นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ
การป่วยของยาซินทา
ความเศร้าครั้งใหญ่ถาโถมเข้าใส่ครอบครัวมาร์โตทุกคน
แต่ที่เห็นว่าหนักสุดจะเป็นยาซินทา ซึ่งบัดนี้ล้มป่วยหนักเสียจนไม่อาจจะไปร่วมมิสซาปลงศพพี่ชายที่รักได้
“เขาได้ยืนยันถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าและแม่พระด้วยการรับความทุกข์ยากตามความประสงค์ของทั้งสองพระองค์…” เธอบอกว่าบัดนี้ฟรังซิสโกจะคอยช่วยเหลือเธอในการทำงานเพื่อสวรรค์
และเธอเองก็ต้องพยายามเช่นกัน
จากเพียงอาการไข้หวัดใหญ่
นานวันเข้าก็ลุกลามเป็นอาการเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
ที่ยิ่งทวีความเจ็บปวดให้แก่ยาซินทาเป็นเท่าตัว
ทุกครั้งที่อาการเจ็บกำเริบเธอจะร้องออกมาว่า “โอ้พระเยซู ลูกรักพระองค์”
ฝั่งลูเซียเมื่อเห็นว่ายาซินทามีอาการทรุดลงมาก
ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะเบนความสนใจของเธอไปหาสิ่งอื่นแทน
ไม่ว่าจะด้วยการเก็บดอกไม้จากสถานที่ต่าง ๆ ที่ทั้งสามเคยไปเล่นด้วยกันมาใส่ไว้ที่ประตูบ้าง
หรือนำข่าวการสร้างวัดหลังน้อยที่โควาของครอบครัวการ์เฮยรามาบอก “หนูจะไม่ได้กลับไปที่นั่น” ยาซินทาเอ่ยพลางถอนหายใจ “แต่เราจะได้กลับไปที่นั่นด้วยกัน” ลูเซียเอ่ย “ไม่ หนูไม่แน่ใจ…” ยาซินทาตอบ
จากโรคไข้หวัดสเปน
ทีละนิดก็พัฒนาเป็นอาการเยื่อหุ้มปอดอักเสบดั่งที่เล่ามา จนลามเป็นหนองที่สีข้าง
ชนิดที่ไม่อาจพำนักรักษาตัวที่บ้านได้อีกต่อไป
ดังนั้นนายมานูเอลจึงตัดสินใจพาลูกสาวคนสุดท้องของเขา
ขึ้นหลังลามายังโรงพยาบาลโอเรม ซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไรนักจากอัลยุสเตร์ล ท่ามกลางความเจ็บปวดในดวงใจน้อย ๆ ที่ต้องพลัดพรากจากลูเซีย
แต่ก็ยกถวายความทุกข์ทั้งสิ้นที่ได้รับทั้งทางกายและทางใจเป็นพลีกรรมแด่พระองค์
ยาซินทาได้รับการรักษาอยู่ที่นั่นสองเดือน
แต่อาการของเธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ซ้ำมีแผลใหญ่ที่หน้าอก
ดังนั้นในปลายเดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน นายมานูเอลจึงได้ไปรับตัวบุตรสาวกลับมา
ซึ่งเมื่อกลับมาถึงด้วยขาดสุขอนามัยที่ดีแผลที่มีอยู่แล้วก็ยิ่งติดเชื้อจนทวีความเจ็บปวดเป็นอันมากให้เธอ
เวลานี้ผิวพรรณที่เคยมีน้ำมีนวลตามประสาเด็ก ๆ กลับซีดจาง
ร่างกายที่เคยสมบูรณ์ก็ผ่ายผอมลงเป็นอันมาก
แต่กระนั้นเธอก็ไม่เคยบ่น
ซ้ำเธอยังพยายามจะซ่อนความเจ็บปวดไว้เมื่ออยู่ต่อหน้านางโอลิมเปีย ผู้เป็นมารดา
เพื่อว่านางจะมิต้องทุกข์ใจไปมากกว่านี้ พร้อมปลอบนางว่าเธอมีอาการดีขึ้นแล้ว
และมากกว่าไปกว่านั้น เธอได้ทวีการพลีกรรมมากยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
ไม่ว่าจะด้วยการไม่ดื่มน้ำแม้พิษไข้จะทำให้กระหายแค่ไหน หรือการตื่นขึ้นมากลางดึก
แล้วลงมากราบและสวดตามแบบที่ทูตสวรรค์สอนบนพื้นห้อง
แต่ทำไม่ได้เธอจึงต้องมาคุกเข่าแทน
จนหนักเข้าหนักเข้าคุณพ่อเจ้าวัดที่ทราบเรื่องจึงแนะให้เธอสวดอยู่บนเตียงแทน
เพราะยิ่งเธอลุกขึ้นมามากเท่าใดอาการของเธอก็ยิ่งทรุดหนักเข้าไปเท่านั้น
ครั้งแรกยาซินทาก็แย้ง แต่พอลูเซียบอกว่าพระเจ้าทรงประสงค์ให้เธอเชื่อฟังคุณพ่อ
เธอจึงน้อมรับและปฏิบัติตาม
“เมื่อหนูหิวน้ำ พี่ลูเซีย
และหนูก็ไม่ดื่มน้ำ และดังนั้นหนูจึงได้ยกถวายมันต่อพระเยซูเพื่อคนบาป
ในตอนกลางคืน หนูมีอาการปวด และหนูก็ยกถวายมันแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพลีกรรมด้วยการไม่พลิกตัวบนเตียง
และก็เป็นเหตุผลให้หนูนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน พี่สามารถทำพลีกรรมอะไรได้แล้วบ้าง”
ยาซินทาเคยปรับทุกข์กับลูเซียว่า
“หนูคิดถึงพระเยซูเจ้า พระมารดาพระเจ้า
เรื่องคนบาปทั้งหลายและสงครามที่กำลังจะมาถึง คนจำนวนมากเท่าใดกันจะล้มตาย
บ้านกี่หลังเล่าจะถูกทำลาย พระสงฆ์จะถูกฆ่าตายมากเพียงใด น่าเศร้าเหลือเกิน… หากผู้คนเลิกทำเคืองพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า
สงครามจะสิ้นสุด และผู้คนก็จะไม่ไปนรก ในสวรรค์หนูสวดต่อพระมากๆเพื่อพี่
เพื่อพระสันตะปาปา เพื่อโปรตุเกส เพื่อสงครามจะมาไม่ถึงพี่ เพื่อพระสงฆ์” และ “หนูได้รับความทุกข์เป็นอันมาก
แต่หนูก็ถวายทุกสิ่งเพื่อการกลับใจของคนบาป และการชดเชยต่อดวงหทัยนิรมลของแม่พระ”
เธออยากไปร่วมมิสซาทุกวัน
แต่เพราะอาการป่วย เธอจึงมิอาจไปร่วมได้ แต่ลูเซียไปร่วมได้
ดังนั้นเธอจังขอกับลูเซียว่า “พี่ลูเซีย พี่รับศีลทุกวันใช่ไหม
หลังจากนั้นพี่พอจะมาใกล้ ๆ หนูจะได้ไหม
พี่มีพระเยซูเจ้าผู้ซ่อนพระองค์ของพวกเราในหัวใจของพี่ มานั่งตรงนี้ นั่งใกล้ ๆ
พี่ลูเซีย หนูไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่หนูรู้สึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าในตัวของหนู
มากไปกว่านั้น แม้หนูจะไม่ได้รับพระองค์ก็ตาม
และแม้หนูจะไม่เห็นพระองค์หรือได้ยินพระองค์
หนูก็ยังคงเข้าใจสิ่งที่พระองค์ต้องการ”
ดังนั้นคราวต่อมาลูเซียจึงฉีกเอาภาพถ้วยกาลิกส์พร้อมแผ่นศีลจากหนังสือสวดภาวนาของเธอ
มาให้ยาซินทา
ฝั่งยาซินทาเมื่อเห็นของขวัญที่ลูเซียเอามาให้จึงรีบคว้ามันเข้ามาจูบด้วยความรัก “นี่คือพระเยซูเจ้าผู้ซ่อนพระองค์ของพวกเรา
พี่ลูเซีย และหนูรักพระองค์ และอยากจะรับพระองค์เท่าที่ทำได้มากเหลือเกิน
หนูจะสามารถรับศีลในสวรรค์ได้ไหม พี่ลูเซีย เพราะถ้าได้ หนูจะไปรับทุกวัน”
การเดินทางสู่ลิสบอน
วันหนึ่งลูเซียที่แวะมาเยี่ยมยาซินทาตามปกติ
ลูเซียก็พบญาติผู้น้องมีอาการร่าเริงผิดปกติไปจากทุกวัน
ลูเซียจึงถามและก็ได้รับคำตอบว่า “แม่พระกลับมาหาหนู
หนูได้รับการบอกว่าหนูจะไปลิสบอน ไปโรงพยาบาลที่ต่างออกไป
หนูจะไม่ได้เห็นลูเซียหรือคุณพ่อคุณแม่อีก และหลังจากความทุกข์ยากมายมาย
หนูจะตายอย่างเดียวดาย…”
ในทีแรกคำทำนายนี้แลดูจะมีเค้าลางที่จะเป็นไปได้ยาก
เพราะขณะนั้นยังไม่มีใครคิดจะส่งยาซินทาไปรักษาที่เมืองหลวงอย่างลิสบอนเลยสักคน
กระทั่งวันหนึ่ง….
ย่างเข้าเดือนมกราคม
ค.ศ. 1920
แพทย์ประจำตำบลฟาติมาก็แนะให้ส่งเธอซึ่งตอนนี้มีอาการของวัณโรคไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงลิสบอน
เพราะเขาเชื่อว่าเธอจะได้รับการรักษาให้หายถ้าอยู่ที่นั่น
ครอบครัวมาร์โตซึ่งแต่แรกที่ไม่เคยมีความคิดเช่นนี้
เลยตัดสินใจส่งตัวยาซินทาไปลิสบอนเพื่อเข้ารับการรักษา โดยมีนางโอลิมเปีย
ผู้เป็นมารดาติดตามไปด้วย แต่พักอยู่ด้วยได้ไม่นาน นางโอลิมเปียก็มีเหตุให้จำต้องรีบกลับบ้านก่อน
เธอจึงจำต้องเอายาซินทาไปฝากไว้กับผู้อำนวยการสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าคาทอลิกที่ทั้งสองไปพัก
แล้วจึงค่อยโบกมืออำลาบุตรสาวตัวน้อย เพื่อกลับมายังอัลยุสเตร์ล
โดยหารู้ไม่ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้พบเธอในโลกใบนี้
แต่นั้นมายาซินทาที่ถูกทิ้งไว้แต่ลำพังที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
ก็ยึดเอาคุณแม่โกดินโฮ อธิการอารามที่ดูแลเป็นดั่งมารดาคนที่สอง
โดยเรียกคุณแม่ง่าย ๆ ตามแบบเด็ก ๆ ที่นั่นว่า ‘คุณแม่ทูนหัว’ และก็ด้วยเป็นสถานรับเลี้ยงคาทอลิก
พระเยซูเจ้าผู้เร้นพระองค์อยู่ในวัดน้อยของบ้าน ก็อยู่ร่วมชายคาเดียวกับเธอ
ยาซินทาจึงมีโอกาสได้ร่วมมิสซา เฝ้าศีล และรับศีลอยู่บ่อยครั้ง
ทำให้การพักอยู่ที่นี่จึงนับเป็นอีกหนึ่งความสุขของเธอ
และนอกนี้หากคราวใดขณะเธอเฝ้าศีลอยู่
และได้ยินอะไรที่เป็นการขาดความคาระต่อศีลมหาสนิท เธอก็จะรีบไปบอกคุณแม่โกดินโฮ โดยให้เหตุว่าแม่พระทรงไม่มีความสุขเมื่อผู้คนขาดความเคารพต่อศีลมหาสนิทอยู่มิได้ขาด
เพียงไม่นานผู้อำนวยการสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งก็คือคุณแม่โกดินโฮ
ก็พบว่าบัดนี้สถานที่อันน่าสงสารที่เธอดูแล ได้มีสมบัติอันล้ำค่าซ่อนอยู่ “เพียงไม่นานซิสเตอร์ก็ตระหนักได้ว่าเทวดาตัวน้อยได้เข้ามาในบ้านของซิสเตอร์
แม้ตัวซิสเตอร์เองจะอยากพบเด็ก ๆ ผู้ได้รับสิทธิพิเศษแห่งฟาติมามานานแล้ว
ซิสเตอร์ก็ไม่เคยคิดเลยว่าซิสเตอร์จะมีโชคได้ให้ที่พักพิงแก่หนึ่งในนั้นใต้หลังคาเดียวกับซิสเตอร์”
ทุกคนที่ได้มีโอกาสอยู่ร่วมกับยาซินทาในเวลานั้นต่างชื่นชมในความมีน้ำใจ
ความอดทนต่อการเผชิญหน้ากับการทดลองต่าง ๆ ความถ่อมเนื้อถ่อมตน
วิธีที่เธอเป็นพยานถึงความเชื่อ
และเป็นพิเศษยิ่งกับความศรัทธาพิเศษอันงดงามโดยแท้ของเธอ คุณแม่โกดินโฮเล่าว่า “พวกเรามีเด็กในความดูแลประมาณ 20-25
คนนี่แหละ
ยาซินทาเป็นมิตรกับพวกเขาทุกคน
แต่เธอก็ชอบอยู่กับกลุ่มเด็กหญิงที่อายุไล่เลี่ยกันเพื่อเธอจะได้สอนอะไรพวกเขาเล็ก ๆ น้อย ๆ ”
พระพรนานา
ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
แม่พระยังคงประจักษ์มาหายาซินทา คุณแม่โกดินโฮยืนยันว่า “ระหว่างที่เธออยู่ที่บ้านของซิสเตอร์
เธอยังคงได้รับการมาเยือนจากแม่พระมากกว่าหนึ่งครั้ง
ซิสเตอร์จำได้ว่าครั้งหนึ่งเธอบอกว่า ‘กรุณาขยับหน่อยได้ไหมคะ คุณแม่ที่รัก
หนูกำลังรอแม่พระอยู่ค่ะ’ และใบหน้าของเธอก็เปล่งปลั่ง”
และก็ดูเหมือนว่าพระนางจะมิได้ทรงประจักษ์มาในรูปลักษณ์แบบที่ฟาติมาเสมอไป
เพราะมีคนเคยได้ยินเธอพูดว่า “คราวนี้ไม่เหมือนที่ฟาติมา
แต่หนูก็จำพระนางได้”
นอกนี้ยังมีรายงานถึงพระพรด้านการหยั่งรู้อนาคตของเธอ
ไม่ว่าจะเป็นการทำนายว่าพี่สาวสองคนของเธอจะสิ้นใจหลังเธอไม่นาน
หรือการจะได้ไปแสวงบุญที่โควาซึ่งแม่พระประจักษ์ตามความปรารถนาของคุณแม่โกดินโฮ
หรือการสิ้นใจของคุณหมอที่รักษาเธอคนหนึ่ง
หรือแม้กระทั่งอนาคตของพระสงฆ์องค์หนึ่งที่มีชื่อเสียง
ยาซินทาก็เคยบอกกับคุณแม่โกดินโฮหลังฟังคำเทศน์ของท่านว่า “คุณพ่อท่านนี้จะหันไปหาทางอบาย
คุณแม่ค่ะ ถึงแม้ว่าตอนนี้คุณแม่จะไม่คิดแบบนี้ก็ตาม”
และเวลาต่อพระสงฆ์ท่านนี้ก็ได้ละทิ้งหน้าที่พระสงฆ์ออกมาใช้ชีวิตอย่างอื้อฉาว
มรณกรรมของยาซินทา
อนิจจาความสุขอยู่ได้ไม่เท่าไร
ยาซินทาก็ถูกย้ายเข้าไปพักรักษาตัวในโรงพยาบาลดอนา
เอสเตฟาเนียที่มืดมิดตามคำทำนายของแม่พระ โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลพลเรือน
ทำให้ที่นี่ไม่มีวัดน้อย
ดังนั้นทุกวันที่ตื่นขึ้นมายาซินทาจึงไร้ผู้ที่จะมอบความบรรเทาใจให้แก่เธอ
นอกนี้เธอยังพบกับบรรดาพยาบาลและผู้มาเยี่ยมคนไข้บางรายแต่งกายในแบบที่สำหรับเธอแล้วมันหรูหราและดูไม่สุภาพอย่างยิ่ง
ยาซินทาเคยพูดว่า “เพื่ออะไรกัน ถ้าเพียงพวกเขาได้รู้ว่าอะไรคือนิรันดร์จริง ๆ ”
และยังมีบรรดาคุณหมอผู้ที่มีความเชื่อน้อยเหลือเกินในพระเจ้า “อนิจจา พวกเขาจะเปลียนไปเพียงใด
หากพวกเขาได้รู้ถึงสิ่งที่รอพวกเขาอยู่” เธอกล่าว
เวลานี้เองแม่พระก็ทรงประจักษ์มาหายาซินทาอีกครั้ง
คราวนี้ทรงเน้นอีกครั้งถึงการแพร่ไปของบาปหรูหราและกามตัญหาซึ่งนำวิญาณมากมายเสียไปในโลก
“ใช้โทษบาป” ยาซินทาเล่า “คือสิ่งที่พระราชินีสวรรค์ทรงขอเพื่อชดเชยบาปผิดเหล่านี้”
ยาซินทาได้รับการผ่าตัดในวันที่ 10
กุมภาพันธ์
ท่ามกลางความเจ็บปวดที่ทวีขึ้นเพราะยาชาที่แพทย์ให้มิออกผลเท่าที่ควร เนื่องด้วยสภาพร่างกายของเธอในเวลานั้นอ่อนแอเกินไป
ผลก็คือแพทย์ผู้ชำนาญการได้นำกระดูกซี่โครงซ้ายสองชิ้นของเธอออก
และได้ทิ้งรอยผ่าที่สีข้างของเธอขนาดพอให้มือผู้ใหญ่ซุกได้สบาย
ซึ่งทวีความเจ็บปวดให้เธอในทุก ๆ วัน
จนหลาย ๆ ครั้งยาซินทาก็ถึงกับร้องออกมาคนเดียวว่า “แม่พระ ช่วยลูกด้วย” ก่อนจะเป็นลมหมดสติไป
และเมื่อคืนสติขึ้นมา เธอก็จะพึมพำเบา ๆ ว่า “อดทนไว้… เพื่อความรักของพระองค์ ข้าแต่พระเยซูเจ้า
ตอนนี้ลูกสามารถช่วยคนบาปได้หลายคน เพราะอาการเจ็บปวดของลูก”
และแม้เธอจะไม่ได้รับอยู่ภายใต้ความดูแลของคุณแม่โกดินโฮแล้ว
ทุกวันคุณแม่ก็จะแวะเวียนมาเยี่ยมยาซินทาที่โรงพยาบาลมิได้ขาด
คุณแม่จึงเป็นหนึ่งในคนที่ทำให้ความเหงาของยาซินทาคลายไปบ้าง นอกนี้ยังมีนางมารีอา
กาสโตร ผู้ป่วยในโรงพยาบาลเดียวกัน แวะมาหาที่เตียงที่ยาซินทานอนเป็นประจำ
และความจริงแล้วนายมานูเอล ผู้เป็นบิดาก็เคยเดินทางมาเยี่ยมอยู่ครั้งหนึ่ง
แต่ก็เพราะพี่ ๆ ของยาซินทาล้มป่วยและไม่มีใครดูแล เขาจึงจำต้องรีบกลับไปอัลยุสเตร์ล
คุณแม่โกดินโฮเล่าถึงเวลาสั้น ๆ ที่ท่านได้มีโอกาสใกล้ชิดกับยาซินทาระหว่างเธอพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลว่า
“ยาซินทาทนกับความทุกข์ทรมานของเธอด้วยความเข้าใจและการสละน้ำใจตนของนักบุญ
เธอเคยปลอบสตรีคนหนึ่งข้างเธอให้ใจเย็นว่า ‘พวกเราต้องยินดีที่จะรับทุกข์ทรมาน
หากพวกเราต้องการไปสวรรค์นะคะ’”
และก็เป็นคุณแม่ที่ยาซินทาได้เผยถึงการมาเยือนอีกครั้งของพระราชินีสวรรค์ในดินแดนเนรเทศแห่งนี้
“หนูรู้สึกดีขึ้นมาแล้ว ขอบคุณนะคะ
แม่พระบอกหนูว่าจะทรงมารับหนูไปอย่างเร็วไว และจะไม่มีความเจ็บปวดไปมากกว่านี้” และก็เป็นจริง เพราะตามพยานอีกคนก็คือ
คุณหมอลิสโบอา เขาก็ได้ยืนยันว่า
ภายหลังจากการประจักษ์ครั้งนี้ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 16 กุมภาพันธ์
อาการป่วยของเธอก็หายไปโดยสิ้นเชิง เธอเริ่มสามารถเล่นและสนุกไปกับสิ่งรบกวนต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามา
“เธอชอบมองไปที่ภาพพระนักบุญต่าง ๆ
หนึ่งในนั้นในเวลาต่อมาเธอก็ได้เอาให้ผมเป็นของที่ระลึก
นั่นก็คือภาพของแม่พระแห่งซาเมยโร
ซึ่งเธอบอกว่าใกล้เคียงกับสุภาพสตรีที่ประจักษ์มามากที่สุด” คุณหมอเล่า
อาการยาซินทาดีขึ้นอยู่สักพัก
พอถึงวันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันศุกร์ก่อนวันพุธรับเถ้า
ในเวลาประมาณหกโมงเย็น ยาซินทาก็บอกกับพยาบาลที่เป็นเวรว่าเธอไม่ไหวแล้ว
และมีความประสงค์จะรับศีลเจิมคนป่วย ดังนั้นคุณพ่อเปเรยรา
จึงถูกตามมาโปรดศีลเจิมให้เธอในเวลาสองทุ่งของวันเดียวกัน
แต่เนื่องจากคุณพ่อเห็นว่าอาการของยาซินทามิได้หนักหนา
ท่านจึงสัญญาว่าจะนำศีลมาส่งให้ในวันรุ่งขึ้น
ฝั่งยาซินทาก็ไม่เห็นคุณพ่อนำศีลมาจึงถามท่าน ว่าเมื่อไรเธอจะได้รับพระเยซูเจ้า
“พรุ่งนี้” คุณพ่อเปเรยราเอ่ยตอบ “ไม่ค่ะ ไม่เอาวันพรุ่งนี้ เย็นนี้เถอะค่ะ
ถ้าคุณพ่อทำได้” ยาซินทาพยายามอ้อนวอน “พรุ่งนี้ จะเหมาะกว่านะ” คุณพ่อตอบเธอ
ก่อนจะเดินจากเธอไปพร้อมความคิดที่จะกลับมาพรุ่งนี้
โดยมิได้ฟังเสียงน้อย ๆ ที่พึมพำออกมาว่า “หนูกำลังจะตายแล้วนะคะ”
หลังถูกทิ้งในความเงียบเหงาของโรงพยาบาล
ในเวลาราวสี่ทุ่มครึ่งของวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1920 ด้วยอายุ 9 ปี
แม่พระก็ทรงมารับผู้ถือสารของพระนางไปตามที่ทรงทำนายไว้
เพื่อไปรับบำเหน็จในสวรรค์ร่วมกับพี่ชายของเธอที่ไปรอท่าแล้วในสวรรค์
ทำให้คำพูดอันเรียบง่ายของสตรีผู้ประจักษ์มา ณ โควา ที่ว่า “ฉันจะรับยาซินทาและฟรังซิสโกไปในไม่ช้านี้แหละ” นั้นสำเร็จไป
ร่างไร้วิญญาณของยาซินทาได้รับการแต่งกายด้วยชุดรับศีลมหาสนิทครั้งแรกสีขาว
พร้อมสายคาดเอวผ้าไหมสีฟ้าตามความปรารถนาของเธอ ซึ่งได้รับบริจาคมาจากนางอเมเลีย
กาสโต และเมื่อมีคนทราบข่าวการจากไปของเธอ
เงินมากมายก็ถูกบริจาคตามเข้ามาเพื่อใช้เป็นค่าทำปลงศพของเธอ
หลังจากนั้นร่างของเธอจึงถูกนำไปตั้งไว้ที่ห้องสักการภัณฑ์ในวัดทูตสวรรค์ซึ่งคุณพ่อเปเรยราเป็นเจ้าวัด
อาศัยความช่วยเหลือจากชมรมศีลมหาสนิท และได้ถูกกำหนดให้ทำพิธีฝังในสุสานสักแห่งในเมืองลิสบอนในวันอาทิตย์ที่จะมาถึง
หลังจากนั้นคลื่นมหาชนที่ต่างเชื่อในการเสด็จเยือนจากสวรรค์
ณ ตำบลฟาติมาที่ทราบข่าว ก็พากันหลั่งไหล เอาสายประคำหรือรูปพระมาสัมผัสร่าง
บ้างก็มาสวดอยู่ข้าง ๆ โลงของเธอ ฝั่งคุณพ่อเปเรยราที่ไม่สบใจอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
เพราะคุณพ่อเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดคือเรื่องเหลวไหล
ก็พยายามจะกันผู้คนออกไป ทั้งด้วยการใช้วาจาและท่าทาง
จนอดเป็นที่แปลกใจไม่ได้ในหมู่สัตบุรุษที่มาเคารพศพ
เพราะปกติคุณพ่อเป็นคนใจดีและสุภาพ
ที่สุดก็มีการตัดสินใจจะเคลื่อนย้ายร่างของยาซินทาไปฝังไว้ที่สุสานซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากบารอนท่านหนึ่งที่โอเรม
ดังนั้นในวันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์
จึงได้มีการเคลื่อนร่างของเธอขึ้นรถไฟกลับมายังโอเรม และในเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา
ร่างของยาซินทาที่มาถึงโอเรมแล้ว ก็ถูกย้ายใส่โลงศพปิดผลึกสีเทา
มีพยานหลายคนยืนยันว่ามีกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ลอยออกมาจากโลงของเธอที่ถูกปิดผลึก
แทนที่จะเป็นกลิ่นเน่าเหม็นตามธรรมชาติของศพที่ทิ้งไว้เป็นเวลานาน
ลุถึงเวลาบ่ายของวันเดียวกัน
ผู้ศรัทธาหลายคนก็ได้พร้อมใจแห่ร่างของเธอไปยังสุสานของบารอนท่านหนึ่ง
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา ประหนึ่งฟ้าต่างร่วมอาลัยต่อการจากไปของยุวนักบุญองค์น้อยอีกองค์
หนทางสู่พระแท่นบูชา
ร่างของยาซินทาถูกฝังไว้ ณ โอเรมนานถึงสิบห้าปี พระสังฆราชแห่งเลยเรียจึงอนุญาตให้ย้ายร่างของสองพี่น้องมาร์โตผู้ได้แลเห็นแม่พระ
ที่ โควา มาฝังข้างกันที่หลุมพิเศษที่ถูกจัดสร้างขึ้นในสุสานของตำบลฟาติมา
และในการเปิดหลุมศพของยาซินทาในเดือนกันยายน ค.ศ. 1935 คราวนั้นเอง
ทุกคนที่มาร่วมก็ต่างพบว่าร่างของเธอยังคงสภาพเดิมทุกอย่าง
โดยเฉพาะที่ใบหน้าน้อย ๆ ของเธอ จนเป็นทีอัศจรรย์ใจแก่ทุกคนที่ได้พบ
ส่วนของฟรังซิสแม้ร่างจะเน่าสลายไป แต่ก็ปรากฏเหตุแปลกก็คือสายประคำที่เคยวางไว้เฉย ๆ ที่อกของเขาตอนฝัง
เมื่อเปิดหลุมอีกทีก็พบว่าสายประคำนั้นได้ไปพันอยู่ที่มือของเขาเสียดื้อ ๆ
ฟรังซิสโกและยาซินทาได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
ในสุสานอันเงีนบสงบของฟาติมา โดยมีคำจารจารึกเหนือหลุมว่า
“ร่างผู้วายชนม์ซึ่งทอดกายอยู่ที่แห่งนี้
คือ
ฟรังซิสโกและยาซินทา
ผู้ที่แม่พระทรงประจักษ์มาหา”
และเมื่อสักการสถานแห่งโควาสำเร็จลุล่วงแล้ว
ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1951 ร่างของทั้งสองจึงถูกย้ายมาพำนักเคียงข้างกันอีกครั้ง
ในวัดอันใหญ่โตซึ่งสร้างขึ้นในสถานที่ที่พวกเขาเคยได้เห็นและได้ยินแม่พระ
ราชินีแห่งสายประคำ
แต่ตั้งแต่ ค.ศ. 1937 สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 11 ทรงมิอนุมัติกระบวนการขอแต่งตั้งผู้เยาว์เป็นนักบุญด้วยมูลเหตุว่าพวกเขายังมิเข้าใจวีรคุณธรรมและมิได้ปฏิบัติกิจมันซ้ำแล้วซ้ำอีก
อันนับเป็นสองสิ่งที่มีความจำเป็นยิ่งในกระบวนการ ส่งผลให้ตลอดสี่ทศวรรษต่อมา เด็กและเยาวชนที่มีความศักดิ์สิทธิ์มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใหญ่หลายรายซึ่งได้สิ้นใจไปแล้ว
จึงมิได้รับการดำเนินเรื่องขอแต่งตั้งเป็นนักบุญหรือไม่ก็ถูกบังคับให้ต้องหยุดชะงักไป
กระบวนการขอแต่งตั้งทั้งสองทีเริ่มไว้ตั้งแต่ ค.ศ. 1952 ก็คือหนึ่งในนั้น แต่ใน ค.ศ. 1979 พระสังฆราชแห่งเลยเรีย-ฟาติมา
สังฆมณฑลซึ่งรับผิดชอบกระบวนการนี้จึงได้ขอให้พระสังฆราชทั่วโลก
ให้พร้อมใจกันเขียนจดหมายทูลต่อสมเด็จพระสันตะปาปาเพื่อให้ทรงพิจารณาการละเว้นกรณีขอแต่งตั้งฟรังซิสโกและยาซินทาเป็นนักบุญ ในครั้งนั้นมีพระสังฆราชถึงสามร้อยองค์ที่ตอบรัดและส่งจดหมายทูลสมเด็จพระสันตะปาปาตามคำร้องขอนี้
โดยต่างเขียนข้อความเดียวกันว่า “เด็ก ๆ เป็นที่รู้จัก ชื่นชม
และดึงดูดของผู้คนต่อหนทางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ อัศจรรย์เกิดอาศัยคำเสนอของพวกเขา”
และยังเขียนย้ำอีกว่าการแต่งตั้งทั้งสองเป็นนักบุญเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งต่อการอภิบาลเด็กและเยาวชนในเวลานี้
ทำให้ในปีเดียวกันสมณกระทรวงว่าด้วยการสถาปนานักบุญจึงจัดให้มีการประชุมสมัชชาใหญ่ขึ้น
โดยมีทั้งพระคาร์ดินัล พระสังฆราช นักเทวศาสตร์
และผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ มาร่วมประชุมเพื่อถกกันในความเป็นไปได้ที่เด็กจะสามารถแสดงออกถึงวีรคุณธรรม (มีคุณธรรมขั้นน่ายกย่อง) และที่สุดที่ประชุมก็ให้ความเห็นว่า
เช่นเดียวกับเด็กเล็กบางคนผู้มีอัจฉริยภาพทางดนตรีหรือคณิตศาสตร์ ‘ในหนทางที่เหนือธรรมชาติบางทาง
เด็ก ๆ บางคนก็สามารถเป็นอัจฉริยะฝ่ายจิตได้’
และในโอกาสร้อยปีการประจักษ์แห่งฟาติมา ก็ประจวบเหมาะพอดีกับมีอัศจรรย์ประการที่สองอาศัยคำเสนอวิงวอนของทั้งสองเกิดขึ้นและทางพระศาสนจักรเอง เมื่อทำการเปิดศาลสอบสวนก็ได้ให้รับรอง
จึงทำให้ในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 ที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสจึงได้ทรงประกอบพิธีสถาปนาทั้งสองขึ้นเป็นนักบุญอย่างสง่า
ณ ที่โควา ดา อิเรีย หรือปัจจุบันก็คือสักการสถานแม่พระฟาติมา
ในวันที่สตรีปริศนาเหนือต้นโอ๊คได้บอกกับทั้งสามว่าจะพาทั้งสามไปสวรรค์
“จงแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อพระองค์ทรงยอมให้เราพบ”(อิสยาห์ 55 : 6) ความศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองไม่ได้มาจากการที่ทั้งสองรู้ว่าจะได้ไปสวรรค์ในเร็ววันและได้เห็นแม่พระ
แต่มันมาจากการที่ทั้งสองใช้เวลาที่มีอย่างดีที่สุด เหมือนทุกวันจะเป็นวันสุดท้ายของทั้งสอง
ดังนั้นเองชีวิตของสองยุวนักบุญกำลังเรียกร้องให้พวกเรา ผู้เป็นนักเดินทางแห่งโลก ให้เร่งแสวงหาพระเจ้าและบรรลุถึงทางไปสวรรค์ในทุกๆวันที่เรายังมีลมหายใจ
ผ่านทางการพยายามหลีกหนีจากหนทางแห่งบาป การปฏิบัติตามพระวาจา การหมั่นรับศีลและการทำกิจใช้โทษบาปตามประสงค์ของแม่พระผู้ประจักษ์มาที่ฟาติมา
เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าวันแห่งการสิ้นสุดเดินทางอันแน่นอนของพวกเราจะมาถึงเมื่อไหร่
เพื่อพวกเราจะกล่าวได้เต็มปากเหมือนท่านนักบุญเปาโลว่า “ไม่ว่าข้าพเจ้าจะเป็นหรือตาย
ข้าพเจ้าคิดว่าการมีชีวิตอยู่คือพระคริสตเจ้า และการตายก็เป็นกำไร”
ข้อมูลอ้างอิง
หนังสือการเรียกจากสารแห่งฟาติมา โดย ซิสเตอร์ลูเซีย โดส ซานโตส แปลโดยคุณพ่อมีคาแอล อดุลย์เกษม
หนังสือLe apparizioni Nostra Signora di Fatima โดย AGNÈS RICHOMME