นักบุญฟรังซิสโก มาร์โต และ นักบุญยาซินทา มาร์โต
St. Francisco Marto and St. Jacinta Marto
วันฉลอง : 20 กุมภาพันธ์
องค์อุปถัมภ์ : ความเจ็บป่วยฝ่ายกาย, ผู้ถูกคุมขัง, คนที่ถูกเยาะเย้ยเพราะความเชื่อศรัทธา, นักโทษ, คนเจ็บป่วย, การต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ
จะด้วยการปฏิบัติตนดั่งที่เล่ามาหรือด้วยกลเหตุประการใดก็ตาม
หลาย ๆ ครั้งพระมารดา ผู้ทรงเคยเสด็จมาหาทั้งสาม
ก็ทรงสดับฟังคำภาวนาจากเด็กน้อยทั้งสามทูลขอ ซึ่งในที่นี้จะยกมาเฉพาะของฟรังซิสโก
และยาซินทา โดยเริ่มจากเรื่องของฟรังซิสโกที่มีอยู่ว่า
วันหนึ่งบุตรชายของครอบครัวหนึ่งในหมู่ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านของทั้งสามถูกจับเข้าคุก
ทั้ง ๆ ที่เขาบริสุทธิ์
ดังนั้นด้วยไม่รู้จะไปพึ่งใครสองสามีภรรยาผู้ทุกข์ใจจึงมาขอให้เทเรซา พี่สาวของลูเซีย
ไปขอให้น้องสาวของเธอทูลต่อแม่พระให้ทรงช่วย
ฝั่งลูเซียก็เล่าเรื่องนี้ให้ญาติผู้น้องทั้งสองคนฟังระหว่างเดินไปโรงเรียน
ฝั่งฟรังซิสโกเมื่อได้ฟังจึงขันอาสาสว่า
“เธอไปโรงเรียน
ส่วนเราจะอยู่นี่กับพระเยซูเจ้าเพื่อวอนขอพระคุณนี้เอง”
หลังจากนั้นเขาจึงใช้เวลาตลอดทั้งเช้าจนถึงบ่ายเฝ้าสวดต่อพระเยซูเจ้าเพื่อขอพระหรรษทานนี้
จนกระทั่งพบลูเซียอีกครั้งในตอนบ่าย ๆ เขาก็บอกกับเธอว่า “เธอไปบอกกับพี่เทเรซาว่าให้ไปบอกพวกเขาว่า
อีกไม่กี่วันเขาจะได้กลับมาอยู่บ้านได้แล้วละ” และก็เป็นดังนั้นจริงเพราะในวันที่ 13 เดือนต่อมา
ชายหนุ่มก็ได้รับการปล่อยตัวและได้กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย
ส่วนเรื่องของยาซินทามีอยู่ว่า
คราวหนึ่งบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของนางวิกตอเรีย
คุณป้าของลูเซียเกิดหายตัวไปจากบ้านเสียเฉย ๆ โดยมิมีใครรู้เห็น
นางจึงมาอ้อนวอนขอให้ยาซินทาช่วยสวดต่อแม่พระเพื่อเขา
และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันลูกชายของครอบครัวนั้นก็กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย
ฝั่งชายหนุ่มเมื่อพบบิดามารดา ทันทีเขาก็รีบขอให้ทั้งสองยกโทษให้เขา
แล้วจึงค่อยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ทั้งสองฟัง
ว่าสาเหตุที่เขาหายไปมิใช้อะไร แต่เป็นเพราะเขาไปขโมยของมาและถูกจับขังคุก
แต่เดชะบุญเขาสามารแหกคุกแล้วหนีเข้าไปในป่าได้
แต่พอหนีไปหนีมาเขาก็พบว่าตัวเองหลงป่าเสียแล้ว
ด้วยไร้หนทางคิดอ่านจะทำการใดต่อ เขาจึงตัดสินใจคุกเข่าลงและสวดภาวนา
ชั่วขณะหนึ่งเขาก็แลเห็นยาซินทามาจูงมือเขาไปทางที่เธอบอกให้เขาเดินตรงไป
ก่อนเธอจะทำท่าให้เข้าให้เดินไป แล้วจึงหายไปเสียเฉย ๆ
ทิ้งให้เขาเดินเพียงลำพังจนมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย
บางทีเรื่องนี้อาจจะไม่น่าแปลกมากนัก ถ้าในเวลาต่อมาเมื่อลูเซียถาม
ยาซินทาไม่ตอบปฏิเสธว่าเธอไม่ได้ไป ทั้งไม่รู้จักเนินเขาและป่าสนนั้น “หนูสวดภาวนาเพียงเท่านั้น
และขอแม่พระให้ช่วยเขามาก ๆ เพราะหนูรู้สึกเสียใจกับคุณป้าวิกตอเรียของพวกเรา”
นี่จะเป็นอัศจรรย์การอยู่สองสถานที่พร้อมกันหรือไม่อย่างไรก็ไม่มีใครตอบได้ จะเป็นทูตสวรรค์หรือแม่พระได้จำแลงเป็นยาซินทาไปช่วยก็สุดจะหาคำตอบได้ด้วยสติปัญญาของมนุษย์อย่างเรา
ฟรังซิสโกล้มป่วย
“ฉันจะรับยาซินทาและฟรังซิสโกไปในไม่ช้านี้” ฟรังซิสโกตระหนักถึงสิ่งนี้ดี
ดั่งที่ได้เล่าไปแล้ว เขาพยายามใช้เวลาที่เหลืออย่างคุ้มค่าที่สุด
เขาไม่เคยพลาดโอกาสที่จะต้องสละน้ำใจตน เขายกถวายความทุกข์ยากต่าง ๆ เป็นดั่งของขวัญอันล้ำค่าแด่พระเป็นเจ้าในสวรรค์
“เพื่อความรักของพระองค์ พระเยซู” เขามักกล่าวเช่นนี้บ่อย ๆ
หนึ่งปีต่อมาในเดือนเดียวกับที่พระราชินีสวรรค์ทรงเสด็จมาเยี่ยมเยือนเด็กเลี้ยงแกะทั้งสาม
ณ ตำบลฟาติมา คือ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1918 ยาซินทาซึ่งขณะนี้มีวัยได้ 8 ปี
ก็ได้รับอนุญาตจากคุณพ่อเจ้าวัดให้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกตามความฝันสักที
แต่ท่านก็มิได้อนุญาตให้ฟรังซิสโกรับด้วย
เพราะภายนอกของเขายังดูเป็นเด็กไม่มีความรู้อะไรพอจะรับศีล ‘เท่ากับคนอื่น’ และท่านเองก็มิได้แลเห็นความศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงเร้นอยู่ในวิญญาณน้อยนี้
ดังนั้นเรื่องนี้จึงยังความเจ็บปวดเป็นอันมากให้เขา
เพราะขณะที่น้องสาวของเขาได้รับอนุญาตให้รับศีลแล้ว แต่เขาก็ยังต้องเฝ้ารอต่อไป
กระนั้นก็ตามฟรังซิสโกก็ไม่เคยต่อว่าพระเจ้า
ตรงกันข้ามเขาได้ยกถวายกางเขนนี้เป็นหนึ่งในบรรดาของขวัญแด่พระองค์
หลังจากนั้นในปีเดียวกัน เมื่อฤดูใบไม้ร่วงอีกปีเวียนมาถึงยังยุโรป
และสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งดำเนินไปกำลังจะยุติลงดั่งคำทำนายของแม่พระ
ทั้งยุโรปก็ต้องเผชิญกับความวิปโยคครั้งใหญ่อีกครั้ง เมื่อเกิดโรคระบาด
ซึ่งฆ่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมาก นั่นก็คือ ‘การระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปน’ โรคร้ายแพร่ไปอย่างรวดเร็วผ่านคน
และมาถึงยังอัลยุสเตร์ลบ้านเกิดของทั้งสาม ในปลายเดือนตุลาคมปีเดียวกัน
โดยครอบครัวของลูเซีย มีเพียงลูเซียเท่านั้นที่ไม่ติดเชื้อ
ส่วนครอบครัวมาร์โตของฟรังซิสโกและยาซินทา ก็มีเพียงนายมานูเอล
ผู้เป็นบิดาเท่านั้นที่ยังแข็งแรงดี
ฟรังซิสโกล้มป่วยเป็นคนแรกในบ้าน
และอาการก็ทรุดลงในระยะเวลาเพียงไม่นาน จนน่าเป็นห่วง
แต่เขาก็ยังคงร่าเริงแจ่มใสดั่งปกติ
เพราะเขารู้ดีว่าแม่พระทรงสัญญาว่าจะมารับเขาไปสวรรค์ และเขาก็ยังคงสุภาพกับทุกคน
และน้อมรับทุกสิ่ง แม้ยาขมมาก ๆ เขาก็มิได้ทำหน้าตาบูดบึ้งเมื่อต้องกิน
นางโอลิมเปียเล่าว่า “เขาดูดีและร่าเริงจนเรารู้สึกว่าเขาดีขึ้น
แต่เขายิ้มและบอกกับเราเสมอว่ามันไม่มีประโยชน์- แม่พระกำลังมาพาเขาไปสวรรค์ เขาพูดอยู่บ่อย ๆ”
บันทึกความทรงจำตอนหนึ่งของลูเซียได้เขียนถึงช่วงแรก ๆ ที่ฟรังซิสโกเริ่มส่อเค้าอาการป่วยว่า
“ในเวลาต่อมาดิฉันก็สังเกตเห็นว่า เมื่อพวกเราเดินทางออกจากบ้าน
ฟรังซิสโกก็เดินช้า ๆ
‘เกิดอะไรขึ้น’ ดิฉันถามเขา ‘นายดูเดินจะไม่ไหวเลยนะ’
‘เราปวดหัว และก็รู้สึกจะเป็นลมเสียให้ได้’
‘แล้วจะมาทำไมละ ไปนอนพักที่บ้านไป’
‘เราไม่ต้องการงั้น เราควรไปอยู่ที่วัดกับพระเยซูผู้ซ่อนเร้น
ขณะที่เธอไปโรงเรียน’
ฟรังซิสโกกำลังป่วย แต่ก็ยังพอเดินไปไหนมาไหนได้นิดหน่อย”
ส่วนตัวยาซินทาเองก็ล้มป่วยเช่นกัน แต่ก็มีอาการไม่หนักเท่าพี่ชาย
เธอจึงชอบมาอยู่ปลายเตียงของฟรังซิสโกที่นอนป่วยอยู่
จนวันหนึ่งขณะสองพี่น้องอยู่ด้วยกันในห้องตามลำพัง แม่พระก็ได้ประจักษ์มาหาทั้งสองอีกครั้ง
พระนางทรงประกาศว่าฟรังซิสโกจะรับเขาไปในไม่ช้านี้
และทรงตรัสถามยาซินทาว่าอยากจะอยู่บนโลกต่อสักหน่อยไหม “พระนางถามหนูว่าหนูยังอยากทำให้คนบาปกลับใจอยู่ไหม
และหนูก็ตอบว่ายังอยากอยู่ หลังจากนั้นพระนางถามว่าหนูอยากได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาลสองแห่ง
แต่หนูจะไม่ได้รับการรักษา หนูจะได้ถวายพลีกรรมมากขึ้น เพื่อความรักของพระเจ้า
เพื่อการกลับใจของคนบาป และชดเชยการล่วงละเมิดดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์
นี่คือสิ่งที่พระนางบอกหนู ลูเซีย (ลูเซียตอบ
จ๊ะ ที่รัก) และพี่ พี่จะไม่ได้อยู่กับหนูในทุกที่ที่หนูต้องไป
คุณแม่ของหนูจะไปที่นั่นกับหนู และหนูจะต้องอยู่เพียงลำพัง” ยาซินทาเล่าให้ลูเซียฟังในเวลาต่อมา
วันเวลาล่วงถึงวันฉลองพระคริสตสมภพ
อาการของฟรังซิสโกก็ดูท่าจะดีขึ้น เพราะในวันฉลองเขาสามารถลุกจากเตียงได้
แม้จะตัวจะดูซีดเซียว และมีอาการเซเล็กน้อยอยู่บ้าง แต่ยังไม่ทันที่ครอบครัวจะดีใจได้เท่าไร
อาการของเขาก็ทรุดหนักอีกครั้งในเดือนต่อมา และดูท่าจะทรุดหนักกว่าครั้งก่อน
ยังความทุกข์ระทมใจให้นายมานูเอล ผู้เป็นบิดายิ่งนัก
เพราะเขาเชื่อเสมอว่าลูกชายตัวน้อยของเขาจะหาย “หายไว ๆ นะลูก และเดี๋ยว ๆ ลูกก็จะได้โตเป็นหนุ่มแล้ว” เขาบอกกับลูกชายที่นอนป่วย “ไม่ครับ ลูกรู้ดีว่าแม่พระกำลังจะมา และรับลูกไป” ฟรังซิสโกตอบบิดา
บนทางสู่กัลวาร์
ทุกวันหลังเลิกเรียน
ลูเซียจะแวะมาเยี่ยมทั้งสองที่บ้าน
ฝั่งฟรังซิสโกและยาซินทาเองก็มีความสุขที่ได้พบลูเซีย ทั้งสามจะต่างคุยกันอย่างเงียบ ๆ (ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าทั้งสามพูดอะไรกัน
กระทั่งวันที่ลูเซียเป็นพยานในกระบวนการขอแต่งตั้งทั้งสองเป็นนักบุญ) วันหนึ่งที่ข้างเตียง
ลูเซียก็เอ่ยถามฟรังซิสโกว่า “เจ็บมากไหมฟรังซิสโก” ฝั่งฟรังซิสโกที่นอนซมก็ตอบกลับไปว่า “ก็เจ็บอยู่พอควรเลยละ แต่เราไม่คิดถึงมันหรอก
เรารับทรมานก็เพื่อปลอบประโลมองค์พระผู้เป็นเจ้า และไม่นานเราก็จะได้ไปอยู่กับพระองค์”
อีกวันหนึ่งลูเซียและยาซินทาได้พากันเข้าไปหาฟรังซิสโกที่ห้อง
ซึ่งทันทีที่พบหน้าทั้งสองฟรังซิสโกก็เอ่ยดักขึ้นก่อนว่า “อย่าพูดอะไรเยอะเลยนะวันนี้ คือเราเจ็บหัวมาก” ฝั่งยาซินทาน้องสาวผู้มีจิตใจมอบแด่คนบาป
จึงเอ่ยเตือนพี่ชายที่มีอาการเจ็บศีรษะว่า “อย่าลืมยกเป็นพลีกรรมเพื่อคนบาปนะ” ฟรังซิสโกเมื่อได้ยินเช่นนี้
จึงตอบน้องสาวคนเดียวของเขาว่า “แน่นอน
แต่แรกสุดพี่ขอถวายเพื่อการปลอบประโลมองค์พระผู้เป็นเจ้าและแม่พระก่อนนะ
แล้วก็ค่อยเพื่อคนบาปและเพื่อองค์สันตะบิดร”
ในสภาพป่วยหนักฟรังซิสโกได้ใช้เวลาเกือบทั้งสิ้นไปกับการสวดสายประคำ
เพื่อชิดสนิทกับแม่พระ แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็เอ่ยกับนางโอลิมเปีย
ผู้เป็นมารดาอย่างอ่อนแรงว่า “ลูกไม่ใช่มันแล้ว
แม่ครับ เมื่อลูกสวดวันทามารีย์ หัวของลูกหมุนติ้วจนลูกไม่รู้ว่าลูกคิดอะไรอยู่” แต่นางโอลิมเปียก็ให้กำลังใจบุตรชายตัวน้อยว่า “สวดด้วยหัวใจของลูก ลูกแม่ ก็เพียงพอแล้วสำหรับท่านที่จะเข้าใจ”
แต่ความเจ็บป่วยใดเล่าของฟรังซิสโกในระหว่างป่วยหนักจนลุกไปไหนมาไหนมิได้
จะเท่ากับความทุกข์ที่เขาไม่มีโอกาสได้ไปเฝ้าศีลอยู่ที่ “ใกล้ประตูทางเข้าวัด ทางปีกซ้ายของวัด
เพราะขณะนั้นวัดกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุง
ฟรังซิสโกจะไปอยู่ที่นั่นระหว่างอ่างล้างบาปและพระแท่น
และก็เป็นที่นั่นแหละที่ดิฉันพบเขาเมื่อกลับมา” (คำบอกเล่าของลูเซีย) กระนั้นก็ตามแม้ไม่อาจจะไปหาพระองค์ที่วัดด้วยตัวเองได้ บ่อยครั้งเมื่อลูเซียกำลังไปโรงเรียนและได้แวะหาฟรังซิสโก
เขาก็จะฝากเธอไปว่า “นี่
ช่วยไปที่วัดและมอบความรักของเราให้พระเยซูเจ้าผู้ซ่อนเร้นที่นะ
สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ที่สุดก็คือการที่เราไม่อาจจะไปและพำนักอยู่กับพระองค์ ณ
ที่นั่นได้”
มรณกรรมของฟรังซิสโก
อาการของฟรังซิสโกนานวันก็มีแต่จะทรุดหนักลงเรื่อย ๆ
ในลำคอเขามีเสหะมาก ส่วนไข้ก็มีแต่จะสูงขึ้นมากกว่าจะลด เขารับอาหารอะไรไม่ได้
และอ่อนแรงลงเต็มที กระทั่งลุถึงเช้าวันเสาร์ที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1919
ฟรังซิสโกที่นอนซมก็บอกกับบิดาว่า “พ่อครับ ลูกอยากรับศีลก่อนลูกจะตาย” นายมานูเอลจึงรับปากบุตรชายและรีบไปตามพระสงฆ์ในทันที
หลังจากนั้นเขาจึงให้ตามลูเซียมา
และเมื่อเธอมาถึงเขาก็ขอให้ทุกคนที่ไม่ใช่ลูเซียและยาซินทาออกไปข้างนอก
และเมื่อเห็นว่าเหลือเพียงสามคนแล้ว ฟรังซิสโกก็บอกกับเธอว่า “ลูเซีย เราป่วยหนักมาก เราจะไปสวรรค์เร็ว ๆ นี้… ลูเซีย เราอยากแก้บาป… เพื่อจะได้รับศีลและจากโลกนี้ไป
ดังนั้นเราอยากถามเธอว่า เธอเห็นเราเคยทำบาปอะไรบ้าง ยาซินทาละ” สองสาวจึงพากันครุ่นคิดกัน
สักพักลูเซียก็กล่าวถึงเรื่องการไม่เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่เล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา ส่วนยาซินทาก็กระซิบบอกเบา ๆ ว่า “น้องคิดถึงเรื่องก่อนการประจักษ์ที่พี่เคยไปขโมยเงินพ่อเพื่อมาซื้อฮาร์โมนิก้าของโฆเซ มาร์โต …และก็เคยปาหินตอนทะเลาะกับเด็กชายคนอื่น”
“พี่เคยสารภาพบาปนี้แล้ว” ฟรังซิสโกพึมพำเบา ๆ “แต่พี่จะสารภาพมันอีกครั้ง
บางทีอาจเป็นเพราะบาปพวกนี้ก็ได้ ที่ทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเศร้าพระทัย… พี่เสียใจ…”
ลูเซียคว้ามือฟรังซิสโกมากุม
และเริ่มสวดบทภาวนาที่แม่พระสอนพร้อมๆกับทั้งสอง “ข้าแต่พระเยซูเจ้าโปรดอภัยบาปของลูกทั้งหลาย
โปรดช่วยลูกทั้งหลายให้รอดพ้นจากไฟนรก และนำวิญญาณทั้งหลายไปสู่สวรรค์
เป็นต้นวิญญาณที่ต้องการพระเมตตาของพระองค์มากที่สุด”
แล้วฟรังซิสโกจึงหันมาขอให้ลูเซียสวดให้เขา
ลูเซียเองก็รับปากและปลอบใจเขาว่าพระอภัยให้เขาแล้ว
ไม่งั้นแม่พระไม่บอกกับยาซินทาหรอกว่าจะมารับเขาไปสวรรค์เร็ว ๆ นี้
เวลาไล่เลี่ยกันคุณพ่อก็มาถึงและได้ฟังแก้บาปในเย็นวันเดียวกัน
และเมื่อฟังแก้บาปเสร็จแล้ว คุณพ่อก็ได้ให้สัญญากับฟรังซิสโกว่า
พรุ่งนี้ท่านจะเชิญศีลมหาสนิทมาส่งให้เขา
ฝั่งลูเซียที่ทราบดังนั้นก็พลอยมีแต่ความยินดีร่วมกับเขาไปด้วย
เพราะนี่จะเป็นการรับศีลมหาสนิทครั้งแรกของเขา
เช้าวันรุ่งขึ้นคือในวันที่
3 เมษายน
เมื่อฟรังซิสโกได้ยินเสียงกระดิ่งที่ใช้สั่นเวลายกศีลหรือเชิญศีลดังเข้ามาใกล้ ๆ บ้านของตน
เขาก็รีบจะลุกขึ้นรับพระองค์ที่เสด็จมาหา แต่ก็ไม่อาจจะลุกขึ้นมาได้
ฝั่งนางโอลิมเปียเมื่อเห็นคุณพ่อเดินทางมาถึงพร้อมศีล ก็รีบจุดเทียนรอรับ
และเมื่อคุณพ่อเจ้าวัดมาถึงยังห้องที่ฟรังซิสโกนอนพักรักษาตัว
เมื่อเห็นเขาพยายามจะลุกขึ้นมา แต่ลุกไม่ไหว คุณพ่อจึงก็บอกเขาว่า “เธอสามารถรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ในท่านอน”
ดังนั้นเองคุณพ่อก็ได้ส่งศีลมหาสนิทให้เขาที่บนเตียง
ฟรังซิสโกก็รับปังแผ่นนั้นไปด้วยความเริงรื่นในวิญญาณ “เมื่อไรคุณพ่อจะพาพระเยซูเจ้าผู้ซ่อนพระองค์มาให้ผมอีกครับ” เขาลืมตาขึ้นพลางเอ่ยถามคุณพ่อ
เราไม่รู้ว่าคุณพ่อได้ตอบเขาเช่นไร เรารู้แต่เพียงว่าตลอดวันนั้นดวงใจของฟรังซิสโก
ก็มีแต่ความยินดีเป็นยิ่งนัก
เย็นวันเดียวกัน
ลูเซียก็แวะมาเยี่ยมเขา และเหมือนเธอจะรู้ว่าวันนี้จะเป็นการเยี่ยมครั้งสุดท้าย
เพราะเมื่อถึงเวลาที่จะลากลับบ้าน “ลาก่อน ฟรังซิสโก หากนายไปสวรรค์คืนนี้
อย่าลืมเรานะ… นายจะได้ยินเราไหม” เธอเอ่ยลา “ได้ยินสิ อย่ากังวลไปเลย
เราไม่ลืมเธอหรอก” ฟรังซิสโกตอบ
พร้อมเขย่ามือที่กุมแน่นของเธอด้วยกำลังเฮือกใหญ่
บัดนี้ดวงตาของทั้งสองต่างสบมองกัน น้ำตาหยดใส ๆ ไหลออกมาจากตาน้อย ๆ ของทั้งคู่ “นายอยากได้อะไรอีกไหม” ลูเซียเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง “ไม่แล้วละ” เขาตอบกลับ “งั้น ลาก่อนนะ ฟรังซิสโก
แล้วเจอกันในสวรรค์” เธอตอบเขา
แล้วจึงละจากเขาไปทั้งน้ำตาที่นองหน้า
หลังจากนั้นผู้ใกล้วายชนม์ตัวน้อยก็ผ่านค่ำคืนอันเงียบสงัดด้วยการรำพึงนึกถึงพระเยซูเจ้า
จนถึงเวลารุ่งสางของวันถัดมา เขาก็ร้องเรียกมารดาขึ้นว่า “ดูนั่นซิ แม่ครับ
ดูแสงสว่างที่สวยงามตรงประตูนั่น… โอ้ ตอนนี้ลูกไม่เห็นมันแล้ว” หลังจากนั้นเขาจึงขอให้นางอวยพรเขา
และยกโทษในสิ่งที่เขาทำลงไปกับนาง นางก็ทำตามคำขอของลูกชาย แล้วแต่เวลานั้นมา
เวลาของฟรังซิสโกก็ค่อย ๆ หมดลงเรื่อย ๆ ตามลำดับ กระทั่งล่วงมาถึงเวลาสิบนาฬิกาของวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1919 ในวัย 10 ปี ฟรังซิสโกก็ได้ปิดดวงตาน้อย ๆ ลง
และได้จากไปอย่างสงบพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ บนริมฝีปาก
“ผมไม่อยากเป็นอะไรทั้งสิ้น
ผมอยากตายและไปสวรรค์ครับ” ร่างไร้วิญญาณของฟรังซิสโกถูกฝังอย่างเรียบง่ายในวันถัดมา
ในสุสานตรงข้ามวัดของฟาติมา โดยมีไม้กางเขนง่าย ๆ ฝีมือลูเซียปักไว้เพื่อบอกตำแหน่ง