บุญราศีมารีอา
กันดีดา แห่ง ศีลมหาสนิท
Bl. Maria
Candida dell'Eucaristia
ฉลองในวันที่ : 18 ธันวาคม
คุณแม่มารีอา
กันดีดา เป็นลูกคนที่สิบจากสิบสองคน ท่านเกิดเมื่อวันที่ 16 มกราคม ค.ศ.1884 ขณะครอบครัวย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองกาตันซาโร
เมืองทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี สืบเนื่องจากบิดาท่านได้งานเป็นประธานศาลอุทธรณ์
บิดามารดาของท่านคือ เปียโต
บาร์บา และโยวันนี ฟลอเซนา คู่สามีภรรยาใจศรัทธา ชาวปาแลร์โม
ผู้ที่ได้ต่างพากันนำท่านไปรับศีลล้างบาปในสามวันถัดมาด้วยนามว่า “มารีอา”
และช่วยกันอบรมท่านตั้งแต่เยาว์วัย โดยเฉพาะจากมารดาของท่าน จนล่วงได้สองขวบ
บิดามารดาท่านก็ตัดสินใจย้ายกลับไปปาแลร์โมเป็นการถาวร
วันละนิดๆ จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี
ท่านก็เติบโตมาเป็นเด็กหญิง มีนิสัยร่าเริงแจ่มใส เข็มแข็ง เอาแต่ใจ
เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ แต่เวลาเดียวกันก็โน้มเอียงไปหาศาสนา ที่ในวัยเจ็ดปีก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนมารีอา
อัล ยูซีโน เพื่อรับการศึกษาในเบื้องต้น ก่อนจะได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกในวันที่ 3เมษายน ค.ศ.1894 ด้วยใจที่ร้อนรน
เพราะท่านรักศีลมหาสนิท
ซึ่งตั้งแต่ก่อนท่านจะรับพระองค์ได้
ท่านได้เล่าว่า ทุกครั้งที่มารดาท่านกลับจากมิสซา ท่านก็จะรีบตรงดิ่งไปหามารดา
พลางเขย่งปลายเท้าขึ้น กล่าวอย่างซื่อๆว่า “หนูก็ต้องการพระองค์เหมือนกันนะ” มารดาท่านก็จะก้มลงเป่าลมเบาๆเหนือริมฝีปากของท่าน
ที่เมื่อได้รับแล้วก็จะละจากไป แล้วอยู่ในท่ามือไขว้กันที่หน้าอกที่เปี่ยมไปด้วยความยินดีและความเชื่อ
พลางกระโดดโลดเต้นไปด้วยความยินดี และกล่าวซ้ำๆว่า “หนูได้รับพระเจ้าแล้ว
หนูได้รับพระเจ้าแล้ว”
แต่แม้ท่านจะมีเกรดดีแค่ไหนตลอดระยะเวลาที่ได้เรียน
ในวัย 14 ปี
ท่านก็ต้องออกจากโรงเรียน แต่ก็ยังได้รับการศึกษาแบบส่วนตัวโดยเฉพาะการเล่นเปียโน
แม้ในวัย 11 ปี ท่านจะเริ่มเป็นคนกระสับกระส่าย
ดื้อรั้นและไร้สาระ และสืบเนื่องจากสถานทางสังคมของครอบครัว
ก็บังคับให้ต้องใช้ชีวิตตามกระแสโลก แม้ท่านจะเป็นคนเก็บตัว
ที่แรกๆก็ขวยเขินที่จะเต้นรำ ไปดูหนัง หรือการเข้าสังคมชั้นสูง ด้วยอายุ 15 ปี ท่านก็กลายเป็นคนดำเนินชีวิตอย่างไร้แก่นสาร
ที่วันๆเอาแต่สนเสื้อผ้าหน้าผมต่างๆ
ฝ่ายมารดาท่านเมื่อเห็นลูกสาวเป็นเช่นนี้
ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ตรงข้ามเธอได้พยายามติดตามธิดาน้อยของเธอ
เธอได้เฝ้าให้ท่านรำพึงทุกวัน และเฝ้าให้ท่านแบ่งปันความรักไปยังผู้ยากไร้ ซึ่งก็ได้ผลมันช่วยกันท่านจากสิ่งอันไร้แก่นสารนี้ได้
บัดนี้ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1899 พระหรรษทานแห่งการกลับใจได้ไหลมาสู่ท่าน
ผ่านประสบการณ์ระหว่างท่านกับพระ และยิ่งเมื่อท่านได้มีโอกาสได้เข้าพิธีรับเสื้อคณะของญาติ
ท่านก็ค้นพบ “กระแสเรียก” นั่นก็คือการอุทิศตนทั้งครบแด่พระเจ้า
ท่านจึงตัดสินใจละทิ้งที่จะละทิ้งสมบัติฝ่ายโลก
และมุ่งเริ่มต้นชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ ผ่านการปรับนิสัยให้เป็นคนถ่อมตนและว่านอนสอนง่าย
และแม้จะสวนทางกับความต้องการของทั้งบิดามารดาและพี่ชาย
ที่ต้องการให้ท่านเป็นฝั่งเป็นฝา ท่านก็ยังคงแน่วแน่ที่จะเป็นนักบวช จนในวัย 18
ปี ท่านก็ตัดสินใจปฏิญาณตนถือพรหมจรรย์ อันเป็นการย้ำเตือนว่าบัดนี้ท่านได้เลือกพระคริสตเจ้า
เป็นเจ้าบ่าวแต่เพียงองค์เดียว และตราบสิ้นพิภพก็ไม่ขอมีชายอื่นอีก
หลังจากนั้นสถานการณ์ภายในครอบครัวก็ยิ่งเลวร้ายลง
ภายหลังบิดาท่านสิ้นใจลงในปี ค.ศ.1904 พี่ชายก็ถึงขั้นห้ามท่านไปวัด ฝั่งมารดาท่านแม้จะเป็นคนใจศรัทธาแค่ไหน
แต่ลึกๆก็ไม่อยากแยกจากลูกสาว เธอจึงขอให้ท่านรอไปจนกว่าเธอจะตายเสียก่อน ท่านจึงต้องรอไปโดยมีเพียงความศรัทธาพิเศษต่อศีลมหาสนิท
เป็นเครื่องสนับสนุนให้ท่านก้าวต่อไปตามความฝัน และระหว่างการรอนี้เอง
ท่านก็ได้มีโอกาสไปแสวงบุญที่โรมพร้อมครอบครัว
และได้ร่วมเข้าเฝ้านักบุญสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 10 ณ
ที่นั่นพระองค์ได้ทรงกระตุ้นให้ท่านหมั่นรับศีล
จึงนับเป็นประสบการณ์ที่ท่านจดจำไปมิรู้ลืมเสมอ
และแม้ท่านจะอายุยี่สิบแปดปีแล้ว
ท่านก็ยังคงไม่ได้รับศีลกำลัง เพราะสมัยนั้นจะได้รับศีลกำลังจะได้ในเวลาอันสมควร
หรือก่อนแต่งงาน แต่ท่านไม่ได้คิดจะแต่งงานกับชายใดในโลก ดังนั้นท่านจึงคิดแผน
โดยการขอคุณพ่อโบวา อุปสังฆราชแห่งปาแลร์โม ที่เดินทางมาโปรดศีลกำลังให้บุตรชายของพี่สาวของท่านที่ป่วยหนัก
ให้ช่วยโปรดศีลกำลังให้ท่าน ทำให้ท่านได้รับการโปรดศีลกำลังอย่างลับๆ ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ.1912
ในปีเดียวกันนั้นเอง
ท่านก็ได้พบกับสิ่งหนุนนำใจท่านอีกสิ่ง มันก็คือ “บันทึกวิญญาณของนักบุญเทเรซา” หลังจากนั้น
การรอคอยก็ดูเหมือนจะสิ้นสุดลง เมื่อที่สุดมารดาของท่านก็ตัดสินใจ อนุญาตให้ท่านเข้าอารามแม่พระเสด็จเยี่ยมได้
ท่านจึงมุ่งมั่นว่าท่านมีกระแสเรียกให้เป็นเจ้าสาวของพระคริสตเจ้าในคณะนี้
แต่เมื่อท่านได้ลองอ่านธรรมนูญของคณะคาร์เมไลท์ และเรื่องราวของดอกไม้น้อยๆ กระแสเรียกของท่านก็พุ่งตรงไปที่คาร์เมไลท์เพียงอย่างเดียว
อนิจจา
เหตุการณ์หาจะได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะยิ่งมารดท่านสิ้นใจลงในปี ค.ศ.1914 พี่ชายของท่านก็กลายมาเป็นผู้นำของครอบครัว
แทนที่กางเขนอันแสนเจ็บปวดและยิ่งใหญ่ที่ต้องถูกกีดกันจากศีลมหาสนิทของท่านจะหมดไป
ตรงข้ามมันกลับทวีมากขึ้น เพราะนับแต่นั้นการออกจากบ้านสำหรับท่านก็กลายเป็นเรื่องยากสุดๆ
บัดนี้ท่านจึงไม่เหลือใครแล้ว ทุกคนในบ้านล้วนเป็นศัตรูกับความตั้งใจของท่านหมด
กระนั้นก็ตามท่านก็ไม่หมดหวัง
ความฝันการเป็นคาร์เมไลท์ยังคงถูกหล่อเลี้ยงด้วยเรื่องราวของดอกไม้น้อยแห่งลิซีเออร์อย่างเสมอ
จนเวลาล่วงไปได้ห้าปี
ที่สุดตามคำแนะนำของข้ารับใช้พระเจ้า พระคุณเจ้าพระคาร์ดินัล อเลสซันโดร ลูอัลดี
พระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลปาแลร์โม ท่านก็ได้เขียนจดหมายไปยังอารามคาร์แมลที่เมืองรากูซา
ก่อนจะเฝ้าสวดภาวนาอย่างร้อนรน ให้อารามตอบจดหมายว่ารับท่านเข้าอาราม
และที่สุดอารามก็ตอบรับท่านเข้ายังอาราม “ที่ยากจนมากๆ แต่เคร่งครัด”
ดังนั้นในวันที่
25
กันยายน ค.ศ.1919 ขณะอายุ 35 ปี ภายหลังจากการรอถึง 20 ปี ที่การสำแดงพระองค์ในศีลมหาสนิทบอกท่านถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ต่อมนุษย์
ทำให้ท่านมั่นใจในพระสัญญาของพระองค์มาตลอด
ท่านก็ได้เข้าอารามคาร์แมลดั่งที่ฝันไว้ แต่ก็แลกมาด้วยความเศร้าที่ว่านับจากวันนั้นมา
ก็ไม่มีพี่น้องคนไหนแวะมาเยี่ยมท่านอีกเลย แม้ในแต่ในวันท่านรับชุดคณะ
หรือวันนี้ที่ท่านเข้าอาราม ท่านก็เข้าอย่างโดดเดี่ยว
ไร้ซึ่งเงาของพี่ชายที่จะมาส่ง
หลังจากนั้นเมื่อจบช่วงของการเป็นโปสตุลันต์
ในวันที่ 16 เมษายน
ค.ศ.1920 ท่านก็ได้รับชุดคณะ พร้อมนามใหม่ว่า “ภคินีมารีอา กันดีดา แห่ง ศีลมหาสนิท” ดั่งเป็นการทำนายลางๆถึงอนาคตของท่าน
ท่านเคยกล่าวว่าความปรารถนาของท่านก็คือ “การดำรงไว้ซึ้งกลุ่มของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท
นานที่สุดเท่าจะเป็นไปได้” ท่านชอบใช้เวลานานกับศีลมหาสนิท
และทุกๆวันพฤหัสบดีตั้งแต่เวลาห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน ท่านก็จะใช้เวลาทั้งหมดนั้นไปอยู่หน้าตู้ศีล
ชนิดกล่าวได้เลยว่าศีลมหาสนิทมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อชีวิตฝ่ายจิตของท่าน
มันไม่ใช่เพียงแต่ในความศรัทธาพิเศษ แต่ในการสนิทสัมพันธ์ฝ่ายจิตกับพระเป็นเจ้า และก็ด้วยศีลมหาสนิทนี้เองที่เป็นกำลังให้ท่าน
