วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

'อีวาน' เพื่อและเพื่อพระศาสนจักร


บุญราศีอีวาน เมร์ซ
Bl. Ivan Merz
ฉลองในวันที่ : 10 พฤษภาคม
องค์อุปถัมภ์ : เยาวชนโครเอเชีย , วันเยาวชนโลก

ลูกจะไม่ถวายชีวิตของลูกเพื่ออีเกิลคริสตังโครเอเชียหรือ คุณพ่อบาเนค เอ่ยถามชายผู้หนึ่งซึ่งทอดกายนอนอย่างรู้ตัว แต่ไม่อาจพูดอะไรออกมมาได้จากอาการป่วย ชายผู้ที่คุณพ่อดูแลวิญญาณ ชายผู้ซึ่งซิสเตอร์ที่ดูแลยกย่องว่าเป็นเหมือนนักบุญ ภายหลังจากโปรดศีลเจิมให้แล้ว พลันนัยน์ตาของชายนั้นก็เบิกโตและสุกปลั่งขึ้น และใช้ศีรษะเป็นเครื่องหมายแทนคำตอบ

อีวาน เมร์ซ เกิดในเมืองบันจาลูคา สาธารณรัฐเซิร์ปสกา ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ในขณะที่ยังเป็นดินแดนของอาณาจักรออสเตรียฮังการี เมื่อวันที่  16 ธันวาคม ค..1896 เป็นบุตรชายของอิวานโนว คริสตังนอนผู้ห่างวัด กับสตรีชาวยิว ท่านได้รับศีลล้างบาปในปีถัดมาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ และเจริญวัยขึ้นมาท่ามกลางความรักจากทั้งบิดามารดาและความสุข ในสภาพแวดล้อมของแนวความคิดของเสรีนิยม ท่านได้รับการศึกษาในระดับชั้นประถมและมัธยมที่โรงเรียนในเมือง



ท่านมิได้มีพื้นฐานของคริสตชนเลย กระทั้งได้พบ ดร.ลูบอมีร์ มาราโควิซ คริสตังธรรมดาๆผู้เป็นแบบอย่าง ในช่วงท้ายๆของการเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งทำให้ท่านได้ค้นพบความมั่งคั่งของความเชื่อคริสตชน คริสตังธรรมดาๆได้ช่วยผมเพื่อชีวิตนิรันดร์ ท่านเขียนเกี่ยวกับเขา เมื่อท่านโตขึ้นเป็นหนุ่ม ท่านก็เป็นเช่นเด็กชายทั่วไป ท่านเรียนเปียโน ไวโอลีน อ่านวรรณกรรม ท่านสามารถวาดรูปหรือเล่นกีฬาต่างๆ อาทิ เทนนิส จักรยาน ยิมนาสติก หมากรุก สเก็ตน้ำแข็ง โบว์ลิ้ง ขนาบไปกับการพัฒนาตัวเองให้ใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งขึ้น นอกนี้ท่านยังได้เริ่มเขียนบันทึกขึ้นตามคำแนะนำของ ดร.มาราโควิซ ถึงเรื่องราวก่อนถึงวัย 17 ปี และเขียนไปตลอดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ครอบครัวท่านมีความหวังจะให้ท่านเป็นเจ้าหน้าที่ทหารเหมือนบิดา ดังนั้นหลังจากจบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาในช่วงต้นของฤดูใบไม้ร่วง ปี ..1914  ท่านจึงจำต้องสมัครเข้าโรงเรียนนายร้อยวีนาร์ นอยสตาดต์ ทั้งๆที่ไม่มีใจฝักใฝ่ในด้านนี้เลย ซึ่งจากบันทึกในช่วงนี้แสดงให้เห็นว่าโลกแห่งความเชื่อของท่าน กำลังถูกล้อมด้วยความผิดศีลธรรมจำนวนมาก จึงไม่แปลกอะไรที่ท่านจะอยู่ที่นั่นได้เพียงสามเดือนท่านจึงออก และเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในต้นปี ค..1915


ที่นั่นท่านได้มีโอกาสเข้าชมละคร โอเปรา และได้อ่านหนังสือมากมาย และที่นั่นเช่นกันในบันทึกของท่านได้บอกเล่าเรื่องราวในตอนนี้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเดินทางภายในและการค้นหาที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่าน ทั้งทุกข์จากปัญหารัก ความทรงจำเรื่องเกรตีรักแรกของท่านยังคงหลอกหลอนจิตใจท่านมิขาด(ท่านจูบเธอครั้งแรกที่งานเต้นรำขณะท่านอายุ 16 ปี แต่เพียงไม่นานเธอก็มาด่วนจากไป) บวกกับปัญหาเรื่องกระแสเรียกอีก แต่อย่างไรก็ตามท่านแม้จะมีข้อสงสัยมากมายท่านก็ยังคงเปี่ยมด้วยความเชื่ออยู่ ท่านมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณธรรมของตัวท่านเองมากกว่า

แต่เพียงไม่นานหลังจากมาอยู่ที่เวียนนา ในฤดูร้อนปีเดียวกันท่านก็ถูกเรียกตัวไปรับราชการทหาร ท่านจึงเดินทางกลับไปอยู่บ้านกลับครอบครัวเพื่อรอเวลา เวลานั้นเองท่านได้ใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือวรรณกรรมต่างๆ และปัญหาต่างๆที่รุมเร้าภายในของท่าน ก็ค่อยๆคลี่คลายลง และเช่นกันเป็นเวลานี้เองที่ท่านถูกกระตุ้นให้มีชีวิตฝ่ายจิตที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น จนลุถึงวันฉลองแม่พระปฏิสนธินิรมลที่ 8 ธันวาคม ปีนั้นเอง ท่านก็ได้ปฏิญาณตนถือพรหมจรรย์ และจะยังคงรื้อฟื้นคำปฏิญาณนี้ส่วนตัวเสมอ ตลอดสงคราม


จนเมื่อได้รับการบรรจุเป็นทหารแล้ว ในช่วงต้นปี ค..1916 ท่านก็ถูกส่งไปประจำการที่แนวหน้าที่ประเทศอิตาลีและคงประจำอยู่ที่นั่นจนสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง และทีละนิดเสียงระเบิด ความตาย ความหดหู่ ความสิ้นหวัง และสิ่งต่างๆจากสงครามค่อยๆหล่อหลอมทางเดินในชีวิตแก่ท่าน คือ ให้ฝากชีวิตภายหน้าไว้กับพระเจ้า และมุ่งที่จะเป็นคริสตชนที่ ลูกขอโมทนาพระคุณพระเจ้าที่โปรดให้ลูกได้มีโอกาสร่วมรบในสงคราม เพราะสงครามได้สอนลูกในหลายสิ่งที่ไม่เคยรู้ ลูกปรารถนาจะมีชีวิตเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง และปรับชีวิตให้ถูกต้องตามที่ลูกได้รู้มา ท่านเขียนขึ้นถึงบิดาในช่วงท้ายของสงคราม

ต้องไม่ลืมพระเจ้า ต้องปรารถนาจะเป็นหนึ่งเดี่ยวกับพระองค์เสมอ แต่ละวันเริ่มด้วยการรำพึงและการสวดภาวนา อาจเบื้องหน้าศีลมหาสนิทหรือระหว่างมิสซา ส่วนระหว่างวัน สิ่งที่จะทำก็คือ ตรวจสอบข้อบกพร่องหนึ่ง และสวดขอพระหรรษทานเพื่อให้มีกำลังพอชนะความอ่อนแอทั้งหมด มันจะเป็นเรื่องน่ากลัวมาก หากสงครามไม่มีความหมายอะไรกับผม ผมต้องเริ่มเจริญชีวิตฟื้นฟูภายใต้จิตตารมณ์ความเข้าใจเกี่ยวกับพระศาสจักรคาทอลิกใหม่ องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยผมได้ มนุษย์ไม่อาจทำอะไรด้วยตัวเองได้ จากบันทึกของท่านระหว่างสงครามลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค..1918


ในปี ค..1919 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ท่านก็กลับมาเรียนต่อที่คณะปรัชญา ในกรุงเวียนนา ท่านจึงมีโอกาสได้อุทิศตัวให้กับการศึกษางานวรรณกรรมโรมแมนติกและวรรณกรรมเยอรมัน และเวลาเดียวกันท่านก็เริ่มมีความสนใจเรื่องพิธีกรรมต่างๆของพระศาสนจักร ภายหลังได้เข้าเงียบ นอกจากนี้ท่านยังเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม ชาวโครเอเชีย อันเป็นกลุ่มนิสิตคาทอลิกชาวโครเอเชียในเวียนนา ที่รวมตัวกันเพื่อเตรียมความพร้อมตัวเองในการดำเนินกิจการแพร่ธรรมในประเทศต่อไป พื้นฐานชีวิตของพวกเราคือการเกิดใหม่ในพระคริสตเจ้า ที่เหลือทุกสิ่ง พวกเราไม่อาจกระทำได้ด้วยตัวเราเอง ท่านพูดในการประชุมกลุ่มครั้งหนึ่ง

ท่านศึกษาอยู่ในกรุงเวียนนาได้ปีหนึ่ง ในฤดูใบไม้ร่วงปี ค..1920 ถึง ค..1922 ผ่านคุณพ่อมิโรสาวา วานีนา พระสงฆ์เยซูอิต ท่านพร้อมเพื่อนอีกสองคนก็ได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อที่กรุงปารีส ในประเทศฝรั่งเศส ดังนั้นจึงมีโอกาสได้ศึกษาต่อด้านวรรณกรรมที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ และสถาบันคาทอลิก ซึ่งระหว่างศึกษานั้น ท่านในฐานะสมาชิกกลุ่มวินเซนต์ เดอ ปอล ก็ได้คอยช่วยเหลือครอบครัวผู้ยากไร้ในแถบชานเมืองกรุงปารีส จนท่านมีชื่อเสียงในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของพวกเขา


เวลานี้บันทึกของท่านไม่ค่อยจะมีอะไรมาก คงมีแต่เรื่องราวที่ท่านประทับใจ นอกนี้ท่านยังมักแวะไปที่วัดน้อยของอารามเบเนดิกตินที่มงซิเออร์ อันเป็นศูนย์กลางแห่งจิตวิญญาณของปารีส เพราะเป็นสถานที่ที่ปัญญาชนชาวปารีสนิยมมา บ้างก็มาพูดคุย อยู่บ่อยครั้ง และเช่นกันเป็นในปารีสนี้เอง กระแสเรียกการเป็นนักบวชในใจของท่านก็ยิ่งลุกร้อนมากขึ้น เช่นเดียวกับความไม่พอใจของบิดามารดาต่อความฝันนี้

มารดาของท่านปรารถนาจะให้ท่านมีชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ท่านก็ตอบจดหมายมารดาด้วยการอธิบายและแสดงมุมมองของท่าน โดยมีนัยยะแอบแฝงคือการปลุกเร้าให้บิดามารดาของท่านเจริญชีวิตฝ่ายจิตอย่างลึกซึ้ง ท่านเตือนทั้งคู่ว่า ชีวิตนั้นแสนสั้น และเป็นเพียงการเตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตนิรันดร์ ดังนั้นจึงต้องเตรียมตัวสำหรับโลกหน้าให้ดียิ่งๆขึ้นไป ท่านยังได้เขียนวลีที่มีชื่อเสียงอีกหนึ่งของท่านว่า คุณแม่ควรจะรู้ไว้ว่าชีวิตมหาลัยในกรุงเวียนนา ชีวิตในสงคราม ชีวิตการศึกษา และชีวิตที่ลูร์ดทำให้ลูกเชื่ออย่างหมดใจในความจริงของศาสนาคาทอลิก และนี่แหละคือเหตุผลที่ทั้งชีวิตของลูกหมุนอยู่รอบพระคริสตเจ้า และในจดหมายฉบับที่สองถึงมารดาท่านยังเขียนอีกว่า ความเชื่อคาทอลิกคือกระแสเรียกของลูก และมันก็จะต้องเป็นของทุกๆคนโดยไร้ซึ่งข้อยกเว้นใดๆด้วย


ภายหลังจากได้ปริญญาจากคณะปรัชญาที่ปารีสแล้ว ในฤดูร้อนปี ค..1922 ท่านก็เดินทางกลับไปบ้านของครอบครัวที่พากันย้ายมาอยู่ซาเกร็บ จนฤดูผันเปลี่ยนทั่วผืนป่า แม้แต่ตามต้นไม้บนถนนก็ต่างเปลี่ยนสีเป็นสีส้มเหลือง เพื่อเตรียมรับความหนาวเหน็บของเหมันต์ ปีเดียวกัน ท่านก็ได้งานเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศส และภาษาเยอรมัน ที่โรงเรียนอัครสังฆราชเตรียมอุดม ซาเกร็บ โดยอาศัยอยู่กับบิดามารดา ที่บ้านของครอบครัวซึ่งอยู่ในตึกสตาร์เชวีเชโวก ใกล้ๆสถานที่รถไฟหลักของซาเกร็บ

ซึ่งในฐานะครู ท่านก็ปฏิบัติตนเป็นแบบที่ดีทั้งในการอุทิศตนเพื่อนักเรียน และในการรับผิดชอบต่อหน้าที่ครู ทั้งนี้ระหว่างทำงานถัดจากนั้นในปีถัดมา ท่านก็ได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยซาเกร็บ จากวิทยานิพนธ์หัวข้อ อิทธิพลของพิธีกรรมต่อนักเขียนชาวฝรั่งเศส ซึ่งระหว่างนั้นเมื่อว่างจากภาระงานนี้ ท่านก็ใช้เวลาไปกับการศึกษาปรัชญชา เทววิทยา และเอกสารการปกครองของพระศาสนจักร


อีเกิลคริสตังโครเอเชียก่อนจะกล่าวถึงเรื่องนี้ คงต้องขอย้อนกลับไปขณะที่เรียนอยู่ที่กรุงเวียนนาและกรุงปารีสอยู่นั้น ท่านก็ได้เข้าร่วมกับ กลุ่มเคลื่อนไหวคาทอลิก อันเป็นกลุ่มเยาวชนคาทอลิกที่ก่อตั้งขึ้นในต้อนต้นศตวรรษที่ 20 โดยพระคุณเจ้าอันตุม มัฮนิค พระสังฆราชประจำสังฆมณฑเคริชคา ของประเทศโครเอเชีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านลักทธิเสรีนิยมที่กำลังขยายตัวเข้ามาในภูมิภาค การเบียดเบียนศาสนา และค่านิยมผิดๆในชีวิตประจำวันของผู้คน ซึ่งท่านยังคอยช่วยงานนี้อยู่เรื่อยๆ กระทั้งท่านย้ายมาทำงานที่ซาเกร็บ ท่านก็ยิ่งร่วมงานกับกลุ่มอย่างแข็งขัน

และสืบเนื่องจากความสนใจและความกังวลถึงอนาคตของเยาวชน  ในปี ค..1923 ท่านจึงร่วมกับอิโว โปรตูลิปัก ตั้งกลุ่ม อีเกิลคริสตังโครเอเชีย ขึ้นมาภายใต้พื้นฐานของกลุ่มกิจการคาทอลิก โดยมีอิโวเป็นประธานคนแรก และท่านเป็นเลขา ซึ่งในส่วนตัวสำหรับท่านแล้วกลุ่มนี้จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์คือการเลียนแบบชีวิตของกลุ่มอัครสาวกชั้นแนวหน้าที่มีเป้าหมายคือความศักดิ์สิทธิ์ และมุ่งปรังปรุงทุกสิ่งในพระคริสตเยซู ท่านเคยกล่าวว่า เยาวชนทั้งหลายจนถามให้มากๆ เพราะพวกเขาสามารถเสียสละได้มาก และเป็นได้ยิ่งถามให้มากพวกเขาก็จะยิ่งรู้มากขึ้น


ขอบเขตของกลุ่มนี้สำหรับท่านยังคลอบคลุมถึงเรื่องพิธีกรรมแบบท้องถิ่น ตามแบบแนวคิดของสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 ซึ่งมีในภายหลังท่านสิ้นใจไปแล้ว ดังนั้นหัวข้อต่อไปของชีวิตเล็กของท่านก็คือ พิธีกรรม พิธีกรรมสำหรับท่านคืออะไร พิธีกรรม คือกิจกรรมยามว่าง อันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ของท่าน พิธีกรรมคือสถานที่ที่ทำให้ท่านได้พบกับพระเจ้าและมีประสบการณ์ของพระองค์ ไม่เพียงเท่านั้นพิธีกรรมสำหรับท่านยังคือสุดยอดแห่งความสำเร็จทางศิลปะ คือการผสานรวมกันของศิลปะทุกแขนง ดังนั้นเราจึงกล่าวได้ตามจริงว่า พิธีกรรมสำหรับท่านแล้ว ก็คือ ศิลปะและชีวิตของท่าน

ในหน้าหนึ่งของสมุดบันทึก ท่านได้เขียนว่า การรับศีลคือบ่อเกิดแห่งชีวิต ซึ่งแสดงชัดถึงความศรัทธาพิเศษต่อศีลมหาสนิทของท่าน ท่านไม่เคยสงสัยในเรื่องการประทับอยู่ของพระคริสตเจ้าในศีลมหาสนิท และนับวันความรักในศีลมหาสนิทของท่านก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ที่ ซาเกร็บ กิจวัตรประจำวันของท่านก็คือการไปร่วมมิสซาและรับศีล นอกนี้ศีลมหาสนิทยังเป็นแรงบันดาใจในการแพร่ธรรมของท่าน พระองค์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าอย่างความร้อนรนเพื่อให้ข้าพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ผ่านศีลมหาสนิท ท่านกล่าวปิดท้ายการแบ่งปันในงานชุมนุมเยาวชนระดับชาติที่มารีโบรู ในปี ค..1920


ชีวิตแห่งการพลีกรรม ท่านพยายามควบคุมความปรารถนาและสัญชาตญาณของท่าน พยายามหลีกหนีโอกาสแห่งบาปอย่างจริงจัง และหลายๆครั้งท่านก็มักสละน้ำใจตนเองเมื่อได้รับอนุญาตให้รับประทานอาหารได้ โดยระหว่างท่านศึกษาอยู่ที่ปารีสนั้น ท่านก็ได้เขียน กฎของชีวิต ขึ้น อันเป็นการตัดสินใจเจริญชีวิตฝ่ายจิตและนักพรตอย่างจริงจัง ซึ่งการเจริญชีวิตคล้ายนักพรตนี้ เริ่มตั้งแต่ช่วงสงคราม และยิ่งทวีขึ้นเรื่อยๆในระหว่างศึกษา โดยเฉพาะเมื่อท่านย้ายมาอยู่ซาเกร็บ ท่านก็เจริญชีวิตใช้โทษบาปแบบจริงจังยิ่งขึ้น

เป็นเรื่องยากที่จะโกหก อดอาหารวันศุกร์ อะไรที่เหลือใช้ก็นำไปมอบแด่คนยากไร้ สวดภาวนาอย่างน้อยวันละครั้ง เข้าไปในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด การได้รับความอัปยศต่อหน้าคนอื่นคือความสุข ไม่ย่อท้อต่อหนทางเพียงด้านเดียว มีชีวิตติดต่อกับผู้คนน้อยที่สุด บางส่วนจากฎของชีวิตที่ท่านเขียนที่ปารีส


นอกจากนี้แม่พระ ยังเป็นอีกสิ่งที่มีบทบทมากในชีวิตของท่าน ทุกวันท่านเฝ้าสวดขอพระนางผู้ทรงเป็นสตรีในอุดมคติของท่าน ให้ช่วยปกป้อง ช่วยเหลือ และพิทักษ์ท่านไว้จากการทำบาป เพื่อคงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของวิญญาณท่านเสมอ เพราะ ท่านเลือกพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระนางเป็น คู่หมั้น เพียงหนึ่งเดียวของท่าน นับแต่วันที่ท่านได้ปฏิญาณถือพรหมจรรย์เบื้องหน้าพระนางในปี ค..1915

ความรักต่อพระศาสนจักรปรากฏในทุกคำพูดของเขา  อีกสิ่งที่เราลืมไม่ได้เลย หากจะกล่าวถึงลักษณะของท่านก็คือ ความรักและความภักดีต่อพระศาสนจักร ท่านเข้าใจดีไม่เพียงความหมายอันแท้จริงของคำว่า พระสันตะปาปาในพระศาสนจักร แต่ยังเป็นความหมายของพระสันตะปาปาในหมู่คริสตชน และพระสันตะปาปาสำหรับชาวโครเอเชีย ท่านกล่าวในการเข้าเฝ้าสมเด็ตพระสันตะปาปาพร้อมบรรดาสมาชิกกลุ่มว่า พวกเราจะต้องก้าวไปพร้อมองค์สันตะปาปาอย่างสัตย์ซื่อ ศีลมหาสนิทและองค์สันตะปาปาจะต้องเป็นราก ต้นธาร และหลัก ชนชาติของพวกเราต้องการศีลมหาสนิทและองค์สันตะปาปา


เพื่อเป็นการย้ำถึงความจริงในข้อนี้ จึงขอยกคำตอบของท่าน ที่ตอบข้อสงสัยที่ว่าทำไมท่านรักพระศาสนจักร เอาไว้ว่า ทำไมผมถึงรักพระศาสนจักรคาทอลิกและพระสันตะปาปาน่ะหรือ ก็เพราะว่าในพระศาสนจักรผมสามารถเห็นภาพพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าแท้มนุษย์แท้  องค์พระเยซูคริสตเจ้าด้วยความสมบูรณ์แบบทั้งหมดของพระองค์อย่างเด่นชัด และในรูปของพระสันตะปาปาผมก็สามารถเห็นพระเจ้าและองค์พระผู้เป็นเจ้าของผม

และแน่นอนท่านคือมนุษย์เหมือนๆเรา ณ ช่วงเวลาหนึ่งท่านก็ย่อมถูกคนเข้าใจผิด ย่อมต้องเจอเรื่องหินผ่านเข้ามาในชีวิต แต่สิ่งที่ทำให้ท่านโดดเด่นออกมาจากเราๆคือการเลือกจะอดทนและเงียบ ซึ่งมีต้นธารมาจากความสนิทสัมพันธ์ของท่านกับพระในการสวดภาวนา คนที่รู้จักท่านต่างอธิบายคล้ายๆกันว่าความคิดและหัวใจของท่าน ฝังแน่นอยู่ในความเหนือธรรมชาติ ท่านเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ช่วยวิญญาณได้ดีที่สุดก็คือความทุกข์ยาก ดังนั้นท่านจึงยกมอบมันแด่พระ เพื่อการนี้ และเพื่อกิจการของท่านจะลุล่วงไปด้วยดี


ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต สุขภาพของท่านก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ในปี ค..1927 ท่านเริ่มมีอาการปอดอักเสบและเสมหะ จนกระทั้งล้มป่วยลงด้วยอาการโพลงขากรรไกรอักเสบ ท่านจึงถูกส่งเข้าผ่าตัดที่คลินิกหูจมูกและลำคอ บนถนนดราสโกวิเชวา ในวันที่ 26 เมษายน ค..1928 แต่อนิจจาการผ่าตัดครั้งนั้นล้มเหลว เพราเลือดของท่านไหลไม่หยุด และอาการของท่านก็ยิ่งทรุดลงด้วยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จนใกล้ประตูแห่งความตายเต็มที

ท่านได้รับศีลเจิมในวันที่ 6 พฤษภาคม พร้อมกันนั้นได้ถวายชีวิตที่เหลือของท่านเพื่อกลุ่มอีเกิลคริสตังโครเอเชีย บัดนี้ปัญญาชนผู้น่าเคารพผู้ให้คำแนะนำแก่บรรดาเยาวชนและผู้ใหญ่ด้วยกันถึงเรื่องของพระคริสตเจ้าและพระศาสนจักรผ่านงานเขียนและการจัดงานชุมนุม ไม่อาจจะเอ่ยเสียงใดออกมาได้อีก ริมฝีปากที่เคยสอนทุกคนให้รักและนบนอบต่อผู้แทนพระคริสตเจ้าและพระศาสนจักรปิดเงียบ


9 พฤษภาคม ท่านได้รับโทรเลขอวยพรจากสมเด็จพระสันตะปาปา และหลังจากในวันรุ่งขึ้นนั่นคือเช้าวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม ท่ามกลางบิดาและเพื่อนๆ ท่านก็ถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบด้วยวัย 31 ปี นับเป็นการจบการเดินทางภายใต้คำขวัญของกลุ่มที่ท่านตั้งว่า เสียสละ ศีลมหาสนิท แพร่ธรรม อย่างงดงามแบบที่คริสตชนอย่างเราๆต่างใฝ่ฝัน หลังจากนั้นได้มีการค้นพบกระดาษที่ท่านเขียนก่อนเข้ารับการผ่าตัดเก็บไว้ที่ลิ้นชักโต๊ะเป็นภาษาละตินว่า
เขาได้สิ้นใจในสันติแห่งความเชื่อคริสตัง ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นของพระคริสตเจ้าและการตายก็เป็นกำไร ข้าพเจ้าหวังในพระเมตตาและการไม่แบ่งแยกโดยสมบูรณ์จากการครองของดวงหทัยศักดิ์สิทธิ์ จงมีความสุขในความยินดีและสันติเถิด ด้วยวิญญาณของข้าพเจ้าได้บรรลุถึงเป้าหมายนั่นคือองค์พระเป็นเจ้า ตามที่ถูกสร้างขึ้นแล้ว

ร่างของท่านถูกฝังในสุสานมิโรโกยู ภายหลังมีพิธีปลงศพที่มีผู้ร่วมงานราวห้าพันคนได้ ก่อนจะถูกขุดและย้ายไปยังอาสนวิหารพระหฤทัย ซาเกร็บ ที่ท่านเป็นสัตบุรุษเมื่อครั้งมีชีวิต ในปี ค..1977 เมื่อมีการเปิดกระบวนการขอแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ และที่สุดความฝันของชาวบอสเนียก็เป็นจริง ภายหลังจากมีอัศจรรย์ สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงสถาปนาท่านเป็นบุญราศี ในวันที่ 22 มิถุนายน ค..2003 ณ ปรัมพิธีชั่วคราวในเมืองบันยาลูกา ประเทศบอสเนีย พระองค์ทรงยกย่องว่าท่านเป็น ฆราวาสผู้โดดเด่นในการเป็นประจักษ์พยานถึงข่าวดี


ผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็นก็เป็นสุข(ยอห์น 20:29) ความเชื่อเป็นพระพรอย่างหนึ่งในชีวิตที่มีขึ้นและมีลงได้ หากขาดกิจการควบคู่ ความเชื่อไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะมีโอกาสได้ แม้คนคนนั้นจะได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีความเชื่อมากที่สุดในโลกและมีความรู้เรื่องราวเหล่านั้นอย่างทะลุปรุโปร่ง  ดังนั้นเราในฐานะคริสตชนและผู้กำลังจะเป็นคริสตชนจึงไม่ควรชื่นชมยินดีหรอกหรือ ที่เราสามารถเชื่อในพระเจ้า ผู้ที่เราไม่เคยเห็นด้วยตา หรือสัมผัสด้วยมือ ได้แต่ได้ยินๆต่อๆมา เราไม่ควรภูมิใจหรือว่าเราได้เชื่อพระผู้ทรงกลับคืนชีพขึ้นมา ลองตอบคำถามเหล่านี้ในใจเราดู

กลับมามองที่ชีวิตของบุญราศีอีวาน ชีวิตของบุญราศีอีวานเป็นแบบฉบับที่งดงามของคริสตชนที่ภูมิใจที่ได้เชื่อแม้ไม่เห็น ความเชื่อของท่านไม่ได้งดงามเพียงเพราะเป็นพระพร แต่งดงามด้วยการปฏิบัติกิจการเพื่อเพิ่มพูนความเชื่อ ขอให้เราพยายามเลียนแบบบุญราศีอีวานด้วยการดำเนินชีวิตความเชื่อคริสตชนอย่างดีเลิศ กล่าวคือ หมั่นรำพึงภาวนา อ่านพระคัมภีร์ ไปมิสซา รับศีลศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆ และพยายามประกาศข่าวดี ไม่เพียงแค่คำพูด แต่ด้วยชีวิตทั้งหมดของเรา เพื่อว่าวันหนึ่งสันติภาพจะได้บังเกิดขึ้นในโลกของเรา สุดท้ายนี้อยากให้เราลองคิดกันว่าหากเปรียบพระศาสนจักรเป็นพระกายแล้ว เราผู้มีความเชื่อจะเป็นอะไรและเพื่ออะไร


ข้าแต่ท่านบุญราศีอีวาน เมร์ซ ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...