บุญราศีมารีอา แห่ง พระเยซูเจ้า โลเปซ เด รีวาส
Bl. María de
Jesús López de Rivas
ฉลองในวันที่ : 12 กันยายน
เด็กหญิงมารีอา โลเปซ เด รีวาส ธิดาของอันโตนีโอ โลเปซ เด รีวาส กับ
เอลบีรา มาร์ตีเนซ รูบีโอ เกิดในเมืองตาร์ตาเนโด จังหวัดกวาดาลาฆารา ประเทศสเปน
ในวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ.1560 และได้รับศีลล้างบาปด้วยชื่อ “มารีอา” จากคุณพ่อฆวน เซร์ราโน ในวันที่ 25 สิงหาคมปีเดียวกัน หลังจากนั้นท่านจึงได้รับการเลี้ยงดูและอบรมตามแบบอย่างตระกูลขุนนางในบ้านที่เมืองตาร์ตาเนโดมา
กระทั้งบิดาท่านเสียชีวิตอย่างกะทันหันขณะท่านยังมีอายุน้อยมากๆ
มารดาท่านจึงแต่งงานใหม่
และได้ส่งท่านให้คุณตายคุณยายเลี้ยงที่มืองโมลีนา เด อรากอน ในจังหวัดเดียวกัน
ทำให้ท่านได้อาศัยอยู่ใกล้ๆกับคุณลุงฝั่งมารดาของท่านชื่อ คุณลุงเฆโรมีโน เด รีวาส
ที่แต่งงานกับคุณป้าอิซาเบล เด อูเรญา
ทั้งสองนี้ล้วนเป็นคนศรัทธาและต่างก็ช่วยกันอบรมท่านด้วยรักเหมือนลูกสาวแท้ๆ และ ณ
ที่นี่ ในเวลาที่ชีวิตค่อยๆผลิยอดอ่อนในความเงียบนั้นเอง
ท่านก็เข้าใกล้ความเชื่อต่อพระคริสตเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ
กาลเวลาล่วงไปกระทั้งท่านอายุได้ราวสิบห้าสิบหกปี
ท่านก็ได้พบกับคุณพ่ออันโตนีโอ เด กาสโตร พระสงฆ์เยซูอิต
ผู้เป็นที่รู้จักกันดีในฝีมือด้านการเทศน์
ซึ่งเมื่อคุณพ่อได้รับรู้ถึงบุคลิกภาพและวิญญาณอันอุดมของสาวน้อยมารอาแล้ว
คุณพ่อก็ได้พุ่งไปยังคณะคาร์เมไลท์ไม่สวมรองเท้าที่ก่อตั้งขึ้นโดยคุณแม่เทเรซา แห่ง
พระเยซู ในทันที ส่วนฝั่งท่าน ในวัยเป็นสาวงาม
ท่านก็ประทับใจชีวิตนักบวช โดยไม่ได้กำหนดพระพรพิเศษใดไว้อย่างตายตัวว่าจะแนวไหนไม่ว่าจะงานรับใช้
หรือ งานภาวนา “ความเชื่อและธรรมชาติของลูกไปพร้อมมันคะ” ท่านกล่าวกับคุณพ่อเยซูอิตผู้ได้มีโอกาสรับรู้และมองเห็นกลิ่นหอมของความศักดิ์สิทธิ์อบอวลไปทั่วร่างกายที่อ่อนแอ
ที่ไม่เคยได้มีความสุขกับสุขภาพที่ดีเหมือนคนอื่นเขา
ตามคำแนะนำ
ในวัย 17 ปี
ท่านก็ได้เข้าอารามคณะคาร์เมไลท์ และนักบุญเทเรซา
ก็ได้ส่งท่านไปยังอารามหลังที่ห้าในโตเลโด ในวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ.1577 พร้อมคำรับรองว่า “แม่ได้ส่งเธอไปให้ลูกพร้อมสินสอดจำนวนห้าพันดูคาโดส
แต่แม่ขอรับประกันกับลูกเลยว่าแม่จะเต็มใจอย่างยิ่งที่จะให้อีกเท่าตัวเพื่อให้มีเธออยู่
ไม่ต้องพิจารณาเธอเหมือนคนอื่นๆ
เพราะแม่หวังว่าในพระเจ้าเธอจะเป็นแบบอย่างอันน่าอัศจรรย์” และด้วยคำรับรองเช่นนี้จากนักบุญเทเรซา
ก็ทำให้ในวันรุ่งขึ้นท่านก็ได้รับเสื้อศักดิ์สิทธิ์ของคณะในทันที
หลังจากนั้นท่านจึงได้เข้าพิธีปฏิญาณตนในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ.1578
แต่อย่างไรก็ตามด้วยสุขภาพอันเปราะบางของท่าน
ก็ทำให้ทางอารามโตเลโดเริ่มลังเลใจที่รับท่านไว้เป็นซิสเตอร์
ซึ่งเรื่องสุขภาพนี้รุมเร้าท่านตลอดชีวิต มันทำให้ท่านทรมานทั้งฝ่ายกาย และฝ่ายจิต
เพราะท่านต้องได้รับสายตาอันดูถูกจากบรรดาสมาชิกในอารามเป็นธรรมดา
จะเป็นไปได้หรือที่จะรับซิสเตอร์ที่ป่วยกระเสาะกระแสะแบบนี้ไว้
แต่ที่สุดอัศจรรย์ก็มาถึง เมื่อเรื่องทราบถึงนักบุญเทเรซา นักบุญเทเรซา
เขียนจดหมายชี้ขาดมายังอารามเมืองโตเลโดเลยว่า “จงคิดให้ดีถึงสิ่งที่ลูกทำ
เพราะถ้าลูกไม่อนุญาตให้ซิสเตอร์มารีอา แห่ง พระเยซูเจ้าได้ปฏิญาณตนตลอดชีวิตแล้ว
แม่จะพาเธอมายังอาวีลา และอารามที่จะมีเธออยู่จะเปี่ยมโชคกว่าอารามใดๆทั้งหมด
ในส่วนของแม่เอง แม่ยังอยากจะให้เธออยู่กับแม่เสมอในอาราม
แม้ว่าเธอจะต้องล้มหมอนนอนเสื่อบนเตียงไปตลอดชีวิตของเธอก็ตามที”
ด้วยจดหมายชี้ขาดฉบับนี้เองของนักบุญเทเรซา
ท่านในฐานะ “ซิสเตอร์มารีอาแห่งพระเยซูเจ้า”
จึงสามารถอยู่ในอารามที่เมืองโตเลโดต่อได้ แม้จะมีโรคมากมายรุมเร้า
แต่โรคเหล่านั้นก็ไม่พรากชีวิตของท่านให้สั้นลงได้
มันทำได้แต่เพียงสร้างความทุกข์ยากให้กับท่าน
แต่เช่นกันไม่ก็ไม่อาจขัดขวางท่านที่จะเจริญชีวิตตามจิตตารมณ์ของคณะได้
ไม่ว่าจะเป็นการรำพึงภาวนาหรือการทำงาน ที่ท่านทำอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย
โดยไม่เคยเห็นด้วยกับการที่จะให้ท่านลดหย่อนหน้าที่ลงบ้าง นักบุญเทเรซากล่าวว่า
โรคที่ท่านทรมานก็คือ “โรคแห่งรัก” เพื่อพระเจ้า
ท่านยังได้รับพระพรพิเศษอีกหลายประการ
อาทิ การหยั่งรู้ การเข้าฌาน นิมิตและการเผยแสดง
มีครั้งหนึ่งขณะท่านสวดภาวนาอยู่ต่อหน้ารูปของนักบุญยอแซฟ
จู่ๆพระกุมารเยซูก็เสด็จลงมาจากอ้อมแขนของท่านนักบุญ มาอยู่ในอ้อมแขนของท่าน
ทำให้ไม่แปลกที่จะเห็นภาพของท่านมีพระกุมารเยซูอยู่ในอ้อมแขน
อีกครั้งหนึ่งขณะนักบุญเทเรซาแวะมาที่อารามเมืองโตเลโด
ท่านก็ได้แวะเข้าไปหาในห้องที่นักบุญเทเรซากำลังเขียนหนังสืออยู่
และได้เห็นพระจิตเจ้าอยู่เหนือนักบุญเทเรซา
ท่านเป็นที่รักของนักบุญเทเรซา
ทุกๆครั้งที่นักบุญเทเรซาแวะมาเยี่ยมอารามเมืองโตเลโด
ก็มักมาดูแลท่านเยี่ยงมารดาดูแลธิดาน้อยเสมอ ซึ่งเพื่อหันเหความสนใจของทุกคนไปจากท่าน
นักบุญเทเรซาจึงประสงค์ให้ท่านไปทำงานในห้องซาคริสเตียและห้องพยาบาลของอาราม
แต่แม้ท่านจะมุมานะกับการทำงานตามหน้าที่เหล่านี้แค่ไหน
มันก็ไม่อาจปิดบังความศักดิ์สิทธิ์ของท่านไว้ได้ หลายๆคนจึงเริ่มมาขอคำแนะนำจากท่าน
รวมไปถึงนักบุญเทเรซาเอง ก็มักมาขอคำแนะนำและความสว่างเกี่ยวกับเรื่องเทววิทยาอันล้ำลึกหรือเรื่องชีวิตภาวนาจากท่านเสมอ
มีครั้งหนึ่งนักบุญเทเรซาก็ถึงกับอุทานขึ้นกับท่านว่า “มันต้องเป็นจริง ตามลูกบอกแน่ๆ นักเทววิทยาน้อยของแม่” หลายคนอาจสงสัยว่า
นักบุญเทเรซารักและวางใจท่านขนาดไหนหรือ คำตอบก็ถึงขนาดให้ท่านเป็นคนแรก
ที่ได้อ่านหนังสือ “ปราสาทแห่งจิต” ของเธอ เพื่อให้ช่วย “ตรวจสอบ” เลยทีเดียว
วิญญาณของท่านเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา
และเปิดเผย ท่านเป็นที่รักขององค์พระสวามีเจ้า ผู้ทรงมอบพระหรรษทานมากมายแก่ท่าน
งานเขียนของท่านมักยกความศรัทธาเป็นพิเศษต่อดวงพระหฤทัย
ซึ่งผ่านการรำพึงท่านก็ได้แลเห็นพระหรรษทานมากมายหลั่งไหลออกมากมายดุจสายฝน
หลายต่อหลายครั้ง และด้วยความศรัทธานี้เองที่ได้เชื่อมท่านกับศีลมหาสนิท
และพระโลหิตศักดิ์สิทธิ์ให้ใกล้ชิดขึ้น และนอกจากนี้ท่านยังมีความศรัทธาเป็นพิเศษต่อพระกุมารเยซู
ผู้ที่ท่านเรียกว่า “หมอโรครัก”
ไม่เพียงแต่ความศรัทธาเป็นพิเศษต่อดวงพระหฤทัย
ศีลมหาสนิท พระกุมารเท่านั้น ท่านยังมความศรัทธาเป็นพิเศษต่อพระนางมารีย์
โดยเฉพาะในรหัสธรรมล้ำลึกของการรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณของพระนาง
คุณพ่อเฆโรนิโม กราเซียน ผู้โด่งดัง ยกย่องท่านว่า “นักจาริกแห่งแม่พระรับเกียรติ” ในปี ค.ศ.1583 ในวัย 23 ปี
ท่านก็ได้รับเลือกให้เป็นนวกจารย์
และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้หลายต่อหลายครั้งจนถึงวัยชรา
นอกจากนี้ท่านยังเคยดำรงตำแหน่งรองอธิการสองครั้งคือระหว่าง ค.ศ.1587-ค.ศ.1591 และ ค.ศ.1607-ค.ศ.1619 และอธิการอีกสามวาระคือ ค.ศ.1591-ค.ศ.1595 , ค.ศ.1598 และ ค.ศ.1624-ค.ศ.1627
ท่านดูแลงานเหล่านั้นด้วยความเงียบและความอ่อนหวาน
ท่านสอนบรรดานวกะให้เป็นตามสิ่งที่สอน และตามนักบุญเทเรซา กระทั้งในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1600 ท่านถูกกล่าวหาและใส่ร้าย
ท่านจึงถูกถอดจากตำแหน่งอธิการในวาระที่สองในวันที่ 25 กรกฎาคม
และถูกต่อต้านอย่างหนักจากผู้ใหญ่ที่ดูแลเขตนั้นเป็นเวลานับยี่สิบปี
ซึ้งแม้จะถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ท่านก็ไม่เคยตอบโต้
ตรงกันข้ามท่านเลือกที่จะน้อมรับด้วยความเงียบ และความนบนอบต่อผู้ใหญ่ และการเฝ้าสวดภาวนาให้แก่เขา
จนที่สุดท่านก็ได้รับการพิสูจน์ว่าบริสุทธิ์
ดังนั้นในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1624 ท่านจึงได้รับเลือกเป็นอธิการอีกครั้ง
ก่อนสามปีถัดมาท่านจะขอลาออกเพราะปัญหาสุขภาพ ท่านใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ
และอ่อนหวานจนวัยล่วงได้ 80 ปี ท่านก็ได้คืนวิญญาณไปหาพระเป็นเจ้าอย่างสงบ
ในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1640 ณ อารามเมืองโตเลโด ประเทศสเปน ขณะดำรงตำแหน่งในฐานะรองนวกจารย์
ระหว่างท่านยังคงดำรงชีวิตอยู่
ก่อนปี ค.ศ.1580
นักบุญเทเรซาเคยบันทึกว่า “ซิสเตอร์มารีอา แห่ง
พระเยซูเจ้าไม่เพียงแต่จะเป็นนักบุญ แต่เธอเป็นแล้ว” ส่วนคุณพ่อกราเซียนก็เคยกล่าวอย่างเปิดเผยในช่วงก่อนปี
ค.ศ.1614
เกี่ยวกับท่านเอาไว้ว่า “นักบวชที่รักทั้งหลายของคุณแม่เทเรซาผู้ศักดิ์สิทธิ์
เพราะ นอกเหนือไปจากการเป็นนักบุญแต่วัยเยาว์
และเปี่ยมไปด้วยความยิ่งใหญ่และคุณธรรมขั้นวีรชนแล้ว
ครั้งหนึ่งเธอก็ได้วอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้า
ให้ทรงประทานบางสิ่งที่จะทำให้เธอสามารถรู้สึกได้ถึงพระมหาทรมานของพระองค์
แม้เพียงทางกาย เธอจึงได้รับมงกุฎหนามจากพระองค์ ขณะทรงประจักษ์มาหาเธอ
มันสร้างความเจ็บปวดแก่เธอตลอดไม่เคยไปไหน
มันช่างเป็นธรรมล้ำลึกที่เธอสามารถอยู่ร่วมกับมัน และสามารถปฏิบัติตามหน้าที่ในคณะ
ต่อจากนั้น มันก็ยิ่งทวีขึ้นอีก เมื่อพระองค์ทรงเติมเต็มความปรารถนาอย่างไม่หยุดหย่อน
ที่จะรับทรมานเพื่อพระคริสตเยซูในอนุสรณ์แห่งพระมหาทรมานของพระองค์ของเธอ ทรงได้ประทานความเจ็บปวดอย่างชัดเจนทั้งที่บนเท้าของเธอ
บนมือของเธอ และบนสีข้างของเธอ ดังนั้นมันจึงทำให้เกิดข้อสงสัย พ่อรู้จักนักบวชคนนี้ดี
เธอเป็นชาวพื้นเมืองโมลินา มารีอา แห่ง พระเยซูเจ้าคือนามของเธอ
อดีตอธิการของอารามเมืองโตเลโด
และพ่อสามารถเล่าสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆเกี่ยวกับเธอได้อย่างมากมาย”
ดั่งที่ยกมาข้างต้นว่าตั้งแต่ท่านมีชีวิต
หลายๆคนก็เชื่อว่าท่านเป็นคนศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ภายหลังท่านสิ้นใจได้เดือนหนึ่ง
จะมีการเรียกร้องเปิดกระบวนการของท่าน แต่ก็มีการเปิดเอาจริงๆก็ปี ค.ศ.1914 และที่สุดในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ.1976 สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโล 6 ก็ทรงบันทึกนามท่านในสารบบบุญราศี
นับเป็นขั้นต่อไปของการเป็นนักบุญ
“เราเข้ามาในโลกเป็นแสงสว่าง”(ยอห์น 12:46)
เมื่อท่านตระหนักได้ตามพระวาจานี้
แม้ท่านจะมีร่างกายอ่อนแอ ท่านก็ไม่ลังเลที่จะติดตามพระคริสตเจ้า แม้ในบางครั้งท่านจะประสบกับความยากลำบากมากแค่ไหน
ทั้งจากตัวท่านเองและคนรอบข้าง ท่านก็ไม่ท้อถอยที่จะติดตามพระองค์
เพราะท่านตระหนักดีว่าท่านกำลังติดตามองค์ความสว่างอยู่ ดังนั้นท่านจึงกล่าวได้เหมือนคำสอนของนักบุญเทเรซา
ปิยมารดาที่ว่า
“อย่ายอมให้ สิ่งใด มากวนเจ้า
สยองเกล้า ตกใจกลัว จนมัวหมอง
ทุกสิ่งย่อม ผ่านพ้นไป อย่าใฝ่ปอง
พระเท่านั้น มิเคยหมอง มิเปลี่ยน แปร
จงตั้งใจ เพียรทน อย่าท้อจิต
ทุกสิ่ง ที่เราคิด ชนะแน่
พระเท่านั้น คอยค้ำจุน หนุนดวงแด
มีพระแต่ องค์เดียว ไม่ขอใด”
“ข้าแต่ท่านบุญราศีมารีอา แห่ง พระเยซูเจ้า โลเปซ
เด รีวาส ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง