป็นครั้งแรก
ในช่วงวัยรุ่นท่านจะใช้เวลาส่วนมากอยู่ในโรงเรียน
คอยให้ความช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือมิตรสหายของท่านและในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของท่านก็จะหมดไปกลับการเก็บรวบรวมสินค้าเกษตรกรรมที่จะได้เงินบางส่วนกับการช่วยเหลืองานของครอบครัวท่าน
และถึงแม้ว่าท่านจะเป็นคนที่พร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือเด็ก
ผู้สูงอายุและผู้ป่วย
ท่านก็ไม่เคยลืมที่จะอุทิศตัวอย่างจริงจังเพื่อการศึกษาของท่านเลย ในปี ค.ศ.1979 ท่านจึงได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพของ “ผู้ช่วยฝ่ายบริหาร” จากโรงเรียนมัธยมเฮลเวซิโอ ดายท์ (Scuola Superiore Helvécio Dahe) ใน
นาตาล ขณะที่ท่านอาศัยอยู่กับครอบครัวของพี่ชายท่าน
ในขณะเดียวกันนั้นเองระหว่างที่ท่านเรียนและช่วยเหลือผู้อื่น
ตั้งแต่ปีค.ศ.1978-ค.ศ.1988 ท่านก็ได้ทำงานเป็นพนักงานขายในร้านและแคชเชียร์ในปั้มน้ำมันตามลำดับ ซึ่งทุกครั้งเมื่อได้เงินเดือนมาท่านก็จะส่งบางส่วนไปให้แก่มารดาท่านและเก็บส่วนที่เหลือไว้ใช้จ่ายส่วนตัวท่าน
และในทุกๆวันหลังเลิกงานท่านก็จะแวะไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่บ้านพักในท้องถิ่นอยู่เสมอ
ต่อมาท่านก็เริ่มที่จะเข้าร่วมทำงานกับบรรดาภคินีธิดาเมตตาธรรมและกลุ่มสำหรับผู้สูงอายุที่ทุ่มเทตัวเองอย่างไม่เห็นแก่ตัวที่จะอาสาทำงาน
แต่ทุกอย่างล้วนเป็นสัจธรรมของชีวิตมีเกิดย่อมดับสูญไปเป็นนิจ
บิดาของท่านก็เช่นกันหลังจากเขาต้องทนทุกข์จากโรคภัย บิดาของท่านก็เสียชีวิตลงในปีค.ศ.1982 ด้วยโรคมะเร็งในช่องท้อง ในระหว่างที่ท่านดูแลเขาด้วยความรัก
บัดนี้เมื่อบิดาสิ้นแล้ว ท่านก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะอุทิศตนเพื่อคนยากไร้
หลังจากนั้น
ท่านก็ได้เข้าศึกษาต่อในเรื่องหลักสูตรเทคนิคการพยาบาล เวลาเดียวก็เรียนกีตาร์และวัฒนธรรม จนต่อมาหลังปีค.ศ.1986 คุณแม่อธิการก็ได้ชวนท่านไปค่ายกระแสเรียกของคณะธิดาเมตตาธรรม
ซึ่งมันบ่มเพาะให้ดวงใจน้อยๆของท่านมีความปรารถนาที่จะให้บริการแด่ผู้น่าสงสารทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่
ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจเข้าคณะธิดาเมตตาธรรมในตอนท้ายของปีค.ศ.1987 และได้รับศีลกำลังโดยพระสังฆราช
“ดิฉันปรารถนาความสุขแห่งสวรรค์ ที่เอ่อล้นไปด้วยความยินดีและความปรารถนาที่จะช่วยเหลือคนอื่น
โดยไม่รู้จักเบื่อในการทำความดี” ในวัย 33 ปี
ท่านก็เข้าเป็นโปสตุลันต์ของคณะธิดาเมตตาธรรมในวันฉลองแม่พระเมืองลูร์ด ที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1988 ณ บ้านคณะที่เรซีเฟ ซึ่งในฐานะโปสตุลันต์ ท่านก็ขยันผูกมิตรกับทุกคน
ขณะเดียวกันก็ขยันเตรียมตนให้พร้อมรับใช้คนยากไร้
ดั่งที่ท่านเขียนถึงเพื่อนของท่านว่า ความต้องการเพียงเดียวของท่านก็คือ “การรับใช้ด้วยความถ่อมใจในพระความรักของพระคริสตเจ้า”
และยิ่งย้ำเตือนด้วยการกระทำ
ไม่ว่าจะเป็นการไปอยู่กับเด็กๆในสลัม หรือการช่วยขนอิฐเพื่อสร้างบ้านให้คนยากไร้ “ไม่มีใครในโลกอยู่ได้โดยปราศจากความรัก
ปราศจากเพื่อน … ชีวิตของเราคือการเป็นเพื่อน
คือการค้นหาอาหารที่ทำให้เราเติบโตในความรักของพระคริสตเจ้า ผู้ทรงรักเรา” ท่านเขียนถึงเพื่อนของท่าน 16 กรกฎาคม ค.ศ.1989 ท่านพร้อมโปสตุลันต์อีกห้าคนก็เข้าเป็นโนวิสของคณะ
และจากจดหมายถึงมารดาและอามารา ก็แสดงชัดถึงความสุข
และการอุทิศตนสำหรับพันธกิจใหม่ของท่านอย่างชัดเจน
และนอกจากจดหมายถึงมารดาและเพื่อน
ท่านยังส่งจดหมายไปหาบรรดาญาติๆของที่ที่เหินห่างไปจากพระ เพื่อเรียกร้องให้พวกเขาเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบนั้นเสีย
โดยเฉพาะอันโตนีโอ พี่ชายของท่าน ที่ติดเหล้างอมแงม ท่านได้เขียนถึงเขาว่า “คิดถึงมันและให้รางวัลแก่ตัวเอง น้องสวดให้พี่มากๆและจะยังสวดต่อไป
ซึ่งหากจำเป็นจริงๆน้องจะทำพลีกรรมให้พี่สามารถเติมเต็มตัวพี่เองด้วยตัวพี่
ติดตามพระเยซูเจ้า ผู้ต่อสู้จนสิ้นพระชนม์เพื่อชีวิตของคนบาปทั้งหลาย และผู้มอบชีวิตของพระองค์เอง
ไม่ใช่ในฐานะพระเจ้าแต่ในฐานะมนุษย์เพื่อยกบาปทั้งหลาย
พวกเราต้องแสวงหาที่หลบภัยในพระองค์ ในพระองค์เท่านั้นคือชีวิตที่คุ่มค่า” และอัศจรรย์ก็บังเกิด ปีถัดมาพี่ชายของท่านเลิกเหล้าได้ และหนึ่งในเพื่อนของท่านก็ตัดสินใจสัมครเข้าคณะเดียวกัน
นับเป็นความยินดีถึงสองเด้งสำหรับท่าน
29 มกราคม ค.ศ.1991 ท่านก็เข้าพิธีปฏิญาณตน และถูกส่งบ้านพักคนชราชายชื่อบ้านพักเปดรูที่
2 เขตเทศบาลซัลวาดอร์ เด บาเฮีย ที่มีคนชราอยู่ถึง
40 คน ท่านรับมันด้วยความนบนอบ และเริ่มมอบความเรียบง่าย
มิตรภาพ และความสุขกับทุกคนไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ซิสเตอร์ พนักงานโรงพยาบาล
หรือผู้ใช้บริการก็ตาม แม้ในช่วงที่ทุกข์ยากขนาดไหน
ท่านไม่เคยเปลี่ยน ท่านร่าเริง มีความสุข และไม่เคยขออะไรให้ตนเองตลอด
ในฐานะพยาบาลที่ดี
ท่านดูแลบรรดาผู้ป่วยชราภาพดั่งเช่นทาสีรับใช้เจ้านาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาตรีทูต
ท่านก็จะรับใช้อย่างดีในฝ่ายกาย ส่วนในฝ่ายจิตท่านก็จะคอยกระตุ้นให้เขารับศีลศักดิ์สิทธิ์
นอกจากนั้นเมื่อได้รับอนุญาตท่านก็จะร้องเพลงและสวดภาวนาร่วมกับพวกเขา
บทเพลงหนึ่งในนั้นก็คือ “พระเจ้านั้นแสนดี” และไม่เพียงเท่านั้น
ท่านยังถึงกับลงทุนไปเรียนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่มา
เพื่อจะได้ขับพาบรรดาคนชราที่ท่านดูแลออกไปกินลมชมวิว และในฐานะซิสเตอร์คนหนึ่ง
ท่านไม่เคยปิดบังอำพรางอะไรคุณแม่อธิการ ท่านเป็นมิตรและน่ารักกับซิสเตอร์ทุกคน วิญญาณของท่านสุกสว่างไปด้วยความสุข
ความพร้อม การสวดภาวนา และการมองโลกในแง่ดีอย่างมีชีวิตชีวา
ทุกอย่างดูมีความสุขดี
กระทั้งในเดือนมกราคม ค.ศ.1993 เมื่อบ้านพักได้รับชายวัย 46 ปี
เข้ามาทั้งๆที่เขาไม่มีสิทธิ์เข้าพักใดๆ ชายผู้นี้แหละจะเปลี่ยนชีวิตท่านไปตลอดกาล
นามเขาคือ “เอากุสโต ดา ซิลวา เปโซโต” แต่แม้จะไม่อยู่ในเกณฑ์เท่าไรนัก
ท่านก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพเช่นเดียวกับที่ท่านปฏิบัติต่อคนอื่นๆ แต่ไม่รู้เป็นอย่างไร
มันกลับทำให้คนประหลาดและไม่เป็นมิตรอย่างเอากุสโต ตกหลุมรักซิสเตอร์สาวคนนี้เข้าเต็มเปาซะแล้ว
ฝ่ายท่านเองก็ทราบเรื่องนี้ดี
ท่านจึงเริ่มรักษาระยะห่างจากเขา และเริ่มระแวดระวังตัวท่านเองมากขึ้น ส่วนฝ่ายเอากุสโตนั้นก็ยิ่งประกาศชัดกับหลายๆคนถึงความตั้งใจของเขา
เขาจะต้องได้เธอ ทำให้ท่านยิ่งหวาดกลัวเขามากขึ้น
จนถึงขั้นต้องไปรับทุกข์กับเพื่อนซิสเตอร์ด้วยกัน เวลานี้คงมีวิธีเดียวที่ง่ายและเร็วก็คือการย้ายไปจากที่นี่
แต่ด้วยความรักต่อบรรดาคนชรา ท่านจึงเลือกที่จะอยู่ต่อ
วันหนึ่งท่านปรับทุกข์กับซิสเตอร์คนหนึ่งด้วยความวางใจว่า “ฉันชอบที่จะหลั่งเลือดของดิฉันมากกว่าการที่จะออกจากที่นี่”
แม้จะไม่ได้รับกาสนใจ
เอากุสโตก็ยังคงไม่ละความพยายาม ไม่ว่าจะเวลาไหน จนบังคับให้ซิสเตอร์ต้องนำเรื่องนี้
ไปแจ้งแก่ผู้อำนวยการฝ่ายบริการสังคมของบ้านพักให้ทราบถึงเรื่องนี้
ดังนั้นในวันที่ 30 มีนาคม นางมาร์การิตา มาเรีย ซีวา เด อาเซเวโด
จึงเรียกเอากุสโตเข้ามาคุยอย่างเป็นทางการ เพื่อให้เขาได้ปรับทัศนคติของเขาในการให้เกียรติซิสเตอร์และคนอื่น
เขารับฟังและสัญญาว่าจะปรับปรุง เวลานี้ทุกอย่างเหมือนจะจบลงด้วยดี แต่เปล่าเลย
เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นต่างหากละ
ทันทีหลังจากวันนั้น
ความรักที่เคยมีให้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้นชิงชัง ผสมรวมกับความต้องการ
ความอับอาย ก็ทำให้เขาคิดแผนการแก้แค้นอย่างสาสมขึ้นมา เริ่มจากในเช้าวันจันทร์ที่
5 เมษายน ของสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็แอบลอบไปซื้อมีดมาจากพ่อค้าปลา
ก่อนนำมาซ่อนไว้และแสร้งทำตนเป็นคนดี เพื่อรอคอยจังหวะที่เขาจะทำมัน
เช้าวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ที่
9 เมษายน ค.ศ.1993 เวลาตีสี่ครึ่ง ท่านออกไปร่วมเดินรูปที่วัดแม่พระแห่งการเดินทางที่ดี
พยานรายงานว่า “ซิสเตอร์ลินดัลวาเดิน สวดภาวนา
ร้องเพลงและร่วมขบวนด้วยความสงบ”
หลังจากนั้นท่านจึงกลับมาเตรียมตัวและบริการอาหารเช้าผู้สูงอายุในเวลาเจ็ดนาฬิกา มีขนมปัง
นมและกาแฟตามปกติ แต่โดยที่ไม่มีใครรู้คือว่าเอากุสโต กำลังเฝ้ารอเวลาที่ท่านจะไปถึงที่ที่เขาวางแผนไว้
อยู่ภายนอกห้องอาหาร กระทั้งเมื่อท่านมาถึงจุดนั้นตามที่เขาคำนวณ เขาก็ตรงขึ้นไปบันไดด้านนอกในทันที
เสียงเปิดประตูดังขึ้น
เป็นจังหวะเดียวกับที่ท่านมาถึงและกำลังเทกาแฟลงในถ้วย เอากุสโตรีบชักมีดที่เตรียมไว้ออกมา
ขณะเดียวกันก็คว้าไหล่ของท่าน ฉุดให้ท่านหันไปประจันหน้ากับเขา แต่ยังไม่ทันที่ท่านจะพูดอะไร
เขาก็ใช้มีดแทงเข้าที่เหนือไหปลาร้าซ้ายของท่าน บาดแผลลึกตั้งแต่คอไปจนถึงปอด ส่งผลให้ท่านล้มลงและเริ่มร่ำไห้
พร้อมกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าปกป้องลูกด้วย” สองถึงสามครั้ง ฝ่ายเอากุสโต
เมื่อเห็นท่านล้มลงก็จัดการแทงท่านอย่างบ้าคลั่งไปทั่วทั้งร่างกาย
จนเลือดของท่านอาบไปทั่วบริเวณนั้น
ฝั่งคนที่เรียกสติกลับมาได้ ก็รีบตรงดิ่งเข้าไปห้าม แต่ก็ถูกเอากุสโตหันมาขู่พร้อมมีดว่า
ใครหน้าไหนเสนอหน้าเข้าไปใกล้ เขาจะฆ่าทิ้งเสียให้หมด ก่อนจะหันมาพูดขึ้นว่า “ฉันควรจะทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว” ผู้ชราทุกคนถูกพากลับห้อง
ทิ้งเอากุสโตที่ตอนนี้กำลังบ้าดีเดือดให้แทงท่านต่อไป กระทั้งคุณหมอเฟรรี
วิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ เอากุสโตจึงสงบ ประดุจว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
เขานั่งบนม้านั่ง ขณะเดียวกันก็เช็ดมีดเปื้อนเลือดกับกางเกง แล้วโยนไปที่โต๊ะไปพร้อมอุทานว่า
“เธอไม่เคยต้องการฉันเลย” ก่อนจะหันไปบอกคุณหมอเฟรรีง่ายๆว่า “คุณเรียกตำรวจได้เลยนะ ผมไม่หนีหรอก
ผมได้ทำในสิ่งที่ต้องทำแล้วละ”
ตำรวจมาถึงสถานที่เกิดเหตุและได้คุมตัวเอากุสโตไปสอบสวน
ซึ่งภายหลังการตัดสินเอากุสโตถูกส่งไปรักษา ณ โรงพยาบาลจิตเวส ที่เวลาสิบนาฬิกาสามสิบนาที
ร่างของท่านก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังสถาบันนิติเวช ผลชันสูตรออกมาพบว่าท่านถูกแทงทั้งสิ้น
44 แผล กระจายอยู่ทั่วตลอดทั้งร่างกาย โลงศพและร่างของท่านถูกวางระหว่างรูปแม่พระมหาทุกข์กับพระรูปพระศพที่ใช้ในการจัดเดินรูปทุกปี
ทั้งคืนมีผู้คนจากทั่วสารทิศผลัดเปลี่ยนกันมาสวดภาวนา กระทั้งเช้าของวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์จึงมีพิธีปลงศพวัย
39 ปีของท่าน “เพียงไม่กีปีของซิสเตอร์ลินดัลวาก็เพียงพอแล้วสำหรับมงกุฎแห่งผู้ถวายตนและมรณสักขี” คำเทศน์ของพระคุณเจ้าพระคาร์ดินัลลูคัส ประธานพิธีปลงศพท่าน
และที่สุดในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.2007 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ก็ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี
“แต่เราจงรักกันด้วยการกระทำ และด้วยความจริง”(1 ยอห์น 3:18)
ชีวิตของท่านโดดเด่นออกมานอกจากการสิ้นใจเพื่อคงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์แล้ว
ชีวิตของท่านยังโดดเด่นออกมา ด้วยการรับใช้อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ท่านตระหนักถึงอะไรคงดั่งพระวาจาที่ยกมา ท่านกำลังบอกเราว่างานเมตตาไม่ใช่เพียงแค่งานช่วยเหลือเขา
แต่คืองานที่เราเต็มเติมบางสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตของเขา ตามที่เราสามารถจะทำได้ตามพระพรที่เรามีแตกต่างกัน
บางทีอาจจะไม่ใช่วัตถุ แต่อาจเป็นเพียงความสุขเล็กๆ ผ่านสิ่งต่างๆ เพราะพันธกิจเมตตานี้คือสิ่งที่พระทรงมอบให้เรานับแต่วันเรารับศีลล้างบาป
พระองค์ทรงขอให้เราเป็นพระองค์เองในหมู่พี่น้อง ให้เราเป็นพระเยซูเจ้าในทุกคน
เพื่อจะได้นำทุกคนให้ได้สัมผัสพระผ่านเรา ชีวิตท่านคล้ายสอนเราว่า ให้เราก้าวไปเป็นเครื่องมือสื่อความเมตตารักไปยังทุกคน “ไม่มีใครในโลกอยู่ได้โดยปราศจากความรัก ปราศจากเพื่อน … ชีวิตของเราคือการเป็นเพื่อน คือการค้นหาอาหารที่ทำให้เราเติบโตในความรักของพระคริสตเจ้า ผู้ทรงรักเรา” ท่านกล่าวไว้
พิธีสถาปนา
มารดาของท่าน
“ข้าแต่ท่านบุญราศีลินดัลวา จูสโต เด โอรีเวียรา
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง