นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ
กว่าจะถึงวันนั้น
ทั้งสามก็ต่างเฝ้ารอเวลาอย่างใจจดใจจ่อ และต่างเฝ้าสวดภาวนา “ไม่ใช่เพื่อให้เกิดความมั่นใจ
ว่าสิ่งที่พวกเขาได้เล่าถึงสตรีผู้น่าพิศวงคนนี้เป็นความจริง แต่เพียงเพื่อจะได้พบพระนาง
ได้ทราบความตั้งใจของพระนางอีกครั้ง และได้อยู่ท่ามกลางแสงแห่งสวรรค์ที่นำพระนางมาสู่โลก” คุณพ่อจอห์น เดอ มาร์ชี เขียนบรรยายในหนังสือของท่าน
นอกนี้ข่าวการประจักษ์ก็ค่อย ๆ แพร่ไปทั่ว แต่ผู้ที่เชื่อก็หาใช่ชาวบ้านฟาติมาไม่
ตรงกันข้ามกลับเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นเสียส่วนใหญ่ ชาวฟาติมาส่วนมากต่างคิดว่านี่เป็นเรื่อง
‘ไร้สาระ’
และเหมือนจะเป็นการทดสอบเล็ก ๆ สำหรับเด็ก ๆ
เพราะในวันที่ 13 มิถุนายนของทุกปี คือวันฉลองนักบุญอันตน แห่ง
ปาดัว นักบุญผู้กำเนิดในโปรตุเกสและได้ไปเทศน์สอนให้ชาวอิตาลีจำนวนมากได้กลับใจ
ซึ่งก็เป็นธรรมเนียมที่จะมีการจัดงานรื่นเริงขึ้นในวันฉลองดังกล่าว
แม่ของลูเซียก็สบช่องจะดึงตัวบุตรสาวของตนให้ออกห่างจากเรื่องไร้สาระนี้
ด้วยการเตรียมจะพาลูเซียไปฉลองในเมือง แทนที่จะไปที่โควา
แต่ลูเซียเองที่แม้จะชอบงานฉลองนี้ แต่เมื่อเทียบกับการพบสุภาพสตรีผู้นั้น
เธอก็ยังคงหนักแน่นที่จะไปโควาในวันรพรุ่งให้ได้
ส่วนทางฝั่งครอบครัวมาร์โต
ทั้งฟรังซิสโกและยาซินทาก็ตั้งใจที่จะไปที่โควาให้ได้อย่างเดียว
ทั้งสองต่างมีแต่ความยินดีละคนเศร้าที่นางโอลิมเปียผู้เป็นมารดาจะไม่ไปโควาด้วยในวันรุ่ง
“แต่คุณแม่คะ แม่พระอยู่ที่นั่นนะคะ” ยาซินทาพูดกับมารดา “อาหะ แม่ไม่มีวันไปที่นั่นหรอก
และมันก็ไม่ใช่เรื่องจริงดอก ที่พระนางจะประจักษ์มาหาลูก ลูกเอ๋ย มีสติหน่อย”
นางโอลิมเปียเอ่ยตอบด้วยความเบื่อหน่ายกับเรื่องเหลวไหลนี้ แต่ยาซินทาก็มิได้ลดละ
เธอยังคงรบเร้ามารดาต่อไปว่า “พระนางบอกว่าพระนางจะกลับมาอีก
และพระนางก็จะกลับมา”
นางโอลิมเปียจึงถามบุตรสาวตัวน้อยกลับไปว่า
“ลูกไม่อยากไปงานฉลองนักบุญอันตนงั้นหรือ” ยาซินทาก็ตอบกลับมาว่า “งานฉลองนักบุญอันตนไม่ได้ดี” นางโอลิมเปียจึงอุทานออกมาว่า “ว่าอะไรนะ” ฝั่งยาซินทาจึงรีบตอบมารดาว่า “พวกเราหมายถึงก็ดี แต่แม่พระนั้นดีมาก ๆ มาก ๆ เลย” แต่ก็ไร้ผลใด ๆ เพราะเมื่อฟังคำเฉลยจากบุตรสาว
นางโอลิมเปียก็หันกลับไปทำงานต่อโดยมิได้สนใจคำพูดของยาซินทาทั้งสิ้น
เพราะนางถือว่านี่เป็นเพียงเรื่องขี้ปะติ๋วมากกว่าเสียกว่าการทำงานเลี้ยงปากท้อง
จนเมื่อถึงเช้าอันสดใสของวันที่
13 มิถุนายน สองพี่น้องมาร์โตก็รีบตื่นแต่ไก่โห่
เพื่อจะได้รีบต้อนแกะไปที่ทุ่งเลี้ยงสัตว์
แล้วจะได้ไม่ได้คาดกับสตรีงามผู้ได้ประจักษ์มาหาทั้งสามที่โควาตามที่สัญญากันไว้กับลูเซีย
ทั้งสองรีบชนิดที่ว่ายังไม่ทันที่จะเคี้ยวมื้อเช้าซึ่งคือขนมปังทากับเนยแข็งหมด
ทั้งสองก็รีบออกจากบ้านไปหาลูเซีย ซึ่งเมื่อพบกันแล้ว
ลูเซียก็ได้อธิบายถึงแผนว่าจะต้อนฝูงแกะไปกินหญ้าที่ใด หลังจากนั้นทั้งสามจึงต้อนฝูงแกะออกไปเล็มหญ้าตามแผน
กระทั่งได้อันสมควรทั้งสามก็ต้อนฝูงแกะกับคอก
แล้วรีบมาเปลี่ยนเป็นชุดที่ดีที่สุดซึ่งมีไว้ใส่ในวันอาทิตย์
“พี่จะรอพวกเราหรือเปล่า” ยาซินทาเอ่ยถามก่อนแยกย้าย
ลูเซียจึงอธิบายว่าเธอจะไปที่วัดฟาติมาก่อนเพื่อพบกับเด็กคนอื่นที่จะรับศีลมหาสนิทครั้งแรกพร้อมกับเธอ
แล้วเธอจึงจะมาสมทบกับยาซินทาพร้อมเดินทางไปยังโควา ดา อิเรียด้วยกัน
หลังจากนั้นลูเซียจึงมาสวมชุดที่ตระเตรียมเพื่อพิธีรับศีลมหาสนิทครั้งแรก
แล้วจึงออกเดินทางไปยังวัดฟาติมาตามแผน
ด้วยความโล่งอกของนางมาเรียผู้เป็นมารดาที่คอยเฝ้าดูบุตรสาวแต่งตัวและออกเดินทางไปอย่างเงียบ ๆ
เธอคิดในใจว่าลูกเธอจะเป็นเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ทุกอย่างจะกลับเป็นปกติ
และความอับอายของครอบครัวก็จะจบลงเสียที
พิธีรับศีลมหาศีลครั้งแรกของลูเซียดำเนินไปได้ด้วยดี
กระทั่งพิธีจบลูเซียพร้อมเพื่อน ๆ ที่รับศีลจำนวนหนึ่งจึงได้พากันเดินทางไปยังโควา
ดา อิเรีย แต่ก็ไม่วายถูกพี่ชายชื่อ อันโตนิโอ วิ่งมายื่นข้อเสนอว่าจะให้เงินเธอ
หากเธอเลิกจะไปที่โควา แต่ลูเซียก็หันไปมองพี่ชายและตอบกลับไปว่า “เงินหรอ น้องไม่สนเงินหรอก
