วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558

"มารีอา กันดีดา" รหัสยิกแห่งศีลมหาสนิท


บุญราศีมารีอา กันดีดา แห่ง ศีลมหาสนิท
Bl. Maria Candida dell'Eucaristia
ฉลองในวันที่ : 18 ธันวาคม

คุณแม่มารีอา กันดีดา เป็นลูกคนที่สิบจากสิบสองคน ท่านเกิดเมื่อวันที่ 16 มกราคม ค..1884 ขณะครอบครัวย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองกาตันซาโร เมืองทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี สืบเนื่องจากบิดาท่านได้งานเป็นประธานศาลอุทธรณ์ บิดามารดาของท่านคือ เปียโต บาร์บา และโยวันนี ฟลอเซนา คู่สามีภรรยาใจศรัทธา ชาวปาแลร์โม ผู้ที่ได้ต่างพากันนำท่านไปรับศีลล้างบาปในสามวันถัดมาด้วยนามว่า มารีอา และช่วยกันอบรมท่านตั้งแต่เยาว์วัย โดยเฉพาะจากมารดาของท่าน จนล่วงได้สองขวบ บิดามารดาท่านก็ตัดสินใจย้ายกลับไปปาแลร์โมเป็นการถาวร

วันละนิดๆ จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ท่านก็เติบโตมาเป็นเด็กหญิง มีนิสัยร่าเริงแจ่มใส เข็มแข็ง เอาแต่ใจ เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ แต่เวลาเดียวกันก็โน้มเอียงไปหาศาสนา  ที่ในวัยเจ็ดปีก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนมารีอา อัล ยูซีโน เพื่อรับการศึกษาในเบื้องต้น ก่อนจะได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกในวันที่ 3เมษายน ..1894 ด้วยใจที่ร้อนรน เพราะท่านรักศีลมหาสนิท


ซึ่งตั้งแต่ก่อนท่านจะรับพระองค์ได้ ท่านได้เล่าว่า ทุกครั้งที่มารดาท่านกลับจากมิสซา ท่านก็จะรีบตรงดิ่งไปหามารดา พลางเขย่งปลายเท้าขึ้น กล่าวอย่างซื่อๆว่า หนูก็ต้องการพระองค์เหมือนกันนะ มารดาท่านก็จะก้มลงเป่าลมเบาๆเหนือริมฝีปากของท่าน ที่เมื่อได้รับแล้วก็จะละจากไป แล้วอยู่ในท่ามือไขว้กันที่หน้าอกที่เปี่ยมไปด้วยความยินดีและความเชื่อ พลางกระโดดโลดเต้นไปด้วยความยินดี และกล่าวซ้ำๆว่า หนูได้รับพระเจ้าแล้ว หนูได้รับพระเจ้าแล้ว

แต่แม้ท่านจะมีเกรดดีแค่ไหนตลอดระยะเวลาที่ได้เรียน ในวัย 14 ปี ท่านก็ต้องออกจากโรงเรียน แต่ก็ยังได้รับการศึกษาแบบส่วนตัวโดยเฉพาะการเล่นเปียโน  แม้ในวัย 11 ปี ท่านจะเริ่มเป็นคนกระสับกระส่าย ดื้อรั้นและไร้สาระ และสืบเนื่องจากสถานทางสังคมของครอบครัว ก็บังคับให้ต้องใช้ชีวิตตามกระแสโลก แม้ท่านจะเป็นคนเก็บตัว ที่แรกๆก็ขวยเขินที่จะเต้นรำ ไปดูหนัง หรือการเข้าสังคมชั้นสูง ด้วยอายุ 15 ปี ท่านก็กลายเป็นคนดำเนินชีวิตอย่างไร้แก่นสาร ที่วันๆเอาแต่สนเสื้อผ้าหน้าผมต่างๆ



ฝ่ายมารดาท่านเมื่อเห็นลูกสาวเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ตรงข้ามเธอได้พยายามติดตามธิดาน้อยของเธอ เธอได้เฝ้าให้ท่านรำพึงทุกวัน และเฝ้าให้ท่านแบ่งปันความรักไปยังผู้ยากไร้ ซึ่งก็ได้ผลมันช่วยกันท่านจากสิ่งอันไร้แก่นสารนี้ได้ บัดนี้ในเดือนมิถุนายน ค..1899 พระหรรษทานแห่งการกลับใจได้ไหลมาสู่ท่าน ผ่านประสบการณ์ระหว่างท่านกับพระ และยิ่งเมื่อท่านได้มีโอกาสได้เข้าพิธีรับเสื้อคณะของญาติ ท่านก็ค้นพบ กระแสเรียกนั่นก็คือการอุทิศตนทั้งครบแด่พระเจ้า

ท่านจึงตัดสินใจละทิ้งที่จะละทิ้งสมบัติฝ่ายโลก และมุ่งเริ่มต้นชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ ผ่านการปรับนิสัยให้เป็นคนถ่อมตนและว่านอนสอนง่าย และแม้จะสวนทางกับความต้องการของทั้งบิดามารดาและพี่ชาย ที่ต้องการให้ท่านเป็นฝั่งเป็นฝา ท่านก็ยังคงแน่วแน่ที่จะเป็นนักบวช จนในวัย 18  ปี ท่านก็ตัดสินใจปฏิญาณตนถือพรหมจรรย์ อันเป็นการย้ำเตือนว่าบัดนี้ท่านได้เลือกพระคริสตเจ้า เป็นเจ้าบ่าวแต่เพียงองค์เดียว และตราบสิ้นพิภพก็ไม่ขอมีชายอื่นอีก


หลังจากนั้นสถานการณ์ภายในครอบครัวก็ยิ่งเลวร้ายลง ภายหลังบิดาท่านสิ้นใจลงในปี ค..1904 พี่ชายก็ถึงขั้นห้ามท่านไปวัด ฝั่งมารดาท่านแม้จะเป็นคนใจศรัทธาแค่ไหน แต่ลึกๆก็ไม่อยากแยกจากลูกสาว เธอจึงขอให้ท่านรอไปจนกว่าเธอจะตายเสียก่อน ท่านจึงต้องรอไปโดยมีเพียงความศรัทธาพิเศษต่อศีลมหาสนิท เป็นเครื่องสนับสนุนให้ท่านก้าวต่อไปตามความฝัน และระหว่างการรอนี้เอง ท่านก็ได้มีโอกาสไปแสวงบุญที่โรมพร้อมครอบครัว และได้ร่วมเข้าเฝ้านักบุญสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 10 ณ ที่นั่นพระองค์ได้ทรงกระตุ้นให้ท่านหมั่นรับศีล จึงนับเป็นประสบการณ์ที่ท่านจดจำไปมิรู้ลืมเสมอ

และแม้ท่านจะอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ท่านก็ยังคงไม่ได้รับศีลกำลัง เพราะสมัยนั้นจะได้รับศีลกำลังจะได้ในเวลาอันสมควร หรือก่อนแต่งงาน แต่ท่านไม่ได้คิดจะแต่งงานกับชายใดในโลก ดังนั้นท่านจึงคิดแผน โดยการขอคุณพ่อโบวา อุปสังฆราชแห่งปาแลร์โม ที่เดินทางมาโปรดศีลกำลังให้บุตรชายของพี่สาวของท่านที่ป่วยหนัก ให้ช่วยโปรดศีลกำลังให้ท่าน ทำให้ท่านได้รับการโปรดศีลกำลังอย่างลับๆ ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ค..1912

ในปีเดียวกันนั้นเอง ท่านก็ได้พบกับสิ่งหนุนนำใจท่านอีกสิ่ง มันก็คือ บันทึกวิญญาณของนักบุญเทเรซาหลังจากนั้น การรอคอยก็ดูเหมือนจะสิ้นสุดลง เมื่อที่สุดมารดาของท่านก็ตัดสินใจ อนุญาตให้ท่านเข้าอารามแม่พระเสด็จเยี่ยมได้ ท่านจึงมุ่งมั่นว่าท่านมีกระแสเรียกให้เป็นเจ้าสาวของพระคริสตเจ้าในคณะนี้ แต่เมื่อท่านได้ลองอ่านธรรมนูญของคณะคาร์เมไลท์ และเรื่องราวของดอกไม้น้อยๆ กระแสเรียกของท่านก็พุ่งตรงไปที่คาร์เมไลท์เพียงอย่างเดียว

อนิจจา เหตุการณ์หาจะได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะยิ่งมารดท่านสิ้นใจลงในปี ค..1914 พี่ชายของท่านก็กลายมาเป็นผู้นำของครอบครัว แทนที่กางเขนอันแสนเจ็บปวดและยิ่งใหญ่ที่ต้องถูกกีดกันจากศีลมหาสนิทของท่านจะหมดไป ตรงข้ามมันกลับทวีมากขึ้น เพราะนับแต่นั้นการออกจากบ้านสำหรับท่านก็กลายเป็นเรื่องยากสุดๆ บัดนี้ท่านจึงไม่เหลือใครแล้ว ทุกคนในบ้านล้วนเป็นศัตรูกับความตั้งใจของท่านหมด กระนั้นก็ตามท่านก็ไม่หมดหวัง ความฝันการเป็นคาร์เมไลท์ยังคงถูกหล่อเลี้ยงด้วยเรื่องราวของดอกไม้น้อยแห่งลิซีเออร์อย่างเสมอ


จนเวลาล่วงไปได้ห้าปี ที่สุดตามคำแนะนำของข้ารับใช้พระเจ้า พระคุณเจ้าพระคาร์ดินัล  อเลสซันโดร ลูอัลดี พระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลปาแลร์โม ท่านก็ได้เขียนจดหมายไปยังอารามคาร์แมลที่เมืองรากูซา ก่อนจะเฝ้าสวดภาวนาอย่างร้อนรน ให้อารามตอบจดหมายว่ารับท่านเข้าอาราม และที่สุดอารามก็ตอบรับท่านเข้ายังอาราม ที่ยากจนมากๆ แต่เคร่งครัด

ดังนั้นในวันที่ 25 กันยายน ค..1919 ขณะอายุ 35 ปี ภายหลังจากการรอถึง 20 ปี ที่การสำแดงพระองค์ในศีลมหาสนิทบอกท่านถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ต่อมนุษย์ ทำให้ท่านมั่นใจในพระสัญญาของพระองค์มาตลอด ท่านก็ได้เข้าอารามคาร์แมลดั่งที่ฝันไว้ แต่ก็แลกมาด้วยความเศร้าที่ว่านับจากวันนั้นมา ก็ไม่มีพี่น้องคนไหนแวะมาเยี่ยมท่านอีกเลย แม้ในแต่ในวันท่านรับชุดคณะ หรือวันนี้ที่ท่านเข้าอาราม ท่านก็เข้าอย่างโดดเดี่ยว ไร้ซึ่งเงาของพี่ชายที่จะมาส่ง


หลังจากนั้นเมื่อจบช่วงของการเป็นโปสตุลันต์ ในวันที่ 16 เมษายน ค..1920 ท่านก็ได้รับชุดคณะ พร้อมนามใหม่ว่า ภคินีมารีอา กันดีดา แห่ง ศีลมหาสนิท ดั่งเป็นการทำนายลางๆถึงอนาคตของท่าน ท่านเคยกล่าวว่าความปรารถนาของท่านก็คือ การดำรงไว้ซึ้งกลุ่มของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท นานที่สุดเท่าจะเป็นไปได้ ท่านชอบใช้เวลานานกับศีลมหาสนิท และทุกๆวันพฤหัสบดีตั้งแต่เวลาห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน ท่านก็จะใช้เวลาทั้งหมดนั้นไปอยู่หน้าตู้ศีล ชนิดกล่าวได้เลยว่าศีลมหาสนิทมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อชีวิตฝ่ายจิตของท่าน มันไม่ใช่เพียงแต่ในความศรัทธาพิเศษ แต่ในการสนิทสัมพันธ์ฝ่ายจิตกับพระเป็นเจ้า และก็ด้วยศีลมหาสนิทนี้เองที่เป็นกำลังให้ท่าน ที่จะตัดสินใจถวายตนเป็นดั่งแพะรับบาปแด่พระเจ้า ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค..1927

ท่านได้พัฒนาสิ่งที่ท่านเรียกว่า กระแสเรียกแห่งศีลมหาสนิท อย่างเต็มที่ อาศัยความช่วยเหลือจากจิตตารมณ์ของคณะ ที่ท่านถูกดึงดูดเมื่อได้อ่านเรื่องราวของจิตวิญญาณ ในหน้าที่นักบุญเทเรซา แห่ง อาวิลา ได้บรรยายถึงความศรัทธาเป็นพิเศษต่อศีลมหาสนิทของเธอ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าผ่านศีลมหาสนิทนี้เอง ที่นักบุญเทเรซาได้ประสบกับข้อรหัสธรรมล้ำลึกของการรัยเอากายของพระคริสตเจ้า


ในฐานะนวกะ ท่านก็ได้เจริญชีวิตใช้โทษบาป เฝ้าเพียรระมัดระวังในการปฏิบัติตามธรรมนูญของคณะ เวลาเดียวกันก็เป็นคนคึกคัก ร่าเริงสดใสในเวลาหย่อนใจ แต่เมื่อระฆังตีบอกสัญญาหมดเวลาพัก ทันทีท่านก็จะรีบไปทำหน้าที่ของตน และถือวินับเงียบอย่างเคร่งครัด ท่านเข้าพิธีปฏิญาณตนชั่วคราวในวันที่ 17 เมษายน ค..1921 และได้รับหน้าให้ไปทำงานต่างๆอาทิ คนเฝ้าประตู คนดูแลห้องสักการภัณฑ์ และผู้ช่วยคนปรุงอาหาร เป็นต้น

ท่านเข้าพิธีถวายตนตลอดชีวิตในวันที่  23 เมษายน ค..1924 และได้รับเลือกเป็นคุณแม่อธิการอารามในอีกหกเดือนถัดมาในวันที่ 12 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน และก็ได้รับตำแหน่งเป็นวกจารย์ไปในสามปีแรกด้วย ดังนั้นท่านจึงร้อนรนในการสร้างซิสเตอร์รุ่นใหม่ๆ จนทำให้ท่านต้องเป็นทุกข์ใจ จากการที่มีซิสเตอร์บางคนไม่ค่อยสนใจธรรมนูญของคณะเท่าใด จนวันหนึ่งท่านก็ถึงกับบอกหนึ่งในซิสเตอร์เหล่านั้นว่า ลูกสาวของแม่ ทำไมลูกถึงดูหมิ่นองค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้  ลูกไม่ได้ตระหนักเลยหรือว่ามนุษย์มากมายต้องการลูก  ทำไมลูกถึงปล่อยตัวออกนอกเส้นทางกัน


ท่านเป็นอธิการจนครบวาระสามปี ในปี ค..1927 ท่านก็ได้รับเลือกให้เป็นอธิการอีกครั้ง ด้วยคะแนน เต็มหลังจากนั้นเมื่อครบวาระท่านก็ไม่ได้รับเลือก ท่านจึงได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ให้คำปรึกษางานสักการภัณฑ์ จนถึงปี ค..1933 ท่านก็ได้รับเลือกให้เป็นอธิการอีก ดังนั้นท่านจึงได้ดำรงตำแหน่งจนถึงปี ค..1947 สองปีก่อนท่านสิ้นใจ

ซึ่งตลอดเวลาที่ดำรงเป็นอธิการ ถึงยี่สิบปี ก็ไม่ปรากฏว่ามีเรื่องยากลำบากหรือเรื่องแตกแยกภายในท่ามกลางความยากลำบากเลย นอกจากนี้ท่านยังมีอิทธิพลกับซิสเตอร์ทุกคนจากการดำเนินชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ ตามการเรียกร้องของพระเจ้า อย่างร้อนรน และได้ปลูกฝังจิตตามรมณ์ของนักบุญเทเรซาในอาราม ท่านได้ก้าวออกจากความรักฝ่ายโลก และดำเนินชีวิตอย่างเข้มงวด แต่ก็มีความอ่อนหวานและความน่ารัก ท่านยังมีสติในการเจริญชีวิตรับใช้ โดยเฉพาะซิสเตอร์ที่กำลังอ่อนแอหรือป่วย และยังดำเนินชีวิตตามธรรมนูญของคณะจนถึงขนาดได้ชื่อว่า ธรรมนูญที่มีชีวิต


นอกจากนี้ท่านยังมีส่วนในการวางรากฐานคณะในซิซิลี และการก่อตั้งอารามที่ซีรากูซา รวมไปถึงการดูแลความปลอดภัยในการกลับมาตั้งอารามของคณะฝ่ายชาย ในซิซิลี เกาะอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน โดยท่านได้ให้การต้อนรับบรรดาสมาชิกฝ่ายชายจากเวนิส ในวันที่ 28 กันยายน ค..1946 ที่มาประจำก่อนอารามจะเสร็จ

และในโอกาสสมโภชพระคริสตวรกาย ในปีศักดิ์สิทธิ์ ค..1933 ท่านก็ได้เริ่มประพันธ์งานเขียนน้อยๆ ที่จะกลายมาเป็นผลงานชิ้นเอกของท่าน นั่นก็คือหนังสือ ศีลมหาสนิท อัญมณีแท้จริงของจิตตารมณ์ศีลมหาสนิท ซึ่งเป็นผลมาจากการรำพึงอย่าลึกซึ้งและยาวนาน ต่อศีลหมาสนิท เป้าหมายของหนังสือ ก็คือการจดบันทึกประสพประการณ์ส่วนตัวของท่าน และความเห็นทางเทววิทยาอย่างลึกซึ้งของท่าน ต่อประสพประการณ์เดียวกันนั้น

ท่านได้แลเห็นทุกมิติของชีวิตคริสตชนถูกสรุปไว้แล้วในศีลมหาสนิท ประการแรกความเชื่อ โอ้ ศีลศักดิ์สิทธิ์ที่รักของลูก ลูกเห็นพระองค์ ลูกเชื่อพระองค์ โอ้ องค์ความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ ยามใคร่ครวญด้วยความเชื่ออันไม่รู้สิ้นสุดของพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าในศีลศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ได้ดำรงอยู่กับผู้เสด็จมายังพวกลูกในทุกวัน ประการที่สองความเชื่อ โอ้ศีลมหาสนิทของลูก องค์ความหวังอันเป็นที่รักของลูก ความหวังของพวกลูกทั้งครบอยู่ในพระองค์นับแต่ลูกยังเยาว์วัยความหวังในศีลมหาสนิทให้พลังแก่ลูก และประการสุดท้ายความเมตตา ข้าแต่พระเยซูเจ้าของลูก ลูกรักพระองค์เท่าใดกัน ที่นั่นภายในหัวใจของลูกมีความรักอันมากมายเพื่อพระองค์ โอ้ศีลบูชาแห่งรัก วิธีการอันแสนดีก็คือองค์ความรักของพระเจ้า ที่ได้ทรงกระทำปังเพื่อวิญญาณของพวกลูก พระองค์ผู้ทรงเป็นนักโทษเพื่อลูก

ในฐานะอธิการ ศีลมหาสนิทได้ให้ความเข้าใจอย่างล้ำลึกว่า ศีลบนสามประการสามารถเห็นได้ ในชีวิตแห่งศีลมหาสนิทอันแรงกล้า ไม่ใช่เพียงแต่ท่าทาง แต่คือหนทางของรูปแบบของชีวิต ลักษณะการเจริญชีวิตนักพรต และความก้าวหน้าที่สงเสริมรูปแบบเฉพาะของการถวายตนของทุกคน  เหมือนพระเยซูคริสตเจ้าที่ทรงสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์เพื่อเรา
ศีลบนแห่งความนบนอบ - ยามเราขับเพลงสวดเราไม่ได้ขับด้วยความนบนอบต่อศีลบูชารักหรือ และยามเรานบนอบต่อพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธ ไม่ได้เหมือนกับที่ความถ่อมพระองค์ในศีลระลึกนี้ตลอดสองพันกว่าปีดอกหรือ
ศีลบนแห่งความยากจน - ภายหลังทรงสอนให้ลูกนบนอบแล้วปานใด พระองค์ก็ได้ทรงตรัส ทรงอบรมลูกในความยากจน โอ้ ปังศักดิ์สิทธิ์ ใคร่เล่าจะไร้อาภรณ์ได้มากกว่าพระองค์ ใครเล่าจะต่ำต้อยกว่าพระองค์ พระองค์ทรงไม่มีอะไร พระองค์ไม่ทรงขอสิ่งใด โอ้ พระเยซูเจ้า ขอให้จิตวิญญาณของบรรดานักบวชดำรงอยู่ต่อไป เพื่อปลดจากทุกสิ่งโดยสมบูรณ์และยากจนเถิด
ศีลบนแห่งความบริสุทธิ์ - ถ้าพระองค์ตรัสกับลูกผู้นบนอบและยากจน สิ่งที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ที่ทรงมีมากกว่าลูกก็เพียงแค่การชายพระเนตรมองของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า หากบ้านของพระองค์คือบรรดาวิญญาณที่บริสุทธิ์ วิญญาณใดกันเล่าที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ ที่พระองค์จะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงเขาให้เป็นเช่นนี้ นับจากนี้เป้าหมายของลูกก็คือ ลูกปรารถนาจะคล้ายพระองค์ผ่านความบริสุทธิ์ และความรัก


ท่านมีพระนางมารีย์ ผู้แบกรับพระบุตรของพระเจ้าไว้ในครรภ์ และผู้ยังคงให้กำเนิดพระองค์ในหัวใจของวิญญาณที่ติดตามพระองค์ เป็นแบบฉบับของการดำเนินชีวิตแห่งศีลมหาสนิท ดิฉันปรารถนาจะเป็นอย่างพระนางมารีย์ เป็นพระนางเพื่อพระเยซูเจ้า รับพระองค์ประทับ ในสถานแห่งพระมารดาของพระองค์ เมื่อดิฉันได้รับพระเยซูเจ้าในยามรับศีล พระนางก็ทรงดำรงอยู่เป็นปัจจุบัน ดิฉันปรารถนาจะรับพระองค์จากหัตถ์ของพระนาง พระนางผู้ทรงทำให้ดิฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ดิฉันไม่อาจแยกพระนางมารีย์จากพระเยซูเจ้าได้ วันทา โอ้ กายาที่ได้ให้กำเนิดของพระแม่ วันทามารีย์ อรุณรุ่งแห่งศีลมหาสนิท

นอกจากนี้แล้วศีลมหาสนิทยังเป็นโรงเรียน เป็นอาหาร เป็นการพบปะกับพระเจ้า เป็นการมารวมกัน และที่มาของคุณธรรมและสติปัญญา สำหรับท่าน สวรรค์เองไม่ได้จำกัดตัวไว้มาก ข้าแต่พระเจ้า ขุมสมบัติอันไม่ซ้ำกันอยู่ที่นี่ เป็นความจริง แน่นอน เป็นความจริง พระเจ้าของดิฉันทรงเป็นทุกสิ่งของดิฉัน , ดิฉันได้วอนขอพระเยซูเจ้าของดิฉัน ให้พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองตู้ศีลทั้งหมดบนโลกใบนี้ ไปจนกว่าจะสิ้นพิภพ

ในปี ค..1947 ท่านก็ได้ปฏิเสธหน้าที่อธิการอาราม แม้ซิสเตอร์คนอื่นๆจะอ้อนวอนให้ท่านมารับตำแหน่งอีกครั้ง ท่านก็ปฏิเสธ และมุ่งใช้เวลาหลังจากนั้นไปกับการเตรียมสิ่งต่างๆ ให้พร้อมสัพสำหรับการตั้งอารามที่เมืองซีรากูซา แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้นท่านก็ถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ แต่ท่านก็ไม่เคยบ่น หรือขอความช่วยเหลือพิเศษใดๆ จนเป็นที่ประทับใจแก่คุณหมอที่รักษาท่าน ที่เห็นท่านยังคงเข้มแข็งและสงบ แม้จะป่วยหนัก

และที่สุดภายหลังได้รับศีลมหาสนิทและศีลเจิมคนไข้ อย่างศรัทธาแล้ว ท่านก็ได้คืนวิญญาณไปหาพระเป็นเจ้าอย่างสงบด้วยวัย 65 ปี ในวันสมโภชพระตรีเอกภาพ ที่ 12 มิถุนายน ค..1949 ณ อารามคาร์แมล ที่ท่านได้อุทิศชีวิตเพื่อรับใช้พระเจ้า และพระศาสนจักร รายล้อมด้วยบรรดาซิสเตอร์ ที่ต่างได้เป็นพยานถึงคำพูดสุดท้ายของท่าน ที่พึมพำว่า แม่พระ ช่วยลูกด้วย  และสืบเนื่องจากมีพระหรรษทานมากมายอาศัยคำเสนอวิงวอนของท่าน ที่คนต่างยกย่องเป็นนักบุญ ที่สุดในวันที่ 21 มีนาคม ค..2004 สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี


พระองค์ยังได้นำเสนออีกว่าท่านเป็น รหัสยิกแท้จริงแห่งศีลมหาสนิท ศูนย์รวมของทั้งชีวิต ที่ติดตามคาร์เมไลท์ประเพณี  นอกจากนี้พระองค์ยังตรัสอีกว่า เธอเป็นเช่นนั้นในความรักพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท ที่เธอรู้สึกถึงความปรารถนาอันร้อนรน และสม่ำเสมอที่จะเป็นอัครสาวกแห่งศีลมหาสนิท อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีก(ยอห์น 6:35) คุณแม่มารีอา กันดีดา ได้ค้นพบเช่นนี้จริงๆตามพระวาจา คุณแม่จึงไม่หิว(ขวนขวาย) หาความรู้จากที่ใดอีก เพราะคุณแม่ได้พบทุกมิติที่เป็นคำตอบของชีวิตคริสตชนในศีลมหาสนิท ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความหวัง และความเชื่อ หรือศีลบนสามประการของนักบวชเอง คุณแม่ก็ได้ค้นพบมันในศีลมหาสนิท และเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะศีลมหาสนิทคือพระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นทุกสิ่งเพื่อทุกคน ที่ได้สละทิ้งเพศของพระเจ้า ลงมารับเพศปัง ดังนั้นเราจึงไม่ต้องขวนขวายหาขุมทรัพย์ใดอีก เราสามารถค้นพบทุกสิ่งที่เราต้องการได้ในศีลมหาสนิท ขอเพียงแค่เราหยุดภาระไว้ และเข้ามาหาพระองค์ เพื่ออยู่เงียบๆ เพื่อเล่าทุกสิ่ง ทุกคนก็จะสามารถพบกับทุกสิ่งที่เราต้องการ ไม่จำเป็นต้องที่วัด แต่ทุกๆที่ที่มีโอกาส 





ข้าแต่ท่านบุญราศีมารีอา กันดีดา แห่ง ศีลมหาสนิท ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง


'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน ผู้ใหญ่ในคณะคนแรก ๆ ที่ท่านแสวงหา...