นักบุญเจดวิกา แห่ง โปแลนด์
St. Jadwiga of Poland
ฉลองในวันที่ : 8 มิถุนายน หรือ 17 กรกฎาคม
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในเมืองแห่งหนึ่งในประเทศยุโรปสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธแห่งบอสเนียก็ได้ทรงมีพระประสูติกาลพระธิดาองค์น้อย นำพาซึ่งความปรีดีมาสู่พสกนิกรทั้งหลายและสมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ 1 แห่งโปแลนด์พระราชสวามีของพระนาง
พระธิดาองค์สุดท้องผู้เกิดในวันที่ 3 ตุลาคม
ค.ศ.1373 ได้รับพระนามว่า “เจ้าหญิงเจดวิกา”
ตั้งแต่ทรงพระเยาว์พระธิดาองค์น้อยถูกนำขึ้นราชสำนักในบูดอและวิเชกราด
ฮังการี เพื่อปูทางไปสู่ชะตาเพื่อเป็นราชินีที่ดี
ต่อมาท่านที่ยังชันษาน้อยนักก็ได้เข้าพิธีหมั้นกับวิลเลียมแห่งออสเตรียทายาทราชวงศ์ฮับส์บูร์กในปี ค.ศ.1378 หลังจากนั้นท่านจึงใช้เวลาอีกเกือบปีที่ราชสำนักกรุงเวียนนา
ประเทศออสเตรีย ก่อนกลับมาเมื่อพระเชษฐภคินีคาทารีนาของท่านถึงแก่ความตายลง ด้วยได้รับการศึกษาที่ดีท่านจึงสามารถพูดได้ห้าภาษาอันได้แก่
ลาติน ฮังกาเรียน เซอร์เบียน โปแลนด์และเยอรมัน ท่านสนใจเรื่องศิลปะ การดนตรี
วิทยาศาสตร์และชีวิตราชสำนัก
ต่อมาในปี ค.ศ.1382 เมื่อพระราชบิดาท่าน สมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ 1 แห่งโปแลนด์ สวรรณคตลง
ก็ได้มีทูลเชิญเจ้าหญิงแมรี่ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระราชินีนาถแห่งฮังการีโดยมีพระราชมารดาเป็นผู้สำเร็จราชการแทน
ความยินดีไปทั่วฮังการี ยกเว้นในโปแลนด์ เพราะท่านท่านลอร์ดแห่งโปแลนด์
ไม่ปรารถนาอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าหญิงแมรี่คู่หมั้นของอนาคตจักรพรรดิซีกิสมุนด์แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่เขาขับไล่ออกจากประเทศของพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงทูลขอท่านมาปกครองโปแลนด์ และแม้เรื่องนี้จะยืดยาวอยู่สองปี แต่ที่สุดท่านก็ในวัย 10
ชันษาก็เดินมาถึงคราคูฟในวันที่ 16 ตุลาคม
ค.ศ.1384 และได้รับการสมมงกุฎเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งโปแลนด์ กษัตริยา โดยพระอัครสังฆราชแห่วเมืองคราคูฟ
ท่ามกลางภูมิประเทศที่แตกต่าง
ไม่ช้าท่านในฐานะราชินีน้อยก็ต้องพบกับหลายปัญหาที่ต้องแก้ไข
มากมายไปหมดซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นจำพวกเรื่องสงครามทั้งนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้บรรดาขุนนางในโปแลนด์จึงเห็นควรว่ามิควรให้ท่านเข้าพิธีเสกสมรสกับวิลเลียมแห่งออสเตรียเพราะประชาชนไม่สามารถรับเรื่องนี้ได้
ออสเตรียบนบันลังค์โปแลนด์ จะบ้าหรอ
ต้องเจ้าชายยากีลโล แห่ง ลิทัวเนีย ซิ
เพราะถ้าท่านเข้าพิธีเสกสมรสกับเขาแล้ว
เขาและประชาราชขอเขาจะกลับใจเข้าเป็นคริสตชน
ไม่เพียงเท่านั้นโปแลนด์และลิทัวเนียจะได้เป็นพันธมิตรกัน ขจัดศตรูไปได้อีกหนึ่ง ดังนั้นท่านจึงจำต้องขบคิดเป็นอันมากว่าระหว่างเพื่อนในวัยเด็กหรือชายป่าเถื่อนคนนั้น ในวัย 12 ชันษาท่านจึงได้ขอคิดเรื่องนี้อยู่ในห้องส่วนพระองค์เพียงคนเดียว ว่าใครกันดีที่เหมาะสม ซึ่งช่วงเวลานี้เองที่ท่านได้แสดงออกถึงความเป็นราชินีแห่งศรัทธาออกมาอย่างแท้จริง (ความศรัทธานี้เป็นที่รู้กันไปทั่วแคว้น
ท่านชื่นชอบนักบุญมารีย์ นักบุญมาร์ธาและนักบุญบริจิตแห่งสวีเดน)
ที่ทางเดินด้านทิศเหนือของอาสนวิหารวาเวล
จะเป็นที่ประดิษฐานไม้กางเขนสีดำ ซึ่งท่านชอบมาภาวนา ณ ที่นี่บ่อยๆ
มีเรื่องเล่าอยู่ครั้งหนึ่งว่าขณะที่ท่านกำลังจะลุก
พระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนนั้นได้ทรงสนทนากับท่าน ท่านได้มองพระองค์พลางทูลกับพระองค์
“ลูกจะไปทำอะไรได้หรือ” และพระองค์ก็ได้ทรงตรัสตอบท่านว่า “จงทำในสิ่งที่ลูกเห็นเถิด
จงพิทักษ์ลิทัวเนีย” ดังนั้นชีวิตนับจากนั้นของท่านก็คือการรับแบกกางเขนของพระองค์ ท่านตัดสินใจทำเพื่อพสกนิกรของท่าน
ด้วยการปฏิเสธวิลเลียมแห่งออสเตรียที่ได้มายังคราคูฟเพื่อเข้าพิธีเสกสมรสกับท่านตามคำมั่นด้วยความหวังเต็มกระเป๋าเสีย
แล้วรับข้อเสนอยากีลโล
ในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ.1386
ดังนั้นในวันที่
15
กุมภาพันธ์ ค.ศ.1386
เจ้าชายยากีลโลวัย 23 ปี จึงได้เข้ารับศีลล้างบาปด้วยพระนามว่า
“วลาดิสเลาส์” พร้อมเข้าพระราชพิธีเสกสมรสกับท่านผู้มีวัย
12 ปี ในอีกสามวันถัดมาในปราสามวาเวลู
หลังจากพิธีราชาภิเษกที่คราคูฟในเดือนมีนาคมจบลง
น้องชายของเขาก็ได้เร่งควบม้ากลับไปที่ลิทัวเนียที่ชายแดนเพื่อแจ้งข่าว
และเพื่อการกลับใจของชาวลิทัวเนีย ว่าพระราชาได้ทรงตัดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยมือของเขาแล้ว
นอกเหนือจากนั้นท่านยังได้ฟื้นฟูสถาบันศึกษาแห่งคราคูฟ
ซึ่งปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปตะวันออกขึ้น
ท่านได้ทำให้มันเป็นดวงประทีปแห่งการเรียนรู้ในเรื่องกฎหมายและเทววิทยาซึ่งได้รับอนุมัติจากสมเด็จพระสันตะปาปาในปีเดียวกันกับที่มีการก่อตั้งหอพัก ซึ่งด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณนี้ ภายหลังจึงได้มีการเปลี่ยนนามใหม่เพื่อเป็นเกียรติแด่ท่านและพระราชสวามีเป็น “มหาวิทยาลัยเจกีลโลเนี่ยน”
ราชินีของผู้ป่วยยาก
แม้ท่านจะมีศักดิ์เป็นถึงพระราชินี ในบางครั้งท่านก็มักดำเนินไปดูแลผู้ป่วยที่โรงพยาบาลเป็นการส่วนพระองค์เองและคอยสนับสนุนเงินทุนให้โรงพยาบาลอยู่เสมอมิได้ขนาดตลอด
เช่นเรื่องท่านกับยาจกป่วย โดยบันทึกกันว่าวันหนึ่งท่านและข้าราชบริพาลได้มาที่โรงพยาบาล
อยู่ๆท่านก็ตรัสสั่งว่า “ไปนำน้ำและขี้ผึ้งรักษามาซิ”
ทุกคนรักทราบและรีบจัดแจงขอตามที่ท่านสั่ง เมื่อท่านได้รับสิ่งที่ท่านต้องการแล้ว
ท่านก็ได้เข้าไปใช้น้ำล้างแผลยาจกป่วยที่นอนรักษาอยู่
และชโลมขี้ผึ้งทั่วบาดแผลของเขา ก่อนพันด้วยผ้าสะอาด ท่านรวดล้างฝีของเขา
แต่ขณะที่ท่านกำลังทำมันด้วยความระมัดระวังอยู่นั้น จู่ๆฝีก็เกิดแตก
จนทำให้ยาจกผู้นั้นสะดุ้งโหยง รีบลุกออกจากเตียงไปด้วยเลือดที่ไหล “อภัยให้เราด้วยเถิด”
ท่านกล่าวลงพร้อมคุกเข่าด้วยท่าทีสำนึกความผิดที่ท่านได้กระทำไปเมื่อกี้
ฉัพพลันร่างของยาจกผู้เจ็บปวดนั้นก็พลันสว่างขึ้น จนลดสายตาของท่านลงและพิงกับผนัง และพอท่านลืมตาขึ้นอีกครั้ง ท่านก็ไม่พบชายผู้นั้นแล้ว
ราชินีผู้ปลดเปลื้องความเศร้า
ท่านเป็นที่รักของประชาชนด้วยพระสิริโฉมอันงดงามและพระจริยวัตรอันใจกว้างต่อผู้ยากไร้ทั้งหลาย
มีครั้งหนึ่งมีเรื่องเล่าว่าขณะที่ท่านผ่านไปยังสถานที่ก่อสร้างวัดที่ท่านมีรับสั่งให้จัดสร้างขึ้น
ช่างทุกคนกับง่วนอยู่กับหิน
แต่พวกเขาก็ต่างมีความสุขเพราะมันคือการทำงานเพื่อพระเจ้า
ท่านมองทุกคนและยกย่องการทำงานของพวกเขา แต่ทันใดนั้นสายตาท่านก็สะดุดกับหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังสกัดหินให้ได้รูป
ท่านจึงเดินมาใกล้เขาและถามเขาว่า “พ่อหนุ่มทำไมเธอถึงเศร้าละ ไม่สบายหรือเปล่า” เขาจึงทูลตอบไปว่า “ไม่ใช่ผมหรอกครับ แต่เป็นภรรยาของผมต่างหาก พวกเราเป็นคนจน
ดังนั้นผมจึงไม่มีเงินพอสำหรับค่ายาและคุณหมอ เพราะผมต้องซื้อข้าวให้ลูกๆของผม
ผมวิงวอนต่อพระเจ้าให้พระองค์ช่วยเหลือ ”
เมื่อกล่าวจบเขาก็เริ่มร้องไห้
เมื่อท่านทราบดงนั้นแล้วท่านจึงวางเท้าของท่านบนหินของเขา
และปลดหัวเข็มขัดทองบนฉลองพระบาทของท่านและมอบใหแก่เขา พลางกล่าวว่า “นำมันไปและจงซื้อทุกอย่างที่ภรรยาของเธอต้องการเถิดนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วเขาก้มลงจูบท่านและรีบวิ่งนำมันกลับบ้าน
ก่อนกลับมาทำงานของเขาต่อและต้องตลึงเมื่อพบว่าบนแผ่นหินนั้นได้ปรากฏรอยเท้าของท่านเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจนัก และเมื่อหารือกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจยกหินนั้นไว้ที่กำแพงของวัดนั้นพร้อมสลักว่า ค.ศ.1390
เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์นี้ ปัจจุบันมันยังคงอยู่ที่นั่นตราบเท่าทุกวันนี้ ณ
วัดแม่พระเสด็จเยี่ยม คราคูฟ ประเทศโปแลนด์
ราชินีผู้อัศจรรย์
คราหนึ่งขณะที่ท่านร่วมขบวนแห่ศีลประจำปี ปรากฏเกิดมีเหตุคนตกลงไปในแม่น้ำวิสลา
ความเสียใจของหญิงม่ายผู้เป็นมารดาดังไปถึงท่าน ท่านจึงดำเนินมายังร่างไร้วิญญาณนั้น
และชะโงกหน้ามองร่างนั้นดูราวภาวนาซักครู่ ก่อนท่านจะค่อยปลดผ้าคลุมบ่าสีน้ำเงินของท่านคลุมร่างของเขา และทันทีพระเจ้าทรงตอบรับคำภาวนาท่าน
ฉับพลันร่างไร้วิญญาณนั้นก็กลับมาชีวิตอีกครั้งเป็นที่น่าอัศจรรย์
ราชินีนักปกครอง
ท่านตระหนักดีจากภัยสงครามรอบด้านโดยเฉพาะบรรดาอัศวินครูเสด และตระหนักดีว่าควรรอที่จะเสริมสร้างกองกำลังทหารเสียก่อน
ท่านจึงพยายามเจรจาด้วยวิธีสันติแต่ไม่เป็นผลพวกเขาไม่ยอม ช่วงนั้นเองที่มีการคุยกันท่านได้ตกอยู่ในความเงียบกับพระเจ้า
ท่ามกลางมรสุมสมคราม การใส่ร้ายป้ายสีต่างๆนาๆ ท่านได้ลั่นวาจาออกมาว่า “ความวิบัติจงบังเกิดแกเจ้าอันตรายทั้งในอดีตและปัจจุบันของโปแลนด์
วิบัติจงบังเกิดแก่เจ้าสำหรับแผนการและการทรยศกับคนเหล่านี้
พระหรรษทานและของทานที่อยู่ในอำนาจ ตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราจะไม่ยอมให้เกิดสงครามขึ้น …..”
ราชินีในสวรรค์
ในที่สุดความยินดีก็มาเยือนโปแลนด์ เมื่อท่านได้ให้ประสูติกาลพระธิดาองค์น้อย ในวันที่
22 มิถุนายน ค.ศ.1399 แต่อนิจจาไม่นานความเศร้าก็มาเยือนเมื่อพระธิดาองค์น้องถึงแก่ความตายด้วยอายุไม่ถึงปีหลังคลอดได้เพียงสามสัปดาห์ และนับจากนั้นอีกเพียงสี่วันความวิโยคครั้งใหญ่ก็มาเยือนชาวโปแลนด์อีกครั้งประดุจเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะท่านได้ถึงแก่สวรรคตลงด้วยชันษาเพียง
25 ปี ในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ.1399 ทิ้งพินัยกรรมยกทรัพย์สินของท่านแด่สถาบันการศึกษาแห่งคราคูฟ
ราชินีบนพระแท่น
ปราสาทยามราตรีไร้เสียงบทเพลงสดุดีของท่านต่อพระเจ้าแล้ว ร่างท่านได้รับการฝังอย่างสมพระเกียรติในปราสาทวาเวลและก่อนถูกย้ายไปรักษาไว้ใต้กางเขนดำที่พระเยซูเจ้าประจักษ์มาหาท่าน
ในอาสนวิหารวาเวล จนกาลเวลาผันเวียนมาเรื่อยๆหลายร้อยปีต่อมาโดยสมเด็จพระสันตปาปายอห์น
ปอล ที่ 2 ก็ได้ทรงยกท่านขึ้นสู่สารบบนักบุญในวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ.1997 ณ คราคูฟ ประเทศโปแลนด์ เป็นนักบุญจักรพรรดินีแห่งโปแลนด์
“พี่น้อง
ถ้าท่านทั้งหลายกลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเจ้าเเล้ว
ก็จงใฝ่หาเเต่สิ่งที่อยู่เบื้องบนเถิด ณ
ทีี่นั้นพระคริสตเจ้าประทับเบื้องขวาของพระเจ้า” (โคโลสี 3:1) นักบุญเจดวิกาเป็นอีกแบบอย่างหนึ่งของพระวาจาข้อนี้
เพราะนับจากวันที่ท่านได้รับศีลล้างบาป ท่านก็ได้กลับออกกจากบาปเดิม
ดังนั้นท่านจึงเดินตามวิถีของพระคริสต์เจ้า ด้วยการเลียนแบบพระองค์
เช่นกันนับจากวันที่เราได้รับศีลล้างบาปพี่น้องคริสตชนก็ต่างรู้ดีว่าเราได้กลับคืนจากบาปเก่าแล้ว
ดังนั้นพันธกิจของเราในโลกใบเล็กๆนี้ก็คือการใฝ่หาสวรรค์ ตามแบบฉบับของพระเยซูเจ้าเพื่อนที่ดีของพวกเรา
“ข้าแต่ท่านนักบุญเจดวิกา แห่ง โปแลนด์
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง