วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

"เอวเซเบีย" มือมุ่งรับใช้...ใจมุ่งสวรรค์


บุญราศีเอวเซเบีย ปาโลมีโน เยเนส
Bl. Eusebia Palomino Yenes
ฉลองในวันที่ : 9 กุมภาพันธ์

ที่หมู่บ้านกันตัลปิโน หมู่บ้านเล็กๆในจังหวัดซาลามังกา ประเทศสเปน ใครๆ ก็ต่างรู้ดีว่าครอบครัวปาโลมีโนนั้นยากจนแค่ไหน ครอบครัวนี้มีนายอากุสติน ปาโลมีโน ชายผู้แสนดีและอ่อนโยน แต่ขี้โรคเป็นหัวหน้า และมีนางฆวนนา เยเนส เป็นช้างเท้าหลัง รายได้หลักๆของครอบครัวนั้นมาจากการทำงานรับจ้างอย่างหนักของทั้งสอง โดยนายปาโลมีโน ปกติจะรับจ้างทำงานฟาร์ม ส่วนนางเยเนสนั้นบางเวลา นางก็จะออกไปรับจ้างทำงานในทุ่งนาด้วย แต่กระนั้นก็เถอะครอบครัวของสามีภรรยานี้ก็ร่ำรวยไปด้วยความเชื่อ ความศรัทธาต่อพระเจ้า

ซิสเตอร์เอวเซเบียเกิดในครอบครัวนี้เอง ในวันที่ 15 ธันวาคม ค..1899 และได้รับการเลี้ยงดูตามแบบฉบับคริสตชนที่ดีมาท่ามกลางความยากจนของครอบครัวนี้ในฐานะลูกคนที่สามจากสี่คน ซึ่งเมื่อท่านนึกย้อนไปถึงวันวานนั้น ท่านได้เล่าไว้ว่า หลายต่อหลายครั้ง ขณะที่คุณแม่ทำข้าวเย็นหรือซ่อมเสื้อผ้า คุณพ่อก็จะสวมกอดเราด้วยมือที่สีเข้มเพราะการทำงานกลางแดดและหยาบกร้านเพราะการขุด และหยิบหนังสือคำสอนเล่มเล็กๆที่เต็มไปด้วยเรื่องน่าอัศจรรย์ เรื่องยิ่งใหญ่ สันติและความรักมากมายออกมา ซึ่งในเรื่องนี้ท่านยังเล่าอีกครั้งว่า “…เหมือนทั้งสามได้เรียนรู้จากริมฝีปากแห่งคำสอนที่งดงามและมีเสน่ห์ของคุณพ่อ


เป็นเรื่องปกติที่เมืองลมหนาวของเหมันตฤดูมาถึงหมู่บ้าน งานรับจ้างก็จะยิ่งน้อยลง จนกระทั้งที่สุดก็ไม่มีเลยสำหรับครอบครัวปาโลมีโน ดังนั้นหนทางเดียวที่จะหาขนมปัง มาประทังชีวิตของครอบครัวได้ก็มีเพียงแต่การ ขอทานดังนั้นเมื่อท่านมีอายุได้สักหกขวบ ท่านจึงมีโอกาสได้ติดสอยห้อยตามบิดาของท่านออกไปขอทานตามหมู่บ้านใกล้ๆในหลายๆโอกาส ซึ่งการขอทานเช่นนี้เป็นเรื่องที่บิดาของท่านอับอายมากๆ แต่ท่านกลับตรงข้ามกับบิดาโดยสิ้นเชิง เพราะท่านนั้นเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ต่างๆตลอดเส้นทาง บางทีท่านก็เดินไปกระโดดไปอย่างมีความสุข ซึ่งก็ทำให้บิดาของท่านมีความสุขขึ้นมาได้บ้าง และเมื่อมาถึงที่หมาย ท่านก็จะตระเวนไปตามบ้านต่างๆ พลางยิ้มอย่างไร้เดียงสาพร้อมกล่าวประโยคที่ไม่เข้าใจว่า ขนมปังสักก้อน เพื่อความรักของพระเจ้า

ในวัยเยาว์สิ่งที่ท่านชอบมากสุดก็คือการเล่น ซึ่งแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนนิสัยนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดั่งที่ท่านเขียนถึงบิดามารดาจากบัลเบร์เดว่า คุณพ่อคุณแม่ที่รัก ลูกยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไปไหน ลูกมีความสุขและขี้เล่น ขณะเดียวกันก็พร้อมเสมอที่จะทำงานและแม้แต่ปีนต้นไม้ก็ด้วย ท่านเข้าโรงเรียนรัฐสำหรับเด็กหญิงในหมู่บ้านเมื่ออายุได้หกปี  แต่ก็จำต้องออกเมื่ออายุได้ 7 ปี เพื่อมาช่วยที่บ้านทำงาน อย่างไม่สามารถปฏิเสธได้


วันหนึ่งจู่ๆท่านก็ได้ยินเสียงที่ท่านคุ้นเคยสนทนากันว่า พระเจ้าทรงทดสอบด้วยโรคภัยและการขาดแคลนสิ่งจำเป็น , หญิงเอ๋ย หากพระเจ้าทรงประสงค์ให้รับทุกข์ยาก ก็จงถวายทุกสิ่งแด่พระเจ้า และอย่ากังวล แล้วชื่นชมยินดีในสวรรค์เถิด นับตั้งแต่อายุได้ 8 ปีเรื่อยมาจนถึง 12 ปี ทุกๆฤดูร้อนท่านก็จะออกไปรับจ้างเป็นแม่บ้านในหมู่บ้าน ตั้งแต่ยังเล็กและพร้อมความคิดถึงความตาย ความสุขของดิฉันก็คือเวลาที่ดิฉันได้คิดว่าดิฉันกำลังจะตาย โดยไร้ซึ่งความเป็นเจ้าของของสิ่งใด และแม้เพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆดิฉันก็ได้มามากเกินพอแล้ว ดิฉันพรั่งพร้อมไปแล้วทุกอย่าง ไม่มีอะไรบนโลกนี้จะแยกความสุขในสวรรค์ในหัวใจของดิฉันที่ดิฉันได้พบไปได้หรอก

ภายหลังจากลาออกมาทำงานช่วยเหลือครอบครัวแล้ว เมื่อท่านมีอายุได้ 8 ปี ก็ถึงวัยเหมาะพอดีที่จะได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก ดังนั้นจึงมีการจัดวันให้ท่านได้เข้าพิธีนี้พร้อมกับเด็กหญิงวัยเดียวกันคนอื่นๆ ซึ่งในตอนเช้าวันนั้นเอง ปีศาจก็ได้มาผจญท่านด้วยเรื่องชุดที่เทียบอะไรไม่ได้กับเด็กคนอื่น ดิฉันรู้สึกว่ามีเสียงเสียงหนึ่งพูดกับดิฉันว่า ช่างโง่เขลาเสียจริง ช่างโง่เขลาเสียจริง ขณะที่เพื่อนๆคนอื่นของเธอได้แต่งชุดงามๆ เธอกลับเป็นขอทานเนื้อตัวมอมแมม และหากเธอไม่อิจฉาก็เพราะเธอมันโง่สิ้นดี แต่หลังจากนั้นเอง ก็ปรากฏเสียงอันอ่อนหวานอีกเสียงหนึ่งบอกท่านว่า อย่ากลัวไปเลย บัดนี้จงประดับประดาและเพิ่มพูนไปด้วยจิตตารมณ์แห่งคุณธรรมตลอดเวลา และพระเยซูเจ้าจะทรงอวยพระพรหนู หนูจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่

และอาศัย การเผชิญหน้า ครั้งแรกกับพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทนี้เอง ท่านก็รู้สึกว่าภายในว่า ท่านนั้นถูกเรียกที่จะเป็นของพระคริสตเจ้าทั้งครบ ดังนั้นท่านจึงมอบถวายตนเองแด่พระองค์ดุจเดียวกับ อับบาฮัมได้ถวายอิสอัคเป็นพลีบูชา

ท่านช่วยงานครอบครัวอยู่ที่หมู่บ้านได้ราวสี่ปีหลังจากรับศีลมหาสนิทครั้งแรก ในวัย 13 ปี ท่านก็ได้ติดตามพี่โดโลเรส พี่สาวคนโตของท่านไปยังเมืองซาลามังกา และได้เริ่มทำงานเป็นพี่เลี้ยง ตามด้วยเป็นแม่บ้านในโรงพยาบาลซาน ราฟาเอล โรงพยาบาลสำหรับบรรดาผู้ยากไร้และคนชราที่ถูกทอดทิ้ง ในเมืองคริสตชนอันอุดมไปด้วยอารามคณะต่างๆ ซึ่งทีละนิด มันก็ค่อยๆเผยถึงกระแสเรียกการเป็นนักบวชในชีวิตของท่านให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น



ลูกจะเป็นธิดาของแม่ เสียงหนึ่งดังขึ้นในส่วนลึกของวิญญาณของท่าน ขณะพระรูปแม่พระองค์อุปถัมภ์กำลังถูกแห่ผ่านไปในวันฉลอง หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันถัดมา ขณะท่านไปยังน้ำพุซาน ฆูเลียนา เพื่อตักน้ำ ประจวบเหมาะท่านก็พบกับเด็กสาววัยเดียวกับท่าน ชวนท่านไปเข้าวัดน้อยประจำโรงเรียนพระจิตเจ้าของคณะธิดาแม่พระองค์อุปถัมภ์(...) ในวันอาทิตย์ที่จะถึง ดังนั้นด้วยวิธีการอันน่าแปลกประหลาดเด็กสาวจนๆจากกันตัลปีโนจึงได้รู้จักกับคณะธ...

และยิ่งเมื่อท่านได้เข้าไปในวัดนั้นเป็นครั้งแรกเพื่อทักทายพระเจ้า ท่านก็รับรู้ได้ถึงการเรียกร้องจากพระมารดาองค์อุปถัมภ์ให้ท่านอยู่กับพระนาง ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้น ท่านได้เล่าย้อนในภายหลังว่า “…ดิฉันคุกเข่าลงแทบพระบาทของพระนาง หลังจากนั้นดิฉันก็รู้สึกมีเสียงในตัวดิฉันบอกกับดิฉันว่า เป็นที่นี่ที่แม่อยากให้ลูกอยู่’” หลังจากนั้นมาทุกๆบ่ายวันอาทิตย์ท่านก็จะแวะมาเข้าวัดที่นี่เสมอ แต่ท่านก็ไม่เคยพบเด็กสาวคนนั้นอีกเลย “…ดิฉันไม่ทราบหลังจากนั้นว่าเธอไปไหนหรือเอาจริงๆก็คือดิฉันไม่เคยพบเธออีกเลย ชะลอยเด็กสาวผู้นั้นจะเป็นทูตสวรรค์หรือไม่ ก็ไม่มีใครรู้


ส่วนท่านนั้นพอดีอธิการโรงเรียนเห็นท่าทีโอเคจึงขอท่านว่า พวกเราจำเป็นต้องหญิงสาวซักคนหนึ่งเช่นเธอที่จะช่วยพวกเราในการทำงานบ้านต่างๆ เธอสนใจไหม ทันทีท่านจึงตอบตกลง และนับแต่นั้นในเดือนกันยายน ท่านในวัย 17 ปีก็เริ่มมาอยู่และช่วยงานโรงเรียนของธ... ทั้งงานขนฟืน งานปรุงอาหาร งานทำความสะอาด งานซักล้าง และงานติดต่อธุระในที่ไกลๆพร้อมๆกับพวกครูและนักเรียนของโรงเรียน

ในหน้าที่เหล่านั้น ท่านเป็นคนที่ พร้อมยื่นมือ เข้าช่วยทำงานต่างๆ และทำทุกสิ่งด้วยความสนุกสนานและเงียบง่ายให้เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกๆคนรอบๆตัวของท่าน แต่บรรดานักเรียนต่างรู้ดีว่าภายในรอยยิ้มอันเป็นนิสัยของท่านและหนทางแห่งความเรียง่าย ท่านนั้นมี ความลึกล้ำซ่อนเร้นอยู่ และพวกเธอต่างได้พบ ข้อแก้ตัว จำนวนมากมายอยู่กับท่าน ขณะเดียวกันก็ได้รับคำปรึกษาและความบรรเทาใจจากปากคู่นั้น และร่างเล็กนั้นเช่นกัน


แต่ในรอยยิ้มนั้นขณะทำงานไปใจท่านก็เฝ้าใฝ่ฝันถึงการได้เข้าคณะเป็นซิสเตอร์ธ... ถ้าฉันทำงานตามหน้าที่อย่างแข็งขัน เพื่อความรักของแม่พระ และวันหนึ่งฉันก็จะได้เป็นธิดาของพระนางในคณะนี้ ท่านคิด แต่ใครจะไปรับคนจนๆเรียนมาน้อยละ สิ่งนี้แหละที่ทำให้ท่านไม่กล้าปริปากบอกกับซิสเตอร์ในโรงเรียนถึงความฝันนี้ และเก็บซ่อนมัน พลางใช่มันเป็นไฟที่หล่อเลี้ยงให้คำภาวนาและกิจการทวีมากขึ้น ตลอด 5 ปีที่ทำงาน จนถึงเวลาท่านอายุได้ 22 ปี การมาของคนคนหนึ่งก็จะเปลี่ยนความฝันท่านให้เป็นความจริง

พ่อขอเวลาพูดกับเธอสักหน่อยจะได้ไหม  คุณพ่อโฆเซ บิเนลลี ผู้ตรวจการณ์คณะซาเลเซียนที่ได้เดินทางมาเยี่ยงคณะที่เมืองซาลามังกา ถามท่าน ได้ค่ะ ท่านตอบ เธออยากจะเป็นธ...ใช่ไหม อย่างไม่มีปี่ขลุ่ยเมื่อท่านมาหาคุณพ่อแล้ว คุณพ่อก็กล่าวขึ้น ใช่ค่ะ คุณผู้ตรวจการณ์ ท่านตอบอย่าประหลาดใจ คุณพ่อโฆเซจึงได้ล้วงเอาหนังสือออกมาจากระเป๋าก่อนจะวางมือบนศีรษะของท่าน ก่อนท่องบทสวดภาษาละตินบางอย่าง แล้วจึงอวยพรท่าน พลางบอกว่า ตอนนี้เธอเป็นของแม่พระโดยสมบูรณ์ พระนางจะให้คำแนะนำและช่วยเธอเอง พ่อจะสวดภาวนาให้เธอ


คำกล่าวนี้สร้างความยินดีในดวงใจที่อัดอั้นของท่านยิ่งนัก และมากยิ่งขึ้นเมื่อคุณพ่อได้ไปบอกกับคุณแม่อธิการว่าไม่ต้องกังวลในเรื่องใดทั้งสิ้น และให้รับท่านเข้าคณะอาศัยอำนาจในนามของมหาธิการิณีของคณะ เหตุฉะนั้นเองโดยได้รับการยกเว้นซึ่งเงินสินสอด ในวันที่ 5 สิงหาคม ค..1922 ด้วยอายุ 22 ปี ท่านจึงได้เข้านวกสถานที่ซารียา ในเมืองบาร์เซโลนา และได้เข้าพิธีปฏิญาณตนในอีกสองปีถัดมา และถูกส่งไปยังบัลเบร์เด  

ให้เราเป็นนักบุญกัน อย่างอื่นคือเรื่องเหลวไหล ท่านกล่าวคำอำลาเพื่อนนวกะที่ดีที่สุดของท่าน ที่ได้ใช่ชีวิตร่วมกันตลอดสองปี ทั้งชีวิตสวดภาวนา ชีวิตทำงานและชีวิตเรียน และมุ่งขึ้นรถไฟมุ่งตรงมาเมืองบัลเบร์เด เมืองเล็กๆบา ซึ่งขณะนั้นมีประชากรราว 9,000 คน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสเปน ใกล้ชายแดนโปรตุเกส ในพื้นที่ทำเหมืองแร่ของจังหวัดอูเอลบา และมาถึงยังสถานีรถไฟเมืองบัลเบร์เด เดล กามีโน ที่มีบรรดาเด็กๆชาวบัลเบร์เดในโรงเรียนมารอต้อนรับ ในวันที่ 24 สิงหาคม ค..1924  แต่แทนที่เมื่อท่านเหยียบก้าวแรกท่านจะได้รับความอบอุ่นจากเด็กๆ ตรงข้ามสิ่งแรกที่ท่านได้รับคือการดูถูกดูแคลนอย่างเปิดเผยจากทั้งบรรดาเด็กๆและบรรดาซิสเตอร์ที่ผิดหวังกับซิสเตอร์ใหม่คนนี้ เพราะ รูปร่างที่ เล็ก ซีดเซียวและน่าเกลียด พร้อมด้วยมือที่ใหญ่เกินไป ยิ่งบวกกับชื่อโง่ๆของเธออีก


แต่กระนั้นท่านก็ไม่ได้รู้แย่อันใด ตรงข้ามท่านกลับรู้สึกว่าท่านเป็น พระราชินี ที่ได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของพระเยซูเจ้าผู้เป็นกษัตริย์ตลอดเวลา ฉันมีความสุขที่จะอยู่ในบ้านของพระเจ้าในทุกวันของชีวิตของฉัน ท่านกล่าว ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่เช้าวันถัดมา ท่านจะเริ่มวันด้วยการ พับแขนเสื้อของท่าน และเริ่มลุยงามต่างๆที่ได้รับมอบหมายอันได้แก่ งานครัว งานซักรีด งานรับแขกที่ประตู งานสวน และงานดูแลเด็กในวัด กระทั้งทีละนิดกลิ่นหอมแห่งความศักดิ์สิทธิ์ และจิตวิญญาณแห่งซาเลเซียนก็ค่อยๆสำแดงออกมาผ่านตัวท่าน

เด็กๆเริ่มถูก ดึงดูด ด้วยเรื่องราวของบรรดานักบุญ บรรดาธรรมทูต ความศรัทธาต่อแม่พระ และเกร็ดชีวประวัติของคุณพ่อยอห์น บอสโก ที่ท่านเล่าด้วยความทรงจำที่แม่นยำของท่าน และด้วยพระพรในการเล่าเรื่องได้อย่างน่าฟัง ท่านมักใช้โอกาสทุกโอกาสและทุกสถานที่ โดยเฉพาะวัดน้อย เพื่อสอนเรื่องคุณธรรมคริสตชน โดยเฉพาะการดำรงอยู่ในสันติและการดำรงอยู่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแก่เด็กๆเสมอ นอกนี้ท่านยังมักบอกเด็กๆให้หมั่นแก้บาปรับศีลบ่อยๆ ซึ่งสิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ต่างสะท้อนให้เห็นความรักของพระเจ้า และความปรารถนาที่จะมอบความรักยังคนอื่นๆ


หลังจากนั้นที่สุดบรรดาผู้ที่ดูถูกดูแคลนท่านในวันแรกก็ค้นพบว่า ภายใต้ร่างอันน้อยนิดนี้ได้ซ่อนบางสิ่งที่แสนพิเศษเอาไว้ บัดนี้กลิ่นแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของท่านได้ตลบฟุ้งไปทั่วอาราม และค่อยๆแพร่ไปยังภายนอก เริ่มจากบรรดาผู้ปกครองของบรรดาเด็กๆ ก่อนตามมาด้วยชาวเมืองคนอื่นๆ เยาวชน เณร และแม้แต่พระสงฆ์เอง ก็ต่างเดินตามมายังต้นกลิ่นนี้ และได้ขอให้ท่าน ซิสเตอร์จนๆ ผู้ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องทางเทววิทยา แต่เต็มล้นไปด้วยปัญญาของพระเจ้าในหัวใจ เป็น ที่ปรึกษาฝ่ายจิต ให้แก่พวกเขา ซึ่งท่านก็น้อมรับงานนี้ด้วยใจอารี ไม่มีแบ่งแยกเวลาสำหรับใคร แต่มีเวลาสำหรับทุกๆคน

ทำไมทุกคนจึงต่างหลั่งไหลมาหาท่าน ส่วนอาจเป็นเพราะกิจการของท่าน แต่อีกส่วนก็คงมาจากอัศจรรย์มากมายที่ได้เกิดขึ้นในชีวิตอันแสนสั้นนี้ ซึ่งผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างมาไม่กี่เรื่อง ซึ่งก็มากพอที่จะตอบย้ำความจริงที่ชาวเมืองบัลเบร์เดรู้กัน คือ ซิสเตอร์เอวเซเบียเป็นนักบุญ


จดหมายสามฉบับ หนึ่งในนักเรียนชื่อ โฆเซฟา ประจำมีพี่ชายถูกเกณฑ์ไปประจำอยู่สนามรบที่ประเทศโมร็อกโก และขาดกับติดต่อกับครอบครัวเป็นระยะเวลานาน มารดาของเธอจึงเป็นทุกข์มาก พอดีท่านมาเห็นมาสวดในวัดตมคำแนะนำของลูกสาว ท่านจึงปลอบใจคุณแม่ท่านนั้นว่า อย่าร้องไปเลยนะคะ ลูกของคุณป้าปลอดภัยดีและมีน้ำหนักเพิ่มตั้งห้ากิโล เขาทำงานเป็นคนรับโทรศัพท์และได้เขียนจดหมายมาสามฉบับซึ่งคุณป้ายังไม่ได้รับ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเพียงสองวันถัดมาคือในวันพุธศักดิ์สิทธิ์(ท่านกล่าวในวันจันทร์ศักดิ์สิทธิ์) บุรุษไปรษณีก็นำจดหมายสามฉบับที่เนื้อความตามท่านบอกมาส่งคุณแม่คนนั้นจริงๆ

สวนของอารามเป็นที่ปลูกพืชที่ต้องการน้ำ ดังนั้นเด็กๆจึงมีหน้าที่ช่วยกันไปตักน้ำจากบ่อน้ำสาธารณะมารด แต่มาช่วงหนึ่งน้ำในบ่อน้ำนั้นก็แห้งพอดี ท่านผู้มองโลดในแง่ดี จึงไปขอคุณแม่อธิการ คุณแม่การ์เมล เพื่อจะได้จ้างคนมาขุดบ่อน้ำ เวลานั้นก็ประจวบเหมาะพอดีคือมีชายคนหนึ่งแวะมาที่โรงเรียน และเห็นด้วยกับความคิดนี้ ซึ่งแม้เขาจะสงสัยก็ตามว่าจะมีตาน้ำตรงนี้ได้ไง เขาก็ลงมือลงจอบขุดตามที่ตนทำได้ในทันทีจนได้หลุมลึกพอดู ซึ่งขณะชายผู้นั้นกำลังขุดหลุมอยู่นั้น ท่านก็นั่งล้างผักสำหรับใช้ทำอาหารมือกลางวันอยู่บนม้านั่งไม่ไกลจากนั้นเท่าไร โดยมีลูกมือคือเด็กหญิงๆเกรโกเรียนั่งอยู่ข้างๆ


ตัดกลับมาที่ชายผู้นั้น เมื่อเขาขุดไปเรื่อยๆ เขาก็ขุดไปโดนหินแตกพอดี ซึ่งทันทีที่หินนั้นแตกก็พลันปรากฏสายน้ำพวยพุ่งออกมาอย่างแรง จนถึงชนิดกับชายผู้ใจดีคนนั้นต้องร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ เพราะไม่งั้นเขาคงต้องจมน้ำตายแน่ ด้วยระดับน้ำเพิ่มสูงเร็วมาก ฝ่ายท่านที่นั่งอยู่ใกล้ๆเมื่อได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือดังออกมา ท่านก็รีบยกวิญญาณของท่านขึ้นหาพระเจ้าพลางโมทนาคุณพระเจ้า ก่อนจะโยนไม้กางเขนของท่านลงไป พร้อมตะโกนว่า จับมันไว้ ชายผู้นั้นจึงรับคว้ากางเขนไว้และทันทีน้ำก็หยุดไหล เขาจึงฟาดเคราะห์รอดตายมาได้อย่างฉิวเฉียด(ผู้เขียนพยายามขอรูปภาพบ่อน้ำมา แต่เพื่อนชาวสเปนหาไม่ได้เหมือนกัน จึงเป็นไปได้ว่าบ่อน้ำนี้อาจถมไปแล้วก็ได้)

หลังจากนั้นเขาจึงคืนกางเขนให้ท่าน ฝ่ายเด็กหญิงเกรโกเรียที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด จึงขอท่านจูบไม้กางเขนนั้นด้วยความชื่นชม ทันทีท่านก็ตอบเธอว่า ได้สิจ๊ะ สำหรับเธอ นี่เป็นของขวัญ ที่รอเธออยู่แล้ว เก็บมันไว้ดีๆละ เพราะวันหนึ่งเธอจะได้ใช้มัน  เกรโกเรียจึงรับไม้กางเขนนั้นมา และเก็บรักษาอย่างดีกระทั้งเธอได้ออกเหย้าออกเรือนไปอยู่ที่เมืองซันติอาโก เด กอมโปสเตลา วันหนึ่งสามีของเธอจู่ๆก็พลัดตกบันได จนทำให้กระดูกสันหลังร้าว เธอจึงเอากางเขนที่ท่านให้มาไปแตะที่หลังของสามีและเริ่มสวดภาวนา แทบทันทีทันใดในเช้าวันรุ่งขึ้น  นายอันโตนีโอ สามีของเธอก็สามารถลุกออกจากเตียงและเดินเหินได้สะดวก จนเป็นที่แปลกใจแก่คุณหมอเจ้าของไข้


อีกครั้งที่สวนของโรงเรียน วันหนึ่งท่านปรารถนาจะปลูกต้นลิลลี่ ท่านจึงบอกโฆเซฟาว่า เธอพอจะหาหัวลิลลี่มาให้ซิสเตอร์ซักหน่อยจะได้ไหม เด็กหญิงโฆเซฟาจึงออกไปหาหัวลิลลี่มาให้ท่านในตอนบ่าย และได้ลงมือช่วยท่านปลูกในทันที กระทั้งเช้าวันถัดมา เมื่อท่านพบโฆเซฟาท่านก็รีบไปเล่าให้โฆเซฟาฟังว่า ซิสเตอร์รอแทบตายแหน่ะ เมื่อคืนซิสเตอร์ฝันเห็นพระกุมารเยซูทรงรดน้ำต้นลิลลี่ของพวกเรา และตรัสกับซิสเตอร์ว่าพวกมันโตแล้ว ซิสเตอร์เลยอยากจะไปดูมันสักหน่อย แต่ซิสเตอร์พึ่งนึกออกว่าควรรอเธอก่อน ป๊ะ พวกเราไปสวนกันเถอะ  ดังนั้นโฆเซฟาจึงตามท่านไปยังหัวลิลลี่นั้น และพบว่า มันเหลือเชื่อจริงๆ ที่ลิลลี่ทุกหัวงอก เธอกล่าวย้อนถึงอัศจรรย์ครั้งนั้น

คำภาวนาและสายฝน ครั้งหนึ่งครอบครัวผู้ให้การอุปการะโรงเรียน กำลังสร้างบ้านในสถานที่ที่เรียกกันว่า ลอส ปีนอส เด บัลเบรเด ซึ่งขณะที่กำลังก่อผนังหลักอยู่นั้นเอง เมฆฝนก้อนใหญ่ก็ปรากฏขึ้น ครอบครัวนั้นจึงไปหาท่านและขอให้ช่วยสวดเพื่อให้ฝนไม่ตก งานจะได้ดำเนินต่อไปได้ ท่านจึงกล่าวตอบว่า สวนต้องการน้ำ แต่ซิสเตอร์ก็จะสวดให้นะ แต่ดูเหมือนจะไร้ผลเพราะปรากฏว่าคืนนั้นก็มีฝนตกหนักมาก ดังนั้นในเช้าวันรุ่งขึ้นครอบครัวนั้นจึงกลับไปยังที่ก่อสร้างด้วยความสิ้นหวัง แต่ปรากฏว่า ผืนดินแห้งสนิท ส่วนผนังก็ตั้งอยู่ดีและไม่ได้เอียงเข้าหาบ้านสักนิด สมาชิกครอบครัวนั้นเล่าด้วยปากของตัวเองถึงการอัศจรรย์นี้


หลายๆครั้งในเวลาทำอาหารเย็น ของบางสิ่งก็มักขาด ถ้าไม่น้ำมัน ก็ถั่วชิกพี(ในสเปนเป็นเหมือนข้าวเลยทีเดียว) หรือไข่ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ท่านก็จะรีบไปที่วัดน้อยเพื่อสวดภาวนา และเพียงไม่นานของเหล่านั้นก็จะมาถึงยังประตูอารามโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง มีครั้งหนึ่งขณะอยู่ในครัว ท่านบอกเด็กหญิงคนหนึ่งว่า ช่วยไปที่เล้าและเก็บไข่มาทีสิจ๊ะ เพราะท่านจะทำไข่เจียว เธอจึงรีบไปทำตามและกลับมาบอกท่านว่า เธอได้ค้นทุกซอทุกมุมแล้ว แต่ก็ไม่มีไข่เหลือเลย ท่านจึงบอกเธอว่า ก็แน่ละสิก็เธอไม่ได้ดูดีๆนิ  ก่อนจะเดินกลับไปที่เล้าไก่ ซิสเตอร์เอวเซเบียจะไปไหนคะ นักเรียนคนนั้นถาม ซิสเตอร์จะไปเอาไข่สิ ผ่านไปสักพักท่านจึงกลับมาพร้อมตะกร้าที่เต็มไปด้วยไข่ซึ่งพอทำไข่เจียวให้เด็กๆได้ถึงสิบสี่คน และเหมือนกับทุกครั้งคือไม่มีใครรู้ว่าของเหล่านั้นมาจากไหน

นอกนี้ท่านยังคอยช่วยยกถังน้ำมันและคอยตรวจดูว่าน้ำมันหมดหรือยัง แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่น้ำมันในถังนั้นจะไม่เพียงพอต่อความจำเป็นอารามจนกว่านายโฆเซ มารีอา โมยา จะเอาถังน้ำมันใหม่มาส่งในปลายเดือน ซึ่งหลายๆครั้งไปบรรดาซิสเตอร์ก็ไม่สามารถเปิดฝาถังได้ด้วยประแจได้ แต่เพียงซิสเตอร์ใช้สองนิ้วใหญ่ๆนั้น ทันทีฝาก็สามารถหลุดได้โดยง่าย และท่านก็จะยื่นคืนให้นายโมยา ผู้เล่าในภายหลังว่า ผมไม่รู้หรอกว่านักบุญเป็นอย่างไร พวกเขาต่างบอกว่าซิสเตอร์เป็นคนเก็บตัว บอบบาง และอ่อนแอ ขนาดชายสองคนยังทำงานนั้นไม่ได้เลยและเธอก็ทำได้ ผมคิดงั้น ใช่แล้ว ใช่แล้ว เธอเป็นนักบุญแน่นอน


และหากจะกล่าวถึงอัตชีวประวัติในชีวิตอันแสนสั้นของท่านแล้ว ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่เราจะไม่กล่าวถึงความศรัทธาพิเศษของท่านต่อรอยแผลศักดิ์สิทธิ์   ซึ่งเรื่องนี้ต้องขอบคุณความฝันอันแสนลึกลับในวัยเด็กของท่าน ที่กระตุ้นให้ท่านมีความศรัทธาเป็นพิเศษต่อรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ ตามแบบที่พระเยซูเจ้าทรงไขแสดงแก่ซิสเตอร์มาร์ธา มารี ชัมบ็อง ภคินีคณะแม่พระเสด็จเยี่ยมชาวฝรั่งเศสที่เมืองชัมเบอรี ผ่านการสวดสายประคำรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ การเดินรูป และการเฝ้าศีลมหาสนิท ซึ่งท่านมักใช้เวลากับกิจการหลังนี้อย่างยาวนาน สนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าที่ท่านเรียกว่า นักโทษแห่งความรัก

ท่านจึงชอบพูดเรื่องราวความรักของพระเยซูเจ้าต่อมนุษย์ทุกคนที่พระองค์ได้ทรงไถ่ไว้ เพราะท่านร้อนรนในการที่จะประกาศถึงความศรัทธานี้ ท่านอ่านหนังสือเกี่ยวกับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ทุกวัน และดึงข้อความเหล่านั้นบวกกับการสวดสายประคำมาใช้ในการให้คำปรึกษาแก่ทุกๆคน ไม่เพียงแต่ทางคำพูด แต่ทางอักษรด้วย


นอกนี้ท่านยังเป็น อัครสาวกแห่งความเมตตารัก ตามแบบเดียวกับที่พระเยซูเจ้าทรงเผยแก่นักบุญโฟสตินา ที่ได้รับการเผยแพร่ในประเทศสเปนโดยคุณพ่อฆวน อารินเตโร พระสงฆ์โดมินิกันจากข้อเขียนที่เขียนขึ้นตามการคำสั่งของพระเจ้าของภคินีคณะแม่พระเสด็จเยี่ยมชาวฝรั่งเศสชื่อ มารี เทเรซา เดอซ็องเดส ที่ใช้นามแฝงในเผยการไขแสดงว่า  ซูลามิติส ป. ม. หรือมือน้อย(ซิสเตอร์มารีมีชีวิตร่วมสมัยกับนักบุญโฟสตินา และได้รับการยกย่องให้เป็นอัครสาวกของพระเมตตารัก งานเขียนของซิสเตอร์เขียนขึ้นก่อนการประจักษ์พระเมตตา)


และไม่เพียงแต่ร้อนรนในการเผยความศรัทธาพิเศษต่อรอยแผลศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ท่านยังร้อนรนในการเผยแพร่การเรียกตนว่า ผู้รับใช้แม่พระ ตามแบบฉบับที่ท่านได้ค้นพบในหนังสือ ความศรัทธาแท้จริงต่อพระนางพรหมจารี ที่นิพนธ์โดยนักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต โดยท่านไม่เพียงพุ่งเป้าไปยังบรรดาเด็กหญิง แต่ยังรวมถึงบรรดาเด็กสาว บรรดามารดา บรรดาเณร และบรรดาสงฆ์ด้วย ดั่งคำให้การในขณะรวบเรื่องของท่านเพื่อประกอบการเป็นบุญราศีว่า อาจไม่มีพระสงฆ์องค์ใดในสเปนยังไมได้รับจดหมายจากซิสเตอร์เอวเซเบียเกี่ยวกับการเป็นผู้รับใช้ของแม่พระ


บุญราศีคุณแม่การ์เมล โมเรโน เบนิเตซ อธิการของโรงเรียน คือผู้แรกที่ได้บันทึกความรู้สึกนึกคิดของท่าน ตามความคิดเห็นของคุณแม่ ซึ่งก็ทำให้เราได้ทราบว่า สิ่งที่ฉีกหัวใจดวงน้อยๆของท่านเป็นชิ้นๆ นั่นคือ บาป คุณแม่ได้บันทึกว่า มนุษย์คนใดกันเล่าจะลุกขึ้นต่อสู้กับพระเจ้าและองค์พระผู้เป็นเจ้าของเธอได้ ช่างน้อยเสียงยิ่งกว่าอะตอม น้อยยิ่งกว่าส่วนน้อยๆของเม็ดทราย มีความกล้าที่จะก้าวไปพร้อมพระเจ้าของเธอ ผู้เธอทราบดีว่าสักวันจะได้อยู่เฉพาะพักตร์และอาจถูกส่งไปยังนรกด้วยก็ได้ ดังนั้นท่านจึงไม่เหน็ดเหนื่อยที่จะพร่ำบอกทุกคนให้แก้บาปอย่างดี เช่นเดียวกันกับการไม่ต่อว่าพระเจ้าต่างๆนานาถึงพระราชกิจของพระองค์ เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้หลีกเลี่ยงบาปผิดต่อความศักดิ์สิทธิ์และการสาปแช่งนิรันดร์กาล

กลับมาที่ชีวิตในอารามของท่าน หลังมาอยู่ที่บัลเบร์เดได้ 5 ปี ในช่วงต้นปี ค..1930 ความตึงเครียดและการเบียดเบียนพระศาสนจักรในประเทศสเปนก็เริ่มขึ้น ท่านที่เห็นสถานการณ์ประเทศเป็นเช่นนั้นก็ไม่รีรอที่จะถวายตนเป็น ยัญบูชาเพื่อความรอดของประเทศสเปน และเพื่อเสรีภาพในการนับถือศาสนา ด้วยความพร้อม ไร้ซึ่งข้อกังขาใด และทางฝ่ายพระเจ้าเอง พระองค์ก็ทรงรับเอาเครื่องบูชาน้อยๆนี้ ในเดือนสิงหาคม ปี ..1932


อาการหอบหืดที่เป็นโรคประจำท่านมานาน จู่ๆก็กำเริบอย่างหนัก ก็ตามมาด้วยโรคต่างๆ และเวลานั้นเองพระเป็นเจ้าก็ทรงไขแสดงถึงอนาคตของสเปนที่เจิงนองไปด้วยเลือด โฆเซฟาได้เล่าว่า ท่านได้บอกกับเธอว่า จะมีสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่มากๆและเลือดผู้บริสุทธิ์จำนวนมากมายจะหลั่งรินเพราะสเปนไมได้ดำรงอยู่ในสันติด้วยตัวของมันเอง นิมิตนี้ยิ่งทวีความทุกข์ใจในใจท่านเป็นยิ่งเสียกว่าความเจ็บปวดจากโรคร้ายเสียอีก

นับตั้งแต่ปี ค..1934 เป็นต้นมา ท่านก็มีโรคแทรกซ้อนมากมาย จนล้มป่วยลง แพทย์หลายคนไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นเพราะโรคอะไร แขนขาของท่านจึงกลายเป็นบิดพลิกไปคล้ายก้อนด้าย แต่กระนั้นทุกคนที่ไปเยี่ยมท่านกลับหาได้พบความสังเวชใจไม่ ตรงข้ามพวกเขากับได้พบแสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์ได้ฉายแสงออกมา แม้โรคร้ายจะรุมเร้า ท่านก็สามารถค้นพบหนทางอันนุ่มนวลที่จะแสดงความความยินดี สันติ และการปฏิบัติต่อผู้คนรอบข้างด้วยความเคารพและความรู้คุณค่าต่อการเอาใจใส่ของพวกเขาออกมาให้เป็นที่ประจักษ์


จงสวดภาวนามากๆให้กาตาโลเนีย ท่านกล่าวขัดจังหวะขึ้นขณะซิสเตอร์บางคนกำลังร่วมสวดกับท่าน ในสภาพน่าซีดเผือก ในวันที่ 4 ตุลาคม ค..1934 หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดการลุกฮือของผู้ใช้แรงงานในอัสตูเรียสและการปฏิวัติของชาวคาตาลันในบาร์เซโลนา นอกนี้จากบางส่วนในนิมิตอนาคตสเปนจำนวนหนึ่ง ท่านยังเห็นคุณแม่อธิการที่รักของท่าน คุณแม่การ์เมลถูกยิงตายพร้อมด้วยซิสเตอร์อีกคน  ซึ่งเมื่อท่านแจ้งเรื่องนี้แก่คุณแม่ คุณแม่ก็มิได้แปลกใจอะไร เพราะ คุณแม่นั้นได้ถวายตนเป็นยัญบูชาแด่พระเจ้าไว้แล้ว

ครั้งหนึ่งในความฝันพระเป็นเจ้าได้ไขแสดงให้ท่านได้เห็นพิธีปลงศพและที่พำนักสุดท้ายของท่าน และเวลานั้นก็ใกล้มาถึงเต็มทีแล้ว มันดูเหมือนจะเป็นในวันที่ 26 มกราคม ค..1935 เพราะในเช้าวันนั้นท่านก็มีอาการตรีทูต ซิสเตอร์ทุกคนจึงถูกเรียกมาอยู่รวมกันรอบๆเตียงของท่าน ปากของท่านบิดงอด้วยความเจ็บปวด ก่อนท่านจะหลั่งหยดน้ำตาใสๆแล้วจึงสิ้นใจลง แต่ เพียงไม่นานท่านก็ฟื้นคืนสติขึ้นมา และเล่าให้ทุกคนฟังว่าท่านได้เห็นสวนที่งดงามเสียจนหาคำบรรยายใดๆมาอธิบายไม่ได้ รวมไปถึงนักบุญดอมินิก ซาวีโอ ทูตสวรรค์จำนวนมาก และบรรดาซิสเตอร์ที่สิ้นใจไปด้วย


แต่ที่สุดแล้วภายหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ในเวลา 0.30 . ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างวันที่ 9 – 10 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกันนั้นเอง ด้วยวัย 35 ปี ท่านก็ได้จากไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ในสวรรค์อย่างสงบ ภายหลังจากถวายตัวมาได้เพียง 11 ปี ยังความทุกข์ใหญ่มาสู่ชาวเมืองบัลเบร์เดเป็นยิ่งนัก ร่างที่ดูเหมือนคนหลับไปของท่านถูกจัดวางไว้ท่ามกลางมวลดอกไม้นานาพันธุ์ และตลอดสองวันที่มีการตั้งร่างของท่านไว้ ก็ต่างมีชาวเมืองบัลเบร์เดผลัดกันมาคารวะมิได้ขาด ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นักบุญได้จากไปแล้ว

ค่าใช้จ่ายต่างๆในพิธีปลงศพท่านถูกออกโดยภาครัฐ หนังสือพิมพ์รีพับลิกันในขณะนั้นได้ลงข่าวประกาศซ้องเช่นชาวเมืองว่า นักบุญได้จากไปแล้ว  ส่วนร่างของท่านถูกฝังท่ามกลางเสียงระฆังแห่งความยินดีในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ และเพียงไม่นานจากนั้นท่านก็ได้ทำตามคำสัญญาของท่านต่อบรรดาซิสเตอร์คือ ฉันจะจากไป แต่ฉันจะกลับมา  พร้อมกันนั้นคำทำนายของท่านก็เป็นจริง นั่นคือเกิดสงครามกลางเมืองสเปน และคุณแม่การ์เมลก็ถูกฆ่าตายพร้อมซิสเตอร์อัมปาโร การ์โบเนลล์ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย


และแม้จะผ่านเรื่องเลวร้ายมาเท่า กลิ่นหอมแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็มิได้จางหายไป ตรงกันข้ามมันกลับยิ่งส่งกลิ่นหอมมากขึ้น  จนไม่น่าแปลกใจอะไรที่ในปี ค..1982 ทางสังฆมณฑลอูเอลบา ก็ทำพิธีเปิดกระบวนการขอแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ จนที่สุดแล้วในวันที่ 25 เมษายน ค..2004 พร้อมด้วยข้ารับใช้พระเจ้าซาเลเซียนอีกสองคน หลังมีอัศจรรย์อาศัยคำเสนอวิงวอนของท่าน สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ทรงประกอบพิธีบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศีอย่างสมเกียรติ ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร นครวาติกัน


มนุษย์มองแต่รูปร่างภายนอก แต่พระยาห์เวห์ทรงมองจิตใจ(1ซามูเอล 16:7) ลองคิดย้อนดูไปถึงวันแรกที่ท่านเดินทางมาถึงเมืองบัลเบร์เด สิ่งแรกที่ท่านได้พบคืออะไร การต้อนรับอย่างอบอุ่นงั้นหรือ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เลย เพราะอย่างที่เราอ่านมา สิ่งแรกที่ท่านได้รับจากบรรดาเด็กๆและเพื่อนในอารามก็คือการดูถูกเหยียดหยาม  ซึ่งหากมองๆไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากเราๆเท่าไรนัก เพราะในบางเวลาเราก็ต้องไปทำงานในกลุ่มที่แตกต่างจากเราไป(ไม่เว้นแม้แต่ในงานของพระ) และบางครั้งเราอาจไม่ได้รับการต้อนรับอย่างดีในทีแรก ซึ่งทำให้เราอาจท้ออาจหมดไฟ อันเป็นเรื่องปกติที่เราไม่อาจหนีไปได้ตามประสามนุษย์ แต่ เมื่อเราเจอเหตุการณ์เช่นนั้น เราก็ไม่ควรจะทำให้คำครหาเหล่านั้นกลายเป็นจริง



ขอให้เราพยายามเลียนแบบบุญราศีเอวเซเบีย กล่าวคือไม่ใส่ใจกับมัน และค้นหาความสุขที่ว่า แม้ในการดูถูกเหล่านั้นเราก็ยังมีพระเจ้าอยู่เคียงข้างเราเสมอ ด้วยพระองค์ทรงมองเราที่ข้างใน  ดังนั้นของพวกเราจงอย่ามัวเอาเวลาไปสนแต่คำครหาติฉินนินทาเหล่านั้น แต่ขอให้เราเอาเวลาที่เสียไปกับความหดหู่นั้นไปสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้แก่คนที่เคยดูถูกเราและทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายอย่างดี เพื่อลบคำครหานั้น เพื่อสร้างมิตรภาพ และเพื่อสร้างสันติอันเป็นสิ่งที่โลกของเรากำลังต้องการมากที่สุดในเวลานี้ ขออย่าใช้คำรุนแรงตอบโต้คำครหาอีกเลย แต่ขอใช้การกระทำดีตอบโต้เถิด อย่าให้พระเจ้ามองเราในแง่ลบเช่นเดียวกับที่ใครบางคนมองเราเลย


ข้าแต่ท่านบุญราศีเอวเซเบีย ปาโลมีโน เยเนส ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน ผู้ใหญ่ในคณะคนแรก ๆ ที่ท่านแสวงหา...