ที่จะตัดสินใจถวายตนเป็นดั่งแพะรับบาปแด่พระเจ้า ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ.1927
ท่านได้พัฒนาสิ่งที่ท่านเรียกว่า
“กระแสเรียกแห่งศีลมหาสนิท” อย่างเต็มที่
อาศัยความช่วยเหลือจากจิตตารมณ์ของคณะ ที่ท่านถูกดึงดูดเมื่อได้อ่านเรื่องราวของจิตวิญญาณ
ในหน้าที่นักบุญเทเรซา แห่ง อาวิลา ได้บรรยายถึงความศรัทธาเป็นพิเศษต่อศีลมหาสนิทของเธอ
ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าผ่านศีลมหาสนิทนี้เอง
ที่นักบุญเทเรซาได้ประสบกับข้อรหัสธรรมล้ำลึกของการรัยเอากายของพระคริสตเจ้า
ในฐานะนวกะ
ท่านก็ได้เจริญชีวิตใช้โทษบาป เฝ้าเพียรระมัดระวังในการปฏิบัติตามธรรมนูญของคณะ
เวลาเดียวกันก็เป็นคนคึกคัก ร่าเริงสดใสในเวลาหย่อนใจ
แต่เมื่อระฆังตีบอกสัญญาหมดเวลาพัก ทันทีท่านก็จะรีบไปทำหน้าที่ของตน
และถือวินับเงียบอย่างเคร่งครัด ท่านเข้าพิธีปฏิญาณตนชั่วคราวในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ.1921 และได้รับหน้าให้ไปทำงานต่างๆอาทิ
คนเฝ้าประตู คนดูแลห้องสักการภัณฑ์ และผู้ช่วยคนปรุงอาหาร เป็นต้น
ท่านเข้าพิธีถวายตนตลอดชีวิตในวันที่
23 เมษายน ค.ศ.1924
และได้รับเลือกเป็นคุณแม่อธิการอารามในอีกหกเดือนถัดมาในวันที่ 12 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน และก็ได้รับตำแหน่งเป็นวกจารย์ไปในสามปีแรกด้วย
ดังนั้นท่านจึงร้อนรนในการสร้างซิสเตอร์รุ่นใหม่ๆ จนทำให้ท่านต้องเป็นทุกข์ใจ จากการที่มีซิสเตอร์บางคนไม่ค่อยสนใจธรรมนูญของคณะเท่าใด
จนวันหนึ่งท่านก็ถึงกับบอกหนึ่งในซิสเตอร์เหล่านั้นว่า “ลูกสาวของแม่ ทำไมลูกถึงดูหมิ่นองค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้
ลูกไม่ได้ตระหนักเลยหรือว่ามนุษย์มากมายต้องการลูก ทำไมลูกถึงปล่อยตัวออกนอกเส้นทางกัน”
ท่านเป็นอธิการจนครบวาระสามปี
ในปี ค.ศ.1927
ท่านก็ได้รับเลือกให้เป็นอธิการอีกครั้ง ด้วยคะแนน “เต็ม”หลังจากนั้นเมื่อครบวาระท่านก็ไม่ได้รับเลือก
ท่านจึงได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ให้คำปรึกษางานสักการภัณฑ์ จนถึงปี ค.ศ.1933 ท่านก็ได้รับเลือกให้เป็นอธิการอีก ดังนั้นท่านจึงได้ดำรงตำแหน่งจนถึงปี
ค.ศ.1947
สองปีก่อนท่านสิ้นใจ
ซึ่งตลอดเวลาที่ดำรงเป็นอธิการ
ถึงยี่สิบปี ก็ไม่ปรากฏว่ามีเรื่องยากลำบากหรือเรื่องแตกแยกภายในท่ามกลางความยากลำบากเลย
นอกจากนี้ท่านยังมีอิทธิพลกับซิสเตอร์ทุกคนจากการดำเนินชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ ตามการเรียกร้องของพระเจ้า
อย่างร้อนรน และได้ปลูกฝังจิตตามรมณ์ของนักบุญเทเรซาในอาราม ท่านได้ก้าวออกจากความรักฝ่ายโลก
และดำเนินชีวิตอย่างเข้มงวด แต่ก็มีความอ่อนหวานและความน่ารัก ท่านยังมีสติในการเจริญชีวิตรับใช้
โดยเฉพาะซิสเตอร์ที่กำลังอ่อนแอหรือป่วย และยังดำเนินชีวิตตามธรรมนูญของคณะจนถึงขนาดได้ชื่อว่า
“ธรรมนูญที่มีชีวิต”
นอกจากนี้ท่านยังมีส่วนในการวางรากฐานคณะในซิซิลี
และการก่อตั้งอารามที่ซีรากูซา รวมไปถึงการดูแลความปลอดภัยในการกลับมาตั้งอารามของคณะฝ่ายชาย
ในซิซิลี เกาะอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน
โดยท่านได้ให้การต้อนรับบรรดาสมาชิกฝ่ายชายจากเวนิส ในวันที่ 28 กันยายน ค.ศ.1946 ที่มาประจำก่อนอารามจะเสร็จ
และในโอกาสสมโภชพระคริสตวรกาย
ในปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ.1933 ท่านก็ได้เริ่มประพันธ์งานเขียนน้อยๆ
ที่จะกลายมาเป็นผลงานชิ้นเอกของท่าน นั่นก็คือหนังสือ “ศีลมหาสนิท ‘อัญมณีแท้จริงของจิตตารมณ์ศีลมหาสนิท’
ซึ่งเป็นผลมาจากการรำพึงอย่าลึกซึ้งและยาวนาน ต่อศีลหมาสนิท เป้าหมายของหนังสือ
ก็คือการจดบันทึกประสพประการณ์ส่วนตัวของท่าน
และความเห็นทางเทววิทยาอย่างลึกซึ้งของท่าน ต่อประสพประการณ์เดียวกันนั้น
ท่านได้แลเห็นทุกมิติของชีวิตคริสตชนถูกสรุปไว้แล้วในศีลมหาสนิท
ประการแรกความเชื่อ “โอ้ ศีลศักดิ์สิทธิ์ที่รักของลูก
ลูกเห็นพระองค์ ลูกเชื่อพระองค์ …โอ้ องค์ความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์
ยามใคร่ครวญด้วยความเชื่ออันไม่รู้สิ้นสุดของพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าในศีลศักดิ์สิทธิ์
ขอให้ได้ดำรงอยู่กับผู้เสด็จมายังพวกลูกในทุกวัน” ประการที่สองความเชื่อ “โอ้ศีลมหาสนิทของลูก
องค์ความหวังอันเป็นที่รักของลูก ความหวังของพวกลูกทั้งครบอยู่ในพระองค์…นับแต่ลูกยังเยาว์วัยความหวังในศีลมหาสนิทให้พลังแก่ลูก” และประการสุดท้ายความเมตตา “ข้าแต่พระเยซูเจ้าของลูก
ลูกรักพระองค์เท่าใดกัน ที่นั่นภายในหัวใจของลูกมีความรักอันมากมายเพื่อพระองค์
โอ้ศีลบูชาแห่งรัก …
วิธีการอันแสนดีก็คือองค์ความรักของพระเจ้า ที่ได้ทรงกระทำปังเพื่อวิญญาณของพวกลูก
พระองค์ผู้ทรงเป็นนักโทษเพื่อลูก”
ในฐานะอธิการ
ศีลมหาสนิทได้ให้ความเข้าใจอย่างล้ำลึกว่า ศีลบนสามประการสามารถเห็นได้
ในชีวิตแห่งศีลมหาสนิทอันแรงกล้า ไม่ใช่เพียงแต่ท่าทาง แต่คือหนทางของรูปแบบของชีวิต
ลักษณะการเจริญชีวิตนักพรต
และความก้าวหน้าที่สงเสริมรูปแบบเฉพาะของการถวายตนของทุกคน เหมือนพระเยซูคริสตเจ้าที่ทรงสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์เพื่อเรา
ศีลบนแห่งความนบนอบ
- “ยามเราขับเพลงสวดเราไม่ได้ขับด้วยความนบนอบต่อศีลบูชารักหรือ
และยามเรานบนอบต่อพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธ
ไม่ได้เหมือนกับที่ความถ่อมพระองค์ในศีลระลึกนี้ตลอดสองพันกว่าปีดอกหรือ”
ศีลบนแห่งความยากจน - “ภายหลังทรงสอนให้ลูกนบนอบแล้วปานใด
พระองค์ก็ได้ทรงตรัส ทรงอบรมลูกในความยากจน โอ้ ปังศักดิ์สิทธิ์
ใคร่เล่าจะไร้อาภรณ์ได้มากกว่าพระองค์ ใครเล่าจะต่ำต้อยกว่าพระองค์ …พระองค์ทรงไม่มีอะไร
พระองค์ไม่ทรงขอสิ่งใด … โอ้ พระเยซูเจ้า
ขอให้จิตวิญญาณของบรรดานักบวชดำรงอยู่ต่อไป
เพื่อปลดจากทุกสิ่งโดยสมบูรณ์และยากจนเถิด”
ศีลบนแห่งความบริสุทธิ์
- “ถ้าพระองค์ตรัสกับลูกผู้นบนอบและยากจน … สิ่งที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ที่ทรงมีมากกว่าลูกก็เพียงแค่การชายพระเนตรมองของพระองค์
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า หากบ้านของพระองค์คือบรรดาวิญญาณที่บริสุทธิ์
วิญญาณใดกันเล่าที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ ที่พระองค์จะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงเขาให้เป็นเช่นนี้
นับจากนี้เป้าหมายของลูกก็คือ ลูกปรารถนาจะคล้ายพระองค์ผ่านความบริสุทธิ์
และความรัก”
ท่านมีพระนางมารีย์
ผู้แบกรับพระบุตรของพระเจ้าไว้ในครรภ์
และผู้ยังคงให้กำเนิดพระองค์ในหัวใจของวิญญาณที่ติดตามพระองค์ เป็นแบบฉบับของการดำเนินชีวิตแห่งศีลมหาสนิท
“ดิฉันปรารถนาจะเป็นอย่างพระนางมารีย์ เป็นพระนางเพื่อพระเยซูเจ้า
รับพระองค์ประทับ ในสถานแห่งพระมารดาของพระองค์
เมื่อดิฉันได้รับพระเยซูเจ้าในยามรับศีล พระนางก็ทรงดำรงอยู่เป็นปัจจุบัน
ดิฉันปรารถนาจะรับพระองค์จากหัตถ์ของพระนาง
พระนางผู้ทรงทำให้ดิฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์
ดิฉันไม่อาจแยกพระนางมารีย์จากพระเยซูเจ้าได้ วันทา โอ้
กายาที่ได้ให้กำเนิดของพระแม่ วันทามารีย์ อรุณรุ่งแห่งศีลมหาสนิท ”
นอกจากนี้แล้วศีลมหาสนิทยังเป็นโรงเรียน
เป็นอาหาร เป็นการพบปะกับพระเจ้า เป็นการมารวมกัน และที่มาของคุณธรรมและสติปัญญา
สำหรับท่าน “สวรรค์เองไม่ได้จำกัดตัวไว้มาก ข้าแต่พระเจ้า
ขุมสมบัติอันไม่ซ้ำกันอยู่ที่นี่ เป็นความจริง แน่นอน เป็นความจริง
พระเจ้าของดิฉันทรงเป็นทุกสิ่งของดิฉัน” , “ดิฉันได้วอนขอพระเยซูเจ้าของดิฉัน
ให้พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองตู้ศีลทั้งหมดบนโลกใบนี้ ไปจนกว่าจะสิ้นพิภพ”
ในปี
ค.ศ.1947 ท่านก็ได้ปฏิเสธหน้าที่อธิการอาราม
แม้ซิสเตอร์คนอื่นๆจะอ้อนวอนให้ท่านมารับตำแหน่งอีกครั้ง ท่านก็ปฏิเสธ และมุ่งใช้เวลาหลังจากนั้นไปกับการเตรียมสิ่งต่างๆ
ให้พร้อมสัพสำหรับการตั้งอารามที่เมืองซีรากูซา แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้นท่านก็ถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ
แต่ท่านก็ไม่เคยบ่น หรือขอความช่วยเหลือพิเศษใดๆ จนเป็นที่ประทับใจแก่คุณหมอที่รักษาท่าน
ที่เห็นท่านยังคงเข้มแข็งและสงบ แม้จะป่วยหนัก
และที่สุดภายหลังได้รับศีลมหาสนิทและศีลเจิมคนไข้
อย่างศรัทธาแล้ว ท่านก็ได้คืนวิญญาณไปหาพระเป็นเจ้าอย่างสงบด้วยวัย 65
ปี ในวันสมโภชพระตรีเอกภาพ ที่ 12 มิถุนายน ค.ศ.1949 ณ อารามคาร์แมล
ที่ท่านได้อุทิศชีวิตเพื่อรับใช้พระเจ้า และพระศาสนจักร รายล้อมด้วยบรรดาซิสเตอร์
ที่ต่างได้เป็นพยานถึงคำพูดสุดท้ายของท่าน ที่พึมพำว่า “แม่พระ ช่วยลูกด้วย”
และสืบเนื่องจากมีพระหรรษทานมากมายอาศัยคำเสนอวิงวอนของท่าน ที่คนต่างยกย่องเป็นนักบุญ
ที่สุดในวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ.2004 สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี
พระองค์ยังได้นำเสนออีกว่าท่านเป็น
“รหัสยิกแท้จริงแห่งศีลมหาสนิท … ศูนย์รวมของทั้งชีวิต
ที่ติดตามคาร์เมไลท์ประเพณี” นอกจากนี้พระองค์ยังตรัสอีกว่า “เธอเป็นเช่นนั้นในความรักพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท
ที่เธอรู้สึกถึงความปรารถนาอันร้อนรน และสม่ำเสมอที่จะเป็นอัครสาวกแห่งศีลมหาสนิท อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย”
“เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีก”(ยอห์น 6:35) คุณแม่มารีอา กันดีดา ได้ค้นพบเช่นนี้จริงๆตามพระวาจา คุณแม่จึงไม่หิว(ขวนขวาย) หาความรู้จากที่ใดอีก เพราะคุณแม่ได้พบทุกมิติที่เป็นคำตอบของชีวิตคริสตชนในศีลมหาสนิท ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความหวัง และความเชื่อ หรือศีลบนสามประการของนักบวชเอง คุณแม่ก็ได้ค้นพบมันในศีลมหาสนิท และเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะศีลมหาสนิทคือพระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นทุกสิ่งเพื่อทุกคน ที่ได้สละทิ้งเพศของพระเจ้า ลงมารับเพศปัง ดังนั้นเราจึงไม่ต้องขวนขวายหาขุมทรัพย์ใดอีก เราสามารถค้นพบทุกสิ่งที่เราต้องการได้ในศีลมหาสนิท ขอเพียงแค่เราหยุดภาระไว้ และเข้ามาหาพระองค์ เพื่ออยู่เงียบๆ เพื่อเล่าทุกสิ่ง ทุกคนก็จะสามารถพบกับทุกสิ่งที่เราต้องการ ไม่จำเป็นต้องที่วัด แต่ทุกๆที่ที่มีโอกาส
“ข้าแต่ท่านบุญราศีมารีอา กันดีดา แห่ง ศีลมหาสนิท
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง