วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

"เซเฟริโน" เจ้าชาย นักบุญดอมินิก ซาวีโอ แห่ง อาเจนตินา


บุญราศีเซเฟริโน นามูนกูรา
Blessed Ceferino Namuncurá
ฉลองในวันที่ : 26 สิงหาคม

มาปูเช คือ ชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกของประเทศอาเจนตินา ชนเผ่าธรรมดาทั่วไป ที่จะให้กำเนิดอนาคตนักบุญธรรมสักขีสายเลือดซาเลเซียนขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง นักบุญดอมินิก ซาวีโอ แห่ง อเมริกาใต้   เซเฟริโน นามูนกูราเกิดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ค..1886 ในครอบครัวของหัวหน้าเผ่านาม มานูเอล นามูนกูรา” (Manuel Namuncurá) ผู้นำกองทหารชาวมาปูเชในการสู้รบกับกองทัพอาเจนตินาในวันที่ 5 พฤษภาคม ค..1883 อันโด่งดังที่สุดท้ายจบลงด้วยสันติภาพ กับโรซาริโอ บูร์โกส (Rosario Burgos) หญิงสาวเชลยชนผิวขาวชาวชิลี ท่านเป็นบุตรคนหกของครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่ชิมเปย์ เมืองเล็กๆท่ามกลางหุบเขาของจังหวัดรีโอเนโกร ประเทศอาเจนตินา



แต่แล้วท่านก็เกือบจบชีวิตลงในสายน้ำรีโอเนโกรด้วยวัยเพียง 1 ปี ขณะเล่นอยู่ริมแม่น้ำ กระนั้นในวันที่ 24 ธันวาคมปีเดียวกัน ท่านก็ได้รับศีลล้างบาป ก่อนวันฉลองพระคริสต์สมภพโดยคุณพ่อโดมินโก มิลาเนซิโอ (Domingo Milanesio) ธรรมทูตของคณะซาเลเซียนในพื้นที่นั้น หลังจากนั้นท่านก็เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความคาดหวังของบิดาที่ปรารถนาให้ท่านเป็นหัวหน้าเผ่าราชาแห่งทุ่งหญ้าปัมปัสคนต่อไป เช่นเด็กชายชาวมาปูเช ท่านได้เรียนรู้ที่ใช้จะโบเลียโดราส(Boleadoras) อุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นลูกตุ้มหินของชาวดินเดียนแดงบนหลังม้า หอกและธนู 


จนกระทั้งท่านมีวัยได้ 11 ปี บิดาท่านก็ได้ยศเป็นพันเอก เขาจึงได้ตัดสินใสพาท่านไปยังกรุงบัวโนสไอเรส เพื่อรับการศึกษาอันคือผลประโยชน์แก่คนของเขา ที่นั่นพวกท่านได้รับการตอนรับอย่างดีนายพลหลุยส์ มารีอา กัมโปส (Luis María Campos) เพื่อนและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงครามและกองทัพเรือ หลังจากนั้นท่านจึงไปเข้ารับการฝึกอบรมกองทัพเรือที่ทิกเร(Tigre) ในงานช่างไม้ อย่างไรก็ตามสามเดือนต่อมาท่านก็ขอบิดาท่านย้ายออกเพราะท่านไม่ชอบสภาพแวดล้อมหรืออาชีพนี้เลย

เมื่อทราบความจากท่านผ่านจดหมายแล้ว บิดาของท่านก็ได้ไปเข้าพบเพื่อนของเขาอีกคนคืออดีตนายกรัฐมณตรีของอาเจนตินานายหลุยส์ ซาเอนธ์ เปญา (Luis Sáenz Peña) เพื่อขอคำแนะนำและก็ได้คำแนะนำว่าควรพาท่านไปศึกษาต่อในโรงเรียนของคณะซาเลเซียน



ดังนั้นวันที่  20 กันยายน ค..1897 ท่านจึงได้ลงทะเบียนเป็นนักเรียนประจำในโรงประจำของคณะซาเลเซียนนาม วิทยาลัยปิอุสที่ 9”  ไม่นานท่านก็เริ่มปรับตัวกับสถานที่นี้ได้ พร้อมกันนี้ท่านยังได้พบกับพระคุณเจ้าฆวน กาฆลิเอโร (Juan Cagliero)  หัวหน้างานธรรมทูตในปาตาโกเนียและผู้ร่วมมือในงานธรรมทูตซาเลเซียนในอาเจนตินา

ที่โรงเรียนใหม่ท่านเอาใจใส่กับการเรียนวิชาต่างๆ ทั้งภาษากาซเทลลาโน (Castellano) ภาษาอันมีต้นกำเนิดมาจาดชนชาวคาสตีล ที่ใช้ต่อๆมาโดยชาวสเปน และ คำสอน ก่อนที่ในปีต่อมาในวันที่ 8 กันยายน ท่านจะได้รับพระวรกายพระคริสตเจ้าเป็นครั้งแรกพร้อมๆกับปฏิญาณตนจะภักดีต่อสหายของท่านองค์พระเยซูเจ้าตามแบบอย่างของนักบุญดอมินิก ซาวีโอ ที่ท่านเลือกเป็นแบบในด้านความกระตือรือร้น หลังจากนั้นอีกหนึ่งปีถัดมาพระคุณแห่งพระจิตเจ้าก็มายังท่านผ่านการปรกมือของพระคุณเจ้าเกรโกริโอ โรเมโร (Gregorio Romero) ในวัดซาน กาโลซ  เมื่อวันที่ 5 พฤษจิกายน ค..1899



นอกจากเป็นนักเรียนที่ดีแล้ว ท่านยังเป็นนักร้องเพลงที่ยอดเยี่ยม คว้ารางวัลมามากมาย ท่านและการ์โลส การ์เดล (Carlos Gardel) อนาคตตำนานนักแทงโก ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งการร้องเพลงและการแสดงภาพยนตร์ เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนและห้องนอนเดียวกัน เขาย้ายมาเรียนโรงเรียนเดียวกันกับท่านระหว่างปี ค..1901-1902  ซึ่งช่วงสองปีนั่นเองเขาก็ได้เป็นเข้ากลุ่มนักขับที่คุมโดยคุณพ่อโฮเซ เอสปาดาเวกเกีย (José Spadavecchia) กลุ่มเดียวกันกับที่ท่านถูกดึงตัวมาเพราะพรสวรรค์ด้านนี้ ทั้งในวัดและงานต่างๆ

ด้วยวัย 12 ปี ที่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ท่านก็ได้รับรางวัลชนะเลิศคำสอนประจำปี ซึ่งเสมือนเป็นการก้าวขึ้นบันไดอีกขั้นสำหรับตำแหน่ง เจ้าชายแห่งความเชื่อคริสตชนฐานันดรที่เหมาะกับท่านนัก เด็กชายผู้เรียบง่าย อ่อนโยน ปฏิบัติตามระเบียบ เชื่อฟัง เปิดเผย ซื่อสัตย์ ทำทุกหน้าที่ในฐานะนักเรียน อีกดูแลเพื่อนๆ ช่วยทุกสิ่งที่สามารถทำได้ เคียงคู่กับความร้อนรนในความเชื่อ ความรักในศีลมหาสนิทเฉกทูตสวรรค์ตัวน้อยๆและมีชีวิตทุกๆวันสนิทกับพระองค์ จึงไม่แปลดอะไรเลยที่ท่านจะเป็นที่รักขอเพื่อนๆและครู ที่พากันเรียกท่านว่า ดอมินิก ซาวีโอใหม่ หรือ นักบุญหลุยส์ กอนซากา



อีกความฝันของท่านอีกประการหนึ่งก็คือการได้เป็นพระสงฆ์คณะซาเลเซียนผู้ประกาศข่าวดีแก่พี่น้องอินเดียนแดงของท่าน เมื่อการศึกษาขั้นพื้นฐานที่โรงเรียนสิ้นสุดลงด้วยคะแนนอันดีในปี ค..1902 พร้อมท่านที่บัดนี้เป็นหนุ่มชาวมาปูเชวัย 16 ปี บิดาของท่านก็ต้องการให้ท่านกลับมายังบ้านเพื่อเป็นล่ามและเลขานุการ เขาจึงปฏิเสธความฝันของท่าน แต่แล้วหลังจากการคิดและคำแนะนำจากเพื่อที่ดีเขาก็ยอมให้ท่านเดินตามฝันของท่านได้

แต่ก็ต้องพบปัญหาด้านสุขภาพของท่านที่เริ่มต้นปี ค..1902 มันจึงไร้ประโยชน์ที่จะส่งท่านไปเรียนต่อที่โรงเรียนซาเลเซียนภาควิชาเกษตรกรรมในอูริเบลาร์เรีย (Uribelarrea) สถานอันเป็นที่พักผ่อนของท่านในยามปิดภาคเรียนทุกครั้ง ประการฉะนี้ในปี ..1903 พระคุณเจ้าฆวน กาฆลิเอโร ก็ได้ตัดสินใจส่งท่านไปเมืองเวียดมา เพื่อให้ท่านไล่ตามกระแสเรียก ภายใต้การดูแลของคุณพ่อคุณหมอเอวาซิโอ เกรโรเน (Evasio Garrone) ด้วยความหวังที่ว่าอากาศทางใต้และการดูแลจะช่วยบรรเทาอาการป่วยของท่าน



ระหว่างนั้นท่านก็ได้เริ่มชีวิตการเป็นซาเลเซียนพร้อมนักเรียนคนอื่นๆที่มีความฝันเดียวกันคือการเป็นซาเลเซียนที่วิทยาลัยนักบุญฟรานซิส เดอ ซาลส์  เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ในการปฏิบัติกิจคุณธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกุศล ความนบนอบ ความเชื่อฟังและพรหมจรรย์ที่สมบูรณ์แบบ คือบางส่วนของคำให้การง่ายๆเรื่องชีวิตในโรงเรียนแห่งนี้ โรงเรียนที่ทุกคนต่างรักท่านด้วยใจจริง พวกเขาเศร้าที่ท่านต้องจากไปแม้ท่านจะปลอบเขาแล้ว ท่านใช้เวลาท่านราวๆหนึ่งปีในโรงพยาบาล โดยมีบุญราศีอาร์เตมีเด ซัตตีเป็นพยาบาลคอยดูแลท่าน

มีเรื่องเล่าที่เมืองนี้ว่าครั้งหนึ่งขณะที่ท่านกำลังขี่ม้าอยู่ ฟรานซิสโก เด ซาโว ได้ตะโกนถามท่านว่า เซเฟริโนสิ่งที่เธอชอบที่สุดคืออะไร ขณะเดียวครูชาวอเมริกันผู้นั้นก็คิดว่าท่านคงจะตอบวาศิลปะ การขี่ม้า อะไรพวกนี้ แต่ผิดคลาดท่านหยุดว่าแล้วกล่าวว่า การได้เป็นนักบวชครับ และควบม้าต่อไป



หนึ่งปีที่เวียดมาผ่านไป พระคุณเจ้าฆวน กาฆลิเอโร ก็ตัดสินใจพาท่านไปยังอิตาลีพร้อมเขา ในวันที่ 6กรกฏาคม ค..1904 ด้วยความหวังอีกครั้งว่าอากาศที่ดีและการแพทย์อันเป็นเลิศจะรักษาท่าน พร้อมจุดหมายการเดินตามกระแสเรียก เมื่อท่านทราบใจหนึ่งท่านก็แสนจะสุขใจที่จะได้ไปเยือนถิ่นของดอน บอสโก แต่ก็แอบเศร้านิดหนึ่งที่ต้องหางจากครอบครัวและเผ่าในอีกใจหนึ่ง ที่บาเอีย บลันกา (Bahía Blanca) ท่านได้แวะพักที่วิทยาลัยซาน เปโดร เพื่อรอขึ้นรถไฟไปยังกรุงบัวโนสไอเรส ในวัดที่นี่ท่านไดหลั่งน้ำตาออกมามากมายในระหว่างภาวนาด้วยความตื่นเต้นต่อภาพของแม่พระ

ที่บัวโนสไอเรสทุกคนสังเกตได้ว่าท่านมีสุขภาพที่แย่ลงมาก ท่านมีอาการอาเจียนเป็นเลือดบ่อยครั้ง แต่เมื่อคุณพ่อเวสปิกนานิ ถามท่าน ท่านตอบเพียงว่า สบายดีครับ หลังจากนั้นพวกท่านจึงขึ้นเรือกลไฟไปยังซิซิลีและเจนัวในวันที่ 10 สิงหาคม ค..1904 ก่อนมาถึงกรุงตูริน และได้เข้าพบบุญราศีคุณพ่อไมเกิล รัว ผู้สืบตำแหน่งคนที่สองของนักบุญดอน บอสโก นับจากวันนั้นมาเขาก็ได้พูดคุยเล็กน้อยๆกับท่านหลายๆครั้งต่อสัปดาห์


ที่ตูริน ท่านใช้เวลาหลายชั่วโมงในสักการะสถานแม่พระองค์อุปถัมภ์ไปกับการพูดคุยกับพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท ต่อจากนั้นท่านจึงเดินทางไปยังกรุงโรมและได้เข้าพบนักบุญสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 10 ในวันที่ 27 กันยายน พร้อมกลับคณะซาเลเซียนจำนวนหนึ่ง ท่านรู้สึกตื่นเต้นมาก แต่อย่างไรท่านก็สามารถพูดกับพระองค์สั้นๆถึงเยินยอสันตะบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์และความสวยงามของดินแดนของท่าน

เมื่อท่านกล่าวจบพระองค์ก็ทรงตอบท่านด้วยอารมณ์ที่ดีว่า ดีมาก บุตรชายของพ่อ พ่อขอบคุณโดยวิธีที่ดีในการพูดถึงผู้แทนแห่งองค์พระคริสตเจ้า พระเจ้าจะทรงช่วยลูกในการดำเนินงานทุกอย่างที่ลูกได้กล่าวไว้ การกลับใจของพี่น้องของลูกในปาตาโกเนีย พ่อขอให้ลูก ทั้งหมดหัวใจของพ่อ ขอพระพรจากอัครสาวกของพ่อ ให้มีการเติบโตเป็นพระสงฆ์ของลูก ทั้งในครอบครัวลูกและทุกคนของลูกเถิด   ทันทีทุกคนที่อยู่ที่นั่นจึงถามขึ้นว่า สิ่งที่จะเด็กหนุ่มคนนี้คือจะได้คืออะไรกันหรือครับ หลังจากได้ยินดังนั้น พระองค์ก็ทรงเรียกท่านให้ไปที่โต๊ะทรงงานของพระองค์ก่อนให้นั่งข้างๆ และมอบเหรียญที่สงวนไว้สำหรับเจ้าชายแด่ท่าน เจ้าชายแห่งความเชื่อคริสตชน



จากที่มาถึงโรมแล้ว ท่านก็ได้ไล่ตามกระแสเรียกของท่านต่อที่วิทยาลัยของคณะซาเลเซียนนาม วิลลา โซรา (Villa Sora) นอกกรุงโรมเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน มันเป็นวิทยาลัยที่ตั้งอยู่บนเขาอันงดงามของฟราซกาติ ที่มีสถานที่กว้างขวางและสะดวกสบาย โอบล้อมด้วยทิวไม้นานากับภูมิทัศน์ที่สวยงามและท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง เช่นเดียวกันกับที่อื่นๆท่านเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนๆทุกคนโดยเฉพาะความร้อนรนต่อศีลมหาสนิท การมีระเบียบวินัยและการอดทนต่อวัณโรคร้ายที่คุกคามท่าน

แต่แล้วอาการของท่านก็ทรุดลงอย่างหนักในช่วงเดือนมีนาคม ค..1905 จนท่านไม่สามารถเข้าเรียนได้ ที่สุดจึงมีการส่งท่านไปรักษายังโรงพยาบาลฟาเตเบเนฟราเตลลี (Fatebenefratelli) บนเกาะติเบรินา (Tiberina) ภายใต้ความดูแลของแพทย์ส่วนพระองค์สมเด็กจพระสันตะปาปาลีโอที่ 13 และ นักบุญสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 10 ดร.โฮเซ ลาปโปนี (José Lapponi)


แม้อาการจะรุมเร้าท่านมากเพียงใดท่านก็ไม่เคยบ่น ท่านกลับน้อมยอมรับน้ำพระทัยของพระเจ้า ท่านลาออกจากวิทยาลัยด้วยความกล้าหาญเพราะท่านทราบดีว่าเวลาสุดท้ายของท่านใกล้เข้ามาแล้ว สามวันสุดท้ายท่านมีอาการไอตลอดคืน จนท่านแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ขอสรรเสริญพระเจ้าและแม่พระ เพียงพอแล้วที่พระองค์รักษาวิญญาณลูกและอื่นๆที่จะปฏิบัติตามน้ำพระทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระองค์ ที่สุดแล้วท่านก็จากไปอย่างสงบด้วยวัณโรค ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค..1905  ด้วยอายุรวม 18 ปี 8 เดือน 17 วัน

ร่างของท่านได้รับการประกอบพิธีอย่างเรียบง่ายและถูกฝังไว้ที่กัมโป เวราโน (Campo Verano) สุสานของกรุงโรม การตายของท่านสร้างความเศร้าใจเป็นอย่างมากแก่ทั้งบิดาของท่าน วิทยาลัยปิอุสที่ 9 และนักบุญสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 10 ร่างท่านได้คืนสู่มาตุภูมิอาเจนตินาในปี ค..1924 หลังจากนั้นอีกหลายสิบปี นับจากวันที่สถานพักผ่อนสุดท้ายในมาตุภูมิของท่านกลายเป็นที่แสวงบุญ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค..2007 คารวียะเซเฟริโน นามูนกูรา เจ้าชายก็ได้รับเกียรติยกขึ้นไว้ในสารบบบุญราศี เคียงคู่กับนักบุญดอมินิก ซาวีโอ และ บุญราศีเลารา วีกุญญา จากนั้นในวันที่ 12 สิงหาคม ค..2009 ครอบครัวของท่านก็ได้ขอย้ายกระดูกของท่านไปไว้ยังจังหวัดเนวเกน ภายใต้พิธีกรรมของชาวมาปูเช

 จงพยายามเข้าทางประตูแคบ  เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าหลายคนพยายามจะเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้(ลูกา 13:24)  บุญราศีเซเฟริโน ยอมรับน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยใจรัก ท่านตระหนักถึงข้อนี้ดี ท่านจึงโค้งตัวรับน้ำพระทัยของพระองค์จนสามารถรอดผ่านประตูอันแสนแคบไปได้ แม้ว่าอาจจะต้องหล้าหรือเหนื่อยก็ตามที ท่านก็ยังคงก้มและเชื่อฟังพระแล้วค่อยๆแบกกางเขนอันหนักของท่านเดินต่อไปได้ เช่นกันวิธีที่เราจะผ่านประตูแคบของพระเจ้าได้อีกวิธีหนึ่งคือการยอมรับน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยใจที่นบนอบ เชื่อฟังและวางใจในพระองค์



ข้าแต่ท่านบุญราศีเซเฟริโน นามูนกูรา ช่วยวิงวอนเทอญ



ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...