สิ่งที่น้องต้องการคือได้เห็นสุภาพสตรีคนนั้น” หลังจากนั้นเขาก็พยายามจะรั้งเธออีก
แต่ก็ไม่เป็นผล ดังนั้นที่สุดลูเซียพร้อมเพื่อน ๆ จึงได้เดินทางมายังโควา ดา อิเรีย
สถานที่ที่สุภาพสตรีจากสวรรค์ได้เลือกสรรไว้เพื่อโลกใบนี้
เวลาเที่ยงวันลูเซีย
ฟรังซิสโก และยาซินทาจึงเดินทางมาถึง ณ โควา ดา อิเรีย
พร้อมกับผู้ศรัทธาและอยากรู้อยากเห็นจำนวนหนึ่ง
เวลาเดียวกันก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งมารอท่าอยู่แล้วที่ปากทาง ซึ่งหลังจากได้ชี้จุดที่แม่พระได้ประจักษ์มาเมื่อครั้งก่อน
ลูเซียพร้อมฟรังซิสโกและยาซินทาจึงได้เข้ามาหลบแดดที่ใต้ต้นไม้ ฝั่งผู้คนที่มารอชมจึงเริ่มพากันหาที่นั่งเพื่อกินอาหารเที่ยง
และมีบางคนได้แบ่งผลส้มให้กับทั้งสามคนละผล แต่ทั้งสามก็หาได้กินในทันทีไม่
คงเพียงแต่กำไว้ที่มือ แล้วเริ่มสวดภาวนาตามหนังสือสวดภาวนาที่ลูเซียพกมา
จนเมื่อทั้งสามสวดสายประคำ
แล้วถึงตอนบทร่ำวิงวอน อยู่ๆลูเซียก็เด้งตัวขึ้นพร้อมพูดกับยาซินทาว่า “น้องไม่เห็นฟ้าแลบนั้นหรือ แม่พระต้องมาแล้วแน่เลย”
ดังนั้นทั้งสามที่หลบแดดอยู่จึงรีบวิ่งไปที่ต้นโอ๊ค แล้วคุกเข่าลง
พยานผู้เล่าเรื่องคือมาเรีย ดา กาเปลินยา กล่าวสรุปเรื่องวันนั้นว่า “ฉันเฝ้ามองลูเซียที่ยกแขนขึ้นเหมือนหนึ่งกำลังสวดภาวนา
พวกเราได้ยินเธอพูดกับใครสักคนที่มองไม่เห็น มีเพียงเหตุการณ์แปลก ๆ ที่ยืนยันถึงการปรากฏตัวของใครคนหนึ่งที่นั่น
คือพวกเราต่างได้ยินเสียงพึงพำ ที่คล้ายเสียงเล็กมาก ๆ
แต่พวกเราก็ไม่มีใครเข้าใจได้ว่าเสียงนั้นพูดว่าอะไร”
กลับมาที่ทั้งสาม
ที่บัดนี้ได้อยู่เบื้องหน้าสุภาพสตรีผู้งดงามกว่าสตรีใด ๆ ที่ทั้งสามเคยพบ
สตรีนั้นยืนอยู่บนยอดต้นโอ๊คเล็ก ๆ พลางจ้องมายังทั้งสามด้วยสายตาแห่งมารดา แห่งรัก
แห่งความเข้าใจ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าที่ดูงดงามจนยากจะอธิบายได้
การปรากฏของเธอไม่เคยทำให้ลูเซียรู้สึกกลัวจนไม่กล้าถาม
แต่ให้ความรู้สึกเชื้อเชิญที่จะสนทนามากกว่า และเช่นเคย (และในครั้งต่อ ๆ ไป) คือทั้งสามได้เห็น แต่ไม่ใช่ทั้งสามคนจะได้ยินเสียงของเธอ
เพราะมีเพียงลูเซียและยาซินทาเท่านั้นที่ได้ยิน
“ฉันอยากให้พวกหนูมาที่นี่ในวันที่ 13 ของเดือนถัดไป ฉันอยากให้พวกหนูสวดลูกประคำทุกวันต่อไป
และหลังจากจบแต่ละข้อรำพึง
เด็กน้อยของฉัน ฉันอยากให้พวกหนูสวดว่า ‘ข้าแต่พระเยซูเจ้า โปรดอภัยบาปของลูกทั้งหลาย
โปรดช่วยลูกทั้งหลายให้รอดพ้นจากไฟนรก และนำวิญญาณทั้งหลายไปสู่สวรรค์
เป็นต้นวิญญาณที่ต้องการพระเมตตาของพระมากที่สุด’ ฉันยังอยากให้หนูเรียนรู้ที่จะอ่านเขียน
และหลังจากนั้นฉันจะบอกว่าฉันปรารถนาอะไรจากหนูเอง” แม่พระทรงตรัสตอบ หลังจากนั้นลูเซียจึงทูลเรื่องคนทุกข์ยากคนหนึ่งที่เธอได้ทราบเรื่องต่อ
“หากเขากลับใจ เขาจะได้รับการรักษาให้หายในปีนี้” แม่พระทรงตอบ
แล้วลูเซียจึงถามคำถามที่ใกล้เคียงกับคำถามในใจว่า
“ท่านจะพาพวกเราไปสวรรค์ไหมคะ” แม่พระจึงตอบลูเซียว่า “จ๊ะ ฉันจะพายาซินทาและฟรังซิสโกไปเร็ว ๆ นี้ แต่หนูนั้นต้องอยู่อีกนาน
พระเยซูทรงประสงค์ให้หนูทำให้ฉันเป็นที่รู้จักและเป็นที่รัก
พระองค์ทรงปรารถนาให้โลกมีความศรัทธาเป็นพิเศษต่อดวงหทัยนิรมลของฉัน ฉันสัญญาช่วยให้ผู้ที่มีความศรัทธาพิเศษนี้ได้รับความรอด
และวิญญาณผู้นั้นจะเป็นที่รักของพระเป็นเจ้าเช่นดอกไม้ที่ฉันประดับไว้บนพระบัลลังก์ของพระองค์” ลูเซียจึงทูลถามต่อว่า “หนูต้องอยู่คนเดียวหรือคะ”
แม่พระจึงทรงบรรเทาใจเธอว่า “ไม่จ๊ะ เด็กน้อยของฉัน
หนูเป็นทุกข์มากเลยหรือ อย่าทุกข์ใจไปเลย ฉันจะไม่ทิ้งหนูไปไหน
ดวงหทัยนิรมลของฉันจะเป็นที่พึ่ง และเป็นทางของหนูไปหาพระเจ้า”
ลูเซียบรรยายว่า
“ในเวลานี้ แม่พระทรงกางพระหัตถ์ออก
และทรงให้พวกเราได้อยู่ในแสงสว่างใสที่ล้อมรอบพระนางอีกครั้ง ในแสงนั้นพวกเราสามารถมองเห็นตัวเอง
และมันคล้ายว่าพวกเรากำลังจมอยู่ในพระเป็นเจ้า ยาซินทาและฟรังซิสโกดูเหมือนจะอยู่ตรงส่วนของแสงซึ่งเป็นตัวแทนของสวรรค์
และดิฉันก็อยู่ตรงส่วนที่แสงฉายลงมายังโลก
พระหัตถ์ขวาของพระนางวางอยู่ใกล้ดวงหทัยซึ่งล้อมด้วยหนามที่ดูคล้ายจะเสียดแทงมัน
และพวกเราก็เข้าใจอย่างแจ่มชัดว่านี่คือดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์
ซึ่งเป็นทุกข์เพราะบาปผิดของมนุษยชาติ และกระหายการชดเชย”
หลังจากนั้นพระนางจึงทรงจากไปเช่นทีแรก
นั่นคือทรงลอยไปทางทิศตะวันออก
ฝั่งลูเซียเมื่อเห็นพระนางจากไปจึงรีบลุกขึ้นพร้อมแขนที่ยื่นไปข้างหน้าพร้อมพูดว่า
“ดูซิ พระนางไปแล้ว พระนางไปแล้ว” แต่ก็ไม่มีใครเห็นสตรีคนใด พวกเขาคงเห็นแต่เพียงเมฆก้อนเล็ก ๆ ขนาดไม่กี่นิ้วที่ค่อยลอยขึ้นเหนือต้นโอ๊ค
แล้วลอยจนลับสายตาไปทางทิศตะวันออก
ทั้งสามจ้องมองไปทางทิศที่เมฆหายไปนั้นอยู่ระยะหนึ่ง
ลูเซียจึงเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้พวกเรามองไม่เห็นพระนางแล้ว
พระนางกลับไปสวรรค์ ประตูปิดลงแล้ว”
ทุกคนที่นั้นจึงหันกลับมายันต้นโอ๊คต้นนั้น
และพบว่ายอดของต้นโอ๊คที่ตั้งตรงในทีแรก กลับโค้งงอไปทางทิศตะวันออก คล้ายหนึ่งว่าบางสิ่งได้ดึงมันไป
จนเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ทุกสายตาที่ได้เป็นประจักษ์พยาน (เวลาต่อมามันก็กลับมาตั้งตรงดังเดิม) หลังจากนั้นทุกคนจึงร่วมกันสวดบทเร้าวิงวอนแม่พระที่ค้างไว้ต่อจนจบ
และได้พากันกลับมายังงานฉลองนักบุญอันตนที่วัดฟาติมาทันช่วงแห่บุษบกท่านนักบุญอย่างพอดิบพอดี
เวลาล่วงได้ประมาณสี่โมงเย็นลูเซีย
ฟรังซิสโก และยาซินทาจึงเดินทางกลับบ้านในสภาพอ่อนล้า และเสื้อผ้าเปรอะฝุ่นพร้อมกับชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็น
ซึ่งรู้สึกสนุกกับการเหย้าหยอกทั้งสามอย่างไร้มารยาทมากเสียกว่าจะชมเชยประทับใจ
บ้างถามว่า “ลูเซีย สตรีคนนั้นได้เต้นบนต้นไม้ไหม” หรือ “อ้าว พวกเธอทั้งสามยังไม่ได้ไปสวรรค์อีกหรอ” หรือ “ยาซินทา แมวกัดลิ้นอยู่หรือ สตรีคนนั้นพูดกับหนูไหม หนูเป็นนักบุญหรือยัง
ยาซินทา”
คำถามพวกนี้ใช่เรื่องง่ายที่รับมือ
และสร้างความเจ็บปวดให้กับทั้งสามเป็นอย่างยิ่ง ยาซินทาผู้เป็นน้องเล็กสุด
น้อมรับเรื่องเหล่านี้อย่างเงียบๆเฉกนักบุญทั้งหลายที่น้อมรับไม้กางเขนจากพระคริสตเจ้าไว้อย่างเงียบ ๆ
แม้ว่ามันจะทำให้รู้สึกท้อแท้และตกเป็นเรื่องขบขันของพี่ชายคนอื่น ๆ
ยาซินทาก็ทำเพียงขมวดคิ้วและเม้มริมฝีปาก พร้อมยืนยันกับทุกคนรอบตัวเธอว่าแม่พระทรงร้องขอให้สวดสายประคำทุกวัน
และทรงสัญญาจะกลับมาอีกทุกเดือนจนถึงเดือนตุลาม
แต่ในเรื่องความศรัทธาพิเศษต่อดวงหทัยนิรมลของแม่พระนั้น เธอมิได้ปริปากบอกใครทั้งสิ้น
เหตุการณ์ในเวลาต่อมา
หลังการประจักษ์ครั้งที่สอง
ครั้งหนึ่งได้มีคนถามยาซินทาว่าสตรีที่เธอได้แลเห็นสวยเหมือนสตรีคนใดที่เธอเคยเห็นมาบ้าง
ทีแรกยาซินทาก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องตอบ
เพราะแท้จริงไม่มีใครเทียบกับสตรีนั้นใดเลย แต่เธอก็ตอบว่า “เธอสวยมาก ๆ มาก ๆ ค่ะ”
ผู้ตั้งคำถามจึงถามเธอต่อว่า “สวยเหมือนรูปปั้นนักบุญคิเตเรียไหม ยาซินทา
แล้วมีผ้าคลุมประดับด้วยดวงดาวหรือเปล่า” ยาซินทาจึงยิ้มพลางระลึกถึงสตรีผู้ที่เธอเองไม่สามารถจะสรรหาคำใด ๆ มาบรรยายถึงความงามให้แม้แต่ตัวเองเข้าใจได้
“ไม่เลยค่ะ นักบุญคิเตเรียไม่มีอะไรเหมือนเธอเลย” ยาซินทาตอบ “เอ แล้วเหมือนแม่พระลูกประคำไหม” ผู้ตั้งคำถามถามต่อ
“สวยมากของมากของมากที่สุดค่ะ” ยาซินทาตอบ
แท้จริงเธออยากจะหาตัวอย่างที่ชัดเจนมากกว่านี้เพื่อให้พวกได้เข้าใจ
แต่จนแล้วจนรอดตั้งแต่เธอเกิดมาเธอก็ไม่เคยเห็นใครจะงดงามได้เพียงนี้
ความกดดันมากมายสาดเทเข้าใส่ยาซินทาจนเธอไม่อาจจะรับมือไหว
เธอหรี่ตาลงและเริ่มเม้มริมฝีปากแน่น ที่สุดเธอจึงพูดสรุปว่า “สายประคำ สายประคำควรถูกสวดอย่างร้อนรนทุกวัน” พร้อมเล่าว่าสตรีผู้นั้นได้ทรงมอบความลับบางประการให้แก่พวกเธอ (นั่นก็คือเรื่องนิมิตสุดท้ายนั้น)
เมื่อคำพูดเรื่องความลับหลุดปากยาซินทาออกมา
ก็ทำให้ผู้คนเริ่มสนใจใคร่รู้ความลับนั้นเสียยิ่งกว่าลักษณะของสตรีปริศนาแห่งโควา
และหลายคนก็พยายามจะเค้นความลับนั้นกันอย่างไร้มารยาท แต่เด็กน้อยทั้งสามก็ไม่เคยปริปากเล่าบอกให้ใครฟัง
ซึ่งในส่วนของยาซินทา นายมานูเอลเล่าว่ามีวันหนึ่งกลุ่มสตรีแต่งกายดูดีสวมใส่เครื่องทองมากมายได้แวะมาที่บ้านของครอบครัวมาร์โตเพื่อจุดประสงค์นี้
สตรีหนึ่งในนั้นได้เอาสร้อยข้อมือและสร้อยคอให้ยาซินทาดูพร้อมถามว่า “หนูชอบมันไหมจ๊ะ”
ฝั่งยาซินทาเองก็ตอบตรง ๆ ตามประสาเด็กซื่อ ๆ ว่า“ชอบค่ะ” สตรีคนนั้นจึงถามต่อว่า “แล้วหนูอยากจะได้มันไหมจ๊ะ”
ยาซินทาก็ตอบแบบซื่อ ๆ เช่นเดิมว่า “อยากได้ค่ะ”
สตรีคนนั้นจึงเผยสิ่งที่พวกเธอต้องการนั่นก็คือ “งั้นบอกความลับหนูมา”
แล้วเธอพร้อมเพื่อนจึงทะยอยถอดเครื่องของทองหยองที่ใส่มา
ด้วยหมายจะซื้อความลับนี้ด้วยเครื่องประดับอันมีค่า
ฝั่งยาซินทาเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับตกใจ “อย่าทำเช่นแบบนี้ ได้โปรดเถอะค่ะ อย่าทำแบบนี้
หนูบอกอะไรคุณไม่ได้จริง ๆ หนูบอกความลับไม่ได้จริง ๆ
แม้คุณจะให้โลกทั้งใบกับหนูก็ตาม”
ยาซินทายืนยัน
อีกบุคคลที่เชื่อในเรื่องการประจักษ์ก็คือ
คุณพ่อเฟร์เรยรา คุณพ่อเจ้าวัดฟาติมา ท่านพยายามจะสยบข่าวลือและเรื่องโกหกบ้า ๆ นี้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทราบทั้งสามได้เห็นแม่พระที่โควาในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ท่านก็พยายามยิ่งที่จะหยุดเรื่องไร้สาระนี้ เพราะเหตุการณ์นี้มีผลถึงพระศาสนจักรในประเทศโปรตุเกสที่ขนาดนั้นถูกเบียดเบียนจากทางภาครัฐ
โดยท่านได้บอกกับนางมาเรีย มารดาของลูเซียและนายมานูเอล บิดาของฟรังซิสโกและยาซินทา
ให้พาทั้งสามไปที่โควาในวันฉลองนักบุญอันตน
แล้วจึงค่อยพามาหาท่านที่บ้านพักพระสงฆ์ เพื่อคุณพ่อจะได้ทำการจบเรื่องโกหกนี้
และในคืนก่อนวันเข้าพบคุณเฟร์เรยรานั่นเอง
ลูเซียก็ได้แวะไปที่บ้านของครอบครัวมาร์โต ด้วยความหวั่นใจต่อการเข้าพบครั้งนี้
เพราะเธอไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับใครที่มีศักดิ์เท่าคุณพ่อเฟร์เรยรา “จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา (พี่)ลูเซีย” สองพี่น้องมาร์โตเอ่ยถามเมื่อพบลูเซีย
ฝั่งลูเซียเองที่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่แล้วก็หารู้ไม่ เธอได้แต่ตอบว่า “พี่ก็ไม่รู้ แต่ที่บ้านพี่พวกเขาต่างขู่พี่
พวกเธอจะไปบ้านคุณพ่อเจ้าวัดไหม”
ยาซินทาจึงตอบว่า “พวกเราต้องไปอยู่แล้ว
คุณแม่ของพวกเราถูกสั่งให้พาพวกเราไป”
หลังจากนั้นลูเซียจึงหยุดคิดชั่วครู่ว่าพรุ่งนี้พวกเธอทั้งสามจะต้องพบการทรมานเช่นไร
ก่อนเธอจะหันไปหาสองพี่น้องมาร์โตด้วยใบหน้าเป็นกังวลใจ
แต่เวลาเดียวกันก็พร้อมน้อมรับทุกสิ่ง ยาซินทาจึงพูดขึ้นว่า “พวกเราจะกังวลไปทำไมละ ถ้าพวกเขาจะตีพวกเรา
หรือลงโทษแบบอื่น พวกเราก็สามารน้อมรับมันเพื่อพระเยซูเจ้า
และก็เหมือนที่แม่พระบอก เพื่อคนบาปจะได้กลับใจได้นะ” แล้วทั้งสามจึงแยกย้ายกันกลับไปนอน
ด้วยจิตใจที่พร้อมน้อมรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น
เฉกบรรดานักบุญมากมายบนพระแท่นบูชาของพระศาสนจักร
จนแสงแห่งอรุณรุ่งวันใหม่ฉาบไปทั่วฟาติมา
นางมาเรียมารดาของลูเซียก็ได้พาทั้งสาม (นายมาร์นูแอลไม่แน่ใจว่านางได้พาฟรังซิสโกไปด้วยหรือเปล่า) ไปพบคุณพ่อเฟร์เรยรา
และเมื่อได้เข้าพบที่ห้องภายในบ้านพักคุณพ่อ ท่านก็ได้ถามยาซินทา
แต่ยาซินทาไม่ยอมตอบอะไร คุณพ่อจึงปล่อยให้เธออยู่ตามอัธยาศัย
ฝั่งยาซินทาจึงรีบควักสายประคำออกมาสวดรอระหว่างคุณพ่อเริ่มไต่ถามลูเซีย
ฝั่งลูเซียก็ตอบคำถามของคุณพ่ออย่างฉะฉาน
แต่บางเวลายาซินทาที่นั่งสวดอยู่ก็ลุกขึ้นมาบ้าง
เพื่อเตือนลูเซียให้เล่าทุกอย่างตามความเป็นจริง
จนหลายครั้งเข้าคุณพ่อเฟร์เรยราจึงหมดความอดทน
ท่านจึงหันไปตำหนิยาซินทาในทำนองว่าทีตอนถูกถามทำไมเธอไม่ตอบ
แล้วทีตอนนี้กับพูดไม่หยุด
ผลของการสอบสวนไม่เป็นที่พอใจนักคุณพ่อเฟร์เรยรา
จากลูเซียท่านทราบเพียงรูปลักษณ์ของสตรีปริศนาและคำแนะนำให้หมั่นสวดสายประคำทุกวัน
ซึ่งข้อมูลเพียงเท่านี้ไม่อาจจะทำให้คุณพ่อผู้มีความรู้ด้านเทววิทยาเชื่อได้ลงคอว่าแม่พระประจักษ์มาหาทั้งสามจริง ๆ
เพราะจะเป็นไปได้หรือที่แม่พระจะลงมาจากสวรรค์ เพียงเพื่อบอกผู้คนให้สวดสายประคำ
ทั้ง ๆ ที่โลกก็มีการสวดสายประคำอยู่แล้ว
ไม่พอยังมีเรื่องความลับที่สตรีปริศนามอบให้แด่เด็ก ๆ
ซึ่งปกติแล้วผู้ได้รับพระพรเหล่านี้ต้องเปิดเผยทุกสิ่งกับคุณพ่อวิญญาณณารักษ์ของตนหรือใครสักคน
ดังนั้นคุณพ่อจึงเริ่มคิดว่านี่ต้องเป็น….งานของปีศาจ
“มันอาจจะเป็นกิจการของพวกปีศาจ” คุณพ่ออุทานขึ้น
ซึ่งความคิดเช่นนี้ของคุณพ่อสร้างรอยแยกขึ้นมาระหว่างลูเซีย
และสตรีผู้งดงามแห่งโควา เธอเริ่มคิดว่านี่จะเป็นการหลอกลวงของพวกปีศาจ เธอเริ่มคิดได้ว่าปีศาจมักเป็นเหตุแห่งการแตกแยก
และก็เป็นจริงเพราะตั้งแต่การประจักษ์ครั้งแรก สันติก็จางหายไปจากครอบครัวของเธอ
ความคิดเช่นนี้วนเวียนในจิตใจของเธอ และสร้างความทุกข์ใจเป็นอันมากแก่เธอ วันหนึ่งเธอได้ปรับทุกข์ถึงเรื่องนี้ให้องพี่น้องมาร์โตฟัง
ยาซินทาเมื่อฟังเช่นนั้น ก็ไม่เห็นด้วย “ไม่ ไม่มีทางเป็นปีศาจ
หลายคนบอกว่าปีศาจมีหน้าตาน่าเกียจและอยู่ใต้โลกที่นรก แต่สตรีคนนั้นหน้าตาดีนะ
พี่ลูเซีย พวกเราไม่ได้เห็นขึ้นสวรรค์ไปหรือ”
แต่คำยืนยันจากญาติวัย
7 ปี ก็ไม่ได้บรรเทาใจที่เป็นทุกข์ของลูเซียเลย
เพราะบัดนี้ลูเซียได้เข้าสู่คืนมืดของวิญญาณ
ที่ไฟแห่งความร้อนรนในใจของเธอค่อย ๆ มอดลง เธอรู้สึกหมดหวังอย่างถึงที่สุด
ชนิดเธออยากไปสารภาพกับมารดา แม้จำจะต้องโกหกก็ตาม
เพราะมันจะนำมาซึ่งความสุขอย่างที่เธอหวัง
แต่เมื่อบอกเรื่องนี้กับสองพี่น้องมาร์โต ทั้งสองก็รีบห้ามลูเซียว่า “ได้โปรดเถอะ (พี่)ลูเซีย อย่าทำอย่างนั้นเลย เธอ(พี่)ไม่เห็นหรือว่ามันจะแย่ลงแค่ไหน”
แต่กระนั้นคำพูดของทั้งสองก็ไม่อาจจะดึงลูเซียให้พ้นจากคืนอันแสนเลวร้ายนี้
“ในความฝันดิฉันเห็นปีศาจหัวเราะกับความสำเร็จของมันที่มีต่อดิฉัน
และมันก็พยายามจะลากดิฉันลงไปในนรกพร้อมกับมัน
ด้วยความกลัวขณะเห็นมือของมันเอื้อมมาใกล้ ดิฉันเริ่มกรีดร้องและเรียกหาแม่พระ
ดิฉันจำได้แม่นว่าเสียงกรีดร้องของดิฉันปลุกคุณแม่ของฉันให้ต้องรีบวิ่งเข้ามาหาดิฉัน
ด้วยความอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดิฉันจำไม่ได้แล้วว่าพูดอะไรกับท่านบ้าง
แต่ดิฉันรู้ดีว่าดิฉันกลัวที่จะปิดตานอนอีกครั้งในคืนนั้น
ความฝันนี้ทิ้งความกลัวและความหวาดหวั่นไว้ในวิญญาณของดิฉัน” ลูเซียเล่า
กระนั้นถึงจะมีความทุกข์เช่นนี้
ทุกครั้งที่เธอพร้อมฟรังซิสโกและยาซินทาแวะไปที่ใกล้ ๆ ต้นโอ๊คที่สตรีปริศนาประจักษ์มา
เธอก็พบเวลาแห่งสันติ และพบการปลอบประโลมใจเช่นเดียวกับญาติทั้งสอง นอกนี้ทั้งเธอ
ฟรังซิสโก และยาซินทายังได้รับมิตรภาพที่ดีและไร้ความอยากรู้จากนางมาเรีย ดา
กาเปลินญาที่แวะมาสวดภาวนาร่วมกับทั้งสาม และทำความสะอาดพร้อมจัดตกแต่งบริเวณนี้ให้สมพระเกียรติราชินีแห่งสวรรค์อยู่ทุกวันอีกด้วย
การประจักษ์ครั้งที่
3 วันที่ 13 กรกฎาคม
ผ่านมาหนึ่งเดือนหลังมีข่าวแม่พระประจักษ์มาครั้งล่าสุดที่โควา
ดา อิเรีย ชื่อเสียงของทั้งสามก็กระฉ่อนไปทั่วไม่เพียงแต่ที่ฟาติมา แต่ตลอดทั้งที่ราบสูงแซร์ร่าซึ่งฟาติมาตั้งอยู่
จนเชื้อเชิญให้ผู้คนมากมายพากันมายังฟาติมาในวันที่ 13 กรกฎาคม
อันเป็นวันที่สตรีปริศนาจะปรากฏมาหาทั้งสาม ทั้งที่เป็นสัตบุรุษใจศรัทธา
และคนสอดรู้สอดเห็น
เช่นเดิมสองพี่น้องมาร์โตต่างเฝ้าคอยวันนี้อย่างใจจดใจจ่อ
แต่สำหรับลูเซีย เธอยังคงไม่พ้นจากคืนอันมืดมิดของวิญญาณ
ซึ่งนับวันยิ่งทวีหนักขึ้นจนถึงจุดหนึ่ง ในวันก่อนการประจักษ์
เธอก็ตัดสินใจบอกกับสองพี่น้องมาร์โตว่าเธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปที่โควา ดา
อิเรียในวันพรุ่ง ฝั่งสองพี่น้องเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็มีอันตกใจและพากันมองลูเซียด้วยสายตาที่มองคนทรยศคนหนึ่ง
คุณพ่อยอห์น เดอ มาร์ชี อธิบายว่า “เพียงความรักที่ทั้งสองมีต่อสุภาพสตรีผู้นั้นที่ทำให้สองพร้อมใจกันต่อต้านลูเซีย
ผู้เป็นหัวหน้าในกิจกรรมต่าง ๆ ของทั้งสองมาจนเดี๋ยวนี้”
“พวกเราจะไปไม่ว่าจะยังไงก็ตาม และถ้าพี่ไม่ยอมไปที่นั่น หนูก็จะพูดกับสุภาพสตรีคนนั้นเอง” ยาซินทาพูดพลางน้ำตาซึม “ร้องไห้ทำไม ยาซินทา” ลูเซียเอ่ยเบา ๆ “ทำไมละ ทำไมพี่คิดอย่างนี้
ก็เพราะพี่ไม่ยอมไปพร้อมพวกเรา นั่นแหละเหตุผล” ยาซินทาตอบ
ขณะหยาดน้ำตาเม็ดใหญ่กำลังพรั่งพรูออกมาไม่หยุด “พี่กลัวที่จะไป”
ลูเซียแก้ตัว “แต่ทำไมพี่ถึงกลัวละ
สุภาพสตรีคนนั้นหวังในตัวพี่นะ พี่ลูเซีย” ยาซินทาย้อนถามลูกพี่ลูกน้อง “พี่รู้ว่าเธอหวังในตัวพี่”
ลูเซียตอบ แน่นอนเธอไม่เคยสงสัยว่าเธอได้เห็นสุภาพสตรีคนนั้นจริง ๆ
แต่สิ่งที่เธอกลัวคือตัวตนของสตรีคนนั้นต่างหาก เธอคือใคร แล้วใครส่งเธอมา
“ถ้าเธอถามหาพี่ ยาซินทา
ฝากเธอบอกทีว่าที่พี่ไม่อยู่นั่นก็เพราะพี่กลัวว่าเป็นปีศาจที่ส่งเธอมาหาพวกเรา” พูดเสร็จลูเซียก็หันหลัง แล้วเริ่มออกวิ่ง
วิ่งไปจากญาติทั้งสองของเธอ ที่อ้อนวอนเธอทั้งน้ำตา
วิ่งไปจากความคิดอันเป็นทุกข์ของเธอเอง และวิ่งไปจากคำถามของคุณพ่อเฟร์เรยรา
เพื่อไปซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ ภายในห้องที่มืดสนิทเหมือนวิญญาณของเธอ กระทั่งแสงแห่งวันใหม่ฉาบไปทั่วฟาติมา…
ขณะดวงอาทิตย์ขับไล่ความมืดไปจากฟาติมา
บางสิ่งก็ขับไล่ความสงสัยที่อยู่ในใจของลูเซียไปสิ้น
ลูเซียไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดได้อย่างไร แต่เธอก็ไม่สงสัย เพราะบัดนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือวิญญาณของเธอกลับมาเต็มไปด้วยความยินดี
ความเชื่อ และความหวังอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลาต้องเดินทางไปยังโควา
เธอก็ไม่กลัวที่จะวิ่งออกไปยังบ้านของครอบครัวมาร์โต พร้อมตะโกน “เรากำลังไป เราจะไปพวกเธอ รอก่อน” ดังนั้นด้วยวิธีการอันน่าอัศจรรย์ ลูเซีย
ฟรังซิสโก และยาซินทาจึงได้เดินทางไปยังโควา ดา อิเรีย
เพื่อพบกับสตรีที่ทั้งสามรักตามสัญญา
ที่โควาลูเซียท่ามกลางแสงแดดจ้าได้นำประชาชนสวดสายประคำโดยมีเธอเป็นผู้ก่อ
และฝูงชนจำนวนมากที่รายล้อมทั้งสามและต้นโอ๊คไว้เป็นผู้รับ จนจบสายลูเซียก็รีบเด้งตัวขึ้นพร้อมประกาศว่า “หุบร่มด้วยค่ะ แม่พระกำลังมาแล้ว” พร้อมมองไปทางทิศตะวันออก นายมานูเอลเล่าว่า “…เธอกำลังมองไปทางทิศตะวันออกและฉันก็มองไปเช่นกัน
แต่ทีแรกฉันก็ไม่เห็นอะไร
แต่แล้วฉันก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่ดูเหมือนก้อนเมฆสีเทาเล็ก ๆ บนต้นโอ๊ค ความร้อนของดวงอาทิตย์เองจู่ ๆ ก็ลดลง
มีลมเย็น ๆ พัดมา จนดูไม่เหมือนหน้าร้อน ฝูงชนต่างอยู่ในความเงียบ เงียบมาก ๆ
และหลังจากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงหึ่ง ๆ เล็ก ๆ เหมือนเวลามียุงอยู่ในโหล ฉันไม่สามารถจะจับใจความเป็นคำพูดใด ๆ ได้
นอกเสียงหากเสียงหึ่ง ๆ…”
แต่สำหรับทั้งสามที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าต้นโอ็ค
ไม่มีความคลางแคลงใดๆ
เพราะบัดนี้เบื้องหน้าของทั้งสามคือสตรีผู้งดงามที่สุดและเปี่ยมด้วยพระพรกว่าสตรีใด ๆ
ความงามของสตรีนั้นแทงทะลุความรู้สึกของทั้งสาม
สำหรับสองพี่น้องมาร์โตผู้ไม่เคยสงสัย นี่คือความยินดีแก่วิญญาณ
แต่สำหรับลูเซียผู้มีความสงสัย มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
เพราะนี่คือคำยืนยันถึงคำตอบของทุกคำถามที่ผ่านมา
“พี่ลูเซีย พูดสิ แม่พระกำลังพูดกับพี่อยู่นะ” ยาซินทาเรียกสติของลูเซีย “งั้นหรือ” ลูเซียตอบยาซินทา ก่อนกล่าวขออภัยสำหรับข้อสงสัยต่าง ๆ ที่เธอมี
แล้วถามเช่นทุกครั้งว่า “ท่านประสงค์สิ่งใดจากหนูหรือคะ”
ฝั่งแม่พระมิทรงเหนื่อยที่จะตอบคำถามเหล่านี้
ดุจมารดาไม่เคยเหนื่อยจะตอบคำถามลูกน้อย ๆ ของเธอซ้ำ ๆ ว่า “ฉันอยากให้หนูกลับมาที่นี่ในวันที่ 13 ของเดือนถัดไป
จงสวดสายประคำทุกวันเพื่อถวายเกียรติแด่แม่พระลูกประคำ เพื่อสันติของโลกและการยุติของสงคราม
เพราะมีเพียงมันเท่านั้นที่สามารถช่วยพวกหนูได้”
ลูเซียจึงน้อมรับ “ได้ค่ะ ได้ค่ะ” บัดนี้ความกล้าหาญได้กลับมาสู่เธออีกครั้ง
เธอปรารถนายิ่งที่จะชดเชยความไม่ไว้ใจของเธอ “หนูอยากขอให้ท่านช่วยบอกพวกเราทีว่าท่านเป็นใคร และทำอัศจรรย์เพื่อทุกคนจะได้เชื่อว่าท่านได้มาหาพวกเราจริง ๆ ” ลูเซียเอ่ยขอแม่พระ “จงมาที่นี่ทุกเดือน และในเดือนตุลาคมฉันจะบอกว่าฉันคือใคร
และฉันประสงค์สิ่งใด ฉันยังจะทำอัศจรรย์ให้ทุกคนได้เห็นและได้เชื่อ” แม่พระตรัสสัญญากับลูเซีย
จากนั้นลูเซียจึงเริ่มทูลขอให้พระนางทรงรักษาบรรดาผู้ป่วยที่ต่างมาขอให้เธอช่วย
ฝั่งแม่พระก็ตรัสเบา ๆ ว่าจะทรงรักษาบางคน “และลูกชายที่พิการของมาเรีย เด กาเปลินยาละคะ” ลูเซียทูลถาม “ไม่จ๊ะ
ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพหรือความยากไร้
และเขาต้องสวดสายประคำอย่างมั่นใจพร้อมกับครอบครัวของเขาทุกวันด้วย” นอกนี้ยังมีอีกรณีหนึ่งที่น่าสนใจ
คือกรณีของหญิงที่ป่วยหนักจากอาโตเกียซึ่งขอให้มาช่วยพาเธอไปสวรรค์ที
เมื่อแม่พระทรงสดับก็ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงที่คล้ายมารดาตอบลูก ๆ เมื่อ
ถูกขอในสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลว่า “ไปบอกเธอว่าพึ่งรีบร้อนไป บอกเธอว่าฉันรู้ดีว่าเวลาไหนฉันจะไปรับเธอ” ดังนั้นเองจากเรื่องในวรรคนี้
สารหนึ่งที่มาจากฟาติมา จึงคือการเรียกร้องให้เราน้อมรับน้ำพระทัยพระเป็นเจ้า
และยกถวายทุกสิ่งแด่พระอย่างอดทน
เพื่อเราจะได้ถวายเกียรติพระเป็นเจ้าด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
และเมื่อลูเซียทูลทุกสิ่งตามที่ได้รับการขอมาแล้ว
แม่พระก็ทรงมอบความลับอีกประการให้ทั้งสาม โดยทรงเกริ่นว่า “จงทำพลีกรรมเพื่อคนบาปทั้งหลาย และสวดบ่อย
เป็นพิเศษขณะพวกหนูทำพลีกรรมว่า ‘ข้าแต่พระเยซูเจ้า
พลีกรรมนี้เพื่อความรักของพระองค์ เพื่อคนบาปจะได้กลับใจ และเพื่อชดเชยการทำขัดเคืองดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์’”
ลูเซียเล่าว่า
“ขณะทรงตรัสเช่นนี้
พระนางก็ทรงกางพระหัตถ์ออกเหมือนเมื่อเดือนก่อน
แต่แทนที่จะปรากฏพระสิริรุ่งโรจน์และความงดงามของพระเจ้าลงมาจากพระหัตถ์ที่เปิดออกเหมือนที่พระนางทรงเคยแสดงให้พวกเราเห็นเมื่อครั้งก่อน
พวกเรากลับได้เห็นทะเลเพลิง มีพวกปีศาจและวิญญาณรูปร่างมนุษย์มากมายตกลงไปในเปลวเพลิงนี้
ดั่งถ่านไฟสีแดงฉานซึ่งยังคุกรุ่น ร่างเหล่านั้นไม่เป็นสีดำคล้ำก็เป็นสีบรอนซ์เงา ร่างเหล่านั้นลอยขึ้นมาพร้อมเปลวไฟ
แล้วลอยขึ้นไปในอากาศด้วยเปลวไฟที่ออกมาจากตัวพวกเขาพร้อม ๆ กับกลุ่มควันขนาดใหญ่
แล้วจึงตกกลับไปทุกทิศทางเหมือนประกายไฟจากไฟกองใหญ่
โดยปราศจากน้ำหนักหรือความสมดุลใด ๆ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง
จนยังความสยดสยองและอาการสั่นสะท้านไปด้วยความกลัวแก่พวกเรา
ส่วนพวกปีศาจนั้นต่างออกไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวและน่ารังเกียจที่ดูคล้ายสิ่งที่น่าที่น่าเกียจน่ากลัวและสัตว์บางชนิดของพวกมัน
พวกมันตัวดำสนิทและโปร่งใสเหมือนถ่านที่ถูกเผา
ซึ่งด้วยอาการตระหนกตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อและท่าทีคล้ายวิงวอนขอความช่วยเหลือ
พวกเราจึงเงยหน้ากับไปหาแม่พระผู้ตรัสกับด้วยน้ำเสียงจริงจังและเศร้าสร้อย” (นายมานูเอลเป็นพยานถึงท่าทางของทั้งสามในวันนั้น
เขาเล่าว่าลูเซียมรอาการหอบในทันที ขณะเดียวกันใบหน้าของเธอก็ซีดเผือดเหมือนคนตาย
และทุกคนต่างได้ยินเสียงเธอร้องไห้)
“พวกหนูได้เห็นนรก สถานที่ที่วิญญาณของคนบาปผู้น่าสงสารได้ไปแล้ว
ซึ่งเพื่อช่วยพวกเขา
พระเป็นเจ้าทรงประสงค์ให้มีการริเริ่มความศรัทธาเป็นพิเศษต่อดวงหทัยนิรมลของฉันบนโลก
หากสิ่งที่ฉันได้บอกพวกหนูเป็นจริงแล้วไซร้
วิญญาณจำนวนมากก็จะได้รับความรอดและโลกก็จะมีสันติภาพ สงครามครั้งนี้กำลังจะจบลง
แต่หากมนุษย์ยังไม่เลิกทำขัดเคืองพระทัยพระเป็นเจ้าละก็
สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้จะเกิดขึ้นในช่วงสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 9 เมื่อพวกหนูได้เห็นคืนที่สว่างด้วยแสงที่ไม่หนูไม่เคยเห็นมาก่อน
ขอให้รู้ไว้เถิดว่านี่คือสัญญาณอันยิ่งใหญ่จากพระเป็นเจ้าว่าพระองค์จะทรงลงทัณฑ์โลกเนื่องด้วยบาปผิดของมัน
ด้วยสงคราม ความอดยาก และการเบียดเบียนพระศาสนจักรและองค์สันตะบิดร
เพื่อป้องกันสิ่งเหล่านี้
ฉันจึงมาขอให้ถวายรัสเซียต่อดวงหทัยนิรมลของฉัน
และรับศีลเพื่อชดเชยบาปผิดในวันเสาร์ต้นเดือน
หากคำขอของฉันได้รับการเอาใจใส่
รัสเซียจะกลับใจและจะเกิดสันติ แต่ถ้าไม่
รัสเซียจะแพร่ขยายความผิดพลาดของตนไปทั่วโลก
จนก่อให้เกิดสงครามมากมายและการเบียดเบียนพระศาสนจักร คนดีจะเป็นมรณสักขี
องค์สันตะบิดรจะต้องทนทุกข์เป็นอันมาก ชนชาติต่าง ๆ จะถูกทำลาย แต่ในที่สุด
ดวงหทัยนิรมลของฉันจะมีชัย องค์สันตะบิดรจะถวายรัสเซียแก่ฉัน และรัสเซียจะกลับใจ
ยุคแห่งสันติจะเกิดขึ้นไปทั่วโลก ส่วนในโปรตุเกส
คำสอนเรื่องความเชื่อจะได้รับการพิทักษ์ไว้เสมอ” แม่พระทรงตรัส
หลังจากนั้นแม่พระจึงทรงเผยความลับข้อที่สามแก่เด็ก ๆ
ด้วยนิมิตซึ่งลูเซียได้เปิดเผยในภายหลังว่า
“ทางด้านซ้ายมือของแม่พระและสูงขึ้นมาหน่อยนั้น พวกเราเห็นทูตสวรรค์ถือดาบที่ลุกเป็นไฟในมือซ้าย ไฟนั้นพุ่งออกมาราวกับจะเผาผลาญโลกให้เป็นจุล แต่ไฟนั้นก็มอดดับลงเมื่อสัมผัสกับแสงเรืองรองที่แผ่ออกมาจากพระหัตถ์ขวาของแม่พระตรงไปที่ท่าน ทูตสวรรค์องค์นั้นชี้มาที่โลกด้วยมือขวา พร้อมร้องเสียงดังว่า ‘จงใช้โทษบาป จงใช้โทษบาป จงใช้โทษบาป’
และพวกเราก็ได้เห็นแสงสว่างอันยิ่งใหญ่นั่นคือพระเป็นเจ้า –บางอย่างคล้ายเงาสะท้อนในกระจกเวลามีคนเดินผ่าน- คือภาพของพระสังฆราชในชุดสีขาว
–ซึ่งพวกเรารู้สึกมั่นใจว่านั่นคือองค์สันตะบิดร- พระสังฆราชองค์อื่น ๆ พระสงฆ์
นักบวชชายหญิงกำลังเดินขึ้นสู่ภูเขาสูง
ที่บนยอดมีกางเขนขนาดใหญ่ซึ่งมีผิวหยาบคล้ายไม้ก๊อกพร้อมเปลือกปักอยู่
แต่ก่อนจะทรงเสด็จถึงที่นั่น องค์สันตะบิดรได้เสด็จผ่านเมืองใหญ่ที่ครึ่งหนึ่งถูกทำลายย่อยยับ
และอีกครึ่งหนึ่งกำลังสั่นสะเทือน ด้วยความปวดร้าวและเศร้าใจ พระองค์ทรงภาวนาเพื่อดวงวิญญาณของบรรดาซากศพเหล่านั้นที่ทรงพบตลอดทาง
จนเมื่อถึงยอดภูเขาแล้ว พระองค์ก็ทรงคุกเข่าลงแทบเชิงกางเขนใหญ่ ก่อนจะทรงถูกฆ่าโดยกลุ่มทหารที่สาดกระสุนและธนูมายังพระองค์
และในทำนองเดียวกัน ทั้งพระสังฆราชองค์อื่น พระสงฆ์ นักบวชชายหญิง
และฆราวาสหลากหลายสถานะก็ถูกฆ่าตายเช่นเดียวกัน
เบื้องล่างของแขนไม้กางเขนทั้งสองด้าน
มีทูตสวรรค์สององค์ แต่ละองค์ถือภาชนะใส่น้ำเสกทำจากคริสตัลอยู่ในมือ ทั้งสองคอยเก็บรวบรวมเลือดของบรรดามรณสักขี
และใช้เลือดนั้นปะพรมบรรดาวิญญาณที่กำลังเดินทางไปหาพระเจ้า”
แล้วแม่พระจึงทรงกำชับลูเซียถึงเรื่องเหล่านี้ว่า
“จงจำไว้ให้ดี หนูต้องไม่บอกเรื่องนี้กับใครเลย อา
ฟรังซิสโก ได้จ๊ะ หนูบอกเรื่องนี้กับเขาได้ แล้วเมื่อพวกหนูสวดสายประคำ หลังจบข้อรำพึงให้พวกหนูสวดว่า
‘ข้าแต่พระเยซูเจ้า
โปรดอภัยบาปของลูกทั้งหลาย โปรดช่วยลูกทั้งหลายให้รอดพ้นจากไฟนรก
และนำวิญญาณทั้งหลายไปสู่สวรรค์ เป็นต้นวิญญาณที่ต้องการพระเมตตาของพระมากที่สุด’ ด้วยนะ” ก่อนจะทรงเงียบไป ฝั่งลูเซียเมื่อเห็นแม่พระทรงเงียบไป จึงทูลถามว่า “มีอะไรที่ท่านประสงค์จากหนูอีกไหมคะ” ฝั่งแม่พระที่ทรงเงียบไป ก็ตรัสกับลูเซียว่า “ไม่มีแล้วจ๊ะ เด็กน้อยของฉัน
ไม่มีอะไรแล้วสำหรับวันนี้”
เวลาเดียวกันเองฝูงชนที่โควาก็ต่างเป็นพยานถึงปรากฏการณ์เสียงฟ้าร้องดังกัมปนาท
ชนิดทำเอาซุ้มประตูไม้ที่สร้างขึ้นตรงต้นโอ๊คซึ่งสตรีปริศนาประจักษ์มาเพื่อแขวนโคมไฟสั่นสะเทือน
ประหนึ่งเกิดแผ่นดินไหว แล้วลูเซียจึงลุกขึ้นอย่างเร็ว พร้อมตะโกนออกมาว่า “เธอไปแล้ว เธอไปแล้ว” ก่อนชั่วขณะเธอจึงสงบสติลงและพูดว่า “ตอนนี้พวกท่านไม่อาจเห็นเธอได้อีกแล้ว” นี่แหละจึงกลายเป็นบทสรุปของการประจักษ์ครั้งสามของสตรีปริศนา
ผู้งามพริ้มกว่าสตรีใด
และเมื่อดวงอาทิตย์กลับมาส่องแสงและแผ่รัศมีความร้อนอีกครั้ง
ก็เหมือนหนึ่งบางสิ่งก็ถูกปลุกขึ้นมาในตัวของฝูงชนที่สงบนิ่งตลอดการประจักษ์
นั่นคือ ‘ความอยากรู้ความอยากเห็นอย่างบ้าคลั่ง’ ทั้งจากคนใจศรัทธาและคนใจเฉยชา
คนที่เชื่อและคนที่หัวเราะกับเรื่องเบื้องหน้า คนที่สวดภาวนาและคนที่หัวเราะเยาะ
เวลานั้นทุกคนต่างกรูเข้าไปหาทั้งสามจนเกือบจะเหยียบทั้งสามตาย
“ตอนหนูกลัวและเศร้า ลูเซีย
สุภาพสตรีคนนั้นบอกอะไรกับหนู”
คนหนึ่งถามขึ้น
“มันเป็นความลับค่ะ” ลูเซียตอบตามคำสั่งของสตรีปริศนา
“มันดีใช่ไหม” คนหนึ่งถามอีก
“สำหรับบางคน ใช่ค่ะ ส่วนคนที่เหลือ ไม่ค่ะ” เธอตอบ
“หนูบอกพวกเราไม่ได้หรือว่ามันเกิดอะไรขึ้น” คนหนึ่งถามต่อ
“ไม่ค่ะ หนูบอกไม่ได้ หนูบอกไม่ได้จริง ๆ ” ลูเซียยืนยัน
และเป็นโชคดีที่ก่อนฝูงชนผู้อยากรู้จะฆ่าทั้งสามไปโดยไม่ตั้งใจ นายมานูเอลที่อยู่ใกล้พร้อมคนอื่น ๆ ก็ได้มาช่วยทั้งสามได้ทันท่วงที“ข้าแต่ท่านนักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต ช่วยวิงวอนเทอญ”